พฤศจิกายน 2558

1
2
3
4
5
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
9 Days 3 Countries in EU 23-31 Oct 2015 : Ch 1 Vienna, Austria
  สวัสดีค่ะ

กลับมารีวิวตามที่สัญญาไว้คราวก่อนแล้วจ้า หมดแรงกับ jet lag ค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายแล้วมาลุยกันต่อเลย

ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องกับโน้ตบุ๊ค ดันทำน้ำหกใส่ harddisk พัง ใจหายวูบบบบบบ 

เดชะบุญ ไม่ได้เสียหายอะไรมาก แต่ได้โอกาสดี เปลี่ยน harddisk ใหม่ที่ 1TB เอาลูกเก่าไปเป็น external harddisk ไป (ของเก่ายังพอใช้ได้แต่ดีเลย์ไปแล้ว)

ยังๆ ช่างไม่ได้ลง driver การ์ดจอให้ ใช้ไปสักพักขึ้น blue screen เพื่อนเลย team viewer มาช่วยจนวันสุดท้ายที่ไปสมุยเลยจ้ะ - -" (13-15 พ.ย.) กะว่าจะทำก่อนไปสมุยปรากฏว่าไม่ทัน กลับมาจากสมุยก็งานเข้ายาวอีก จนวันนี้แหล่ะจ้ะ เหอๆ 

**คำเตือน : รูปเยอะมากกกกกก โหลดนาน โหลดเต่าอย่าว่ากันนะ**

*** ใครจะนำรูปไปใช้ รบกวนมาขอกันก่อนนะคะ แม้จะมีเครดิตลงรูปแล้วก็เหอะ ***

โอเค กลับเข้าเรื่องดีกว่า...



ทริปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากต้นปีแป้กจากการวางแผนเที่ยวค่ะ คือมีให้ความหวังมาเป็นพักๆ แบบคนนั้นชวน คนนี้ชวน พอถึงเวลาวางแผนไปแล้วเจอปฏิเสธงี้

มัน SADDDDDDD ค่ะคุณผู้ชม T T เหมือนอกหักซ้ำไปซ้ำมาในระยะเวลา 1-2 เดือน

แถมแก๊งเดิมที่ไปเมื่อปีก่อนก็ไม่สามารถรับปากได้ว่าจะเดินทางได้เมื่อไหร่ (บางทีเพราะไม่รู้เวลานี่แหล่ะ เราถึงทำตัวลำบาก เราเองก็มีตารางเวลาของเราเหมือนกัน) 

ไปๆ มาๆ ก็ไปเปิดเจอทริปที่เราอยากไปในเพจ Backpack lover พอดี เลยลงชื่อไว้แล้วลุยเลยค่ะ

(ที่มาที่ไปขอให้อ่านบท prelude ก่อนนะ จะได้ไม่งง เพจนี้มันคืออะไร??) 

ใจเราอยากไปแถวๆ Prague, Cesky Krumlov ไรงี้ (ถ้ามี Hallstatt มาด้วยจะ perfect เลย แต่ไม่มี) ซึ่งมันตอบโจทย์พอดี ช่วงเวลาก็ได้ด้วย เราถึงตัดสินใจได้ไม่ยากค่ะ

ส่วนตัวก็ขาลุยอยู่แล้ว ไม่หวั่นเดินมาก สะพายกล้อง mirrorless อีกตัวไป สบ๊ายยยยยยยยยยย


ว่าแล้วก็มาลุยกันเลยยยยยยยยย

งวดนี้เราเลือกเดินทางด้วยสายการบิน Aeroflot สัญชาติรัสเซียค่ะ ไปต่อเครื่องที่สนามบินมอสโคว (SVO) โดยรูทบินคือ BKK>SVO และ SVO>VIE 

ส่วนขากลับจะกลับจากสนามบิน Budapest (BUD) ค่ะ รูทบินคือ BUD>SVO และ SVO>BKK

ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพไปมอสโควราวๆ 10 ชม. บินต่อไปเวียนนาประมาณ 2 ชม.หน่อยๆ ค่ะ

ในวันเดินทาง เราได้นัดพี่ๆ จากกรุ๊ป line เฉพาะกิจนี้มาพร้อมกันที่สนามบินเวลา 7 โมงเช้า (บิน 9.35 น.) ด้วยความที่ว่าเรา check-in online มาก่อน จึงทำแค่ดรอปกระเป๋าที่เค้าเตอร์แล้วขอตัวเข้าไปทำภารกิจช้อปปิ้งข้างในล่วงหน้าค่ะ = =

ซึ่งวันที่ 23 คือวันหยุดราชการไง ยิ่งเราเข้าตม.เร็ว ยิ่งมีเวลาจัดการเรื่องต่างๆ ได้เร็ว (พวกพี่ๆ มาเล่าให้ฟังทีหลังว่าคนเยอะมาก กว่าจะทำอะไรเสร็จ กว่าจะผ่านตม.ก็เสียเวลาเยอะเลย)



ใครไปช้อปปิ้งที่รางน้ำหรือคิงพาวเวอร์สาขาอื่นๆ ให้ไปรับที่เค้าเตอร์สีฟ้าๆ นี้นะคะ เค้าเตอร์เดิมโดนคนจีนยึดไปเรียบร้อยแล้ว = = 








ไฟลทบินของเรามีคนไทยประมาณนึง ที่เหลือเป็นชาวรัสเซียที่กำลังจะกลับบ้าน 

เราแยกตัวออกมานั่งคนเดียว (เพราะเลือกที่นั่งไว้ก่อนแล้วจาก check-in online) ซึ่งก็สบายดีเพราะไม่ใช่ full load มีที่ว่างให้เรากางแขนขา วางสัมภาระ (รกๆ) ไว้ข้างตัวได้ถือว่าดีมากเลย



เบาะหนังค่อนข้างเก่า แต่ไม่เน่าเท่าพวก domestic flight 



มีเซตอำนวยความสะดวกให้เราคนละเซต ประกอบไปด้วย ผ้าห่ม หมอน slippers 



ใน slippers แกะออกมาเป็นที่ปิดตาและสติกเกอร์แปะเก้าอี้เราเองค่ะ (ให้แอร์ช่วยปลุกไรงี้)



สำหรับ IFE ของ Aeroflot ลำนี้ค่อนข้างเก่านิดนึง ไม่ใช่ touch screen แต่หนังเยอะมาก หนังค่อนข้างใหม่ โดยเฉพาะหนังเข้าชิงออสก้าร์ปีนี้มีให้ดูเกือบครบเลยทีเดียว ใครชอบดูหนังน่าจะถูกใจนะคะ มีช่องเสียบ USB เอาไว้เสียบชาร์จโทรศัพท์ได้ด้วย แถมมีพอร์ตสำหรับสาย LAN ด้วย (ถ้าดูไม่ผิด) ใครเอาสายแลนมาสบายเลยจ้า

สายการบินนี้ไม่มีสแนคเสิร์ฟนะคะ มีแต่น้ำมาให้ทุก 2 ชม.ตามกฎการบินสากล คือเบสิคมากๆ



คืออยากจะเปลี่ยนจาก refreshing towel ให้เป็นถั่วสักถุงไรงี้ - -"

อาหารสำหรับไฟลทยาวๆ แบบนี้จะให้เป็น lunch กับ dinner ค่ะ เป็นมื้อหลักไปเลย โดยให้เลือกแค่ไก่หรือปลา(คอด)เท่านั้น



อันนี้เหมือนครีมไวท์สตูว์ไก่กับพาสต้าเขียวๆ (ทำไมหลายสายชอบไอ้เส้นเขียวนี่จัง) บราวนี่ สลัดกับหมูยอ(?)ราดน้ำสลัด thousand island แล้วก็ bun อีกก้อน

แอร์จะเสิร์ฟน้ำก่อนแล้วค่อยตามด้วยน้ำชา-กาแฟค่ะ



อันนี้เป็นข้าวกับสตูไก่ ซึ่งอร่อยมากกกกกกกกก ยังไงข้าวก็อร่อยที่สุดเนอะ 

ฟรุ๊ตเค้ก สลัดอะไรสักอย่าง (คิดว่าไก่) แล้วก็ bun ตามสูตร

แล้วเราก็ลงเครื่องที่มอสโคว คือหนาวมากกกก วันนั้นเย็นย่ำราวๆ 2 องศา แล้วเมฆหนาชนิดที่ว่าตอนกำลัง landing กัปตันลดระดับความสูง เรามองเห็นแต่เมฆจนตกใจ พอพ้นกลุ่มเมฆแล้วค่อยโล่งอก ลงจอดอย่างปลอดภัย :)

สนามบินมอสโคว เป็นสนามบินที่ค่อนข้างเก่า เล็กและคับแคบค่ะ การที่แกมีหลาย terminal มันแปลว่าแกต่อเติมเข้าไปใหม่ เพราะ terminal ของเดิมมันแทรกอยู่ระหว่าง duty free เล็กๆ (ที่พยายามยัดให้มันมีจนได้) และไม่ใช่แบบ ramp ต่อเข้าเครื่องด้วยนะ เราต้องเดินลงไปข้างล่างเพื่อขึ้น terminal bus ไปขึ้นเครื่องอีกที

อีกประเด็นนึงคือ ให้ระวังเรื่องการเปลี่ยน gate เพราะเปลี่ยนบ่อยมาก และอาศัยดูแค่จอมอนิเตอร์ก็ไม่ได้ด้วยนะ ต้องตั้งใจฟังประกาศอย่างเดียว คือแกมีหลาย terminal ติดๆ กันไงคะ จอมอนิเตอร์จะแสดงเฉพาะ terminal นั้นๆ ถ้าเกทย้ายไปอีก terminal เราจะแป้กทันที ดังนั้นให้เงี่ยหูฟังให้ดี

หรืออีกวิธีคือ ให้ซื้อตั่วกับ agency ดังๆ อย่าง expedia ที่มีแอปเป็นของตัวเองนะ ถ้าคุณมี internet ติดตัวก็สบายเลย แอปจะขึ้นเตือนให้คุณเอง หรือจะมี free beeline wifi อะไรสักอย่างค่ะให้ใช้ในเวลาจำกัดราวๆ ครึ่งชม. เอาไว้ยามฉุกเฉิน (แต่ถ้าเล่นหมดแล้วก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ) เน็ตฟรีของสนามบินกากมาก พึ่งพาไม่ได้ค่ะ

ส่วนที่เจอกับตัวนี่คือเราทุกคนรวม 8 ชีวิตเดินเข้า irish bar กัน มีพี่ๆ บางคนสั่งเบียร์มากิน เราเลยเดินตามเข้าไป ทีนี้มีพี่คนนึงเช่า pocket wifi มาเราเลยได้อานิสงค์ตรงนี้ด้วย ที่สำคัญ expedia ส่งเตือนเรื่องเปลี่ยนเกทมาให้แต่เราไม่ได้สนใจค่ะ จนเราออกมาแล้วเหวอ หาเกทไม่เจอ

สรุปว่าต้องเชื่อแอปค่ะ (สุดท้ายพี่ผู้ชายคนเดียวในกลุ่มเปิดเน็ตหาเลยวิ่งไปเกททัน) เกือบตกเครื่องแล้วมั้ยล่ะ...



เครื่องขายน้ำส้มคั้นสดๆ จากตู้ (?) ในสนามบินมอสโคว

เราออกเดินทางไปเวียนนากันดีกว่า :)



snack box ยามดึกค่ะ เป็นแซนวิชโฮลวีทไส้อะไรจำไม่ได้ กับน้ำผลไม้ยี่ห้อ rich ของรัสเซีย รสแอปเปิ้ลเขียว (ยี่ห้อนี้อร่อยนะคะ คอนเฟิร์ม)

เราไปถึงเวียนนาราวๆ สามทุ่มครึ่ง เวลาท้องถิ่นค่ะ



เยินแต่ไหวอยู่ ตอนนั้นเวลาไทยก็ประมาณตีสองแล้ว (คร่อกกกกกกกก)

พี่แป๋ว พี่จิ๋ง พี่แอม รอรับเราอยู่ข้างนอกเพื่อพาเราไปที่พักคืนนี้ค่ะ 



ชอบบอร์ดนี้มาก มันคือผนังเลยแหล่ะ ฉายตัวขนาดนี้ ไม่เห็นให้มันรู้ไป :)

ประเทศที่วางผังเมืองมาดี มักจะมีขนส่งมวลชนเชื่อมต่อกันเป็นใยแมงมุม เวียนนาก็เป็นหนึ่งในนั้น ใต้ดินคือสถานีรถไฟเข้าเมือง และเชื่อมต่อกับใต้ดินสายอื่นๆ ต่อไป

พี่แป๋วซื้อตั๋วรถไฟให้เราล่วงหน้าแล้ว เป็นตั๋วรถไฟสำหรับ 1 ครั้ง (นอกเมืองเข้าในเมือง) และตั๋ว 24 ชม. activate ให้เสร็จแล้วค่อยไปรอรถไฟ

สำหรับที่นี่ ตั๋วรถไฟต้อง activate ที่ตู้ก่อนถึงจะใช้ได้นะคะ เหมือนหลายๆ เมืองใหญ่อย่าง ปารีส เป็นต้น (ใช้ระบบซื่อสัตย์นะตัวเธอ ถ้าเนียนขึ้นฟรีแล้วโดนจับได้ก็ปรับอ้วกนะ)

ที่พักเราต้องต่อรถไฟราวๆ 3 ต่อ แถมด้วยรถรางด้วย ฮา

ตอนที่เรากำลังรอรถรางอยู่ มีพ่อหนุ่มคนนึงดูเมาๆ เป๋ๆ เดินเข้ามาถามพวกเราว่า "ยูรู้จักคำว่า ... มั้ย"

คือแกเข้าใจว่าเราเป็นคนจีนค่ะ พอรู้ว่าไม่ใช่แกก็ "อุ้ยยย ซอรี่นะ แล้วพวกยูมาจากไหนล่ะ"

พี่คนนึงตอบ "ญี่ปุ่น" 

ทันใดนั้นเพื่อนแกก็รีบลากตัวออกไปพร้อมขอโทษขอโพย เพื่อนไอเมาน่ะเลยเพี้ยนๆ = =

คือตี๋ไม่น่าไหวนะลูก ตี๋ต้องไปนอนแล้วลูกกกกกก (ตัวเตี้ยแต่หล่อนะ)

ตอนที่รถรางมา เราเดินผ่านตี๋ขี้เมา แกก็โบกมือบ๊ายบายให้นะ 55555

เรานั่งกันแค่สถานีเดียวแหล่ะ ตี๋ขี้เมากับเพื่อนก็ดันขึ้นรถมาด้วย พอลงรถอีกตี๋ก็บอก have a nice day!

เอออออออออออ ตี๋ไปนอนเถอะลูก หนูไม่ไหวแล้วววววววววลูก



ที่พักคืนนี้ของเราคือ.. Meininger Hotel Wien Downtown Franz



เราได้รับการเตือนอย่างหนักหน่วงจากพี่แป๋ว พี่จิ๋ง พี่แอมตั้งแต่ก่อนขึ้นรถไฟว่า ให้ระวังกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเป้ ทั้งหลายแหล่เพราะมีคนโดนมาแล้วที่เวียนนานี่แหล่ะ!! 

โดยโจรจะใช้วิธีการเบียดๆ ตอนกำลังขึ้นรถไฟ เป็นโจรที่หน้าไม่เหมือนโจร เป็นแก๊งเด็กวัยรุ่นตาใส บางทีก็เด็กสาวๆ น่ารักๆ จะเข้ามาเบียดๆ เราแล้วหาโอกาสรูดซิปกระเป๋าเป้หาเงิน หาของมีค่าไป กระเป๋าตังค์เอาไป พาสปอร์ตโยนทิ้งถังขยะ แล้วจับตัวไม่ได้นะจ๊ะ

อีกส่วนนึงคือ เตือนให้ระวังกระเป๋าเดินทางให้ดี เพราะโรงแรมนี้มีโจรเป็นแม่บ้าน!! และทางโรงแรมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกต่างหาก แจ้งไปก็ไม่รับเรื่อง โดยลักษณะโจรจะขโมยเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางเราเอง ไม่เอาของมีค่าอื่น เอาแต่เสื้อผ้าไป (เพราะกว่าเราจะรู้ตัวว่าเสื้อผ้าหายก็ใช้เวลาสักพักจนกว่าเราจะหยิบมาใส่) 

แม่บ้านเป็นคนเดียวที่จะเข้าห้องเราได้ ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน พักโรงแรมอะไรควรล็อกกระเป๋าเดินทางให้ดี อย่าวางของมีค่าไว้ในห้องนะคะ หายมาเยอะแล้ว กระเป๋าเป้ก็เหมือนกัน หากุญแจมาล็อกให้ดี หรือเอาไว้ข้างหน้าตัวเลย เอาเงินแอบซุกไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากระเป๋าลับมาใช้ซะ เป็นการป้องกันอีกทางค่ะ


สำหรับ Facilities ที่นี่ จะมีห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ทั้งหมด ห้องนั่งเล่นกับห้องกินข้าวอยู่รวมกัน มีส่วนสันทนาการเช่นโต๊ะ pool ด้วย มีบาร์ติดกับเค้าเตอร์เช็คอิน ตู้ขายน้ำและขนม อันนี้บอกเท่าที่ตาเห็นนะคะ น่าจะมีเยอะกว่านี้

ห้องพักสำหรับ 4 คน จะเป็นเตียง 2 ชั้นกับเตียงใหญ่ 1 เตียง มีห้องน้ำในตัว พร้อมผ้าเช็ดตัวคนละ 1 ผืน ห้องเรียกว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ค่ะ สูสีกับ ibis ได้ ถือว่าโอเคเลย (ถ้าไม่มีเรื่องขโมยเสื้อผ้า) มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยจ้า


Day 2 : October 24, 2015

เที่ยวกรุงเวียนนากันค่ะ เริ่มที่พระราชวังเชินบรุน (Schonbrunn Palace)

เช้านี้อากาศดี เดินไปขึ้น tram ลงรถไฟใต้ดินชิลๆ กัน



ตอนที่ขึ้นรถไฟ จริงๆ มีสถานีที่อยู่ใกล้เชินบรุนที่สุด แต่ก่อนจะถึงสถานีนั้นดันมีการซ่อมแซมสถานีก่อนจะถึงเชินบรุนซะอย่างนั้น ทำให้ทุกคนในขบวนรถไฟต้องลงมาและไปต่อรถบัสที่ทางสถานีจัดไว้ให้แทนค่ะ 

ลงบัสมาก็เจอคลองเลย..







ตรงข้ามวังเชินบรุน





จะไปเชินบรุน ให้ไปเช้าๆ นะคะ คนน้อยดี 

ซื้อบัตรเข้าทางซ้ายมือจากหน้าประตู มีห้องน้ำ (เสียเงิน 2 ยูโรถ้าจำไม่ผิด) มีร้านขายของที่ระลึก และมีตู้ไปรษณีย์ด้วย (ถ้าอยากส่งโปสการ์ด)



แบบจำลองพระราชวัง



รถม้าหน้าพระราชวังค่ะ จ้างได้นะ 

เนื่องจากข้างในถ่ายรูปไม่ได้นะคะ ทางเข้าพระราชวังอยู่ทางด้านซ้ายมือ สามารถฝากสิ่งของไว้กับล็อกเกอร์ได้ ของมีค่าเอาติดตัวไปด้วย และจะได้รับ audio guide ทุกคน (แต่ถ้าไม่ฟังก็ไม่ต้องรับก็ได้) เดินจบลงมาเจอทางเดิมได้เลย ห้องน้ำเข้าฟรีค่ะตรงนี้

พระราชวังเชินบรุนน์ ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องที่ดังที่สุดคงเป็นเรื่องของพระนางซีซี (Sisi) นั่นเองค่ะ ในพระราชวังมีห้องส่วนตัวของพระนางพร้อมหุ่นจำลองด้วยนะ ผมยาวมากกกกกกกกกกกก เดินไปคนเดียวมีตกใจได้เลย 


ออกมาเราเจอกับคู่แต่งงานมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่นี่ 2 คู่ เกาะบันไดข้างละคู่ :)





แอบถ่ายมาอีกที ชอบมุมนี้ค่ะ อิอิ



เดินมาทางซ้ายของพระราชวังเพื่อเข้า garden ด้านหลังกันค่ะ



ตรงนี้ไม่ใช่ garden นะคะ เป็นทางเดินข้างๆ พระราชวังค่ะ สวยดีเลยถ่ายมา



อุโมงต้นไม้



อุโมงกุหลาบค่ะ คาดว่าถ้ามาช่วงหน้าร้อนน่าจะได้เห็นดอกกุหลาบด้วยนะ



จริงๆ เป้าหมายของเราอยู่บนเขานะ แต่ไต่ขึ้นไปไม่ทันค่ะ ต้องเดินขึ้นเขานานพอสมควรเวลาหมดก่อน T T



เขยิบใกล้เข้าไปอีกนิด...



หันหลังกลับไปหาพระราชวัง



เข้าไปใกล้น้ำพุอีกนิด...



ใกล้อีก...พอละ!!

เดินกลับค่ะ เวลาหมด 5555

Gardens ที่นี่จะตกแต่งในแนว Baroque ค่ะ ทรงเรขาคณิตตามแบบที่นิยมสมัยนั้น เล่ากันว่าตกแต่งในช่วง 10 ปีสุดท้ายก่อนมาเรีย เทเรซ่าจะเสียชีวิตและยังคงรูปแบบเดิมมาจนถึงปัจจุบัน

ความกว้างจากตะวันออกถึงตะวันตกคือ 1.2 กม. จากตอนเหนือถึงใต้คือ 1 กม. ทั้งพระราชวังและ gardens ถูกจดบันทึกเป็น World heritage sites ของ UNESCO ค่ะ











ออกมานอกพระราชวังกันค่ะ 





สี่แยกที่เราเดินจากป้ายรถบัสครั้งแรกค่ะ



มีจักรยานให้เช่าด้วยนะ

เดินไปเรื่อยๆ ราวๆ 1 บล็อกจะเจอป้ายรถบัสอีกที่ค่ะ เราจะขึ้นรถบัสที่นี่เพื่อไปต่อใต้ดินอีกทีค่ะ



ลงที่สถานี Stephenplatz ปุ๊บขึ้นมาก็เจอเลยค่ะ



โบสถ์ St.Stephen's Cathedral หรือภาษาเยอรมันเรียกว่า Stephensdom หรือที่นี่เรียกว่า Stephensplatz เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่มีความสูงที่สุดในโลก



พี่แป๋วพาเรามาที่นี่เพื่อดูแสงสีรุ้งตอนเที่ยงวันเวลาส่องเข้าตัวโบสถ์ค่ะ (ถ้าเราโชคดีมากพอ)

ด้านนอกของโบสถ์ เราจะเจอกลุ่มคนแต่งตัวเหมือนนักแสดงละครเวทีหรือไม่ก็แต่งคอสเพลย์ชุดโบราณยืนขายของอยู่ เค้ากำลังขายตั๋วโอเปร่ากันค่ะ สนใจก็ลองคุยดูได้นะ



ตัวโบสถ์ข้างในสวยมาก สงบมาก และยังมีการใช้งานจริงค่ะ เราถึงอยู่ได้แค่หลังลูกกรงเท่านั้น 



ไม่ได้เป็นช่างภาพ exclusive แต่อย่างใดนะคะ เอากล้องยื่นเข้าไปในลูกกรงแล้วถ่าย เราถึงเห็นภาพอันแสนสงบของโบสถ์แห่งนี้ค่ะ



ด้านนอกก็มีมุมถ่ายรูปสวยๆ นะคะ



ด้านข้างของโบสถ์ค่ะ กำลัง maintenance กันอยู่เลย (ปีก่อนก็ทีนึงละที่โรม มาเวียนนาก็ยังเจอเหรอเนี่ย - -)

มาดูมุม downtown กันบ้าง ที่นี่เป็นย่านช้อปปิ้งในกลางเมืองค่ะ อยากช้อปปิ้งอะไรเดินหาเลย สบายๆ เช่น longchamp (คนไทยไปเยอะมาก) LV (ของตาย) รวมไปถึงร้านน้ำชาชื่อดังอย่าง Sacher หรือร้านเค้ก 300 ปีด้วยนะคะ อยู่โซนนี้หมดเลย



ตรงตึกเหลืองๆ เดินไปทางขวา ตรงไปเรื่อยๆ จะเจอร้าน Longchamp ค่ะ ร้านเค้ก 300 ปีก็อยู่แถวนั้นด้วย



ตรงร่มสีขาวๆ (รูปบน) เป็นลานเบียร์ค่ะ พี่ในกรุ๊ปบอกว่ามีเบียร์สตรอเบอรี่ขาย..เราเลยจัดมาแก้วนึง :)

เปรี้ยวๆ และแอลกอฮอล์ปนกัน กินเร็วๆ ก็เมาได้นะ ฮา

เที่ยงแล้ว เราคุยกันว่า เราควรไปหาของขึ้นชื่อของออสเตรียทานกันดีกว่า 



จำไม่ได้ละว่าเดินไปทางไหน แต่ถ้าเจอป้ายเขียวๆ ร้าน Figlmuller ก็แปลว่าใช่แล้วจ้า





อาหารที่ไปถึงออสเตรียแล้วต้องลองให้ได้คือ Schnitzel นี่แหล่ะค่ะ ร้านนี้เป็น original ที่ต้องมาทานให้ได้ แต่ต้องโทรจองล่วงหน้านะคะ โดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ไม่สามารถ walk-in ได้เลยค่ะ

ความจริงแล้วมีร้านที่ไม่ต้องจองด้วย คือเดินออกจากซอยร้านนี้แล้วเลี้ยงขวา แต่เราเห็นว่าคิวก็ยาวมากจนดูแล้วหมดหวัง เราเลยไปหาร้านข้างๆ แทนซึ่งราคาต่อจานแพงกว่ากัน 5 ยูโร แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้วเนอะ ลองดูสิ...



นี่คือ Schnitzel ค่ะ หน้าตาเหมือนปลาสวรรค์เนอะ ข้างในเป็นหมู/เนื้อ/ไก่ แล้วแต่เราจะสั่งค่ะ

เอาจริงๆ นี่ตอบไม่ได้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง หมูบดปรุงรสแล้วทอดกรอบหรืออะไร - -" แต่ก็ไปชิมแล้วถือว่าถึงออสเตรียแล้วนะ

นอกจากนี้ก็บรรดาไส้กรอกทั้งหลาย...



ไส้กรอกทานกับมัสตาร์ด มันบดหยาบ แล้วก็ผักดองค่ะ



อันนี้เป็นไส้กรอกอีกแบบกับซอสถั่วจิ้มขนมปัง 

วันนั้นเราสั่งมาหลายรายการค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ มากัน 8 คน สั่งแล้วสั่งอีกนั่นแหล่ะค่ะ 

ร้านค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี tap water บริการ ต้องซื้อน้ำอย่างอื่นแทนนะคะ (ไม่ก็ไปกดจากห้องน้ำใส่ขวดเอา) 



ร้านนี้ค่ะ Gutenberg 



ตึกนี้ไม่เกี่ยวนะคะ ถ่ายมาเพราะสวยเฉยๆ 5555 

แต่ทางขวามือคือซอยที่เข้าร้าน Figlmuller ที่ walk-in ได้ แต่แถวยาวมากอย่างที่บอก

จากนี้เราจะเดินไปที่ Hofburg Imperial Palace กัน... แต่พวกเราลืมไปว่าวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม คือวันชาติออสเตรีย!!!







เห็นอนุสาวรีย์นี้แล้วก็บอกได้ว่าที่นี่คือ Museum of Natural History Vienna (Naturhistorisches Museum Wien) แต่เราไม่ได้เข้าไปค่ะ 









เดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามถนนไปนิดนึง...





นึกว่างานวันเด็ก...ปีนรถหุ้มเกราะเล่นกันด้วย - -" คือทหารออสเตรียเอาของดีของกองทัพมาโชว์ค่ะ 





ถ่ายรูปกับแฟนมาค่ะ อิอิอิอิ น่ารักเนอะ



ภายใน Hofburg Imperial Palace กลายเป็นที่จัดแสดงของกองทัพออสเตรียไปแล้ว 

ถ้าไม่คิดว่าเราอยู่ในเวียนนา นึกว่างานวันเด็กค่ะ 5555



ข้างในมีเยอะมาก ปีนหน้าผาจำลอง ดำน้ำของหน่วยซีล (แกเอาตู้กระจกมาจริงๆ นะ) และอื่นๆ อีกมากมาย(ที่ไม่ได้เดินไปดู) เราเลยรู้สึกว่า เค้าของมีดีนะ พ่อหมวกแดงเหล่านี้...



เหนื่อยก็แวะดื่มน้ำนิดนึง..



นี่ไง มีตู้กระจกด้วย...

เราไม่เสียเวลามาก ตอนแรกจะเข้ามาถ่ายรูปในนี้ (ไม่ได้เข้าพระราชวัง) ได้แต่เดินผ่านเลยไป...ไปร้านน้ำชา 300 ปีแทน 5555











Square ด้านนอก แถวนี้มีร้าน Starbucks ด้วยนะคะ เผื่อใครสนใจอยู่ตรงข้ามกับน้ำพุรูปบน





นี่คือร้านน้ำชา 300 ปีที่ว่าค่ะ บางคนก็ว่าอร่อย บางคนก็ว่าหวานไป เห็นว่าของดังของร้านนี้คือ Apple pie ที่เป็นแป้งพายบางกรอบห่อไส้แอปเปิ้ลไว้ข้างใน (ไม่ได้ชิมเอง พี่ที่ซื้อกลับบอกมางี้)

เห็นว่าเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเป็นร้าน Longchamp ค่ะ คนไทยเยอะมากแต่ที่นี่ถูกจริงๆ นะ สามารถทำ tax refund กับ global blue ได้เลย 

สำหรับการทำ tax refund ใน downtown จะเสียค่าธรรมเนียม 3 ยูโรนะคะ (ไม่แน่ใจว่าคิดเป็นบิลละ หรือคนละนะ) ได้เงินสดคืนมาเลยแต่เราก็ยังต้องเอาเอกสารนี้ไปขอ stamp จากตม.ที่สนามบินปลายทางก่อนออกจากเขต EU อยู่ดี อย่าลืมตรงนี้นะคะ มิฉะนั้นเค้าจะหักเงินจากบัตรเครดิตของเราคืน (ใช้บัตรเครดิตเป็นตัว guarantee เผื่อเราลืมขอ stamp ส่งเอกสารคืนทางไปรฯ ค่ะ)



ดูสิ ย่านช้อปปิ้งชัดๆ... ไปเดินก็ระวังกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเป้ให้ดีนะคะ เวียนนาไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น

Downtown office ของ Global blue อยู่ในห้างชื่อ Steffl ชั้น 5 ค่ะ รับเงินสดคืนทันที แต่อย่าลืมเอาเอกสารไปแสตมป์ก่อนออกจาก EU zone นะคะ




ก่อนกลับ หน้าโบสถ์ St.Stephen's Cathedral คนเยอะมากกกกกกกก 

ย้ำอีกครั้ง...

ไปในที่ชุมชนหนาแน่นตามสถานที่ท่องเที่ยวหรือในรถไฟใต้ดิน รถบัส อะไรก็ตามแต่ ขอให้ระวังกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเป้ กระเป๋าสะพายทั้งหลายให้ดี มุกเด็กเหล่านี้คือจะเบียดคุณ เบียดๆๆๆ แม้คนจะไม่แน่นก็ตาม เบียดมากๆ จนคุณรำคาญ รู้ตัวอีกทีของก็หายไปหมดแล้ว

วิธีแก้ไข
1. อย่าเก็บเงินไว้ในกระเป๋าตังค์ใบเดียว ให้แยกเก็บซ่อนตามตัว เช่น กระเป๋าลับ(คาดเอว คล้องคอ)แล้วแอบไว้ใต้เสื้อ เข็มขัดซ่อนเงิน ถุงเท้า รองเท้า กางเกงยีนส์ฟิตๆ ก็พอได้ค่ะ

2. กระเป๋าเป้ สะพายไว้ข้างหน้า อย่าเอาของมีค่าใส่ไว้เยอะ อย่ารุงรังจนหาของไม่เจอหรือดูไม่ทั่วถึง ถ้าไม่มีอะไรก็หากุญแจเล็กๆ คล้องไว้ให้ดี ถึงไม่มีของมีค่าแต่ก็โดนล้วงได้นะ

3. กอดกระเป๋าสะพายของตัวเองให้ดีค่ะ อย่าไว้ข้างหลัง หายแน่นอน กระเป๋ากางเกงก็โดนนะคะ

4. พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน บัตรเครดิต เงินสด อย่าเก็บในกระเป๋าเดินทาง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ติดตัวไว้ให้ดี หายแล้วเรื่องใหญ่ค่ะ


เรามีเวลาในเวียนนาน้อยมากแค่ 1 วันเต็มเอง ตอนเย็นกลับโรงแรมมาทำอาหารกินเอง ไวน์จากร้านแถวโรงแรมขวดละร้อยกว่าบาทเอง (!?) อาหารส่วนหนึ่งมาจากการซื้อและอีกส่วนเป็นของที่ทุกคนนำติดตัวมาจากเมืองไทยค่ะ เลี้ยงกันใหญ่โตมากกกกกกก




ระหว่างที่อยู่ในครัว เราเจอชาวต่างชาติที่มาพักโรงแรมด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือหนุ่มแว่นหน้าตาดีจากเนเธอร์แลนด์ น่ารักมากกกกก แต่มีแฟนแล้ว มากัน ชาย2 หญิง2 เป็นคู่ๆ //เบะปาก

ทีนี้ด้วยความที่เราเป็นหน่วยเก็บล้าง (ไม่ได้ทำกับข้าวไง) แล้วจานชามกองใหญ่มาก กินกันสิบกว่าคน เราเลยให้แก๊งหนุ่มสาวจากเนเธอร์แลนด์มาล้างก่อนแล้วเราค่อยจัดของเราต่อ พวกนางดีใจมากรีบล้าง รีบออกไปเดินเล่นต่อ

เวลาผ่านไปสักครึ่งชม. แก๊งนี้เดินกลับเข้ามาในครัว (เรายังล้างไม่เสร็จเพราะหลบให้กลุ่มอื่นล้างเป็นพักๆ) เอาสิ่งหนึ่งมาให้เราดูแล้วถามว่ารู้จักมั้ยว่ามันคืออะไร... ค่ะ ฝรั่งไม่เคยเห็น "แก้วมังกร"

น้องคนนึงในกรุ๊ปบอกว่ารู้จักสิ มันคือ dragon fruit (ฝรั่งเฮดังมาก ดีใจ) ซื้อมาลูกเท่าไหร่

แก๊งนั้นบอก ลูกละ 7 ยูโร (แม่งบ้าไปแล้วววววววววววววววว คนไทยตาโตมาก) 

คือที่เค้าซื้อมาเนี่ยเพราะเค้าอยากรู้ว่ามันคืออะไรและอยากลองกินดู น้องเลยอาสาปอกให้พวกนางชิมกัน แล้วบอกว่า พวกยูไปเมืองไทยนะ ราคานี้ซื้อได้เป็นสิบกิโลเลย ผลไม้สดๆ ทั้งนั้น ต้องไปให้ได้นะ

ค่ะ พอชิมเสร็จเราก็ล้างเขียง ล้างมีดให้ด้วย (นิดหน่อยน่ะ จริงมะ) พวกนางซาบซึ้งและเดินจากไป ส่วนเราก็มายืนเม้ามอยกันเรื่องนี้ต่อ ผลไม้ไทยพอมาอยู่เมืองนอกมันแพ๊งแพงแถมไม่สดเลย เราอยู่กันก็ไม่กล้าซื้อนะ



ขอเล่าแป๊บ...

วันนี้เวียนนาอุดมไปด้วยผู้ชายหน้าตาดีเยอะมากกกกก ประทับใจ อาหารตา งานดี เราที่แห้งแล้งมานานจากไทยแลนด์มันแฮปปี้เหลือแสนจีๆ

1. หนุ่มน้อยตัวเท่าเอวแอบมองตอนอยู่ในรถไฟใต้ดิน (เหมือนไม่เคยเห็นเอเชีย) พอยิ้มให้ก็แอบหลบ
2. หนุ่มน้อยอีกคนแอบมอง พอยิ้มให้ก็แอบยิ้มมุมปาก มองหน้าเจ้าเล่ห์ อนาคตเจ้าชู้แน่นอน 555
3. ตี๋จีนแว่นที่โบสถ์ St.Stephens ตอนแรกไปยืนจะถ่ายรูปที่ลูกกรง เจ้าตัวเลยหลบให้ พอถ่ายเสร็จตี๋เลยเดินมาคุยด้วยถามว่า Thai girl? คุยไปคุยมาได้ความว่า นางเพิ่งมาทำงานที่เวียนนาได้สองสัปดาห์ละ นางดูเหงาๆ นะ เห็นเราเป็นเอเชียเลยเดินมาคุยด้วยมั้ง (แต่เราหน้าจีนไง นางคงดีใจเจอคนชาติเดียวกัน)
4. ทหารหมวกแดงใส่แว่นน่ารักมากกกกกก ขอถ่ายรูปด้วยยยยยยยยยย
5. หนุ่มแว่นมัดจุกจากเนเธอร์แลนด์ น่ารักโฮกมาก พกแฟนมาเที่ยวทำไมเคอะ
ไม่รวมตี๋ตัวเตี้ยตอนเจอที่ tram เมื่อคืนก่อนนะ 555 อันนั้นเมารั่วมาก 



พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าไปขึ้นรถเหมาเพื่อไป Cesky Krumlov กันแล้วจ้า แล้วมาติดตามกันต่อนะคะ :)



Create Date : 09 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2558 20:50:30 น.
Counter : 3238 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัลปาก้าจัง
Location :
ราชบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ Piyoko-chan !!


เจ้าของบล็อกชื่อ เป้ ค่ะ

แต่งหน้าก็พอไหว แต่งตัวไม่ได้เรื่อง(ในบางที)

ตอนนี้มีหมวดท่องเที่ยวแล้ว ความฝันอีกอย่างคือได้เที่ยวทั่วโลกค่ะ จะพยายามรีวิวให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงทริคและเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศให้ได้ชมกันค่ะ


เอาเป็นว่า นั่งอ่านขำๆ ไปแล้วกันนะคะ ^^

ถูกใจบล็อก donate สมทบทุนค่าเดินทางในทริปต่อๆ ไปได้ที่นี่เลย..
https://www.paypal.me/yanisapae

ขอบคุณล่วงหน้าค่า