:::ผืนทราย..ถึงปลายฟ้า:::
บนเก้าอี้หวายมุมห้องตัวเดิม ..หลายวันที่ผ่านฉันหยุดชีวิตไว้ในกรอบแคบแคบ เงียบสนิท ไม่มีเสียงแม้เพลงโปรดจากไดอารี่ตัวเองฉันหยุดหูของฉันเอง ไม่สนใจแม้กับเสียงลมหายใจช่วงนี้รู้สึกอะไรรอบตัวซึมเซา ไม่อยากขยับตัว อยากเป็นดักแด้ในรังอ่อน เบื่อจัง กับอะไรบางอย่างที่วกวน ฉันไม่ชอบยืนอยู่ที่เดิม ในวงกลมสูญญากาศท่ามกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบเหล้าเก่าในขวดใหม่พบหนังสือถูกใจ "ล้มได้แต่ต้องลุก" น่าแปลกที่ช่างเหมือนใจ เหมือนได้พบมิตรคนที่ใกล้ชิดที่สุดในคืนวันที่ปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน ปรับการดำเนินชีวิตของตัวเองฉันเหมือนได้นั่งจับเข่าคุยกับเพื่อนรักคนที่ยิ่งกว่าสนิท เพื่อนคนที่เฝ้ามอง ติดตามความเคลื่อนไหวฉันตลอดเวลาด้วยสายตาห่วงใย ตั้งใจปลุกฉันให้ตื่นมารับรู้โลกใบเดิม ล้มได้แต่ต้องลุก..แม้แต่นามแฝงยังเหมือนเดินออกไปจากหลืบใจ"กูก้อยใต้ต้นลั่นทมขาว" ลีลาวดีขาว..ไม่ใช่หรือไม้ประจำใจ..สำนักพิมพ์ดอกหญ้าจัดเข้าชุดสาระสำหรับชีวิตฉันอ่านหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายอย่างประณีต ถี่ถ้วน.. เฝ้าถามตัวเองฉันเป็นไพ่ใบสุดท้ายหรือยัง ฉันต่อสู้เพื่อตัวเองหรือยัง.. จริงด้วย ชีวิตใช่จะมีแต่ตอนจบ..อย่ากลัวที่จะผิดพลาดอย่ากลัวอุปสรรค โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวมีแต่"สู้" หรือ "ถอย" เท่านั้น จริงจริงนะเมื่อใดก็ตามที่เราไม่ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ต่อสู้เมื่อนั้นภูมิคุ้มกันก็จะลดน้อยลง ความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองก็จะถอยหลังจนในที่สุดก็พบตัวเองยืนอย่างโดดเดี่ยว ท้อแท้และอยู่หลังแถวแน่นอน ฉันไม่อาจยืนอยู่หลังแถวเพราะฉะนั้นเพื่อนเอ๋ย อย่ากลัวที่จะล้ม และมั่นใจว่า แต่ละครั้งที่เราลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เราจะแข็งแกร่งกว่าเดิม"เราไม่มีโอกาสรู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เหมือนการเปิดไพ่ จะรู้ว่าเป็นใบไหนก้อต่อเมื่อเป็นไพ่ใบสุดท้าย" ไพ่ใบสุดท้ายจำเป็นไหมว่าจะต้องเป็นไพ่ตาย.... อันนี้ไม่รู้ซี..เคยเล่นแต่ไพ่โกย..ไพ่แก่กินน้ำ.. รู้แต่ว่าฉัน..ไม่เคยแพ้..แพ้เมื่อไหร่วงแตกทุกที.. ไม่รู้ว่าเอานิสสัยนี้มาจากไหน รู้แต่ว่า..เลือดนักสู้ของฉันยังมีปริมาณเท่าเดิมวันที่เริ่มจะชาชินกับคนรอบข้าง "ทำไม"ฉันกลับคิดถึงเพลงคาราบาวหวน คิด คำนึงถึงตอนที่ฉัน ยังเป็น เด็กๆตุ๊ก-ตา ที่ตัว เล็กๆก็ดู จะมีความหมายเติบโตในจิน-ตนาการกว้าง ไกลดังท้องทะเลทรายเร่าร้อน ดังฟอน ฟืนรุมสุมไฟแต่ ต้องไป ให้ตรง เส้นทางเปรียบ ได้ดัง เส้นทาง รถไฟเปรียบ ได้ดัง ขบวน รถไฟหวน คิดคำนึง ถึงตอนที่ฉัน เข้ามาบางกอกเรื่อง ราว ข่าวคราวบ้านนอกนั้นดู จะมี ความหมายเปรียบ เมืองเป็นรถเป็นเรืออย่าง เราเป็นเกวียนเทียมควายเส้นทาง มากมาย ไม่มีสิทธิ์เดินเก็บ ส่วนเกิน เอาไว้ในใจออก ย่ำไป ค้นหาความจริงออก ย่ำไป ค้นหาความจริงหวน คิดคำนึงถึง ตอนที่ฉัน ไม่ใช่ เด็กๆตุ๊ก-ตา ที่ตัวเล็กๆก็เลย ไม่มี ความหมายผ่าน ทางทั้งรถทั้งเรือเพื่อน ฝูงบางคน ล้มตายดับสูญ ไปตามกา-ลเวลาถ้า ตุ๊กตา ในมือ ของเด็กเปรียบได้ดัง ความจริงมากมายเช่นสนตะพาย ใช้เป็นงัวงานเช่นสนตะพาย ใช้เป็นงัวงานสนตะพาย ใช้เป็นงัวงาน...ท่ามเวิ้งว้างของอ้อมทะเลที่หันหลังกลับมาฉันพบความจริงมากมายหลายเท็จ-จริงที่เห็นเป็นสนตะพายและงัวงาน!หลายเท็จ-จริงเป็นแอก และหลายเท็จจริงเป็นโซ่ตรวนขื่อคาฉันเริ่มมองหาใครสักคนท่ามเวิ้งว้างกลางทะเลฉันหาใครอีกคนที่จะปลดโซ่ตรวน ขื่อคา ถอดสนตะพายให้งัวงาน ใครสักที่จะปลดโซ่ตรวน ขื่อคา ถอดสนตะพายให้งัวงาน เป็นเธอไหมคนบนบก ? หรือเป็นเธอคนบนเรือ ?หรือเป็นเธอ..ปลาทะเลที่ไม่ลอยตามน้ำ!:::ดั่งน้ำเซาะทราย::: :::ผลิ-หล่น..ร้อน-ฝน-หนาว::: :::รอยอาลัย..สั่งโลกให้รั้งรอ::: :::เทียนหนึ่ง::: :::ร้อยดวงเป็นรวงดาว::: :::เปลี่ยนทางไม่เปลี่ยนทิศ::: :::ลอยเรือ...ให้เหลือรอย::: :::อ้อมละมุน..นั้นอุ่นเอื้อ::: :::อุ่นใจไว้บ่มรัก::: :::ที่สุดของหัวใจ..คือเธอ::: :::เพลงบินใบไม้บาง::: :::คือนิลนัยนา..หาดาย::: :::ตามองดาว เท้าติดดิน ::: :::ดอกไม้ในใจเธอ::: :::ทางสายใหม่::: :::ภวังค์ไหว::: :::ใต้ฟ้าตะวันเดียว::: :::ลมหายใจใต้ตะวัน::: :::ดาวดวงสุดท้ายที่ปลายฟ้า::: :::หมื่นไมล์..แค่ใจเอื้อม::: :::ลมหายใจและสายตา:::