การเห็นจิตว่างที่ไม่มีอะไร คือ การปฏิบัติที่ต่อจากขั้นต้น
1....ตามที่ผมได้เขียนเรื่องสำหรับนักปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ที่ต้องการจะเริ่มต้นไว้ที่เรื่อง
วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ จะเริ่มต้นอย่างไรดี - มุมมือใหม่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2010&date=20&group=5&gblog=69
เมื่อเดินตามวิถีแห่ง.มรรค. .ผล.ก็จะเกิดตามมาเอง - มุมมือใหม่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2010&date=11&group=5&gblog=61
เมื่อท่านได้ลงมือฝึกฝนด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่มีความอยากในจิตใจ มาสักระยะหนึ่ง อาจเป็นตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป กำลังจิตของท่านจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อกำลังจิตเพิ่มขึ้น จิตรู้ ก็จะมีพลังมากขึ้นในการรับรู้สภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้นด้วยกำลังแห่งสัมมาสตินั้น
2....อะไร คือการบ่งบอกว่า กำลังสัมมาสติดีขึ้น >> คำตอบก็คือ ท่านเห็นความคิดได้ เห็นอาการของจิตได้ครับ ยิ่งท่านฝึกมากขึ้น กำลังยิ่งตั้งมั่น กำลังสัมมาสติยิ่งเห็นความคิด เห็นอาการของจิตได้มากขึ้น โดยที่ความคิด หรือ อาการของจิตจะไม่ลาก จิตรู้ กลับเข้าไปในการปรุงแต่งที่กำลังเกิดขึ้น
แนะนำอ่านเพื่อความเข้าในในข้อ 2 นี่ที่เรื่อง ชักกะเย่อ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2009&date=28&group=1&gblog=68
3. เมื่อจิตรู้ของท่านตั่งมั่นและมีประสิทธิภาพดีในดังข้อ 2 แล้ว ต่อไป ผมขอให้ท่านสังเกตดูเป็นระยะ ๆ แต่อย่าเอาแบบเอาเป็นเอาตายเลยครับ ขอให้สังเกตแบบสบาย ๆ ก็พอ ไม่ได้ก็ให้หยุดไว้ก่อน วันหน้าค่อยมาสังเกตใหม่
สิ่งที่ผมให้สังเกตก็คือ ขอให้ท่านสังเกตว่า เมื่อความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่งหยุดไปนั้น ท่านเห็นความว่าง ในที่ ๆ ความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่งหยุดไปไหมครับ
หรือ ผมจะกล่าวอีกอย่างก็คือ เมื่อความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่ง ยังไม่เกิด มันจะมีความว่างอยู่ก่อน แล้ว ความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่ง นั้นแหละ ที่เกิดในความว่าง
อันนี้ ถ้าจะเปรียบทางโลก ก็ให้ท่านนึกถึงการจุดดอกไม้ไฟครับ ก่อนจุดดอกไม้ไฟ ท่านจะเห็นท้องฟ้าที่มืดมิด ไม่มีอะไร เป็นความว่างอย่างหนึ่ง พอดอกไม้ไฟปรากฏขึ้น ดอกไม้ไฟก็จะปรากฏที่ความว่างอันมืดมิดนี้
การเห็นความว่างนี้ ห้ามจ้องเอานะครับ ให้สังเกตเบา ๆ เท่านั้น เพราะถ้าไปจ้องหา จะเป็นความว่างอีกแบบหนึ่ง ที่เป็นความว่างแบบพวกทำสมาธิแบบฤาษีเขาทำกัน ความว่าง 2 แบบนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อท่านเห็นความว่างแบบที่ผมบอกที่ว่าไม่จ้องเอา ท่านจะเห็นความว่างทั้ง 2 แบบคือ แบบที่ไม่จ้องเอง และ ความว่างแบบสมาธิแบบฤาษี ถ้าท่านจ้องเอา ท่านเห็นสมาธิแบบฤาษี ท่านจะไม่เห็นความว่างที่ผมบอกไว้
ผมยอมรับครับว่า การเห็นความว่างที่ว่านี้ ไม่ใช่ของง่ายครับ และการเห็นได้ต้องเป็นผู้มีกำลังสัมมาสติตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิมาก ๆ เท่านั้น และใจก็ต้องไม่มีความอยากด้วยครับ จึงจะเห็นมันได้
ใหม่ ๆ เมื่อท่านเห็นความว่างที่ผมว่าได้นี้ ท่านอาจจะเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง นี่เป็นเพราะกำลังจิตของท่านยังไม่แกร่งพอ แต่ถ้าแกร่งพอ ท่านจะเห็นได้นาน เห็นได้เกือบตลอดเวลา และถ้าแกร่งมากจริงๆ ท่านจะเห็นได้ตลอดเวลาเมื่อท่านตื่นอยู่
4. เมื่อท่านฝึกต่อไป ท่านจะพบกับสภาวะต่อไปอีก นั้นคือ ความว่าง มันก็ไม่มี มันจะมีแต่ความรู้สึกล้วน ๆ ที่เกิดอยู่ที่เป็นไตรลักษณ์ตลอดเวลา ที่มันเกิดอยู่ลอย ๆ ที่ไม่มีอะไรรองรับ และ ความรู้สึกความเป็นตัวตนของท่านก็ไม่มีด้วย
5. ผมเองไม่อยากนำสิ่งทีเป็นคำในวิชาการมาเขียนนัก เพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในวิชาการ ไม่สามารถระบุได้ว่า สิ่งที่เราเห็นนั้นมันตรงกับสิ่งที่กล่าวไว้ในตำราอย่างนั้น แต่เมื่อคราวจำเป็น ผมก็ขอนำมาเขียนไว้ดังนี้ แต่ผมขอบอกท่านก่อนว่า สิ่งที่ผมเขียนนี้ มาจากความเข้าใจส่วนตัว ที่เทียบเคียงกับตำรา อาจผิดก็ได้ครับ ดังนั้น ผู้ที่ติดตำราแน่นมาก ๆ ขอให้ผ่านข้อ 5 นี้ไปครับ กรุณาอย่าได้อ่าน เดียวท่านจะหงุดหงิดใจ และมีอคติกับผมอีก
สิ่งทีผมกล่าวถึงในข้อ 4 นั้น ผมเข้าใจว่า มันคือ สภาพของจิตที่แท้จริง ที่มันเป็นความว่าง แบบไม่มีอะไร เป็นสุญญตา ครับ และการเห็นจิตที่มันเป็นของว่างที่ไม่มีอะไรนี้ จะเห็นได้ด้วยสัมมาญาณ ไม่ใช่สัมมาสติ ซึ่งสัมมาญาณนี้ต้องผ่านสัมมาสติที่มีกำลังมากมาก่อน และ เห็นไตรลักษณ์ของอาการของจิตมาก่อนอย่างโชกโชน จึงจะเกิดสัมมาญาณนี้ได้ (เรื่องสัมมาญาณนี้ ผมคาดเดาเอานะครับ )
เมื่อท่านเห็นสภาวะแห่งจิตแท้ ที่เป็นความว่าง ซึ่งก็คือ ความเป็นสุญญตา ที่มันไม่มีอะไร ท่านก็จะเข้าใจความเป็นอนัตตาแห่งจิตใจที่แท้จริงได้
6. เมื่อท่านเห็นจิตว่างทีไม่มีอะไรในข้อ 4 ได้ และท่านยิ่งฝึกต่อไปอีก ท่านจะเห็นจิตว่างปรากฏอยู่ได้นานขึ้น และจะเห็นอาการของจิต หรือ ความคิด หรือ อาการของเวทนาทางกาย ล้วนเกิดในความว่างทีไม่มีอะไรนี้ทั้งสิ้น
ในการฝึกของท่านเมื่อท่านเห็นจิตว่างได้แล้ว ขอให้ท่านหมั่นฝึกฝน และเห็นว่า "สภาวะธรรมล้วนเกิดลอย ๆ อยู่ในความว่างทีไม่มีอะไรนี่เอง สภาวะธรรมเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็จะดับลงไปในความว่างที่ไม่มีอะไรเช่นกัน"
เมื่อท่านเห็นความว่างแบบนี้ได้เสมอ ๆ ท่านก็จะยิ่งเข้าใจว่า ทุกข์มี แต่ไม่มีผู้รับทุกข์ นั้นคืออย่างไร
7.เรื่องที่ผมเขียนนี้ ผมตั้งใจว่า สำหรับผู้มีความตั้งใจจริงและมีปัญญาที่ต้องการจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏอย่างแท้จริง จะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ว่า เมื่อเขาผ่านขั้นต้นแล้ว ต่อไปการปฏิบัติจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะคำกล่าวที่ออกจากปากของท่านผู้รู้ทุกวันนี้ ที่ว่า "ให้มีสติ รู้กายรู้ใจ ด้วยใจที่เป็นกลางนั้น" มันหยาบมากและไม่ชี้อะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับนักปฏิบัติที่ต้องการจะพ้นทุกข์ได้เลย
Create Date : 23 มกราคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:20:30 น. |
Counter : 2650 Pageviews. |
|
|
|
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog
ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com
หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน