รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
23 มกราคม 2553
 
All Blogs
 

การเห็นจิตว่างที่ไม่มีอะไร คือ การปฏิบัติที่ต่อจากขั้นต้น

1....ตามที่ผมได้เขียนเรื่องสำหรับนักปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ที่ต้องการจะเริ่มต้นไว้ที่เรื่อง

วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ จะเริ่มต้นอย่างไรดี - มุมมือใหม่
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2010&date=20&group=5&gblog=69

เมื่อเดินตามวิถีแห่ง.มรรค. .ผล.ก็จะเกิดตามมาเอง - มุมมือใหม่
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2010&date=11&group=5&gblog=61

เมื่อท่านได้ลงมือฝึกฝนด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่มีความอยากในจิตใจ
มาสักระยะหนึ่ง อาจเป็นตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป กำลังจิตของท่านจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อกำลังจิตเพิ่มขึ้น จิตรู้ ก็จะมีพลังมากขึ้นในการรับรู้สภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้นด้วยกำลังแห่งสัมมาสตินั้น

2....อะไร คือการบ่งบอกว่า กำลังสัมมาสติดีขึ้น
>> คำตอบก็คือ ท่านเห็นความคิดได้ เห็นอาการของจิตได้ครับ
ยิ่งท่านฝึกมากขึ้น กำลังยิ่งตั้งมั่น กำลังสัมมาสติยิ่งเห็นความคิด เห็นอาการของจิตได้มากขึ้น โดยที่ความคิด หรือ อาการของจิตจะไม่ลาก จิตรู้ กลับเข้าไปในการปรุงแต่งที่กำลังเกิดขึ้น

แนะนำอ่านเพื่อความเข้าในในข้อ 2 นี่ที่เรื่อง
ชักกะเย่อ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2009&date=28&group=1&gblog=68

3. เมื่อจิตรู้ของท่านตั่งมั่นและมีประสิทธิภาพดีในดังข้อ 2 แล้ว
ต่อไป ผมขอให้ท่านสังเกตดูเป็นระยะ ๆ แต่อย่าเอาแบบเอาเป็นเอาตายเลยครับ ขอให้สังเกตแบบสบาย ๆ ก็พอ ไม่ได้ก็ให้หยุดไว้ก่อน วันหน้าค่อยมาสังเกตใหม่

สิ่งที่ผมให้สังเกตก็คือ ขอให้ท่านสังเกตว่า เมื่อความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่งหยุดไปนั้น ท่านเห็นความว่าง ในที่ ๆ ความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่งหยุดไปไหมครับ

หรือ ผมจะกล่าวอีกอย่างก็คือ เมื่อความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่ง ยังไม่เกิด มันจะมีความว่างอยู่ก่อน แล้ว ความคิด หรือ อาการของจิตปรุงแต่ง นั้นแหละ ที่เกิดในความว่าง

อันนี้ ถ้าจะเปรียบทางโลก ก็ให้ท่านนึกถึงการจุดดอกไม้ไฟครับ
ก่อนจุดดอกไม้ไฟ ท่านจะเห็นท้องฟ้าที่มืดมิด ไม่มีอะไร เป็นความว่างอย่างหนึ่ง พอดอกไม้ไฟปรากฏขึ้น ดอกไม้ไฟก็จะปรากฏที่ความว่างอันมืดมิดนี้

การเห็นความว่างนี้ ห้ามจ้องเอานะครับ ให้สังเกตเบา ๆ เท่านั้น
เพราะถ้าไปจ้องหา จะเป็นความว่างอีกแบบหนึ่ง ที่เป็นความว่างแบบพวกทำสมาธิแบบฤาษีเขาทำกัน ความว่าง 2 แบบนี้ไม่เหมือนกัน
เมื่อท่านเห็นความว่างแบบที่ผมบอกที่ว่าไม่จ้องเอา ท่านจะเห็นความว่างทั้ง 2 แบบคือ แบบที่ไม่จ้องเอง และ ความว่างแบบสมาธิแบบฤาษี ถ้าท่านจ้องเอา ท่านเห็นสมาธิแบบฤาษี ท่านจะไม่เห็นความว่างที่ผมบอกไว้

ผมยอมรับครับว่า การเห็นความว่างที่ว่านี้ ไม่ใช่ของง่ายครับ
และการเห็นได้ต้องเป็นผู้มีกำลังสัมมาสติตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิมาก ๆ เท่านั้น และใจก็ต้องไม่มีความอยากด้วยครับ จึงจะเห็นมันได้

ใหม่ ๆ เมื่อท่านเห็นความว่างที่ผมว่าได้นี้ ท่านอาจจะเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง นี่เป็นเพราะกำลังจิตของท่านยังไม่แกร่งพอ แต่ถ้าแกร่งพอ ท่านจะเห็นได้นาน เห็นได้เกือบตลอดเวลา และถ้าแกร่งมากจริงๆ ท่านจะเห็นได้ตลอดเวลาเมื่อท่านตื่นอยู่

4. เมื่อท่านฝึกต่อไป ท่านจะพบกับสภาวะต่อไปอีก นั้นคือ ความว่าง มันก็ไม่มี มันจะมีแต่ความรู้สึกล้วน ๆ ที่เกิดอยู่ที่เป็นไตรลักษณ์ตลอดเวลา ที่มันเกิดอยู่ลอย ๆ ที่ไม่มีอะไรรองรับ
และ ความรู้สึกความเป็นตัวตนของท่านก็ไม่มีด้วย

5. ผมเองไม่อยากนำสิ่งทีเป็นคำในวิชาการมาเขียนนัก เพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในวิชาการ ไม่สามารถระบุได้ว่า สิ่งที่เราเห็นนั้นมันตรงกับสิ่งที่กล่าวไว้ในตำราอย่างนั้น แต่เมื่อคราวจำเป็น ผมก็ขอนำมาเขียนไว้ดังนี้
แต่ผมขอบอกท่านก่อนว่า สิ่งที่ผมเขียนนี้ มาจากความเข้าใจส่วนตัว
ที่เทียบเคียงกับตำรา อาจผิดก็ได้ครับ
ดังนั้น ผู้ที่ติดตำราแน่นมาก ๆ ขอให้ผ่านข้อ 5 นี้ไปครับ กรุณาอย่าได้อ่าน เดียวท่านจะหงุดหงิดใจ และมีอคติกับผมอีก

สิ่งทีผมกล่าวถึงในข้อ 4 นั้น ผมเข้าใจว่า มันคือ
สภาพของจิตที่แท้จริง ที่มันเป็นความว่าง แบบไม่มีอะไร เป็นสุญญตา ครับ
และการเห็นจิตที่มันเป็นของว่างที่ไม่มีอะไรนี้ จะเห็นได้ด้วยสัมมาญาณ
ไม่ใช่สัมมาสติ ซึ่งสัมมาญาณนี้ต้องผ่านสัมมาสติที่มีกำลังมากมาก่อน และ เห็นไตรลักษณ์ของอาการของจิตมาก่อนอย่างโชกโชน
จึงจะเกิดสัมมาญาณนี้ได้ (เรื่องสัมมาญาณนี้ ผมคาดเดาเอานะครับ )

เมื่อท่านเห็นสภาวะแห่งจิตแท้ ที่เป็นความว่าง ซึ่งก็คือ ความเป็นสุญญตา ที่มันไม่มีอะไร ท่านก็จะเข้าใจความเป็นอนัตตาแห่งจิตใจที่แท้จริงได้


6. เมื่อท่านเห็นจิตว่างทีไม่มีอะไรในข้อ 4 ได้ และท่านยิ่งฝึกต่อไปอีก
ท่านจะเห็นจิตว่างปรากฏอยู่ได้นานขึ้น และจะเห็นอาการของจิต หรือ ความคิด หรือ อาการของเวทนาทางกาย ล้วนเกิดในความว่างทีไม่มีอะไรนี้ทั้งสิ้น

ในการฝึกของท่านเมื่อท่านเห็นจิตว่างได้แล้ว ขอให้ท่านหมั่นฝึกฝน
และเห็นว่า
"สภาวะธรรมล้วนเกิดลอย ๆ อยู่ในความว่างทีไม่มีอะไรนี่เอง
สภาวะธรรมเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็จะดับลงไปในความว่างที่ไม่มีอะไรเช่นกัน"

เมื่อท่านเห็นความว่างแบบนี้ได้เสมอ ๆ ท่านก็จะยิ่งเข้าใจว่า
ทุกข์มี แต่ไม่มีผู้รับทุกข์ นั้นคืออย่างไร

7.เรื่องที่ผมเขียนนี้ ผมตั้งใจว่า สำหรับผู้มีความตั้งใจจริงและมีปัญญาที่ต้องการจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏอย่างแท้จริง จะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ว่า เมื่อเขาผ่านขั้นต้นแล้ว ต่อไปการปฏิบัติจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะคำกล่าวที่ออกจากปากของท่านผู้รู้ทุกวันนี้ ที่ว่า "ให้มีสติ รู้กายรู้ใจ ด้วยใจที่เป็นกลางนั้น" มันหยาบมากและไม่ชี้อะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับนักปฏิบัติที่ต้องการจะพ้นทุกข์ได้เลย







 

Create Date : 23 มกราคม 2553
1 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:20:30 น.
Counter : 2650 Pageviews.

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 18:23:19 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.