เมื่อเดินตามวิถีแห่ง.มรรค. .ผล.ก็จะเกิดตามมาเอง - มุมมือใหม่
ผมเคยเขียนเรื่อง อริยสัจจ์ 4 ไว้หลาย ๆ ที่ใน blog ของผม ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่า อยู่ที่ไหนกันบ้าง แต่ถ้าท่่านที่เพิ่งเข้ามาอ่าน และไม่เคยอ่านเรื่องเดิมที่ผมเขียนไว้แล้ว จะอ่านใหม่ในตอนนี้ ผมจะเขียนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านมองภาพรวมของ อริยสัจจ์ 4 ได้
คำถามในใจท่าน ....ทำไมต้องมองภาพรวมของอริยสัจจ์ 4 ออก คำตอบจากใจผม.... การมองภาพรวมของอริยสััจจ์ 4 นั้นจะทำให้ท่านเข้าใจวิถีทางแห่งการพ้นทุกข์ตามหลักการของอริยสัจจ์ 4 อย่างถูกต้อง เมื่อท่านเข้าใจหลักการและภาพรวมแล้ว ท่านจะปฏิบัติต่อไปได้ถูกต้องแบบไม่หลงทาง เมื่อไม่หลงทาง ก็คือถูกทางตามอริยสัจจ์ 4 เมื่อถูกทางก็จะถึงปลายทาง คือ การสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้
คำถามในใจท่าน .... ที่สอน ๆ กันตอนนี้ไม่ถูกทางหรืออย่างไร คำตอบในใจผม .... ที่สอนกันตอนนี้มีทั้งถูกทางและไม่ถูกทาง แต่ที่ไม่ถูกทางจะมีจำนวนที่มากกว่า และค่อนข้างแพร่หลายในประเทศไทย การแพร่หลายนี้ จะทำให้คนที่ยังไม่เข้าใจในหลักการปฏิบัติหลงเข้าไปเป็นพวกด้วย และยิ่งขยายตัวมากขึ้น มีการตอบตำถามแนะนำสิ่งผิดทางมากมายทางอินเตอร์เนท ทั้ง ๆ คนเองก็ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ตนเชื่อนั้นคือ ทางสายผิด เมื่อมีการบอกต่อกันไปมาก ๆ สิ่งที่ผิด ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องไปในความเห็นของคนไทย
คำถามในใจท่าน .... เมื่อท่านเจ้าของ blog รู้ว่าผิดแล้วทำไมไม่เข้าไปเีขียนขัดแย้งเขาในเวปบอร์ดต่าง ๆ คำตอบในใจผม .... การเขียนขัดแย้งในอินเตอร์เนทไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น คนที่มาเขียนไว้จะไม่เชื่อไม่ยอมรับความเห็นที่ชัดแย้งกับความเชื่อของเขาอยู่แล้ว และจำนวนคนทีมาเขียนในแนวทางที่ผิดมีมาก เมื่อคนไม่รู้เข้ามาอ่าน เมื่อเห็นว่าคนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นสิ่งนี้ ก็จะเชื่อตามจำนวนคนที่บอก เรื่องนี้เปรียบได้กับในสมัยโบราณ ที่คนเืชื่อว่าโรคแบน พอกาลิเลโอ ค้นพบว่าโลกกลม และออกมาประกาศ ก็ไม่มีใครเชื่อเขาเลย นี่คือ เสียงจากหมู่มาก ที่น้อมนำคนที่ไม่รู้เรื่องเข้าเป็นพวกได้
คำถามในใจท่าน .... ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านเ้จ้าของ blog จะทำอย่างไร คำตอบในใจผม ... นี่คือสิ่งทีผมได้ทำแล้ว ผมเขียน blog บอกวิธีการปฏิบัติตามแนวทางแห่งอริยสัจจ์ 4 ตามหลักของพุทธศาสนา ที่ผมขอชักชวนให้ท่านอ่านและพิจารณาอีกครั้งด้วยปัญญาของท่านเอง
เชิญอ่านได้ครับ....
ในอริบสัจจ์ 4 นักเรียนชั้นมัธยมก็เีรียน คนทั่้ว ๆ ก็รู้ว่า ประกอบด้วยองค์ 4 คือ ทุกข์ / สมุทัย / นิโรธ / มรรค
คำถามที่ 1. ทำไมต้องเริ่มที่ ทุกข์ ในเมื่อในหลักวิทยาศาสตร์ ต้องแก้ที่เหตุแห่งทุกข์ คือ สมุทัย คำตอบ ..... ที่อริยสัจจ์ 4 ต้องเริ่มที่ทุกข์ เพราะว่า ปุถุชนโดยทั่้ว ๆ ไปจิตใจมืดบอดด้วยปัญญาเพราะถูกโมหะ(โมหะ เป็นชื่อของกิเลสตัวหนึ่ง) เข้าควบคุมจิตใจไว้ ทำให้ปุถุชนมองไม่เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ คือ กิลส ตัณหา อย่างแท้จริง แต่ปุึถุชน จะมองเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขาได้ นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งความคิดที่จะปฏิวัติตนเอง ที่จะหนีจากกองทุกข์นั้น
ทุกข์ ในอริยสัจจ์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการทั้งปวง ทั้งด้าน 1. เป็นแรงชักนำ (motivation) 2. เป็นสิ่งที่เมื่อรู้แล้ว จะเป็นการพัฒนากำลังจิตให้เข็มแข็ง เพื่อสามารถจะต้านทานแก่กิเลสได้ในระยะแรก ๆ และสามารถเห็น กิเลส ตัณหา ซึ่งก็คือ สมุทัย ได้ในะระยต่อไป เมื่อจิตใจมีพลังเข็มแข็งมากขึ้นในระยะต่อไปอีกด้วย
คำถามที 2. ทำไมต้องนำ สมุทัย เป็นข้อที่ 2 คำตอบ.... สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งก็คือ กิเลส ตัณหา นั้นเอง ดังที่กล่าวไว้แล้วในข้อ1 ว่า ในปุถุชนที่ไม่ได้ฝึกฝนตามหลักอริยสัจจ์ 4 จะมองไม่เห็นกิเลส ตัณหา เพราะถูกโมหะุเข้าครอบครองจิตใจจนมืดบอด เมื่อปุถุชนฝึกฝนให้เห็นทุกข์อริยสัจจ์อยู่เนือง ๆ จิตใจก็จะมีพลังและจะเห็นกิเลส ตัณหา อันเป็นสมุทัยได้ในระยะต่อมา
คำถามที่ 3 ทำไมต้องนำ นิโรธ เป็นข้อที่ 3 คำตอบ .. ผลแห่งการเห็นทุกข์อริยสัจจ์ในข้อ 1 ทำให้เห็น กิเลส ตัณหาในข้อ 2 เมื่อเห็นกิเลส ตัณหาได้ กิเลส ตัณหาย่อมดับไปเองตามหลักธรรมชาติแห่งไตรลักษณ์ เมื่อกิเลส ตัณหาดับไปแล้ว ทุกข์ใจก็จะไม่กิด ซึ่งก็คือ นิโรธ อันเป็นสภาพในขณะที่จิตใจไม่มีกิเลส ตัณหา
คำถามที่ 4 ทำไมต้องนำ มรรค เป็นข้อที่ 4 คำตอบ.. ข้อ 1 /2 / 3 เป็นเหมือนคำอธิบายหลักการการดับทุกข์ของอริยสัจจ์ 4 เมื่อได้เข้าใจหลักการแล้วและเกิดศรัทธาแล้ว ก็ให้ดำเนินการในข้อ 4 ก็คือวิธีการลงมือปฏิบัติ เมื่อได้ลงมือปฏิบัติตามหลักการในข้อ 1 / 2 / ก็จะเห็นผลในข้อ 3 ได้เอง
มรรค ในข้อ 4 ความเข้าใจในการปฏิบัติ ก็คือสัมมาทิฐิ การปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการปฏิบัติ ถ้าเข้าใจผิดเสียแล้ว การปฏิบัติย่อมไม่เกิดผลแห่งนิโรธได้เลย
เมื่อผู้ปฏิบัติดำเนินครบ 4 ข้อ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และเห็นผลแห่งอริยสัจจ์ คือ นิโรธ ได้แล้ว เขาย่อมเชื่อมั่นในคำสอนแห่งพุทธศาสนาอย่างไม่ลังเลในใจอีก เพราะเห็นได้เห็นจริง ได้พิสูจน์จริงดังที่สอนแล้วทุกประการ เมื่อเขาได้เห็นจริงแล้ว เขาย่อมมีกำลังใจ มีความศรัทธา มีความมุ่งมั่นในข้อที่ 4 คือมรรค ที่พากเพียรให้รู้ในทุกข์ (ดังข้อ 1 ) สกัดกั้นกิเลส ตัณหา ไม่ให้เขาสู่จิตใจ (ดังข้อ 2 ) จนได้ผลแห่งนิโรธ คือ ความไม่ทุกข์ใจอีก (ดังข้อที่ 3 )
นี่คือวิถีทางแห่งมรรค เมื่อได้เดินตามมรรค ผลย่อมได้เอง คล้ายกับ เราได้อ่านวิธีการปลูกต้นมะม่วงว่าทำอย่างไร และได้ลงมือปฏิบัติตามวิธีการที่เรียนรู้มา ต้นมะม่วงย่อมออกผลเป็นมะม่วงให้เราได้รับประทานอย่างแน่นอนที่สุด
-------------- ขอท่านผู้มีปัญญาพิจารณาดูคำสอนของพระพุทธองค์เถิดว่าเป็นอย่างไร การไปนั่งสมาธิตัวนิ่งแข็งแบบฤาษี ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์อย่างแน่นอน เพระาการนั่งสมาธิแบบฤาษีนั้น เ็ป็นการกดจิตในนิ่ง ไม่ให้รับรู้อะไรเลย เมื่อไม่รู้อะไรเลย ทุกข์ในข้อ 1 ก็ไม่อาจรู้ได้ การกดจิตให้นิ่ง ทำให้จิตถูกโมหะ อันเป็นตัณหา เข้าครอบงำ นี่ก็เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับคำสอนอริยสัจจ์ 4 ในข้อ 2 แล้ว ผลแห่งข้อ 3 คือนิโรธ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ในพุทธประวัติก็มีการกล่าวไว้ถึงเ้จ้าชายสิทธัตถะได้ออกจากสำนักฤาษีที่ได้ไปเรียนมา ว่าพระองค์ทรงทราบว่า แนวทางนี้ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์
ขอท่านที่เป็นพุทธบริษัทใช้ปัญญาพิจารณาดูเถิดว่า สิ่งที่ท่านกำลังฝึกฝนอยู่ หรือกำลังพบายามเพยแพร่อยู่นั้น ถูกต้องตามหลักอริยสัจจ์ 4 หรือไม่
************* เรื่องที่คล้ายกันแนะนำอ่านคือ วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ จะเริ่มต้นอย่างไรดี - มุมมือใหม่ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=20-01-2010&group=5&gblog=69
เรื่องต่อจากเรื่องนี้คือ การเห็นจิตว่างที่ไม่มีอะไร คือ การปฏิบัติที่ต่อจากขั้น //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2010&date=23&group=5&gblog=70
Create Date : 11 มกราคม 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:27:46 น. |
Counter : 3126 Pageviews. |
|
|
|
คำตอบ .. ทุกข์อริยสัจจ์ นั้น ถ้าจะกล่าวด้วยภาษาไทยง่าย ๆ แบบชาวบ้านให้เข้าใจกันก็คือ สภาพของร่างกายและจิตใจของคนเรานั้นเอง
ที่คนเราปรกติเป็นทุกข์ เพราะว่า คนเข้าใจว่า ทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ร่างกายหรือจิตใจนั้น มันเป็นร่างกายหรือจิตใจของเรา เมื่อร่างกายหรือจิตใจเป็นทุกข์ คนก็จะทุกข์ตามไปด้วยเพราะความเข้าใจนั้น
ในทุกข์อริยสัจจ์ข้อที่ 1 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ทุกข์อริยสัจจ์นั้น เพื่อให้พุทธบริษัทได้เห็นความเป็นจริงว่า อันว่า ร่างกายและจิตใจ นั้นที่แท้ม้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา อันเป็นการเปิดตาปัญญาทางธรรมให้รู้แจ้งในเรื่องนี้
การเฝ้ารู้ทุกข์อริยสัจจ์อยู่เนือง ๆ จะทำให้เข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง ว่า ร่างกายและจิตใจ นั้นมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย
ถ้าเปรียบในทางโลก ก็เหมือนกับการเฝ้าดูพฤติกรรมของสัตว์ในสารคดี BBC ที่มีการเฝ้าดูติตตามพฤติกรรมอยู่นาน จนเข้าใจฟฤติกรรมของสัตว์ที่เฝ้าดูนั้นได้ในที่สุด
คำถามที่ 6 ทำไมต้องละ ตัณหา อันเป็นสมุทัย
คำตอบ..ตัณหา เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจ จะเปรียยได้เหมือนตนตาดี ที่ถูกผ้ามาปิดตาไว้ ทำไห้มองอะไรไม่เห็นเลย การเฝ้าดูทุกข์อริยสัจจ์ดังคำถามที่ 5 นั้น ต้องเฝ้าดูในขณะที่ดวงตาแจ่มใส นั้นคือจิตใจไร้ตัณหา จึงจะเห็นสภาพที่แท้จริงของร่างกายและจิตใจที่ชัดเจนได้
อนี่ง ตัณหา ที่ปิดบังจิตใจ เมื่อเกิดขึ้นจิตใจแล้ว ก็จะทำให้ผู้คนที่ถูกตัณหาครอบงำอยู่ ยากยิ่งที่จะสลัดทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมาได้ ทำให้ทุกข์ใจที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ได้นาน
ถ้าได้สลัดตัณหาออกจากจิตใจได้ การตั้งอยู่ของทุกข์ใจ ก็จะอยู่ไม่ได้เองตามกฏแห่งไตรลักษณ์ที่ทุกข์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปเองตามธรรมชาติ เมื่อมันเกิดขึ้น มันก็จะดับไปเอง ความรวดเร็วแห่งการดับทุกข์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับคน ๆ นั้นเองว่า สามารถที่จะสลัดตัณหาออกไปได้เร็วเพียงใด ถ้าเขาสลัดได้เร็ว ทุกข์ก็จะเสือมสลายไปเร็ว ถ้าเขาสลัดได้ช้า ทุกข์ก็จะเลื่อมสลายไปช้า ถ้าเขาสลัดไปไม่ได้เลย ทุกข์ก็จะค้างคาอยู่ในใจเขาไปนานแสนนาน
ผมหวังว่า คำอธิบายนี้ คงทำให้ท่านเข้าใจอริยสัจจ์ 4 ได้ชัดเจนขึ้น และได้นำความเข้าใจนี้ ไปปฏิบัติได้ตรงทางเพื่อการพ้นทุกข์ทางใจได้อย่างถูกต้องต่อไป