ความรู้สึกว่ามีตัวตน ความรู้สึกว่าไม่มีตัวตน
เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ สำหรับท่านที่มีความเชื่อว่า การไปอ่าน การไปฟัง อะไรล่วงหน้าในสภาวะธรรมที่ตนเองยังไปไม่ถึง แล้วจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความก้าวหน้าการปฏิบัติของท่านละก็ ขอให้เลิกอ่านได้เลยครับ แล้วก็อย่าอ่านต่อละ ผมเชื่อว่าท่านห้ามกิเลสในใจของท่านไม่ได้หรอก ถึงแม้ผมจะไม่รู้ แต่ใจท่านเองนะรู้อยู่...
*****************************
เมื่อปุถุชนลงมือปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติถูกต้อง ( ชนิดไม่ถูกต้อง กดจิตนิ่งเป็นฤาษี ไม่ต้องพูดถึง พวกนี้หลงทางอย่างแน่นอนแล้ว ) เมื่อเขาทำสิ่งใด เช่น เขามองสิ่งใด หรือ ได้ยินสิ่งใด หรือ ได้ลิ้มรสสิ่งใด เขาจะรู้สึกได้ว่า สิ่งต่าง ๆ นั้น เขาเองเป็นผู้กระทำสิ่งนั้น กล่าวคือ เขาเองเป็นคนมอง เขาเองเป็นคนได้ยิน เขาเองเป็นคนที่ลิ้มรสนั้นเอง นี่คือความรู้สึกที่มีตัวตน เป็นความรู้สึกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มีทุกคน
เมื่อปุถุชนลงมือฝึกฝนปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตขึ้น กล่าวคือ จิตรู้ เกิดการแยกตัวออกจากสิ่งที่ถูกรู้ และเมื่อเขาฝึกต่อไปอีกจนชำนาญพอสมควร จิตรู้ มีประสิทธิภาพดีพอควรแล้ว เขาจะรู้สึกว่า เจ้าจิตรู้ นีแหละคือตัวเขาเอง เวลาเขามองสิ่งใด เขาจะเข้าใจว่า จิตรู้เป็นผู้มองเห็น แต่สิ่งทีสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือ เวลาเขาเกิดทุกข์ทางใจ จิตรู้ จะไปเห็นอาการทุกข์ทางใจนั้นได้ เขาจะรู้สึกว่า จิตรู้ (ตือตัวเขาเองไม่ทุกข์ ) เพราะความทุกข์ทางใจเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่นอกเหนือตัวเขา เพราะจิตรู้ไปเห็นสิ่งนั้นที่อยู่ภายนอกตัวเขานั้นเอง นี่คือประโยชน์ในขั้นต้นที่ได้รับในการลดลงแห่งทุกข์ทางใจ ในการปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิอย่างถูกต้อง ยิ่งเขาได้หมั่นฝักฝนมากเท่าใด ผลทีได้รับแห่งการลดลงแห่งทุกข์ทางใจ ก็ยิ่งมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
เมื่อเขาฝึกต่อไปอีกจนชำนาญมากขี้นอีก ความชำนาญนี้จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขาเอง จากทีเคยเครียด กลายเป็นคนไม่เครียด เรื่องนี้ ถ้าจะเปรียบทางโลกให้เห็นง่าย ๆ ก็คือ ท่านที่เพิ่งหัดขับรถยนต์ ท่านจะเครียดมากเวลาขับรถ ขับทีเกร็งไปหมดทั้งตัว แต่พอท่านขับไปเรื่อย ๆ จนชำนาญ ทุกอย่างจะเป็นอัตโนมัติหมด การขับรถก็จะง่ายและเป็นธรรมชาติ ความเกร็งเครียดก็จะหมดไป ซึ่งก็เหมือนการปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิ พอชำนาญก็เป็นธรรมชาติของท่านเอง พอเป็นธรรมชาติของท่านเอง ท่านจะพบสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความจริงสิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว นั่นคือ ท่านจะรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น ท่านจะมองความว่างที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านออกได้ พอท่านมองความว่างออกได้ และท่านสบายใจอยู่ ท่านจะสังเกตเห็นได้ว่า ความรู้สึกที่เป็นตัวตนของท่านได้กลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว เรื่องนี้ ผมแนะท่านได้ว่า ขอให้ท่านมีชิวิตอยู่ที่สบาย ๆ อย่าไปเครียด อย่าไปเกร็ง แล้วท่านจะพบสิ่งที่ผมกล่าวถึงได้เอง สักวันหนึ่ง
เมื่อท่านพบอาการที่ความรู้สึกว่ามีตัวตนกลายเป็นความว่างเปล่าไป ก็คือ ความไม่มีตัวตนนั่นเอง เวลาท่านมองอะไร มันก็กลายเป็นเพียงความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มีตัวท่านเข้าไปยุ่งกับสิ่งนั้น ใหม่ ๆ ความรู้สึกที่มีตัวตน และ ไม่มีตัวตน นี้ก็จะเกิดสลับไปสลับมาเสมอ ๆ ขอให้ท่านฝึกฝนสัมมาสติ สัมมาสมาธิ โดยอย่าเกร็ง อย่าเครียด ให้ชำนาญ ท่านจะชำนาญต่อความรู้สึกที่ไม่มีตัวตนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อท่านอยู่กับความรุ้สึกที่ไม่มีตัวตน นั่นคือ ท่านได้อยู่กับธรรมชาติแล้ว เพราะธรรมชาติ นั้น ท่านไม่มีตัวตนอยู่แล้ว แต่ท่านที่รู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ เพราะมีความปรุงแต่งอันเป็นอวิชชา ตัณหา เข้าไปปิดบังความจริงอันนี้เอง
เมื่อท่านอยู่กับธรรมชาติแห่งความไม่มีตัวตน ท่านทำงานทำหน้าที่ของท่านไปตามกิจวัตรประจำวันของท่านเอง ท่านจะสังเกตได้ว่า ท่านยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น ความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นเสมอ ๆ เมื่อท่านชำนาญ
เมื่อท่านปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ต่อไปอีก ท่านจะเกิดอาการหนึ่งเกิดในจิตใจ มันเป็นสิ่งที่อธิบายได้ลำบาก ท่านจะรู้สึกว่า สรรพสิ่งรอบตัวท่านมันช่างน่าเบื่อหน่าย ช่างไร้สาระ หาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย พอท่านเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกนี้ มันจะติดในใจท่านตลอดเวลาเป็นวัน ๆ ยิ่งถ้าท่านต้องการจะปลดความรู้สึกนี้ออกไปจากจิตใจ มันก็จะยิ่งติดแน่นอยู่อย่างนั้น ท่านต้องเฉย ๆ กับมัน มันจะเกิดต่อก็ช่างมัน ปล่อยไว้อย่างนั้น เมื่อท่านเฉยๆ กับมันหรือเรียกว่า ทำใจกับมันได้แล้วว่า มันเกิดก็ช่างมัน ทีนี้ท่านจะมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งตามมา ก็คือ ความรู้สึกอยากต่าง ๆ ดูจะจบสิ้นลงไปในจิตใจ ท่านทำอะไร แต่มันไม่ใช่ความอยาก อธิบายลำบากเช่นกันครับในเรื่องนี้ ความอยากที่มันหดหายไปเองนี่ ก็จะคงปรากฏอยู่ จนวันดีคืนดี จะมีปรากฏการณ์ทางจิตเกิดขึ้นอีกครั้ง (ดูรูปข้างล่างประกอบ ) จิตรู้จะปรากฏเด่นชัดเจนมาก ๆ พร้อมกับเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งที่เห็นเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันเกิดในความว่าง มันเด่นชัดมากเช่นกัน อธิบายไม่ถูกว่าเป็นอะไร รูปร่างเป็นอย่างไร มันเกิดคู่กับจิตรู้นั้น ที่ผมเองมันเกิดอยู่ประมาณ 3 ขั่วโมง ผมทำงานอะไรอยู่ มันก็ยังเห็นจิตรู้และเจ้าสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา แล้วทั้งจิตรู้และเจ้าสิ่งนี้ ก็จะหายตัวไปทั้ง 2 สิ่ง เหลือไว้แต่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ความรู้สึกที่ไม่มีตัวตน มันปรากฏอย่างสมำเสมอตลอดไป
เมื่อความรู้สึกที่ไม่มีตัวตนปรากฏอย่างนี้ได้ตลอด ผมพบว่า การปฏิบัติสัมมาสติ กลับง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก ดูมันโล่งกว่าเดิมไปมากทีเดียว ปฏิบัติอะไร มันก็โล่งไปหมด ดูมันสบายใจไปหมด ทุกข์ดูเหมือนจะหดหายไปหมดเช่นกัน แต่ผมยังมีความฝันในขณะหลับอยู่ มีความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดมันผุดขึ้นมาได้อยู่ แต่การเห็นความคิดจะเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก พอคิดปุ๊บ เห็นทันที ความคิดหยุดลงทันทีเช่นกัน
ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่า สิ่งที่ผมพบเรียกว่าอะไร เอาเป็นว่า ผมรู้ว่า ทุกข์ผมลดลงไป ก็พอแล้ว และผมก็รู้ว่า ผมได้เดินใกล้ปลายทางเข้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เอาสิ่งที่ผมพบมาเล่าให้ฟังสู่กันฟังครับ
Create Date : 14 มกราคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:27:30 น. |
Counter : 1234 Pageviews. |
|
|
|
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog
ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com
หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน