อธิปไตยสูตร
[๔๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลายอธิปไตย ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน
คืออัตตาธิปไตย ๑ โลกาธิปไตย๑ ธรรมาธิปไตย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายก็
อัตตาธิปไตยเป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่
โคนไม้ก็ดีอยู่ในเรือนว่างก็ดีย่อมสำเหนียกดังนี้ว่าก็เราออกบวชเป็นบรรพชิต
ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งจีวรไม่ใช่เพราะเหตุแห่งบิณฑบาตไม่ใช่เพราะเหตุแห่ง
เสนาสนะเราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งความมีและความไม่มี
เช่นนั้นก็แต่ว่า เราเป็นผู้อันชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส
อุปายาสครอบงำแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้วมีทุกข์ท่วมทับแล้ว ไฉน
ความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏก็การที่เราจะพึงแสวงหากามที่ละ
ได้แล้วออกบวชเป็นบรรพชิตนั้นเป็นความเลวทรามอย่างยิ่งข้อนั้นไม่เป็นการ
สมควรแก่เราเลยเธอย่อมสำเหนียกว่าก็ความเพียรที่ปรารภแล้วจักไม่ย่อหย่อน
สติที่เข้าไปตั้งมั่นแล้วจะไม่หลงลืมกายที่สงบระงับแล้วจักไม่ระส่ำระสายจิตที่
เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้ เธอทำตนเองแลให้เป็นใหญ่แล้วละ
อกุศลเจริญกุศล ละกรรมที่มีโทษเจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์
ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าอัตตาธิปไตย ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็โลกาธิปไตยเป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดีอยู่ในเรือนว่างก็ดีย่อมสำเหนียกว่า
ก็เราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งจีวรไม่ใช่เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต
ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งเสนาสนะเราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่ง
ความมีและความไม่มีเช่นนั้นก็แต่ว่า เราเป็นผู้อันชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์โทมนัส อุปายาส ครอบงำแล้วชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้วมีทุกข์
ท่วมทับแล้วไฉนความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏก็การที่เราออก
บวชเป็นบรรพชิตเช่นนี้พึงตรึกกามวิตกก็ดีพึงตรึกพยาบาทวิตกก็ดีพึงตรึก
วิหิงสาวิตกก็ดีก็โลกสันนิวาสนี้ใหญ่โตในโลกสันนิวาสอันใหญ่โตย่อมจะมี
สมณพราหมณ์ที่มีฤทธิ์มีทิพยจักษุ รู้จิตของคนอื่นได้สมณพราหมณ์เหล่านั้น
ย่อมมองเห็นได้แม้แต่ไกลแม้ใกล้ๆ เราก็มองท่านไม่เห็นและท่านย่อมรู้ชัด
ซึ่งจิตด้วยจิตสมณพราหมณ์แม้เหล่านั้นก็พึงรู้เราดังนี้ว่าดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ดูกุลบุตรนี้ซีเขาเป็นผู้มีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิตแล้วแต่เกลื่อนกล่นไปด้วย
ธรรมที่เป็นบาปอกุศลอยู่ถึงเทวดาที่มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุรู้จิตของคนอื่นได้ก็มีอยู่
เทวดาเหล่านั้นย่อมมองเห็นได้แต่ไกลแม้ใกล้ๆ เราก็มองท่านไม่เห็นและท่าน
ย่อมรู้ชัดซึ่งจิตด้วยจิตเทวดาเหล่านั้นก็พึงรู้เราดังนี้ว่าดูกรท่านผู้เจริญ
ทั้งหลายดูกุลบุตรนี้ซีเขาเป็นผู้มีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิตแล้วแต่เกลื่อน
กล่นไปด้วยธรรมที่เป็นบาปอกุศลอยู่เธอย่อมสำเหนียกว่าความเพียรที่เรา
ปรารภแล้วจักไม่ย่อหย่อนสติที่เข้าไปตั้งมั่นแล้วจักไม่หลงลืมกายที่สงบระงับ
แล้วจักไม่ระส่ำระสายจิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้ เธอทำโลก
ให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศล เจริญกุศลละกรรมที่มีโทษ เจริญกรรมที่ไม่มี
โทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าโลกาธิปไตย
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ธรรมาธิปไตยเป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดีอยู่ในเรือนว่างก็ดีย่อมสำเหนียกว่า ก็
เราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งจีวรไม่ใช่เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต
ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งเสนาสนะเราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งความ
มีและความไม่มีเช่นนั้นก็แต่ว่าเราเป็นผู้อันชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสอุปายาส ครอบงำแล้วชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ท่วมทับแล้วไฉนความทำที่สุด
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วอันบุคคล
พึงเห็นเองไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดูควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน
จะพึงรู้เฉพาะตนก็เพื่อนสพรหมจารีผู้ที่รู้อยู่เห็นอยู่ มีอยู่แลก็และการที่เราได้ออก
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วจะพึงเป็นผู้เกียจ
คร้านมัวเมาประมาทอย่างนี้ข้อนั้นไม่เป็นการสมควรแก่เราเลยดังนี้ เธอย่อม
สำเหนียกว่าก็ความเพียรที่เราปรารภแล้วจักไม่ย่อหย่อนสติที่เข้าไปตั้งมั่นแล้ว
จักไม่หลงลืมกายที่สงบระงับแล้วจักไม่ระส่ำระสายจิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมี
อารมณ์แน่วแน่ดังนี้ เธอทำธรรมนั่นแหละให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศล เจริญ
กุศลละกรรมที่มีโทษ เจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุ
ทั้งหลายนี้เรียกว่าธรรมาธิปไตยดูกรภิกษุทั้งหลาย อธิปไตย๓ อย่างนี้แล ฯ
ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลกสำหรับผู้ทำบาปกรรม ดูกร
บุรุษจริงหรือเท็จ ตัวของท่านเองย่อมจะรู้ได้แน่ะผู้เจริญ
ท่านสามารถที่จะทำความดีได้หนอแต่ท่านดูหมิ่นตนเองเสีย
อนึ่งท่านได้ปกปิดความชั่วซึ่งมีอยู่ในตนท่านนั้นซึ่งเป็นคน
พาลประพฤติตึงๆ หย่อนๆอันเทวดาและพระตถาคต
ย่อมเห็นได้เพราะฉะนั้นแหละ คนที่มีตนเป็นใหญ่ควรมีสติ
เที่ยวไปคนที่มีโลกเป็นใหญ่ควรมีปัญญาและเพ่งพินิจ
และคนที่มีธรรมเป็นใหญ่ควรเป็นผู้ประพฤติโดยสมควรแก่
ธรรมมุนีผู้มีความบากบั่นอย่างจริงจังย่อมจะไม่เลวลง อนึ่ง
บุคคลใดมีความเพียรข่มขี่มาร ครอบงำมัจจุผู้ทำที่สุดเสีย
ได้แล้วถูกต้องธรรมอันเป็นที่สิ้นชาติบุคคลผู้เช่นนั้น ย่อม
เป็นผู้รู้แจ้งโลกมีเมธาดี เป็นมุนี ผู้หมดความทะยานอยาก
ในธรรมทั้งปวงฯ
อังคุตตรนิกายติกกนิบาต ๒๐/๔๗๙