อัตเตนะ วา อัตตะนิเยนะ วา
|
||||
อมตรสในปัจจุบันขณะ -- พระมหากัจจานะเถระ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์
๓.มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร (๑๓๓) [๕๔๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
[๕๔๙] เทวดานั้น พอยืนเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวกะท่านพระสมิทธิ ดังนี้ว่าดูกรภิกษุ ท่านทรงจำอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญได้ไหม ฯ ท่านพระสมิทธิกล่าวว่าดูกรท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้ ก็ท่านทรงจำได้หรือ ฯ
[๕๕๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระสมิทธิพอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับครั้นแล้วจึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเมื่อคืนนี้ตอนใกล้รุ่ง ข้าพระองค์ลุกขึ้นเข้าไปยังสระตโปทะ เพื่อสรงสนานร่างกายครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมานุ่งแต่สบงผืนเดียว ยืนผึ่งตัวให้แห้งอยู่ขณะนั้นล่วงปฐมยามไปแล้ว มีเทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีงามส่องสระตโปทะให้สว่างทั่วเข้าไปหาข้าพระองค์ยังที่ที่ยืนอยู่นั้น แล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะข้าพระองค์ดังนี้ว่า ดูกรภิกษุท่านทรงจำอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญได้ไหมข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเมื่อเทวดานั้นกล่าวแล้วอย่างนี้ ข้าพระองค์ได้กล่าวกะเทวดานั้นดังนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุเราทรงจำไม่ได้ ก็ท่านทรงจำได้หรือ เทวดานั้นกล่าวว่า ดูกรภิกษุแม้ข้าพเจ้าก็ทรงจำไม่ได้ และท่านทรงจำคาถาแสดงราตรีหนึ่งเจริญได้ไหม ข้าพระองค์ตอบว่าดูกรท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้ ก็ท่านทรงจำได้หรือ เทวดานั้นกล่าวว่าดูกรภิกษุ แม้ข้าพเจ้าก็ทรงจำไม่ได้ ขอท่านจงเรียนร่ำ และทรงจำอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญเถิดเพราะอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เทวดานั้นกล่าวดังนี้แล้วจึงหายไป ณ ที่นั้นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดแสดงอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่ข้าพระองค์เถิด ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไปท่านพระสมิทธิทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ [๕๕๑]พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ ครั้นแล้วพระสุคตจึงทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ฯ [๕๕๒]ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน ภิกษุเหล่านั้นจึงได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่าดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้วสิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แลมิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกออกจากอาสนะเสด็จเข้า ไปยังพระวิหารใครหนอแลจะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรง แสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่านพระมหากัจจานะนี้แลอันพระศาสดาและพวกภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูชนยกย่องสรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระมหากัจจานะ พอจะจำแนกเนื้อ ความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ถ้ากระไร พวก เราพึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะยังที่อยู่แล้วพึงสอบถามเนื้อความนี้กะท่าน พระมหากัจจานะเถิดฯ [๕๕๓] ต่อนั้นแลภิกษุเหล่านั้นจึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะยังที่อยู่แล้วได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระมหากัจจานะ ครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะท่านพระมหากัจจานะดังนี้ว่าดูกรท่านกัจจานะ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกกระผมว่า
ดังนี้แลมิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้าไปยังพระวิหารดูกรท่านกัจจานะ ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน พวก กระผมนั้นได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่าดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า
ดังนี้แลมิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้าไปยัง พระวิหารใครหนอแลจะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง โดยย่อนี้ให้พิสดารได้ดูกรท่านกัจจานะ พวกกระผมนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่านพระมหากัจจานะนี้แลอันพระศาสดาและพวกภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูชนยกย่องสรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระมหากัจจานะ พอจะจำแนกเนื้อ ความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ถ้ากระไร พวก เราพึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะยังที่อยู่แล้วพึงสอบถามเนื้อความนี้กะท่าน พระมหากัจจานะเถิดขอท่านพระมหากัจจานะโปรดจำแนกเนื้อความเถิด ฯ [๕๕๔] ท่านพระมหากัจจานะกล่าวว่าดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบ เหมือนบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้ พึงสำคัญ แก่นของต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นตั้งอยู่ว่าควรหาได้ที่กิ่งและใบ ละเลยรากและลำต้น เสีย ฉันใดข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อพระศาสดาประทับอยู่พร้อมหน้าท่านผู้มี อายุทั้งหลายพวกท่านพากันสำคัญเนื้อความนั้นว่า พึงสอบถามเราได้ ล่วงเลย พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเสียดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นทรงรู้ธรรมที่ควรรู้ ทรงเห็นธรรมที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรมมีความประเสริฐ ตรัส บอก นำออกซึ่งประโยชน์ ประทานอมตธรรม ทรงเป็นเจ้าของธรรมทรงดำเนินตามนั้น และก็เป็นกาลสมควรแก่พระองค์แล้วที่ ท่านทั้งหลายจะพึงสอบถามเนื้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคทรง พยากรณ์แก่เราอย่างใดพวกท่านพึงทรงจำไว้อย่างนั้นเถิด ฯ ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่าดูกรท่านกัจจานะ แท้จริง พระผู้มีพระภาคย่อม ทรงรู้ธรรมที่ควรรู้ทรงเห็นธรรมที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความ ประเสริฐ ตรัสบอก นำออกซึ่งประโยชน์ ประทานอมตธรรม ทรงเป็น เจ้าของธรรมทรงดำเนินตามนั้น และก็เป็นกาลสมควรแก่พระองค์แล้วที่พวก กระผมจะพึงสอบถามเนื้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ แก่พวกกระผมอย่างใดพวกกระผมพึงทรงจำได้อย่างนั้น แต่ว่าท่านพระมหากัจจานะอันพระศาสดาและพวกภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชน ยกย่องสรรเสริญแล้ว และท่านพอจะจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มี พระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ขอท่านพระมหากัจจานะอย่าทำความ หนักใจโปรดจำแนกเนื้อความเถิด ฯ
[๕๕๕]ท่านพระมหากัจจานะจึงได้กล่าวดังนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่เราทั้งหลายว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วฯลฯ พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคล...นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้ มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร แล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร นี้แลข้าพเจ้าทราบเนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ ฯ [๕๕๖] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายก็บุคคลย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร คือ
[๕๕๗] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายก็บุคคลจะไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร คือ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วฯ [๕๕๘] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายก็บุคคลย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร คือ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่ามุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ฯ [๕๕๙] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายก็บุคคลจะไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง อย่างไร คือ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ฯ [๕๖๐] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร คือ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายอย่างนี้แลชื่อว่า ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ [๕๖๑] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรม ปัจจุบันอย่างไรคือ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ [๕๖๒] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายข้อที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่เราทั้งหลายว่า
มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร แล้วทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังพระวิหารนี้แล ข้าพเจ้าทราบเนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ ก็แหละท่านทั้งหลายหวังอยู่พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลสอบถามเนื้อความนั้นเถิด พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์แก่ท่านทั้งหลายอย่างใดพวกท่านพึงทรงจำเนื้อความนั้นไว้อย่างนั้น ฯ [๕๖๓] ครั้งนั้นแลภิกษุเหล่านั้นยินดีอนุโมทนาภาษิตของท่านพระมหากัจจานะแล้วลุกจากอาสนะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกข้าพระองค์ว่า
มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร แล้วทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังพระวิหารพอพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน พวกข้าพระองค์นั้น ได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่าดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า
มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังพระวิหารใครหนอแลจะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์นั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่าท่านพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชนยกย่องสรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระมหากัจจานะนี้พอจะจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ถ้ากระไรพวกเราพึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะยังที่อยู่ แล้วพึงสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะเถิดต่อนั้นแล พวกข้าพระองค์จึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะยังที่อยู่แล้วสอบถามเนื้อความนั้นกะท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญท่านพระมหากัจจานะจำแนกเนื้อความแก่พวกข้าพระองค์นั้นแล้วโดยอาการดังนี้ โดยบทดังนี้โดยพยัญชนะดังนี้ ฯ [๕๖๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย มหากัจจานะเป็นบัณฑิตมีปัญญามาก แม้หากพวกเธอสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา เราก็จะพยากรณ์เนื้อความนั้นอย่างเดียวกับที่มหากัจจานะพยากรณ์แล้วเหมือนกันก็แหละ เนื้อความของอุเทศนั้นเป็นดังนี้แลพวกเธอจงทรงจำเนื้อความนั้นไว้อย่างนั้นเถิด ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแลฯ จบมหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๓ -----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๗๒๒๓ - ๗๔๙๓. หน้าที่ ๓๐๖ - ๓๑๖. //84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=7223&Z=7493&pagebreak=0 อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ:- //84000.org/tipitaka/pitaka2/m_siri.php?B=14&siri=33 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่:- //84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=548 ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [548-564] //84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=14&item=548&items=17 [548-564] //84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=14&A=548&Z=564 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่๑๔ //84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑๔ //84000.org/tipitaka/read/?index_14
บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาดกรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com |
ฆราวาสมุนี
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |