เค้าโครงแห่งธรรมจักรฯ
ในพระสูตรนี้โดยวัตถุประสงค์ทรงแสดงแก่นักบวช กล่าวคือทางสายกลางที่ทรงแสดงนั้นระบุว่า ส่วนสุดขั่วสองขั่วที่นักบวชไม่ควรข้องเกี่ยวได้แก่ กามรมณ์ขั่วหนึ่งและ การทำตนให้ทุกข์อีกขั่วหนึ่งโดยเฉพาะข้อที่ว่า ด้วยมรรค๘ แม้ไม่ทรงแสดงรายละเอียดไว้ในพระสูตรนี้แต่คำขยายความไปปรากฏอยู่ในมรรควิภังคสูตรสำหรับนักบวชสำหรับคนครองเรือนทางโลกไปอยู่ในที่อื่น เช่นอริยมรรคมีองค์แปดในหนังสือสวดมนต์แปลของสวนโมกข์เป็นต้น ที่เรียบเรียงไว้ให้เหมาะกับวิสัยฆราวาส
จากนั้นก็ทรงเทศนาแจกแจงอริยสัจจ์๔ และ การเวียน ๓ รอบ หมายความว่าอริยสัจจ์ทั้ง ๔ แต่ละข้อหมุนไปสามครั้ง คือ นี้ ทุกข์๑ เหตุแห่งทุกข์ ๑ ความดับทุกข์๑ หนทางดับทุกข์เพราะมากำจัดเสียได้ซึ่งเหตุแห่งทุกข์๑ ชุดนี้ เรียกว่า สัจจญาณรอบแรก อริยสัจจ์ ๔ ชุดแรกชุดที่ สอง ทุกข์มีไว้กำหนดรู้มีไว้สำหรับให้เรียนรู้และ ยอมรับ ๑ สาเหตุของทุกข์มีไว้สำหรับละชาระให้สิ้นออกไปจากใจ๑ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เพราะดับสาเหตุแห่งทุกข์ได้แก่ ละความอยากเสียให้สิ้นอย่างถาวร๑ หนทางอันประกอบด้วยคุณสมบัติแปดเพื่อดับทุกข์มีไว้สำหรับให้ดำเนินตาม๑ เมื่อรู้ดังนี้แล้วก็ครบชุดที่ สอง หรือ รอบที่สอง ของอริยสัจจ์ ๔ ทรงเรียกว่ากิจญาณ และ รอบที่ สาม ทรงเรียกว่ากะตะญาณ คือ ทำกิจทั้งสี่ในกิจญาณได้ครบถ้วน โดยไม่มีใครสอนไม่ต้องเชื่อ หรือ ทำตามใครจึงสามารถเรียกพระองค์เองว่าสัมมา-สัมพุทธเป็นอันว่าทรงหมุนกงล้อแห่งธรรมคือ อริยสัจจ์ ๔ ครบ ๓ รอบอันทรงตรัสไว้เป็นสำนวนในพระสูตรนี้ว่ารอบ ๓ อาการ ๑๒สำเร็จโดยประการทั้งปวงอย่างนี้
ในที่สุดของพระสุตรนี้ทรงทราบด้วยพระญาณว่าท่านโกณฑัญญะได้ความเข้าใจในพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์อย่างไม่สงสัย(ละวิจิกิจฉาได้)ละความสำคัญตนผิดในกายนี้ทั้งรูปกายและนามกายได้ (ละสักกายะทิฎฐิ)ละการดำเนินชีวิตผิดๆ ด้วยวัตรปฎิบัติที่งม-งายได้(ละสืลัพพตะปรามาส)เกิดปัญญาเห็นสัจจธรรมของโลกของชีวิตว่าสิ่งทั้งปวงที่เกิดมาแล้วทั้งหมดต้องแตกดับเสื่อมสลายไปทั้งสิ้นไม่มียกเว้น เพียงเท่านี้ท่านโกณฑัญญะก็บรรลุโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล และทูลขอบวชสำเร็จเป็นพระสังฆรัตนะทำให้พระรัตนไตยครบสามประการเป็นครั้งแรกด้วยประการฉะนี้