ผลประโยชน์ที่มาพร้อมคุณค่าแห่งความงาม
ประเด็นร้อนที่เหมือนจะจบ (แต่ยังไม่จบ) หลัง "แองจี้" อัจฉรา แมคคาย ออกมาแฉถึงเบื้องหลังการสละตำแหน่งมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2005 รวมถึงประเด็นการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ต่างๆ เนื่องจากเห็นว่าสัญญาของกองประกวดนั้นไม่เป็นธรรม ซึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการนางงามบ้านเราไม่เคยมีปรากฏการณ์ที่เหล่านางฟ้าออกมาประท้วงสรวงสวรรค์เสียเอง
เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแวดวงขาอ่อน นอกเหนือจากความงามอย่างมีคุณค่าแล้ว เรื่องผลประโยชน์ตอบแทนระหว่างนางงามกับกองประกวดเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก แม้จะมีผู้จัดการประกวดหลายรายออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การจัดประกวดนางงามไม่ได้ทำกำรี้กำไรให้มากนัก แต่เหตุผลกลใดเล่าที่ทำให้เวทีประกวดขาอ่อนในเมืองไทย ยังไม่สลายหายไปจากสังคม นับตั้งแต่ นางสาวไทย มิสไทยแลนด์เวิลด์ ไปจนถึงมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส
การประกวดคือการสร้างภาพ
หากถามกูรูในแวดวงนางงามอย่าง "หนุ่ม" ประเสริฐ เจิมจุติธรรม เจ้าของผลงานหนังสือ "สาวงาม สาวมงกุฎ" กล่าวว่า เหตุผลสำคัญของการจัดประกวดนางงามก็เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้จัด และแน่นอนว่าถ้าไม่มีผลประโยชน์คงไม่มีใครทำ
"ผู้จัดหรือตัวช่อง นอกจากจะได้ชื่อเสียงภาพลักษณ์แล้ว ก็จะได้นางงามประจำช่อง หรือนักแสดง ดารา ซึ่งได้กำไรแน่นอน เพราะทุกอย่างมีสปอนเซอร์ออกเงินให้ตลอดการประกวด ไม่ว่าจะค่าที่พัก ค่ากิน ค่าอยู่ ถ่ายภาพ รวมถึงเงินรางวัลที่ทางช่องเป็นคนหา" ผู้คร่ำหวอดในวงการนางงาม กล่าว
การลงทุนของผู้จัดบางรายอาจใช้งบประมาณไม่มากนัก แต่หากเป็นเวทีระดับประเทศที่จะต้องหาตัวแทนสาวงามไปประกวดยังเวทีระดับโลก อาทิ มิสเวิลด์ และมิสยูนิเวิร์ส ก็จำเป็นต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการจัด ซึ่งหากนับเป็นตัวเลขแล้วหลายหลักทีเดียว จากนั้นจึงเป็นการระดมทุนจากผู้สนับสนุนเพื่อมาดำเนินการประกวดต่อไป
ประเสริฐ เจิมจุติธรรม
รับงานต้องผ่านกองประกวด
รางวัลเงินสด 1 ล้านบาท รถยนต์ 1 คัน มงกุฎเพชรมูลค่าเฉียดล้าน และรางวัลอื่นๆ อีกจิปาถะ อาจไม่ใช่คำตอบของสาวงามที่ก้าวเท้าสู่เวทีประกวด หากแต่การได้มีชื่อเสียงเพียงข้ามคืนบวกกับโอกาสและประสบการณ์ชีวิตต่างหากที่ทำให้พวกเธอเดินทางมา
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากรางวัลที่ได้เป็นกอบเป็นกำชัดเจนแล้ว รายได้อีกทางหนึ่งของนางงามเหล่านี้ คือเบี้ยเลี้ยงที่มาจากการออกงานสังคม ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบงานและลักษณะงานที่ตัวนางงามจะมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน เริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นเป็นต้นไป และการรับงานทั้งหมดจะต้องผ่านและได้รับความเห็นชอบจากกองประกวด ซึ่งทางกองประกวดก็ต้องพยายามผลักดันงานให้นางงามของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีกร หรือนักแสดง เป็นต้น
รายได้นางงาม
ตลอดระยะเวลาของการดำรงตำแหน่ง สามารถเฉลี่ยรายได้คร่าวๆ อาทิ หากเป็นการออกรายการโทรทัศน์สั้นๆ ประมาณ 5,000 บาทต่อคน แต่หากเป็นรายการประเภททอล์คโชว์ หรือมีระยะเวลาในการถ่ายทำนาน ตกประมาณ 7,000-10,000 บาทต่อคน ถ้าเป็นการถ่ายแบบแฟชั่น ประมาณ 1.5 หมื่นบาท ส่วนกรณีถ้าเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาหรือพรีเซ็นเตอร์ ตกประมาณ 1 แสนบาทขึ้นไป
นอกจากนี้การออกงานและถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาให้สปอนเซอร์ก็เป็นอีกหน้าที่หลัก ซึ่งค่าตอบแทนจะไม่มากนัก คือประมาณ 1.5 หมื่นบาท ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างสปอนเซอร์และกองประกวดเป็นรายๆ ไป โดยหน้าที่ทั้งหมดจะเสร็จสิ้นลงเมื่อครบ 1 ปี
บวกลบคูณหารดูคร่าวๆ รายได้ของเหล่านางงามอาจไม่ได้มากอย่างที่ใครคิด บางรายที่โด่งดังยิ่งกว่าดารา ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่กอบโกย แต่ก็มีอีกหลายรายที่ว่างงานนานนับเดือน ดังนั้นการเรียกร้องเงินเดือนของแองจี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดแต่ไม่น่าเป็นไปได้ในเมืองไทย
"คงเป็นไปได้ยากที่กองประกวดจะให้จ่ายเงินเดือนเหมือนกับพนักงานคนหนึ่ง เพราะนางงามไม่ได้ทำงานทุกวัน ส่วนเงินรางวัล และของรางวัลทุกชิ้น ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และถ้ามีพี่เลี้ยงก็อาจจะต้องหัก 30 เปอร์เซ็นต์อีก แต่สำหรับนางงามที่มีสายตายาวไกล แม้เงินอาจจะไม่ได้มาก แต่มันจะเป็นใบเบิกทาง อย่าง "เอมมี่" มรกต กิตติสาระ เป็นต้น ทุกวันนี้เธอเป็นที่รู้จัก เงินที่หาได้จากการทำงานมากกว่าเงินรางวัลเสียอีก มันขึ้นอยู่กับว่าจะเอาดีทางนี้หรือเปล่า"
หัก 20 เปอร์เซ็นต์ของรายรับ
ขณะที่ "ปู" ปริศนา กล่ำพินิจ อดีตพี่เลี้ยงนางงามวิกหนองแขมที่ปลุกปั้นเหล่ามิสไทยแลนด์เวิลด์มาแล้วหลายต่อหลายรุ่น กล่าวถึง วิธีการทำงานระหว่างกองประกวดกับผู้สวมมงกุฎมิสไทยแลนด์เวิลด์ที่ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกันว่า การรับงานทุกอย่างจะต้องผ่านการพิจารณาจากกองประกวด เพื่อไม่ให้นางงามต้องถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยกองประกวดจะดูแลเรื่องภาพลักษณ์ และอำนวยความสะดวกเช่นการจัดหาเสื้อผ้า หน้า ผม โดยจะหักรายได้จากการรับงาน 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกรณีที่พักของมิสไทยแลนด์เวิลด์นั้น ปริศนา เล่าว่า เธอเป็นคนเรียกร้องให้มิสไทยแลนด์มีที่พักตั้งแต่สมัย ปฏิญญา ทองศรี มิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 1994 เนื่องจากเด็กไม่มีที่พักอยู่ในกรุงเทพฯ จึงทำให้ไม่สะดวกในการเดินทางปฏิบัติภารกิจ
ปริศนา กล่ำพินิจ
นางสาวไทยให้พักโรงแรม
เช่นเดียวกับเวทีนางสาวไทย ซึ่งจัดประกวดโดยไอทีวี นอกจากรางวัลหลักๆ ที่เหมือนกันแล้ว การจัดหาที่พักระดับโรงแรม 4 ดาวตลอดระยะเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ เป็นสิ่งที่ทำมานาน แต่หากสาวงามคนใดที่มีภูมิลำเนาและจำเป็นต้องอยู่ต่างจังหวัด กองประกวดก็จะออกตั๋วเครื่องบินให้ในแต่ละครั้ง
สำหรับเงินรางวัล 1 ล้านบาทของนางสาวไทยนั้น จะจ่ายเป็นเงินสดให้ในวันเซ็นสัญญาครึ่งหนึ่ง และที่เหลือจะนำไปเข้าธนาคาร ซึ่งนางสาวไทยจะสามารถนำไปใช้ได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติภารกิจครบ 1 ปีแล้ว ส่วนการออกงานแต่ละครั้งที่มีผู้ว่าจ้าง จะแบ่งระหว่างนางสาวไทยกับกองประกวดฝ่ายละ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นงานการกุศลที่ไม่มีรายได้ กองประกวดจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าแต่งหน้า ทำผม เสื้อผ้า ค่ารถ ตั๋วเครื่องบิน และค่าพี่เลี้ยงดูแล เป็นต้น
มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ไม่มีที่พัก
ปิดท้ายกับเวทีมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส แม้จะเริ่มต้นเพียง 4 ปี แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพในการจัดประกวดนางสาวไทยมาก่อน ทุกอย่างจึงชัดเจนและรัดกุม โดยในสัญญาจะบุว่า ผู้เข้าประกวดต้องพำนักอยู่ในเมืองไทยไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ส่วนรางวัลเงินล้าน จะแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด คือ ครึ่งแรกจ่ายเมื่อได้รับตำแหน่ง และอีกครึ่งจะจ่ายหลังอำลาตำแหน่งแล้ว ส่วนรายได้อื่นๆ เช่น การโชว์ตัว หรือรับงานถ่ายแบบ หากเป็นตัวเลขไม่มากนัก สาวงามก็จะได้รับเต็มๆ แต่หากเป็นหลักหมื่นขึ้นไปกองประกวดจะหัก 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งงานที่เข้ามาจะชุกหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ และอุปนิสัยของเจ้าของมงกุฎ
ด้านที่พักหรือการดูแลอื่นๆ ต้องยอมรับว่าเวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบ อาจจะมีบ้างในการออกงานสำคัญใหญ่ๆ ที่กองประกวดจะช่วยจัดหาเสื้อผ้า และแนะนำการแต่งกายให้สาวงามตามสมควร
จะว่าไปแล้วผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างนางงามกับกองประกวด ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการนางงาม แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า จะสามารถรับเงื่อนไขของกันและกันได้มากแค่ไหน แต่เมื่อไรก็ตามที่เขี้ยวกับเค็มมาเจอกัน มันก็ต้องแตกหักเช่นนี้แล!!
บทความจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Create Date : 06 ตุลาคม 2548 |
Last Update : 6 ตุลาคม 2548 1:21:24 น. |
|
6 comments
|
Counter : 1451 Pageviews. |
|
|
|
แต่เมื่อไรก็ตามที่เขี้ยวกับเค็มมาเจอกัน มันก็ต้องแตกหักเช่นนี้แล!!