Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
เปิดค่าย 'ป้าศรีเวียง' สัมผัสชีวิตนางงามเดินสาย

ถ้าเอ่ยชื่อ "ศรีเวียง ตันฉาย" หลายคนอาจจะสงสัยว่าเป็นใคร แต่ถ้าหากเอ่ยว่า "ป้าศรีเวียง" หลายคนจะต้องร้องอ๋อ ขึ้นมาโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในแวดวงของการประกวดสาวงามตามเวทีต่างๆ


ป้าศรีเวียง


หลังจากหมดยุคของ "ป้าชุลี" ชื่อของ "ป้าศรีเวียง" ในฐานะการเป็นเอเย่นต์ส่งนางงามในสังกัดของตนเองเข้าประกวดตามเวทีต่างๆ ก็โดดเด่นและเป็นที่รู้จักขึ้นมาทันที เวทีไหน เวทีนั้น ถ้าเป็นเรื่องของนางงามละก็รับรองว่าจะต้องเห็นคุณป้าวัย 66 คนนี้พร้อมกับเด็กในสังกัดอย่างแน่นอน

ไม่ใช่เรื่องที่ผิดสักเท่าไหร่หากจะบอกว่าค่ายนางงามของป้าศรีเวียงคือค่ายนางงามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้

"ลูกหลานเยอะมาก เค้ามาฝากเลี้ยงทั้งนั้น อย่างสมมุติว่าคุณจะเอาไปโชว์สัก 5 คน ป้าบอกว่าช่วยเอาไปสัก 10ได้มั้ย..." ป้าศรีเวียง ในเสื้อสีแดงแป๊ด บอกกับ "ต่อพงษ์ เศวตามร์" ผู้ดำเนินรายการวิทยุ "เป็นเรื่องกับต่อพงษ์" (เอฟเอ็ม 97.5 MHz คลื่นสามัญประจำบ้าน 21.00 - 24.00 น.จันทร์ - ศุกร์) สิ่งที่ยืนยันในคำพูดของป้าศรีเวียงได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นสาวๆ ทั้ง "จิน" "เบนซ์" "น้ำฝน" และสาว "แจ๋ม" ที่ป้าศรีเวียงหนีบมาด้วย

ป้าศรีเวียงเล่าว่าจุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำตรงนี้ได้ก็เพราะการเป็นช่างเสริมสวยที่ต้องติดสอยห้อยตามสามีที่ทำงานธนาคารไปในหลายๆ จังหวัด

"สามีเป็นผู้จัดการธนาคารก็จะย้ายไปต่างจังหวัดทั่วไปเลย แล้วพอเราย้ายไปแต่ละจังหวัดก็จะมีการประกวดธิดากาชาด นางสงกรานต์ นางนพมาศ แล้วเขาจะให้ธนาคารต่างๆ ให้ช่วยส่ง ของแฟนป้าคือธนาคารออมสิน บังเอิญเราก็มีความสามารถเรื่องทำผม แต่งหน้าอยู่แล้วก็จะถูกขอตลอดแล้วก็ไปเจอช้างเผือกในป่าก็ส่งต่อเข้ากรุงเทพ"

"สมัยก่อนคุณสมชาย (สมชาย นิลวรรณ) ยังไม่เสียชีวิต เค้าก็ทำเกี่ยวกับนางงามด้วยนะเราก็มาร่วมงานกับเค้าครั้งแรก เมื่อปี 2526 ตอนนั้นส่งประกวดมิสออด๊าซซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการประกวดพอดีก็ได้รางวัล เราต้องนั่งเฝ้าอยู่หน้าช่อง 7 จนเช้า กลับบ้านไม่ได้ แล้วก็ได้ไปประกวดมิสเวิลด์ที่ประเทศอังกฤษ ไปกับเจ้าป้ากอแก้ว นั่นเป็นคนแรกที่ส่งเข้ามาประกวด ปีต่อมาส่งหลานสาวลูกพี่ชายไปประกวดนางสาวไทยรุ่น ปี 26 ติดหนึ่งใน 5 นั่นช้างเผือกในป่าจริงๆ เค้าเป็นคนอำเภอจันทะคาม แล้วแม่เค้าเป็นคนสีคิ้ว ซึ่งเป็นอำเภอที่ผู้หญิงสวย เป็นคนขาวจมูกโด่ง นั่นก็เป็นระยะเริ่มต้นแรกๆ"

"ที่ได้รางวัลและเป็นที่รู้จักกันก็มีนางสาวไทย ปี 33 ชื่อภัสราภรณ์ ชัยมงคล ได้นางสาวไทย แล้วก็ไปได้ขวัญใจช่างภาพนางงามจักรวาล แล้วก็ปีเดียวกันก็ได้ทั้งที่ 1 แล้วก็รองที่ 1 ชื่อเบญจมาภรณ์ (ชื่อตั้ง) เดชสุภา เป็นนามสกุลป้าเอง ได้รองแล้วก็ได้ขวัญใจช่างภาพ ก็ไปประกวดมิสเวิลด์ ออฟ เวอร์จีเนีย ที่เกาหลี ก็ได้ 3 ตำแหน่ง ส่วนที่เป็นดาราดังๆ ก็เช่นรักษ์สุดา สินวัฒนา (ลูกน้ำ), ดวงเดือน จิไธสงค์, หมู-พิมพ์พกา เสียงสมบูรณ์"

"ไอยดา สอนระเบียบ ที่โฆษณา แบ็ตเตอรี่เป็นลูกสาวที่เป็นห่วงเป็นใยมาก เพราะว่าเอาเค้ามาอยู่ด้วยตั้งแต่อายุ 14 ชีวิตเค้าระเหเร่ร่อนถ้าสร้างหนังนี่ได้เรื่องหนึ่งเลยนะ แล้วก็พัชราภา ภัคดีรัตน์ คนนี้ได้รองอันดับ 2 มิสไทยแลนด์เวิลด์ แล้วไปประกวดนางแบบโลก มีคนเข้าประกวด 700 กว่าคนได้รองอันดับหนึ่ง เค้าเป็นคนฉลาดมาก โอ๊ยมันมีเยอะนะ"


แม้จะเป็นเด็กที่มาจากต่างถิ่น ต่างพ่อต่างแม่ แต่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้ว ทุกคนคือหลานของป้า - ของยายที่ชื่อ "ศรีเวียง"

"จินไปหาคุณยายที่บ้าน ไม่รู้จักมาเลยค่ะ" สาวจินที่เพื่อนๆ บอกว่าหน้าเธอเหมือนสิเรียมบอกถึงการเข้ามาเป็นหลานของยายศรีเวียง

"พอดีมีเพื่อนอยู่ห้องเดียวกันตอนที่เรียนอยู่สุราษฯ เขารู้จักกับหลานยายที่เป็นผู้ชาย เค้าก็ติดต่อมาว่าไปอยู่ด้วยกันมั้ยเดี๋ยวไปสอบเรียนต่อด้วยกันแล้วก็พักบ้านคุณยายก่อน พอดีทางบ้านก็ไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่ พ่อก็ไม่สบายอยู่เป็นมะเร็ง แม่ก็เย็บผ้า ก็เลยหาเงินเรียนเอง"



สาว "จิน" (ซ้าย) กับสาว "น้ำผึ้ง" (ขวา)


"แต่อย่างแจ๋มเนี่ยแบบว่าคนละทางกับการเป็นนางงามเลยมั้ง" สาวเจ๋มที่เพิ่งจะไปคว้าเอานางงามเชียงใหม่มาพูดขึ้นบ้าง

"เพราะแจ๋มเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมเขต เคยติดทีมชาติอยู่ระยะหนึ่งแล้วบังเอิญมีอุบัติเหตุนิดหน่อยก็เลยไม่ได้เล่นต่อ แม่เค้าก็จะให้เลิกเรียนเพราะว่ามันมากลางทางแล้วเค้าเลิกทีมกัน เราก็พักมาซักระยะหนึ่งก็มีโอกาสได้เจอกับคุณยาย ตอนแรกเนี่ยคุณยายเห็นก็ส่ายหัวนิดหน่อยเพราะว่าสวยมากตอนนั้น..."

เจ้าตัวกล่าวพลางหัวเราะก่อนที่ทางคุณยายศรีเวียงจะกล่าวเสริม
"เห็นเค้าครั้งแรกก็ตอน ปวช.2 ขึ้นปวช.3 เค้าก็มากับเพื่อนนางงาม เราก็ว่าคนนี้สูงจัง ผอมมาก ก็บอกว่าให้กลับไปอ้วนมาสัก 60 กิโลแล้วค่อยกลับมาหาเรา พอเค้า 60 กิโล เค้าก็เดินเข้ามาหาเรา ก็เลยลองจับประกวดดู ตอนนั้นไม่มี เล่าเต๊งอะไรทั้งนั้น สวยแบบเรียบๆ แต่ตอนนี้สวยด้วยมือป้าศรีเวียง คนนี้ก็ได้ตำแหน่งมาตลอดไปทุกทีก็จะไม่กลับมือเปล่า ล่าสุดก็ได้นางสาวเชียงใหม่"

"คือเธอเป็นคนหนองคายนะแต่ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ตอนนั้นที่ประกวดเค้ามีใส่ชุดว่ายน้ำด้วย เธอก็ค่อนข้างได้เปรียบเรื่องใส่ชุดว่ายน้ำ เพราะว่าเธอสูง 177 ใส่ชุดว่ายน้ำก็จะดูสวย"


"แจ๋มประกวดมาสัก 30 เวทีได้แล้วมั้ง..." แจ๋มบอกถึงประสบการณ์การประกวดของตนเอง

"ตอนนี้อายุ 22 ก็คิดว่ายังประกวดได้อยู่ แต่ก็พักก่อนดีกว่า ไม่ใช่เลิก แต่ว่าอยากจะพักแล้วก็อยากจะเรียนจบด้วย"

เมื่อถูกถามว่าปัจจุบันมีเด็กในสังกัดเท่าไหร่ป้าศรีเวียงบอกว่าคงนับไม่ได้
"มันเยอะนะ...ที่อยู่ก็จะเป็นตึกสามชั้นมีห้องนอน 4 ห้อง ห้องหนึ่งป้าอยู่ ห้องหนึ่งลูกชายอยู่ แล้วอีกสองห้องก็ให้เค้าอยู่กันเพราะว่าห้องมันกว้าง นอนห้องละ 7 คนก็ได้ ถ้ามันเต็มก็ลงมานอนข้างล่างกับป้า เพราะว่าป้าไม่ค่อยนอนบนห้อง"



ซ้ายมือสาว "เบนซ์" ส่วนขวามือคือสาว "แจ๋ม"


ต่อพงษ์ : "เคยไปเจอเด็กไม่ดี แล้วเอามาทำให้เค้าดีได้บ้างมั้ย?
"มีค่ะ ร้อยพ่อพันแม่ย่อมจะมีตรงนั้น แต่ตรงนั้นเราก็พยายามจับเข่าคุยกับเค้า พยายามอย่าปล่อยให้เค้าห่างตัวและให้ความสำคัญกับตัวเค้า อย่างเช่นว่าในบ้านในครอบครัวเราจะไปไหนกัน เราจะมีกระเป๋าสตางค์เราก็พยายามให้เด็กคนนั้นได้ใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้ที่เป็นของๆ เรา เค้าจะภูมิใจว่าเราไว้ใจเค้า เราหยิบยื่นโอกาสให้กับเค้า เช่น ทำนี้ให้ยายหน่อยนะ รับโทรศัพท์หน่อย ทำตัวเหมือนเป็นเลขาเรา"

"อย่างมีคนที่เคยมือไวมาก่อน เค้าอาจจะไม่คิดว่าเค้าเป็นขโมยนะ แต่ว่าเค้าอยากได้เค้าหยิบเอาเลย ป้าก็พยายามแก้ไขตรงนั้นให้เค้ารู้ว่าสิ่งที่เค้าทำไปนั้นทำให้เค้าคิดว่าเค้าทำดี ก็จะบอกว่าเอาของของเพื่อนไปเก็บเอาไว้เพื่อนอาจจะลืมไว้ตรงไหนก็ให้ไปเอามาคืนเพื่อนซะ ค่อยเป็นไปทีละน้อยไม่ให้เค้ารู้ว่าเค้าเป็นขโมย ให้รู้ว่าเค้าทำถูกเค้าเก็บของไว้ให้เพื่อน...แต่เราก็จะบอกทีหลังถ้าเก็บได้อย่าเอาไปใส่กระเป๋านะลูก ให้เอามาวางไว้ในจุดที่เห็นง่ายๆ..."


ป้าศรีเวียงบอกว่าการที่ใครหลายๆ คนมักจะมองว่าในวงการนางงามนั้นคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของคนมีเงินที่จะเข้ามาหาความสุขจากเรือนร่างของนางงามเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นพียงความคิดของคนที่ไม่รู้เรื่อง พร้อมกันนั้นป้าศรีเวียงยังได้บอกด้วยว่าตนเองค่อนข้างจะเอาจริงในเรื่องการประพฤติของเด็กในสังกัดเป็นอย่างมากโดยครั้งหนึ่งเคยถึงขนาดที่เข้าไปตบเด็กที่เข้าไปเที่ยวในเธคเลยทีเดียว

"คนงาม ก็คู่กับคนมีสตางค์ พอมีสตางค์ก็อยากมี แต่ว่าเค้าจะไปหาพวกเด็กๆ เจอได้ที่ไหนไปที่เวทีก็เข้าไม่ถึงตัว ลงจากเวทีขึ้นรถกลับบ้าน ถ้าได้เบอร์ไปโทร.มาก็ไม่มีโอกาสได้คุยด้วย เพราะว่าจะมีคนรับสายแทน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จริงจะพูดให้เสียหาย"

"เราขายหยาดเหงื่อ เราขายแรงงานแต่ไม่ได้ขายตัว ไม่ได้ขายศักดิ์ศรี ถ้าคนรู้จริงจะไม่พูดคำนี้ ถ้าเราเป็นอย่างนั้นเด็กพวกนี้จะไม่ทำคุณประโยชน์กับป้าเลย เธอจะทำเฟ้อเลย เช้าเดินห้างนี้ เย็นเดินห้างนั้น อย่างมีคนหนึ่งไปประกวดอยู่ที่ทางอีสาน แล้วเค้าก็เก็บตัวกัน 3 วัน ก็มีหนีไปเที่ยวเธค ก็มีคนโทร.มาบอกว่าใช่เด็กป้ามั้ย พอเราไปเห็นก็แบบว่าหัวยังฟูอยู่เลยนะก็จำได้เลยเพราะว่าผมเราทำเองกับมือ"

"ไปถึงก็ตบเลย แล้วป้าเสียงดังไฟเธคนี่เปิดสว่าง...คนที่พาไปเค้าก็มาขอโทษเรา เราก็บอกขอโทษแล้วมันหายมั้ยที่เสียชื่อเสียงไป เรามาประกวดไม่ได้มาสนองตัณหาใคร"


ต่อพงษ์ : "มีมั้ยที่มีคนรักจริง มาขอแต่งงานเลย?"
"มีอยู่คนหนึ่ง คนนี้ก็ได้มงกุฎมาทุกที่เลย แล้วก็มีคนมาขอ เราก็เรียกแพงๆ เค้าจะได้ไม่เอา ที่ไหนได้เขาแถมทั้งรถ แถมทั้งทาว์เฮ้า เพราะเขาไปขายที่ได้มาตั้ง 40-50 ล้าน ก็เลยต้องยกให้ไป"

แจ๋ม : "แต่ก็ยากเหมือนกันนะพี่กว่าที่จะได้แต่งงาน เพราะแจ๋มไปถามเขา พี่เขาบอกเนี่ยะพี่ต้องมาเฝ้าแบบนานมาก"

"เรื่องแฟนป้าไม่ได้ห้าม คบได้แต่ว่าต้องเปิดเผยมีผู้ใหญ่รับรู้ เนื่องจากตอนที่เค้าคบกันเค้าอาจจะไม่สวยเท่านี้ พอเค้ามาอยู่กับเราเค้าสวยขึ้น ก็จงอย่ามาหึงหวงกันเพราะมันจะทำให้งานเราเสีย ตรงนี้มันคืองานเรา คุณมีหน้าที่เรียนๆ ไป ทางนี้ทั้งเรียนทั้งทำงาน คุณเอาแต่ความรักมาเลี้ยงกันมันอยู่ไม่รอด เพราะฉะนั้นต้องมีงานทำ แต่ส่วนใหญ่ถ้าใครมีจะจับเลิกซะหมด เพราะว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่ความเสียหาย ทะเลาะเบาะแว้ง กำลังอยู่บนเวที ลงมาร้องไห้โทร.ไปว่ากัน มันทำให้งานเราเสีย เพราะฉะนั้นให้เลือกเอา ป้าก็มีตัวให้เลือกระหว่างงานกับคนที่ทำให้งานเสีย ให้ผู้ชายคนนั้นไปคอยข้างหน้าก่อนค่อยกลับมาใหม่...อย่างแจ๋มเนี่ยถ้าเขาไปไหนคนเดียวได้ ถือว่าหลบหลีกป้าเก่ง แต่ร้อยครั้งก็ได้สักครั้งนะ"

แจ๋ม : "คือสองทุ่มครึ่งเนี่ย จะโทร.มาแล้ว เลิกเรียนยัง...เลิกแล้วค่ะ กำลังจะเข้าบ้านแล้ว กินข้าวแป๊ปนึง...ก็จะมีเสียงมาเลย นี่จะกินให้ตายรึไง..."


ต่อพงษ์ : "นี่คุณป้าจะไม่ให้ผ่อนคลายบ้างเลยหรือ?"
"แหมน้อยไปสิ ทั้งผับ เธค ร้องคาราโอเกะ แต่เราจะไปด้วยตลอดนะ ก็กลายเป็นรุ่นเดียวกันเลย ระยะหลังๆ มีตรวจปัสสาวะบ่อยๆ ก็เลยเลิกเลย กลัวเสียชื่อ เพราะว่าไม่เที่ยวก็ไม่ตาย แต่ไม่มีเงินใช้สิจะแย่..."

ป้าศรีเวียงบอกว่าไม่ใช่เรื่องยากมากนักในการที่จะดูว่าเด็กคนไหนเคย "เสีย" หรือ "ไม่เสีย" มาก่อนโดยการให้สังเกตพฤติกรรมเอา
"คนที่เสียมาก่อน แม้ว่าจะทำตัวติ๋มๆ เท่าไหร่ไม่นานก็จะหลุดออกมาเอง เช่นตอนแรกทำไม่สนใจใครคนโทร.มาก็เฉย แต่พอไม่กี่วัน โทร.กันเป็นชั่วโมงเลย เราก็จะเริ่มสงสัยว่าธุรกิจอะไรเหรอโทร.กันเป็นชั่วโมง ที่บ้านก็ไม่ได้ห้ามโทร. อะไรนะ แต่โทร.กันนานมันก็เกินความจริงในการที่เป็นนักเรียน เอาเงินทองจากที่ไหนนักหนา"

"บางทีก็มีโรคจิต คือไม่มีคนโทร.แต่พูดคนเดียวอันนั้นก็จะดูได้ว่าน่าจะเป็นเด็กที่เคยเสียมาก่อน พวกนี้มีบ่อย ก็เจอทุกรูปแบบ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน เราไม่ว่าเค้า แต่เราก็ไม่ได้ให้โอกาส เพราะว่าคนมาอยู่กับเราก็เยอะ ปลาข้องเดียวมีตัวหนึ่งมีกลิ่นเราก็ต้องหยิบตัวนั้นออกไปซะ"


นอกจากเรื่องแฟนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับนางงามอาชีพเหล่านี้ก็คือเรื่องของ "ชื่อ"
"เวทีนี้ชื่อนางสาวเขียว เวทีหน้าชื่อนางสาวขาว เปลี่ยนไปเรื่อย คนจำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง"

ต่อพงษ์ : "ชื่อที่ใช้ น้ำผึ้งนี่ก็คงเป็นชื่อปลอม?"
"อันนั้นชื่อเล่นเขาจริงๆ ส่วนชื่อจริงเค้าชื่อนางสาวกาญจนา ปิ่นอนงค์ แต่ถ้าใช้ในการประกวดเราก็กลับกันเป็นนางสาวปิ่นอนงค์ กาญจนา เพราะว่าหนีวิทยาลัย...(หัวเราะ) แต่อย่างน้องแจ๋มก็จะใช้ชื่อเดียวเลยในการประกวด ชื่อ นภาพร เจริญทรัพย์ เราตั้งให้ แล้วได้ทุกที่"

แจ๋ม : "ที่ได้ชื่อนี้มาเพราะว่าครั้งแรกที่คุณป้าส่งเข้าประกวดธิดาหญิงกล้าที่โคราชเนี่ยมันมีหลายชื่อให้เลือก ก็ได้ชื่อนี้มาเป็นชื่อรุ่นพี่นางงามคนหนึ่ง แล้วพอได้ชื่อนี้ก็ได้ตำแหน่งก็เลยใช้มาตลอด"

เบนซ์ : "บางทีประกวดก็มีพูดชื่อผิดนะ เพราะว่าจำสลับเวทีจนกรรมการงง ว่าไม่ใช่นี่ บางทีชื่อก็เป็นชื่อของพี่นางงามรุ่นเก่าที่เค้าเคยได้ตำแหน่ง แล้วเค้าก็มาดูด้วย เค้าก็บอกเนี่ยะชั้นยังประกวดอยู่อีกหรือเนี่ย"

ป้าศรีเวียง : "บางทีชื่อหลงแล้วชื่อจังหวัดก็ยังหลงนะ มีครั้งหนึ่งเค้าเพิ่งลงจากเวทีประกวดสาวอุดรฯ แล้วก็ไปประกวดที่ชุมพร พอเข้ารอบสามคนนางงามเราบอกสวัสดีคะพี่น้องชาวอุดรฯ เฉยเลย"

ต่อพงษ์ : "เห็นว่าเรื่องเบอร์ที่เข้าประกวดก็สำคัญ?"
"ก็มี 22,11,2 ที่ถือว่าเป็นโชคของเรา คือเบอร์เนี่ยะเค้าจะจับฉลากเอาใช่มั้ย แล้วถ้าเวทีไหนที่ป้าส่งไป 5 คนแสดงว่าป้าให้ความสำคัญน้อยมาก แต่ถ้าเวทีไหนสำคัญอย่างน้อยๆ ก็คือต้อง 9 - 10 คน แล้วโอกาสที่คนของเราจะจับได้เบอร์ดังกล่าวก็มีสูง แต่ถ้าจับไม่ได้ก็เอาใกล้เคียง อย่างเช่น 12 ก็ได้ ขอให้มันมี 1 กับ 2 เนี่ยแหละ"

"พูดถึงเรื่องชื่อนิดนึง คือบางครั้งมันจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะว่าวิทยาลัยไม่สนับสนุนให้เด็กประกวด แต่ถ้าไม่ประกวดจะเอาที่ไหนใช้ เรียน เราก็จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลเลย คือมันก็ดีกว่าเด็กไปทำอย่างอื่น เวลาคุณดูนางงามสวยงามน่ะ แต่กว่าก่อนจะมาสวยให้ดู เธอทรมานมาก โดยเฉพาะวันเข้าประกวด เริ่มจากตอนเช้า อบผม 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึงจะให้ทานข้าว ทานข้าวเสร็จแล้วแต่งหน้า ลงแป้ง ลงแป้งเสร็จแล้วจะนั่งหลังติดเก้าอี้ไม่ได้เลย เดี๋ยวมันเปรอะเป็นรอยแป้งจะหลุด ถ้าไม่เดินก็นั่งธรรมดาๆ สามโมงเย็นไปแล้วไม่ให้ทานอะไรเลยนะ ถ้าไปเวทีแล้วปวดเบาปวดหนักทุกอย่างจะลำบาก"



หลานๆ กับคุณยายถ่ายภาพร่วมกัน


"แต่นั่นก็คืองานของเรา งานที่อาบเหงื่อต่างน้ำ แต่เราก็ภูมิใจเพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่มันเสียชื่อเสียงหรือว่าเสียเกียรติยศของลูกผู้หญิงเรา"

ต่อพงษ์ : "คงมีคนสงสัยแล้วทำไมไม่ทำอย่างอื่นล่ะ?"
"บางเวทีมันแสนบาท แค่ครึ่งคืนเองนะ แสนบาท...น่ะ"

ป้าศรีเวียงตอบถึงข้อสงสัยดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเมื่อถูกถามว่าการลงทุนตรงนี้คุ้มมากน้อยเพียงใด เพราะดูเหมือนว่าการเลี้ยงดูฟูมฟักนางงามแต่ละคนนั้นจะใช้เงินไปใช่น้อยเลยทีเดียว

"อย่างน้องเบนซ์ จมูกโด่ง ตาโต ยิ้มสวย ผิวดีครบทุกอย่าง เราไม่เสียเงินกับน้องเบนซ์เลย แล้วเขาได้ตำแหน่งง่ายเพราะว่าน้องเบนซ์มีเครื่องครบไม่ต้องไปฉีดโน้น เติมนี่"


ต่อพงษ์ : "อย่างน้องน้ำผึ้ง นี่ดูแล้วผิวจะคล้ำ ต้องทำให้ขาวมั้ย?"
"น้ำผึ้ง..เป็นคนที่ขึ้นเวทีเด่นกว่าคนขาว เพราะเขาไม่ได้ดำแบบว่า ตรงนี้ดำ ตรงนี้ขาว แต่เค้าจะดำเนียนไปเลย เวลาแต่งหน้าขึ้นมาเค้าจะคมกว่าเพื่อน คนขาวบางทีเราแต่งหน้า แก้มแดงไป ทาปากแดง แดงเวอร์ แต่คนดำนี่ออกมาแล้วสวยกลมกลืนไปเลย"

ป้าศรีเวียงบอกตรงๆ ว่าการที่เข้ามาทำตรงนี้แน่นอนเรื่องของผลประโยชน์คือสิ่งที่ควรจะได้ แต่ที่ได้นอกเหนือไปจากนั้นก็คือเรื่องของความภูมิใจ
"ถ้าพูดว่าไม่ได้ ก็คงไม่ได้เพราะว่าการทำงานแม้กระทั่งคนกวาดถนนเค้าก็ยังมีรายได้ ป้าก็ย่อมที่จะมีรายได้ที่จะเลี้ยงครอบครัวและตัวเอง เราถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอาจจะในโลกก็ได้ เลี้ยงลูกก็เกือบจะ 20 - 30 คน แต่จากนั้นแล้วสิ่งที่เราได้ก็คือความภูมิใจอันดับหนึ่งเลย ที่เราได้ทำคุณความดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ได้ช่วยเหลือ สองก็คือได้สร้างคนดีให้สังคม เพราะว่าเด็กที่มาอยู่กับเราเรื่องเสื่อมเสียแทบจะไม่มี"

"บางคนพ่อแม่เลิกกัน ลูกสาวไม่รู้ว่าจะอยู่กับพ่อดีหรือว่าแม่ เพราะต่างคนก็ต่างมีครอบครัว อยู่กับยายดีกว่า แล้วมาอยู่กับเราก็จะมีโอกาสดีทันทีเลย คือทั้งได้เรียนด้วยแล้วยังได้ช่วยสังคมด้วย เพราะนอกจากจะประกวด โชว์ตัว เดินแบบ เราก็ทำคุณประโยชน์ให้สังคมก็คือป้าจะพาเด็กๆ ไปช่วยสอนเรื่องยาเสพติด คืนคนดีให้สังคมที่ทำร่วมกับกรมตำรวจด้วย"


ด้วยวัย 66 ปี ในวันนี้ป้าศรีเวียงบอกว่าอยากจะวางมือเหมือนกันแต่ เพราะยังหาคนที่มาทำตรงนี้แทนไม่ได้ก็เลยจำต้องทำไปก่อน
"บางทีท้อนะ แต่ถอยไม่ได้ นี่มาอีกแล้วนี่ (พยักหน้าไปทางสาวจิน) เพิ่งมา ยังอยู่เดือนกว่าไม่ได้ส่งเรียนเลย แล้วก็มีที่บ้านอีก อายุเพิ่ง 15 เอง เค้ามาจ่อคิวให้ส่งเรียน ก็เลยเลิกไม่ได้สักที อยากจะวางมือแต่ว่ายังไม่มีใครมาดูแลต่อ ตอนนี้มีลูกชายที่ช่วยดูอยู่ จริงๆ เค้าก็พอทำได้แต่ว่าถ้าเขาทำมันก็ต้องจ้างทุกอย่างมันก็จะไม่เหลืออะไร อย่างที่บอกว่าตรงนี้ป้าทำเอง ทำผม ออกแบบชุด ฯลฯ ลูกชายก็จะทำตรงนี้ไม่ได้"

"พยายามจะหาสะใภ้ที่มีใจรักตรงนี้เหมือนกันแต่ก็ยังหาไม่เจอ...เลย(หัวเราะ)"


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์


Create Date : 18 สิงหาคม 2551
Last Update : 20 สิงหาคม 2551 19:57:13 น. 0 comments
Counter : 3571 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.