นางงาม เวที 'เล่นของ' แห่งชาติ...!!!
ขาประจำการประกวดนางงามตามเวทีระดับประเทศ นอกจากชุดว่ายน้ำที่เรียกเรทติ้งแล้ว เรื่องราวลี้ลับบนเวทีประชันขาอ่อนก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ ล่าสุดที่เวทีประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2010 ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า พกเครื่องราง และชอบบนบาน
ประเด็นที่น่าสนใจนอกจากไทยรัฐออนไลน์ จะไปถาม "หนูสิ" ว่า นางงามงมงายไปไหม ในยุค 3จี จะเข้า 4จี แล้ว ความเชื่อเหล่านี้มันคู่กับเวทีนางงามมาตั้งแต่เมื่อไหร่...
น.ส.สิริรัตน เรืองศรี หรือ หนูสิ มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2010 ย้ำกับไทยรัฐออนไลน์ว่า สิ่งที่ได้ยินมาเป็นเรื่องจริง ซึ่งก่อนหน้านี้สิได้ผ่านทั้งการเปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ยาม พกเครื่องราง และบนบานศาลกล่าวขอให้ได้ตำแหน่งมาแล้วจะไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต
"อย่างเมื่อก่อนสิชื่อเล่นว่า ลูกหนู ชื่อจริง ยุวเรศ แต่ต้องเปลี่ยนเพราะว่าชื่อมันแข็ง ทำอะไรก็ติดขัด คุณแม่เลยเอาดวงไปให้พระดู และเปลี่ยนเป็น สิริรัตน (รัตน ไม่มีตัวการันต์) ซึ่งเป็นชื่อที่ทำให้ดวงแข็งๆ อ่อนลง คนก็เริ่มเข้าใกล้มากขึ้น งานก็มีเข้ามา ทำให้เราเชื่อ อย่างเรื่องพกเครื่องรางขึ้นเวที และก็ได้รางวัลแบบที่ตั้งใจนั้น จริงๆ สิบูชาเทพอยู่ 3 องค์นานแล้ว ได้แก่ พระพิฆเณศ ปู่ฤาษี และพ่อขุนรามคำแหง บูชาแล้วรู้สึกว่าโชคดี พอเข้าประกวดก็เลยนำท่านมาเป็นกำลังใจ โดยเหน็บใส่มวยผมทั้ง 3 องค์เวลาขึ้นเวทีปรากฏว่าก็ได้ตำแหน่งอย่างที่ตั้งใจจริงๆ"
ถามว่าเป็นเรื่องงมงายไหม หนูสิ ตอบอย่างมั่นใจว่า นางงามแทบทุกคนก็บนบานศาลกล่าว และพกเครื่องรางกันทั้งนั้น
"มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลอย่างการพกเครื่องรางขึ้นเวทีทำแล้วสบายใจไม่เสียหาย ส่วนตัวมองว่าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้รู้สึกจดจ่อ มั่นคง และเกิดสมาธิมากขึ้น เวลาเรากลัวเราก็รู้สึกเหมือนกับว่า ไม่เป็นไรมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างๆ คุ้มครอง นี่ถ้าจะไปประกวดมิสเวิลด์ สิก็จะพกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3 องค์ไปเป็นกำลังใจเหมือนเดิม" มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2010 กล่าวด้วยความมั่นใจ
แม้จะพอเข้าใจได้ แต่หลายคนในยุคนี้ยังมองว่าแปลกอยู่ดี แต่หนุ่ม กูรูเรื่องนางงาม หรือ นายประเสริฐ เจิมจุติธรรม กล่าวว่า นางงามกับการเล่นของไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
"ว่ากันตามจริงแล้ว นางงามร้อยละร้อยเล่นของกันทั้งนั้น รุ่นที่ฮือฮาและยังยืนยันสิ่งที่เราพูดได้ที่สุดก็คือยุค กบ-ปภัสรา ชุตานุพงษ์ มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2531 ที่ออกมาประกาศหลังได้ตำแหน่งว่าเหน็บปลัดขิกของ อ.ซ่วนค่ะไว้ที่มวยผมทุกครั้งที่ขึ้นเวที อันนี้เด็ดที่สุดในประวัติศาสตร์ของการประกวดนางงาม"
หรือถ้านางงามเล่นของ รุ่นเก่ากว่านั้น กูรูนางงาม เล่าเรื่องหลังเวทีว่า พี่ปุ๊กอาภัสรา หงสกุล นางสาวไทย ปี 2507 ก็มีเรื่องอะไรทำนองนี้ว่า ก่อนจะเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สก็ไหว้พระพรหมก่อน ส่วนจะบนว่าอะไรจำไม่ได้ แต่ที่จำได้ก็คือพกพระสมเด็จนางพระยาไปด้วย
"ตลอดระยะเวลาที่คลุกวงในวงการนี้มา เราเห็นนางงามเล่นของกัน 100% ไม่เฉพาะเวทีใหญ่ การประกวดเวทีเล็กๆ ก็มีพวกนี้นางงามคนไหนบอกไม่บนอย่าไปเชื่อ ล่าสุดเวทีนางสาวไทยปีที่แล้ว โจอี้-อรวิภา กนกนทีสวัสดิ์ นางสาวไทย ปี 2009 หลังเวทีก็เห็นมีการเชิญ แม่ชีศันสนีย์ มาให้นางงามกอดเอาฤกษ์เอาชัย"
หรืออย่างปีที่ เชอรี่ น.ส.เมลิสา มหาพล มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2006 กูรูหนุ่มผู้นี้ เผยความลับหลังเวทีอีกว่า เชอรี่จูงมือแม่ไปปีนเจดีย์วัดพิชัยญาติฯ วัดที่มีแม่ชีธนพร ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องไถ่กรรมเพื่อไปบนบานศาลกล่าวกับองค์พระบนโบสถ์ ซึ่งสูงมากประมาณตึก 4 ชั้นก็ปีนกันไป ที่สุดแล้วก็ได้ตำแหน่งก็ปีนไปแก้บนกับคุณแม่
ด้าน ปู-ปริศนา กล่ำพินิจ ผู้ที่คลุกคลีกับนางงาม อีกทั้งยังเป็นพี่เลี้ยงนางงามในยุคของกบ-ปภัสรา เล่าเบื้องหลังเวที นอกจากภาพนางงามอย่างกบจะพกปลัดขิงแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ก็คือนางงามในปีนั้นทุกคนจะพกพระแก้วมรกต และบนขอให้ได้ตำแหน่งกับอนุสาวรีย์ย่าโม ขณะไปเก็บตัวที่โคราชแทบทุกคน
"นางงามกับของขลัง การบนบานคู่กัน ถ้าเราเข้าใจว่าที่ทำแบบนี้เพราะว่าทุกคนก็อยากได้ตำแหน่ง มีใครไม่อยากได้บ้าง สำหรับเราทำอะไรก็ได้ที่เป็นกำลังใจและไม่ไปเบียดเบียนก็พอ" พี่เลี้ยงในยุค นางงามพกปลัดขิก เล่าอย่างสนุกสนาน
เล่าเบื้องหลังลับๆ ของนางงามแล้ว ไม่ถามคนนี้ไม่ได้ "ป้าศรีเวียง" หรือ นางศรีเวียง ตันฉาย เอเย่นต์ส่งนางงามในสังกัดเข้าประกวดตามเวทีต่างๆ เล่าประสบการณ์ลับๆ หลังเวทีนางงามกับการเล่นของเมื่อครั้งอดีตให้ฟัง
"ถ้าที่ฮือฮามากที่สุด ป้ายกให้ยุค กบ-ปภัสรา ที่เล่นปลักขิงใส่บนหัว จริงๆ เรื่องแบบนี้มันมีมาทุกยุคทุกสมัย เพราะเราเป็นเมืองพุทธก็ต้องมีที่พึ่งทางใจ อย่างนางงามของป้าไม่ว่าเวทีเล็กหรือใหญ่พอจะประกวดเราจะไปให้ "หลวงพ่อคูณ" เคาะหัว ซึ่งถ้านางงามในค่ายป้าคนไหนโดนเคาะหัวรับประกันว่าได้ทุกราย อย่าง ยลรดี เพ็งพูลโภค รองมิสไทยแลนด์เวิลด์ อันดับ 4 ประกวดรุ่น ซินดี้-สิรินยา วินศิริ ก็ไปให้ท่านเคาะมาก็ได้ตำแหน่ง"
ป้าศรีเวียง กระซิบว่า ถ้าจะให้ครบสูตรจริงๆ ก่อนประกวดนางงามป้าจะให้เด็กในค่ายไปไหว้พระพุทธรูปที่วัดพระแก้วพร้อมกับนำน้ำพริกปลาร้าสับ ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่างไปถวาย เนื่องจากเชื่อว่าท่านชอบ เพราะท่านมาจากเวียงจันทน์ พร้อมนำไข่ต้ม 99 ใบไปถวาย แล้วพอลาของถวายก็จะเอาไข่ต้มมาแจกกันกินกันแล้วก็ถือว่าเป็นสิริมงคลดี
"อย่างล่าสุด หนูสิก็เห็นเขาบนว่าถ้าได้ตำแหน่งจะไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งก็ทำดีนะ ไม่เบียดเบียนคนอื่น จริงๆ ไม่ต้องบนก็น่าจะได้ จริงๆ ด้วยความฉลาดแบบนี้ไม่ต้องไปบนใครก็ได้เพราะการศึกษา สมองและหน้าตาเขาดียังมองว่าถ้าไปประกวดมิสเวิลด์น่าจะได้ตำแหน่งใดมา เพราะหนูสิเขาหน้าตาไทยๆ แล้วสูงด้วย ยุคอาภัสรา หงสกุล ก็คว้าตำแหน่งนางงามจักรวาลปี 2508 ก็ตัวเล็กกว่านี้เยอะถ้าเอาความเป็นไทยไปขายน่าจะมีลุ้น"
สุดท้าย ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสสอบถาม นางชุลี ใจยงค์ หรือ "ป้าชุลี" เอเย่นต์ผู้ที่ส่งสาวงามเข้าประกวดตามเวทีต่างๆ ทั่วประเทศ จนได้รับฉายาว่า "เจ้าแม่นางงาม" รุ่นลายคราม กล่าวยืนยันประเด็นนี้ว่า นางงามเป็นเวทีเล่นของจริงๆ
"นางงามเล่นของเยอะ แต่ปีที่ฮือฮาสุด ในวงการคือปีของ กบ-ปภัสรา ออกมาบอกว่าพกปลัดขิง ป้าก็สังเกตว่าทำไมกรรมการมองคนนี้จังเวลาอยู่บนเวที เวทีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันเป็นของคู่กันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเราคือคนไทย"
ไม่ว่าโลกจะแตะยุค 3จี หรือ 4จี แค่ไหน เรื่องแบบนี้ก็ยังอยู่กับคนไทยตราบนานเท่านาน อย่างที่ อ้วน-อรชร กูรูนางงามตัวจริงเสียจริง และเหล่ากูรูนางงามทั้งหลาย กล่าวด้วยตรรกะน่าคิดเกี่ยวกับเรื่องนางงามกับการเล่นของเอาไว้ว่า ที่นี่คือเมืองพุทธ เราคือคนไทย ยังไงถ้าทำแล้วไม่เดือดร้อนใครก็ทำไปแบบสบายใจไทยแลนด์...!
ที่มา
.thairath
| Create Date : 20 สิงหาคม 2553 |
| Last Update : 20 สิงหาคม 2553 22:15:25 น. |
|
0 comments
|
| Counter : 2879 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [
