Group Blog
 
<<
เมษายน 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
18 เมษายน 2558
 
All Blogs
 

แก่นเซี้ยวสวยใส ใครว่า “มิสมอเตอร์โชว์” ต้องเซ็กซี่!!?

แก่นเซี้ยวสวยใส ใครว่า “มิสมอเตอร์โชว์” ต้องเซ็กซี่!!?
อกเป็นอก-เอวเป็นเอว ทุกความเว้าโค้งเผยชัดทุกส่วนสัด เห็นแล้วชะงักไปอีก 3 วัน 7 คืน... ถ้าจะมาตามหาคุณสมบัติแบบนี้จากเวที “มิสมอเตอร์โชว์” ก็ขอให้เปิดไฟเลี้ยวแล้วยูเทิร์นกลับไปได้เลย เพราะสาวน้อยวัย 22 เจ้าของตำแหน่งประจำปีนี้บอกเลยว่า เธอไม่มีเนื้อหนังส่วนไหนให้ขายให้โชว์ความเซ็กซี่ แต่ถ้าจะวัดจากความคิด ความมั่น และความลุยแบบเต็มที่แล้วล่ะก็ รับรองว่าสาวเครื่องเต็มทรงโตต้องยอมหลีกทางให้กับเธอ!!




ขอโทษนะคะ ไม่ถนัด “เซ็กซี่”

“ตรง ลุย ห้าว เฮฮา น่ารัก น่าไลค์” น่าจะตรงกับความเป็น “มีน-วรัญภรณ์ พัฒน์ช่วย” มิสมอเตอร์โชว์ประจำปี 2015 มากที่สุดแล้ว ตั้งแต่แรกเจอกัน เธอเดินมาหาผู้สัมภาษณ์ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่งกายเรียบร้อยตามระเบียบ มองเผินๆ แล้วเป็นเด็กสาววัยเรียนที่น่ารักเรียบร้อยไม่ต่างไปจากผู้เข้าเรียนคณะนิติศาสตร์คนอื่นๆ จนเมื่อมีเสื้อผ้าสีชมพูมาสวม ออร่าความสดใสซาบซ่าของเธอก็โดดเด้งพุ่งออกมาในทันที

บทสนทนาระหว่างเราในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เธอผ่านคืนอันหนักหน่วงแห่งการโชว์ตัวในงาน “The 36th Bangkok International Motor Show 2015” ถึง 12 วัน เรียกว่าเป็นบททดสอบความแกร่งของผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างมีนได้เลย เพราะเธอต้องโชว์ตัวและพูดแนะนำอยู่ประจำบูทต่างๆ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ แทบไม่มีเวลาได้พักหายใจ เสร็จงานเล่นเอาจับไข้กันไปเลย

แต่ถึงอย่างนั้นมีนก็ยังหอบตาช้ำๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อมาพบเจอกับทีมงานในครั้งนี้ แม้จะยังมีอาการอิดโรยแสดงให้เห็น แต่เธอก็ไม่เหวี่ยงไม่บ่น แถมช่วยหยอดมุกเพิ่มเติมตลอดบทสนทนา สงสัยว่าถ้าเจอเวอร์ชันปกติกว่านี้ คงจะยิ่งฮายิ่งทะเล้นกว่าที่เป็นอยู่ไม่รู้อีกกี่เท่า


นั่งคุยกันแค่ไม่กี่อึดใจ เธอก็เริ่มปลดปล่อยความเป็นกันเองในตัวออกมา จึงถือโอกาสถามตรงๆ ว่าจริงๆ แล้วเกณฑ์การตัดสินเวที “Miss Motor Show 2015” คืออะไรกันแน่ นึกว่าผู้ชนะเลิศจากเวทีนี้จะเป็นแบบเนื้อๆ เน้นๆ เสียอีก คนถูกถามหัวเราะเสียงใสกลับมาเป็นคำตอบแล้วบอกชัดๆ ออกมาว่า มันคือความเข้าใจผิดที่หลายคนคิดกันไปเอง และเธอก็เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่คิดแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

“ตอนแรกก็คิดว่าเวทีนี้จะเน้นไปทางเซ็กซี่ ออกแนวพริตตี้ด้วยซ้ำค่ะ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย คนละเรื่องเลย จริงๆ แล้วเวทีนี้เขาอยากได้แบบนางงามจ๋าเลยค่ะ ไม่ได้เลือกจากคนที่มีสัดส่วนชัดอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ อย่างเพื่อนเราเองก็มีทักเหมือนกันค่ะว่า นี่ได้ตำแหน่งมาได้ยังไงเนี่ย ไม่เห็นจะมีจุดเด่นอะไรเลย (ทำท่ามองที่หน้าอกเหมือนอย่างเพื่อนทำให้ดู แล้วหัวเราะชอบใจ) หนูก็เลยต้องอธิบายว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น (ลากเสียง)

(คว้ารางวัลจากการประกวด มิสมอเตอร์โชว์ 2015)


ผู้จัดเขาบอกเลยค่ะว่าที่จัดประกวดเวทีนี้ขึ้นมาเพื่ออยากชี้ให้คนเห็นชัดว่า คนที่เป็น “พริตตี้” กับ “มิสมอเตอร์โชว์” มีส่วนต่างกันอยู่นะ แต่ทุกปีคนก็จะเข้าใจผิดกัน ทั้งๆ ที่มีประกวด 27 ครั้งแล้ว อาจจะเพราะเวทีเรายังไม่ใหญ่เท่าเวทีนางงามทั่วๆ ไปด้วยค่ะ คนเลยยังไม่รู้จักเยอะมาก แต่คนกลุ่มที่สนใจเรื่องรถก็จะพอรู้ค่ะ”

หญิงสาวตากลมยิ้มไปพูดไปอย่างเข้าใจแบบไม่มีท่าทีขุ่นเคืองที่จะอธิบายความเข้าใจผิดแต่อย่างใด แถมยังเผยความลับเล็กๆ ให้ฟังอีกว่า จริงๆ แล้ว เธอเองก็ยังเบลอๆ อยู่เหมือนกันว่าได้ตำแหน่งมาได้อย่างไร

“คุณสมบัติของคนที่ประกวดเวทีนี้ ความมั่นใจคงต้องมาเป็นอันดับหนึ่งค่ะ ส่วนเรื่องสวยก็เป็นองค์ประกอบเสริมที่ทำให้เราโดดเด่นขึ้นมา หลักๆ น่าจะเป็นความมั่นใจกับความกล้ามากกว่า แต่หนูก็ไม่ค่อยมั่นใจอะไรเท่าไหร่นะคะ ทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงได้ (หัวเราะเบาๆ) ตั้งแต่ตอนประกาศผลมาจนวันนี้ก็ยังงงๆ อยู่เลย ถ้าพูดเรื่องบุคลิกก็ยังมีคนที่บุคลิกดีกว่าเราอีกเยอะค่ะ เพราะว่าหนูก็ยังนั่งยังเดินยังยืนยังไม่เป๊ะเท่าคนอื่นเลย


ที่เลือกมาประกวดเวทีนี้ก็เพราะว่าเขาไม่บังคับให้ต้องใส่ชุดว่ายน้ำค่ะ หนูดูรายละเอียดทุกอย่างก่อนที่จะตัดสินใจสมัครเลยค่ะ หนูก็เลยโอเค เพราะส่วนตัวแล้วไม่ชอบที่จะต้องมาโชว์สัดส่วนอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ค่อยมีให้โชว์ด้วย (หัวเราะ) หนูว่ามิสมอเตอร์โชว์เป็นเหมือนเหรียญคนละด้านกับคนที่เป็นพริตตี้เลยค่ะ”

ไม่ใช่ว่าเธอต่อต้านการโชว์สัดส่วนแบบพริตตี้ มีนยืนยันว่ายังคงชื่นชอบและชื่นชมคนที่ทำงานด้านนี้ “ชอบดูค่ะ แต่ให้หนูไป หนูคงทำไม่ได้ ถ้าให้หนูไปทำ หนูคงคิดนานแล้วก็ต้องผ่านการอนุมัติจากครอบครัวอีกหลายชั้น ส่วนที่มีคนอื่นๆ ทำอยู่ก็อยากให้มีต่อไปค่ะ ผู้หญิงกับรถมันเป็นสีสันของงานเลยค่ะ แต่หนูไม่ถนัดแบบนั้น แล้วก็ไม่เคยมองตัวเองเซ็กซี่ด้วย ไม่มีเลยสักส่วนที่จะหาความเซ็กซี่ได้ หาไม่เจอเลยจริงๆ (หัวเราะ)”


ความแปลกใหม่ของปีนี้ในงานมอเตอร์โชว์คือแฟชั่น “พริตตี้ชุดไทย” ไม่ได้เน้นส่วนสัดโค้งเว้าหรือความวาบหวาม แต่ให้ใส่ชุดไทยในการประชาสัมพันธ์เรื่องรถ ซึ่งมีนมองว่าเป็นเสน่ห์ที่น่ารักและสร้างสรรค์อีกแบบหนึ่ง

“โอเคมากเลยค่ะ ส่วนตัวแล้วชอบชุดไทยอยู่แล้วด้วย รู้สึกว่าเครื่องประดับเยอะดี (ยิ้ม) ผ้าไทยเราสวยอยู่แล้วค่ะ ยิ่งชุดประกวดยิ่งสวยมาก ถ้ารณรงค์ให้คนใส่เป็นชีวิตประจำวันเลยก็น่าสนใจดีนะ หรือถ้าจะมีแต่งแบบนี้กันอีกปีหน้าก็คงน่ารักดี แต่ไม่ต้องแต่งกันหมดก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะดูจืดๆ ไป เพราะที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้วค่ะ โชว์นั่นโชว์นี่นิดหน่อย เป็นสีสันของงาน”




แรงผลักของ “คนในความทรงจำ” และครอบครัว

“เพราะตอนสาวๆ คุณแม่เป็นนางงามค่ะ” มีนบอกเหตุผลที่ทำให้คนสำคัญในชีวิตผลักดันให้เธอเข้าสู่เส้นทางการประกวดมาเรื่อยๆ โดยเริ่มจากระดับอำเภอ จังหวัด และครั้งนี้คือครั้งแรกที่ไต่มาจนถึงระดับประเทศ

“ปกติเคยแต่ประกวดเวทีเล็กๆ ค่ะ เวทีแรกน่าจะตอนอายุ 18 เป็นงานนพมาศ นางงามสงกรานต์ของพัทลุง ได้ใส่ชุดไทยหมดเลยทุกครั้งที่ประกวดค่ะ ไม่ก็ชุดราตรี แต่พอจบ ม.6 ที่บ้านเขากะจะให้เราขึ้นเวทีใหญ่ประกวดแบบจริงจัง แต่มันติดตรงที่หลายๆ เวทีต้องใส่ชุดว่ายน้ำค่ะ ก็เลยไม่มีโอกาสได้ประกวดเวทีใหญ่ๆ ซักที จนมาเห็นว่าเวทีนี้ไม่บังคับเรื่องชุดว่ายน้ำ ก็เลยโอเคค่ะ

หนูเข้ามาแบบไม่มีเส้นสายอะไร จากคนประกวด 100 คน มาตัดเหลือ 50 คน แล้วก็ 25 คน จนมา 10 คน สุดท้ายขึ้นเวทีประกวดเหลือ 5 คน ตอนแรกไม่ได้ซีเรียสด้วยค่ะ ไม่คิดว่าจะได้ เพราะคุณแม่อยากให้เน้นเรื่องเรียนมากกว่า ประมาณว่าเรียนให้จบก่อน แล้วเรื่องงานถ้ามีค่อยทำ ไม่มีก็ไม่เป็นไร”


เคยถูกแรงผลักจากคนในบ้านส่งประกวดหลายต่อหลายเวทีในจังหวัดพัทลุงซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ จนมีนถึงขั้นเข็ดขยาดไปอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน บอกเลยว่าแค่คิดก็เหนื่อยมากแล้ว

“คุณแม่ คุณป้าเขาจะชอบมากค่ะเรื่องประกวด ก็เลยสนับสนุนเราตลอด แต่เมื่อก่อนหนูไม่ชอบเลยนะคะ รู้สึกว่ามันเหนื่อย (น้ำเสียงบ่งบอกความรู้สึกนั้นจริงๆ) มันเหนื่อยมาก (เธอย้ำให้ฟังชัดๆ อีกครั้ง) เพราะงานที่ประกวดส่วนใหญ่จะเป็นงานกลางคืนค่ะ กว่าจะได้เดินประกวดก็ดึกมากแล้ว กว่าจะเสร็จก็ประมาณตีสาม ไปจนไม่ได้ไปโรงเรียน ช่วงหลังๆ หนูไม่ไหวด้วยค่ะ ขอพัก บอกว่าหนูอยากเล่นอยากเที่ยวกับเพื่อนๆ บ้าง”


ชัดเจนว่าครอบครัวคือผู้ผลักดันที่สำคัญในชีวิตของเธอ คนกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มคนที่สำคัญที่สุดสำหรับมีน ถึงแม้ว่าเพื่อนวัยเดียวกันอาจให้ความสำคัญกับกลุ่มเพื่อนมากกว่า แต่เธอยังคงทุ่มความสำคัญให้กับ “คุณแม่” มากที่สุด เพราะมองว่าคุณแม่คือ “เพื่อนสนิทที่สุด” ในชีวิต

“คุยกันได้ทุกเรื่องเลยค่ะ อยู่กับคุณแม่เหมือนอยู่กับเพื่อน บางทีเหมือนอยู่กับน้องด้วย (หัวเราะ) สนิทกับแม่มากค่ะ นี่คุณแม่ก็เพิ่งขึ้นมาเยี่ยมค่ะ ช่วงงานมอเตอร์โชว์ที่เพิ่งจบไป คุณแม่รู้ว่างานนี้เราหนักแน่ๆ เลยมาช่วยดูแล นี่ก็เลยป่วยไปพร้อมกันเลยค่ะ” แววตาของเธอบ่งบอกความรู้สึกอันล้นปรี่ที่ซ่อนไว้ไม่มิด

เห็นเธอพูดถึงคุณแม่ซ้ำๆ จึงขอถามถึงคุณพ่อบ้าง แล้วคำตอบที่ได้รับก็ทำให้เข้าใจว่าทำไมเธอจึงพูดถึงคนสำคัญในชีวิตอีกคนน้อยมาก “คุณพ่อเสียไปแล้วค่ะ 10 ปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง” ก่อนจะย้อนความทรงจำในวันวานให้ฟังด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“เขาเป็นคนดุมากเลยค่ะ คุณพ่อเป็นครูสอนพละเลยจะมีกฎระเบียบเยอะมาก เมื่อก่อนหนูเลยไม่เคยได้ใส่กระโปรงเลยค่ะ ไปไหนกับคุณพ่อต้องใส่กางเกงตลอด เพราะคุณพ่อเขาเป็นโค้ชทีมฟุตบอล หนูก็ตามไปดูไปเชียร์ด้วยตลอด แต่ก่อนก็เลยจะเป็นเด็กตัวดำมากๆ (ยิ้มเขินๆ) ถือว่าติดพ่อมากช่วงนึงเลยค่ะเพราะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด


ที่ต้องไปกับคุณพ่อบ่อยๆ ทั้งๆ ที่กลัวเขาดุก็เพราะว่าคุณแม่อยากให้ไปกับพ่อค่ะ เขารู้ว่าหนูกลัวพ่อ ถ้าอยู่กับพ่อ หนูจะเป็นอีกคนนิสัยนึงเลยค่ะ คือจะเรียบร้อยมากๆ เพราะกลัวคุณพ่อมาก แต่อยู่กับคุณแม่ เราจะเป็นอีกนิสัยนึง เพราะจะสนิทกับคุณแม่เหมือนเพื่อนเล่นกันเลยค่ะ

ตอนที่รู้ว่าคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งก็ใจหายค่ะ พ่อเป็นมะเร็งตับแล้วก็ลามไปทั่วเลย เพราะว่าเขาเป็นคนสูบบุหรี่ กินเหล้าจัด เข้าสังคมเยอะ เรามารู้ตอนระยะที่ 2 แล้วก็พักรักษาตัวอยู่บ้านมาเรื่อยๆ พอเริ่มอาการหนักขึ้นก็เข้าพักโรงพยาบาล แต่อยู่ได้ไม่นานค่ะ หลังจากนั้นแค่สัปดาห์เดียวเขาก็ไปเลย ถ้านับจากที่รู้ว่าป่วยจนถึงตอนเขาเสียก็ถือว่าอยู่ได้ 3 เดือนค่ะ

ตอนนั้นก็เสียใจนะคะ แต่เพราะเรายังเด็กมาก ถ้ากลับมาคิดในตอนนี้ ถ้าเรื่องมันเกิดขึ้นตอนเราอายุเท่านี้ หนูว่าหนูอาจจะเสียใจมากกว่านั้นด้วยซ้ำ คงเป็นโชคดีด้วยค่ะที่อยู่กับเพื่อนช่วง ม.ต้น เลยทำให้เราไม่จมอยู่กับความเสียใจมากนัก อีกอย่าง เป็นเพราะพ่อเขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกด้วยค่ะในหลายๆ เรื่อง รวมถึงอาการเจ็บป่วย แล้วก็จะเป็นคนที่ทานยากมาก ยาก็ไม่ค่อยทานก็เลยไปเร็วหน่อย

คุณพ่อเขาดื้อมากค่ะ จะอยากกินในสิ่งที่อยากกินเท่านั้น ซึ่งหนูว่าหนูอาจจะติดนิสัยนี้มาจากคุณพ่อด้วยมั้งคะ (ยิ้ม) เป็นคนกินยาก ถ้ามีอะไรอยู่ตรงหน้าให้กินแต่ไม่อร่อย บางทีเลือกที่จะไม่กินไปเลย

ทุกวันนี้ เวลานึกถึงคุณพ่อก็ยังรู้สึกเหมือนเขายังอยู่ด้วยกับเรานะคะ แต่ภาพในความทรงจำก็จะมีแต่โมเมนต์ดุๆ นะ (ยิ้ม) เพราะคุณพ่อจะเป็นคนหน้าเข้ม หน้าโหด แค่มองตาเวลาเราทำอะไรผิด เราก็กลัวแล้ว หนูร้องเลยค่ะคิดดู หรือแค่สอนการบ้านผิดนิดนึง หนูก็ร้อง หนูขี้น้อยใจ”


มีนเติบโตมาในครอบครัวขยาย อยู่ท่ามกลางคุณแม่ คุณน้า คุณป้า และญาติผู้ใหญ่ สิ่งที่ถูกปลูกฝังอย่างจริงจังมากที่สุดมีเพียงไม่กี่เรื่อง และหนึ่งในนั้นคือเรื่อง “การเรียน”

“ที่บ้านจะไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับเราเยอะเลยค่ะนอกจากเรื่องเรียน คุณแม่จะบอกตลอดว่าไม่ขออะไรเลย ขอแค่ใบปริญญาของลูกแค่นั้นเอง”สาวน้อยหน้าใสปิดประโยคด้วยรอยยิ้มแห่งความเข้าใจ




60 ยังไหว! ไม่มีใครแก่เกินเรียน

อย่างที่บอกว่าคุณแม่คาดหวังเรื่อง “การเรียน” มาเป็นอันดับหนึ่ง เธอจึงค่อนข้างตามใจในเรื่องนี้ และนี่คือสาเหตุที่มีนเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อต้องการสานฝันคณะคงแก่เรียนให้คุณแม่ และแก้ไขชีวิตในอดีตที่เคยเกเรสมัยอยู่ในรั้วคอซอง

“เมื่อก่อนเราเป็นเด็กค่อนข้างเกเรค่ะ ชอบโดดเรียนไปนั่งเมาท์กับเพื่อน ติดเพื่อนมาก ก็เลยจะถูกคุณแม่ดุเรื่องเรียนบ่อยๆ หนูเรียนศิลป์-เยอรมันมาค่ะ เป็นเด็กหลังห้อง ก็มีทำตัวแก่นๆ บ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นหัวโจก อาจจะเป็นตัวรองๆ ลงมาค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้เกเรแบบออกนอกโรงเรียนนะคะ แค่จะโดดเรียนมาเมาท์แค่นั้นแหละค่ะ หรือถ้าวิชาต่อไปมีส่งการบ้าน ก็จะโดดวิชาก่อนหน้านั้นเพื่อไปทำการบ้าน พอเข้ามหาวิทยาลัย คุณแม่เลยอยากให้เรียนนิติค่ะ เพราะคงอยากให้เราเรียนอะไรยากๆ จะได้รู้ว่าชีวิตที่เรียนจริงๆ เป็นยังไงมั้งคะ (ยิ้ม) ซึ่งมันก็เรียนหนักจริงๆ”

แอบเสียดายเล็กๆ ที่ไม่ได้มีกลุ่มเพื่อนหัวโจกตามมาร่วมก๊วนเดียวกัน ชีวิตการเรียนของเธอจึงเปลี่ยนไปอย่างกับฟ้ากะเหว เพราะนอกจากจะได้เปิดโลกใหม่ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ยังได้เพื่อนร่วมห้องเป็นคนที่ไม่ใช่วัยเดียวกัน ต่างอาชีพ ต่างมุมมองเต็มไปหมด 
“ส่วนใหญ่ที่เรียนจะเป็นคนที่ทำงานแล้วค่ะ มีหลายช่วงอายุมากๆ เพราะเป็นการเรียนในโครงการพิเศษ ช่วงเวลาพิเศษ 5 โมงถึง 3 ทุ่ม ได้เรียนกับเพื่อนที่เป็นคุณป้า คุณลุงก็มีค่ะมันก็ทำให้เรารู้ว่าจะต้องวางตัวกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันหมด ในห้อง อายุ 60 ยังมาเรียนก็มีค่ะ มีเป็นพระ หรืออาชีพอื่นๆ อีกเยอะเลยค่ะ


ตอนแรกก็งงๆ ค่ะ เจอรุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นตารุ่นยายยังมีเลย ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ เขาจะมองว่าเราเป็นเด็ก จะช่วยสอนเราในหลายๆ เรื่อง และเราจะช่วยกันเรียนค่ะ เอาเคล็ดลับต่างๆ มาแชร์กันให้จำง่าย เรียนเข้าใจยังไงบ้าง

เคยคุยกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เหมือนกันนะคะ เขาก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนไม่เคยมีโอกาสเรียน พอมีโอกาสเลยมาลงเรียนเอาวุฒิบ้างเพื่อไปทำงานต่อ ส่วนใหญ่เขาจะบอกเราเลยว่า ถ้ามีโอกาสทำงานให้ทำไปก่อน เรื่องเรียนสมัยนี้มันตามกันทัน จะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าจะแก่แค่ไหนก็เรียนได้ (ยิ้ม) แต่สำหรับหนู หนูว่ามันแล้วแต่ช่วงชีวิตค่ะ ถ้าเราคิดว่าทำงานแล้วสนุก ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยก็ได้ค่ะ อย่างที่หนูก็ทำอยู่


แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ว่าอยากทำงานหรือเรียน หนูอยากกลับไปวัยเรียนสมัยมัธยมที่สุดแล้วค่ะ (หัวเราะ) มันสนุกกว่า ไม่ต้องคิดมาก พอโตขึ้น มาอยู่ตรงนี้ ก็ต้องคิดเรื่องอนาคตไปอีก โตแล้วไม่ค่อยสนุกเลยค่ะ เข้าใจเลยว่าที่ผู้ใหญ่บอกให้เรียนไปเถอะ เดี๋ยวไม่ได้มีชีวิตเรียนแบบนี้แล้วจะเสียดาย มันหมายความว่าอะไร”

ไหนๆ ก็ย้อนวันวานวัยใสให้ฟังแล้ว มีนเลยถือโอกาสแอบกระซิบบอกความจริงเอาไว้เสียเลยว่าคณะที่ลงเรียนอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของเธอ แต่ “คณะสัตวแพทยศาสตร์” ต่างหากคือสิ่งที่เธออยากเรียน หรืออย่างน้อยที่สุด ขอทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับสัตว์เพื่อสนองความรักล้นใจในเจ้าหน้าขนที่มีอยู่ในตัวเอง

“ชอบสัตว์มากๆ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ต้อนนี้ก็มีเลี้ยงเม่นแคระ, แมว,หมา แล้วก็กระต่าย แต่ตอนนี้ที่คอนโดเหลือน้องหมาตัวเดียวแล้วค่ะพันธุ์ชิวาว่า นอกนั้นส่งกลับบ้านหมดแล้ว เลี้ยงไม่ไหวค่ะ ห้องเละมาก (ลากเสียง) เพราะว่าเราเลี้ยงแบบปล่อยเลยค่ะ ไม่ได้ให้อยู่ในกรง 
จริงๆ แล้ว ถ้าเรียนเพิ่มด้านสัตวแพทย์ได้ หรือทำอะไรเกี่ยวกับสัตว์ได้ หนูคงทำค่ะ อาจจะเปิดฟาร์มไปเลยก็ได้ ทุกวันนี้ก็เริ่มมีเพาะพันธุ์เองด้วยนะ แต่เป็นการเพาะแบบไม่ตั้งใจช่วงเลี้ยงเม่นแคระมันจะคลอดเยอะมากเลยค่ะ ยิ่งช่วงฤดูหนาว ตอนแรกซื้อมา 2 ตัว ตอนนี้ขยายพันธุ์เป็น 20 ตัวแล้ว”

เพราะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับเจ้าหน้าขนตัวเล็กตัวน้อยแบบนี้นี่เองเลยทำให้มีนเป็นคนไม่ติด “โซเชียลมีเดีย” เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ขนาดถามชื่อ Acoount เฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมที่ใช้อยู่ เธอยังถึงกับบอกผิดๆ ถูกๆ เพราะจำไม่ได้ ในฐานะที่เป็นคนวัยเดียวกันกับวัยไฮเทค จึงขอให้เพื่อนผู้หวังดีช่วยแนะวิธีการใช้เทคโนโลยีในแบบที่เป็นตัวเองเสียหน่อย และนี่คือมุมมองของคนที่เลือกก้มหน้าเพราะเล่นเกมมากกว่าการโพสต์หรืออัปโหลดออนไลน์


“การเล่นแบบนี้ก็มี 2 แง่ มีทั้งดีและไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับคนเล่นว่าเขาอยากเล่นแบบไหนค่ะ สื่อแต่ละอย่างมันก็อยู่ที่คนเสพด้วยค่ะ ข่าวแย่ๆ ทีเกิดขึ้นคนมองว่าไม่ดี แต่บางครั้งก็ถือเป็นการเตือนคนอ่านไปในตัว

ถ้าเป็นหนู หนูก็จะคิดก่อนโพสต์ค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้แชร์อะไรอยู่แล้ว จะเอาไว้ใช้แชตกับเพื่อนมากกว่า ไว้ถามแนวข้อสอบ ไม่ค่อยได้เช็กอินอะไร แต่ก็มีดูความเคลื่อนไหว มีกด Like บ้างค่ะ เป็นเพราะว่าเป็นคนสายตาไม่ดีด้วยค่ะ สายตาสั้น ปวดตา ต้องใส่แว่นเวลาต้องอ่านอะไรแบบนี้ เลยจะเลือกใส่แว่นกับตอนเรียนเป็นหลักค่ะ”




ฝันไว้ในใจ อยากเดินตามรอย “พี่ชม”

“พี่ชม” ที่มีนหมายถึงคือ “ชมพู-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” นางเอกสาวมากความสามารถซึ่งเป็นไอดอลในชีวิตของเธอ บอกเลยว่าถ้ามีโอกาสพุ่งเข้าใส่จะขอตามรอยการเป็น “นักแสดง” อย่างรุ่นพี่คนนี้ เพราะเห็นความตั้งใจและความสามารถในทุกบทบาทที่ชมพู่เคยรับเล่น ทั้งบทนางเอ๊กนางเอก นางร้าย หรือแม้แต่นางเอกแบบร้ายๆ เธอก็จัดหนักจัดเต็มจนได้ใจประชาชนล้นประเทศไปหมดแล้ว

“อยากเก่งแบบพี่ชมค่ะ ถ้ามีโอกาสหนูก็อยากทำหมดทุกอย่างเลยค่ะ อยากเลือกเลย ชอบหมด ยกเว้นว่าถ้าโป๊ คงไม่ไหว (ยิ้ม) ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแสดงค่ะ อยากลองดูถึงจะไม่เคยเรียนการแสดงเลย เพราะที่บ้านอยากเห็นเราในทีวีด้วยค่ะ หนูเองก็ชอบเหมือนกัน”

ถามว่าหลังได้รางวัลชนะเลิศจากเวทีมิสมอเตอร์โชว์ครั้งนี้แล้ว เธอโด่งดังขึ้นมามากแค่ไหน มีแฟนคลับเป็นของตัวเองแล้วหรือยัง? คนถูกถามยิ้มกว้างแล้วตอบตรงๆ ปนฮาว่า “ยังไม่มีนะคะ ที่มาชื่นชอบก็มีเล็กน้อย เป็นเด็กๆ แถวบ้านค่ะ (หัวเราะ)” มีนหยิกแกมหยอกแล้วค่อยขยายความเพิ่มเติม

“จริงๆ หนูก็อยากให้มีคนมาชื่นชอบเราเหมือนกันนะคะ แต่ไม่ได้อยากเป็นถึงไอดอลของใครขนาดนั้น เพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองดีอะไรมาก อย่ามาทำตามเลย (ยิ้ม) เราก็ยังมีมุมที่อยากเป็นตัวเองบ้าง แต่ก็อาจจะมีมุมที่เป็นตัวอย่างให้น้องๆ ได้ แต่ถ้าให้เป็นตัวอย่างทุกเรื่องคงไม่ไหวค่ะ

เรื่องที่พอจะเป็นแบบอย่างให้ได้ก็อาจจะเป็นนิสัย “จริงจัง” ค่ะ ทำอะไรก็ต้องทำจริงจัง หรือทำให้ดีที่สุดไปเลย ทุกวันนี้หนูก็พยายามตั้งใจเรียนทั้งๆ ที่ไม่ได้เก่งอะไร แล้วก็กตัญญูกับพ่อแม่ค่ะ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เถียงนะคะ (ยิ้ม) ก็เถียงบ้างเพราะเราคิดว่าเราบอกเหตุผลของเรา แม่ก็มีเหตุผลของแม่ แต่เราไม่ค่อยทะเลาะอะไรกันแรงค่ะ แต่จะเหมือนบ่นๆ เถียงๆ กันไปมา แล้วสุดท้ายก็จบด้วยฮา (ยิ้มแววตาสดใส) คุณแม่เป็นคนไม่ค่อยซีเรียสค่ะ มันเลยทำให้เราคุยกันได้ทุกเรื่องจริงๆ

ทุกวันนี้ก็มีคุณแม่เป็นกำลังใจสำคัญค่ะ โดยเฉพาะตอนที่ขึ้นเวทีประกวดหรือไปแสดงอะไรข้างบน เราจะตื่นเต้นมาก ยิ่งเมื่อก่อนยิ่งตื่นเต้นหนักมาก ขึ้นไปประกวด ได้ก็ร้องไห้ ไม่ได้ก็ร้องไห้ ขึ้น 10 รอบก็ร้องทั้ง 10 รอบ เครียดกับตัวเองว่าจะทำได้ไม่ดี ทุกวันนี้ถ้าจะให้ขึ้นเวทีใหญ่อีกก็ยังกลัวอยู่เลยค่ะ เรื่องเข้าวงการก็ยังแอบกลัวๆ อยู่เลยค่ะว่ามันจะเป็นไปในทิศทางดีหรือไม่ดี แต่ที่ผ่านมาได้ดีทุกครั้งเป็นเพราะปรึกษาผู้ใหญ่ตลอดค่ะ

สำหรับหนู หนูว่าการคุยตรงๆ กับคนในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานครอบครัวแต่ละคนด้วยค่ะว่าที่บ้านปลูกฝังเขามายังไง บางคนอาจจะไม่ค่อยสนิทกับพ่อแม่เพราะว่าไม่ค่อยกล้าคุยกัน แต่หนูคุยได้ทุกเรื่องเลยค่ะ มันก็อยู่ที่ว่าคนเป็นลูกจะกล้าพูดมั้ย ทั้งที่บางเรื่องอาจจะดูหนัก ไม่น่าจะกล้าพูด แต่หนูก็ยังกล้าพูดนะคะ พูดทุกเรื่อง หนูว่ามันดีกว่า บอกให้เขาได้รู้หลายๆ เรื่อง ดีกว่าให้เขารู้จากหูคนอื่นอีกที ไม่ว่าเราจะทำเรื่องอะไรที่ผิดพลาดไปก็ตาม แม่ก็จะบอกว่าตลอดค่ะว่าในเมื่อผิดไปแล้ว ทำไปแล้ว ก็ช่างมันแล้วกัน”


ทุกวันนี้ ชีวิตของมีนมีเรื่องสำคัญๆ ให้ทำอยู่ไม่กี่เรื่องและเธอก็เต็มที่กับมัน โดยเฉพาะเรื่องการเรียน พอว่างจากงานปุ๊บก็จะโดดเข้าห้องสมุดทันที อย่างที่รู้ๆ กันว่าคนที่เรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ต้องขยันและมีระเบียบวินัยในตัวเองสุดๆ ถึงจะจบได้ และที่สำคัญ ต้อง “เรียนเอง” ให้เป็นด้วย

“ถึงอาจารย์สอนก็ต้องขยันเองค่ะ เพราะถ้าไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เขาจะไม่ค่อยมานั่งประนีประนอมกันค่ะ เขาจะไม่ถือว่ายังไงก็ลงทะเบียนแล้ว ผ่านเถอะ จะไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ เลย คือถ้าไม่เข้าใจ ทำข้อสอบไม่ได้ สุดท้ายอาจารย์ก็จะไม่ให้ผ่าน ต้องเรียนใหม่อย่างเดียว ไม่มีแก้

เพราะเรียนที่นี่ รอบข้างเราเลยมีแต่เพื่อนที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยหมดเลยค่ะ หลายๆ คนงานเยอะกว่าหนูอีก หนูเลยไม่ได้คิดว่าตัวเองเหนื่อยอะไรมากมาย แต่คิดว่ามีเวลานอนมาเยอะมากแล้วก่อนหน้านี้ เชื่อมั้ยคะว่าที่ผ่านมาถึงกับเคยเบื่อตัวเองเลยว่าไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะไปไหน นอนอย่างเดียวจนปวดหัว ป่วยเพราะนอนเยอะเกินไปด้วยซ้ำ (ยิ้มขำๆ) ตอนนี้ก็เลยคิดว่ามีเวลานอนมาเยอะแล้ว เดี๋ยวค่อยนอนอีกยาวไปเลยแล้วกัน”




---ล้อมกรอบ---
ประวัติส่วนตัว

ชื่อ: มีน-วรัญภรณ์ พัฒน์ช่วย
วันเกิด: 15 มี.ค.2536
ส่วนสูง: 173
น้ำหนัก: 50
การศึกษา: นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
รางวัลที่ได้รับ: มิสมอเตอร์โชว์ 2015




คนเอาแต่ใจ ขอคนเอาใจ

“หนูเป็นคนเอาแต่ใจสูงมาก (ลากเสียง)” คอนเฟิร์มเองขนาดนี้ หนุ่มๆ คนไหนได้ใจไปแสดงว่าเจ๋งจริง แต่เจ้าตัวก็แง้มๆ เอาไว้ว่าตอนนี้ก็มีคนที่คบๆ คุยๆ อยู่เหมือนกัน และที่สำคัญเธอคบใครแล้ว คบทีละคนไม่เผื่อเลือกแน่นอน!

“สำหรับหนู ไม่ได้มองคำว่า “กิ๊ก” เหมือนอย่างที่คนอื่นเรียกกันน่ะค่ะ หนูคิดว่ามันคือการ “มีแฟน 2 คน” มากกว่า มันไม่ใช่กิ๊กหรอก คิดดูว่าจะไปคุยเล่นๆ กับอีกคน แล้วอีกคนเขาจะยอมเหรอ หนูล่ะคนนึงที่ไม่ยอม (ยิ้มมุมปาก) เพราะหนูเป็นคนคุยกับใคร คุยคนเดียว แต่ถ้าใครจะชอบคบกันแบบเป็นกิ๊กก็แล้วแต่เขาค่ะ แค่จะบอกว่าถ้าเป็นหนู หนูรับไม่ได้... รับไมได้จริงๆ (เน้นเสียง) คือถ้าเราให้ใจใครแล้ว เขาก็ต้องให้ใจเราด้วย”

เด็ดขาดขนาดนี้ เป็นเพราะเธอมีจุดยืนชัดเจนว่าไม่ค่อยยอมอ่อนให้ใคร บอกเลยว่าใครที่จะเข้ามาต้องมายอมอ่อนให้เธอแทน
“หนูเป็นผู้นำมากกว่าผู้ตามค่ะ ไม่ค่อยตามใคร ดื้อมาก เอาแต่ใจสุดๆ ใครที่จะเข้ามาคุยกับหนูได้คงยากค่ะ เพราะว่าเราเลือกเยอะ ไม่ใช่ว่าเลือกจากหน้าตานะคะ แต่เราเลือกจากนิสัยว่าเขาจะยอมเราได้มั้ย เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีใครยอมใครหรอก เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายต้องใหญ่ที่สุด ไอ้ที่แบบจะมาตามเรา ไม่ค่อยมีหรอก

ถ้าเป็นไปได้ อยากให้การตัดสินใจส่วนใหญ่อยู่ที่เรามากกว่า คือไม่ใช่ว่าเราไม่ให้เขาตัดสินใจอะไรเลยนะคะ แต่ถ้าจะตัดสินใจเรื่องอะไรก็ต้องถามหนูด้วย ไม่ใช่ตัดสินใจเองเลย และเราเองก็ต้องให้เกียรติเขาด้วย อยู่ด้วยกันก็ต้องให้เกียรติกันค่ะ หนูชอบคนเฟรนลี่ ไม่ค่อยชอบคนวางมาดหรือข่มผู้หญิง”




มอเตอร์โชว์ รถยนต์ และอาเสี่ย

ในเมื่อความเซ็กซี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก แล้วอะไรในตัวที่คิดว่าแมตช์กับรถที่สุด? มิสมอเตอร์โชว์ปีล่าสุดกรอกตาคิดพักหนึ่งแล้วจึงให้คำตอบ

“ความไม่หยุดนิ่งมั้งคะ เพราะรถมันจะไม่หยุดนิ่ง พอสตาร์ทแล้วก็ไปเลย อาจจะหยุดพักบ้าง แต่ไม่ได้หยุดตลอดกาล ตอนนี้ก็ออกวิ่งอย่างเดียวเลยค่ะ (ยิ้ม)”

สายงานใกล้เคียงกับความเป็นพริตตี้แบบนี้ ถามหน่อยว่าเคยเจออาเสี่ยมาเสนอทุนการศึกษาให้บ้างหรือเปล่า?
“ก็มีเข้ามาคุยเหมือนกันนะคะ แต่ไม่ได้เข้ามาชอบ เพราะเราวางตัวของเราเองว่าเราจะเป็น “เด็กเสี่ย” มั้ย หรือจะเลือกเป็น “ลูก” ให้เขาได้สอน (ยิ้ม) แต่ไม่เคยมีนะคะคนที่มายื่นเงินให้เป็นเด็กป๋า (หัวเราะ) ด้วยนิสัยเราด้วยมั้งคะที่เราชัดเจน

หรือถ้าเกิดเจออาเสี่ยเข้ามาขอเลี้ยงดูจริงๆ หนูคงพูดไปตรงๆ น่ะค่ะ เพราะหนูเป็นคนตรงมาก อาจจะบอกไปว่า “กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียที่บ้านดีกว่า ไม่ต้องมาเลี้ยงหนูหรอก จะมาเลี้ยงหนูทำไม” (หัวเราะ)”


สัมภาษณ์โดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก "Mean Waranporn Patchuay”, แฟนเพจ "Miss Motorshow Thailand"




 

Create Date : 18 เมษายน 2558
0 comments
Last Update : 18 เมษายน 2558 0:42:10 น.
Counter : 3942 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.