<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 11

greenteagreentea


11.-


แดดยามเช้าสาดแสงผ่านหน้าต่าง ทอลำเหลืองนวลกระทบม่านสีสวย ร่างบางยืนยิ่ง ทอดตามองไปไกล แววตาเปล่งประกายสำรวจสภาพแวดล้อมน่าอภิรมย์รอบตัว

“กาเซียร์...ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะคะ?”

“กาเซียร์คิดว่าเจสเซอร์คงเหนื่อยเลยไม่ได้ปลุกค่ะ” วงหน้าอ่อนเยาว์เบือนมาทางต้นเสียงเพียงนิด ก่อนจะหันกลับไปจุดเดิมที่สนใจเมื่อครู่

คำตอบราบเรียบนั้นทำเอาผู้ถามชะงัก ราตรีที่ผ่านมาไม่รื่นรมย์นัก ครุ่นคิดเรื่องเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่แทบไม่ได้หลับ หากก็พยายามข่มอารมณ์ว้าวุ่นลง เพราะไม่ต้องการให้กาเซียร์ระแคะระคายเรื่องนั้น และนั่นจะเป็นเหตุให้นางเป็นทุกข์

“ดูอะไรอยู่คะ หือ?” ย่างเท้าเข้าหา ตวัดร่างบางไว้ในอ้อมแขน จุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากนวล

“นกค่ะ...นกสวยมากๆ เลย นั่นไงคะ...ตรงโพรงไม้ใหญ่ ตรงกลางนั่นน่ะค่ะ” ตอบพลางชี้นิ้วไปยังทิวไม้ใบกลมสีเหลืองอร่าม ทอดยาวตลอดทั้งแนวรวมแล้วหลายสิบต้น ต่างแผ่กิ่งก้านกินบริเวณกว้าง แต่เน้นที่ต้นใหญ่ตรงกลาง

“ไหนคะ?” ดวงตาคมปรายตามทิศทางที่นิ้วเรียวชี้ เพ่งหาสิ่งที่นางเอ่ยอ้าง

“นั่นไง! กระโดดออกมาแล้ว ตัวสีแดงสดเลย เมื่อกี้มีอีกตัวบินมาเกาะขอบระเบียงตรงนี้ด้วย พอกาเซียร์เข้ามาใกล้ แอบย่องเข้ามาด้วยนะคะ...ยังไม่ทันถึงตัว มันก็บินหนีไปเลย แต่ตัวนั้นสีเหลืองนะ” เสียงใสแจกแจง พร้อมยกมือบอกใบ้ ปรายตามองท่านจ้าวบ้างเป็นบางครั้ง ประกอบคำอธิบาย

โดเรียสสบตาน้องอย่างนึกเอ็นดู เวลาชอบอะไรมักช่างจำช่างเล่า เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร นัยน์ตาระยับจังจับจ่อที่นกสีแดงสดตลอดทั้งตัว มันกระโดดโลดเต้นไปมาตามกิ่งไม้ใหญ่

“นกคัลเลอร์น่ะค่ะ...ตามปกติมีอยู่หลายสี สีสดทั้งนั้นเลย” ตอบพลางกระชับอ้อมแขน ก้มลงวางคางลบบนไหล่บางแผ่วเบาอย่างจะเรียกร้องให้น้องน้อยสนใจบ้าง

หญิงสาวปรายมาแย้มยิ้มให้เพียงน้อยนิด ก่อนจะเบือนกลับไปจับจ้องนกน้อยตัวเดิมอีก ทำเอาอีกฝ่ายผิดหวัง

“เฮ้อ...” โดเรียสถอนใจ บ่งชัดว่ากำลังอิจฉานกน้อยนั่น คงเพราะหัวใจของร่างในอ้อมแขนดูจะสนใจเจ้านกนั่นมากกว่า นึกฉุนขึ้นมาทันที

“กาเซียร์ชอบหรือคะ?” นึกวิธีชักจูงกลับมาได้แล้ว

“ค่ะ...ตัวเล็กๆ น่ารักดี” ได้ผลดังคาด น้องน้อยยอมละสายตาจากนก เบือนหน้ามาทางเจ้าของอ้อมแขนอบอุ่น ก่อนจะแย้มยิ้มให้ดั่งที่เคยเป็น...สมใจท่านจ้าวไม่น้อย

“รออยู่นี่นะ...เดี๋ยวพี่มา” เอ่ยพลางปล่อยร่างบาง กวาดตามองรอบๆ เมื่อถานที่ปลอดโปร่งจึงจับขอบระเบียงเหวี่ยงตนเองลงไปเบื้องล่าง

“เจส...” นี่มันชั้นสองนะ ถึงไม่สูงแต่ก็ไม่เตี้ยแน่นอน กาเซียร์ใจหายวับ แต่เมื่อนึกว่าเป็นท่านจ้าวโดเรียส แค่นี้คงไม่เป็นไรกระมัง

เมื่อเท้าแตะพื้นก็ก้าวหายไปในพงไม้ทึบเบื้องล่าง

โดเรียสหายไปได้พักใหญ่...ร่างบางยังคงยืนพิงราวระเบียงไม้ ทอดตามองไปรอบๆ สังเกตว่าจำนวนนกมากขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดเล็ดลอดช่องใบเล็กๆ เป็นลำนวลส่งให้สีเหลืองของใบไม้สว่างมากขึ้น จนดูดั่งระกายทองนพคุณล้ำค่า

“กาเซียร์” เสียงเรียกดังมาจากเบื้องหลัง

ร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามาในห้อง ยิ้มให้สาวน้อย ก่อนจะตรงมาทางระเบียงที่ร่างบางคอยอยู่ ซ่อนมือเอาไว้เบื้องหลัง

“อะไรคะ?” ไม่ผิดหวัง นางดูจะสนใจ โดเรียสจึงยื่นนกตัวน้อยสีส้มแสดราวเปลวเพลิงมาตรงหน้า รอลุ้นปฏิกิริยาอีกฝ่ายอย่างใจจดจ่อ

จะงอยปากสีแดงสดขยับถี่ๆ เมื่อมันส่งเสียงร้อง จิ๊บๆ น่าฟังนัก

“น่ารักจัง” เรียวปากแย้มกว้างตาหรี่เล็กจนแทบปิด ยื่นมือจะโอบอุ้มเข้าหาตัว แต่ก็ชะงักไว้ “มันจะหนีไหมคะ”

“ไม่หรอกค่ะ นกพวกนี้เชื่อง...แต่กาเซียร์ต้องมีอาหารให้มันก่อนนะ”

“แล้วมันเกิดอะไรเป็นอาหารคะ?”

“ลูกเดือย...ถั่ว...ข้าว ก็คงเหมือนนกทั่วๆ ไปแหละค่ะ”

“ถั่ว...ข้าว...” นิ่งไปพักหนึ่ง “งั้นรอเดี๋ยวนะจ๊ะ”

ร่างบางผละไป ก่อนจะวิ่งผลุบหายไปทางประตูด้านหน้า ท่านจ้าวส่ายหน้าเนือยๆ แววตาอ่อนโยนทอดตามร่างบางที่พ้นประตู

“อาบูจาจ๋า...มีอาหารนกไหม? ข้าวหรือถั่วก็ได้ ขอกาเซียร์บ้าง” เสียงใสดังแว่วผ่านเข้ามาในห้อง แล้ว...ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงฝีเท้าซอยถี่ๆ ดังใกล้เข้ามา เมื่อร่างบางโผล่พ้นประตูก็รีบเอ่ยขึ้นทันที

“คอยนานไหม...ชิบิ” กาเซียร์คลี่นิ้วออก เคลื่อนมาตรงหน้านกน้อย พร้อมถั่วสีเขียวเข้มเม็ดเล็กๆ ซึ่งหยิบมาเต็มอุ้งมือ

“ชิบิ!” อีกผู้ถามสงสัย “เจ้านกนี่...ชื่อชิบิหรือคะ?”

หญิงสาวพยักหน้า ดวงตางามยังจับจ้องที่นกน้อย

ท่านจ้าวอึ้งไปเกือบอึดใจ ก่อนจะหัวเราะดังเนื่องจากกลั้นไว้ไม่อยู่...อะไรจะหาชื่อได้ไวปานนั้น

“ห้ามหัวเราะนะ” กาเซียร์เสียงขุ่น หน้างอง้ำ รู้ว่าท่านจ้าวคิดอะไรอยู่

“ค่ะ...ไม่...พี่ไม่หัวเราะแล้ว” กระแสเสียงยังมีเค้าล้อเลียน พยายามกลั้นหัวเราะแต่พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงก็อดขำไม่ได้ จนหญิงสาวประชดเข้าให้ว่า

“ชื่อน่ารักใช่ไหมล่ะ” งอนตุปัดตุป่อง

ท่านจ้าววางมือลงบนศีรษะเล็กๆ ขยี้เบาๆ ทั้งเอ็นดูแกมหนั่นไส้ ก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาใกล้ระทับจูบแผ่วเบา หญิงสาวเงยหน้าสบตา

“กาเซียร์พาชิบิไปด้วยได้ไหมคะ?” เอ่ยถามพลางขออนุญาต

“กาเซียร์ให้อาหารมันแล้ว...กาเซียร์ไปไหนมันก็ต้องตามไปด้วยอยู่แล้ว แต่นกพวกนี้ในป่ามีเยอะเลย มีหลายชนิดด้วย ไว้พี่หาที่สวยกว่านี้ให้ใหม่ดีกว่าไหมคะ?” มีหรือจะกล้าขัดใจ แถมอาสาอย่างขันแข็ง เพราะต้องการเอาใจน้องน้อยอยู่ก่อนแล้ว

“ชิบิเป็นนกของกาเซียร์ค่ะ” เอ่ยหนักแน่นยืนยันประสงค์เดิม

ชิบิยังเกาะอยู่บนนิ้วของท่านจ้าว จิกเมล็ดถั่วอย่างเอร็ดอร่อย

“ในป่ามีเยอะเลยหรือคะ?”

“ค่ะ...มีสัตว์แปลกๆ ด้วย”

“สัตว์แปลกๆ อสูรหรือคะ?” นึกถึงเรื่องอสูรที่ท่านจ้าวเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้สีหน้าก็แปรเปลี่ยน นางไม่ชอบงูอสูร อีกทั้งเรื่องอสูรที่เจอตอนไปถ้ำน้ำแข็งดูจะผุดขึ้นมาในใจอีกแล้ว

“ไม่ใช่ค่ะ อืม...เป็นสัตว์รูปร่างสวยๆ ดอกไม้ก็มีเยอะเลย” อธิบายพลางหัวเราะอดขำท่าทางหวาดสะดุ้งของนางไม่ได้

“กะ...ก็กาเซียร์ไม่ชอบงูนี่นา และไม่ชอบอสูรรูปร่างเหมือนปลาหมึกนั่นด้วย” เสียงแหลมเล็กนั้นสะบัดหน่อยๆ เพราะรู้ว่ากำลังถูกล้อเรื่องที่เป็นคนขี้กลัว ซึ่งมักโดนประจำ

“ไวลด์น่ากลัวกว่าเจ้าพวกนั้นตั้งเยอะ พี่ไม่เห็นกาเซียร์จะกลัวสักนิด” เอ่ยถึงมังกรเทพประจำตัว

“ก็ไวลด์ไม่กินคน อสูรชอบกินคน ยังจะจับกาเซียร์กินด้วย กาเซียร์เลยไม่ชอบ...ตอนเจอไวลด์ครั้งแรก กาเซียร์ยังเป็นลมเลย” ความทรงจำสมัยที่เจอไวลด์ยังหลงเหลืออยู่ในจิตสำนึก มิได้ถูกลบเลือนไปเหมือนหลายๆ เรื่องที่พยายามนึกแต่กลับว่างเปล่า

“อืม จริงสินะ...ตอนนั้นกาเซียร์บอกว่าเห็นไวลด์เป็นงูยักษ์ พอรู้ว่าไม่ใช่งูเลยไม่กลัว” ท่านจ้าวเองก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่น้องน้อยจดจำได้ เพราะดูท่าจะรู้อยู่แล้ว

“กาเซียร์กลัวงูที่สุดเลย” เอ่ยเป็นจริงเป็นจัง ท่านจ้าวอมยิ้มน้อยๆ อย่างเห็นด้วย หากมิวายล้อต่อ

“แต่พี่ว่าไม่ใช่งูอย่างเดียวละมั้ง...พี่เห็นกาเซียร์กลัวหมดเลย กลัวความมืด กลัวที่ต้องอยู่คนเดียว และที่สำคัญคือ กลัวผีด้วย”

“กะ...ก็มันกลัวนี่คะ” ใบหน้างามงอง้ำ “ใช่ว่ากาเซียร์จะชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนได้ก็อยากจะเปลี่ยนหรอกค่ะ เป็นแบบเจสเซอร์ก็ดี จะได้ไม่ต้องกลัวอะไร ดีไหมล่ะคะ”

“ไม่ดีค่ะ พี่ว่าเป็นอย่างนี้น่ะดีแล้ว” รีบแย้งทันควัน “ขืนกาเซียร์เป็นแบบพี่ คงเป็นเด็กเหลือขอ หรือไม่ก็ม้าดีดกะโหลก...โอย...ไม่อยากนึกภาพเลย” ส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้

“ไม่รู้ละ ก็อยากล้อกาเซียร์ดีนักนี่...กาเซียร์จะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่เลยว่า เกิดชาติหน้าขอให้กาเซียร์เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งไม่แพ้หญิงอื่นๆ ไม่กลัวใครหรือสิ่งใดๆ เป็นสตรีที่เก่งไม่แพ้ชายอกสามศอกอย่างเจสเซอร์ด้วย” แสร้งทำเป็นเอาจริงเอาจังอย่างนึกสนุก

ไม่เอาพี่ไม่ชอบ...ยังไงพี่ก็ไม่เอาหรอก”

“ก็กาเซียร์อธิษฐานไปแล้ว แก้ไม่ได้หรอก”

“ถ้าอย่างนั้น...พี่ก็ขออธิษฐานบ้างว่า ถ้ามีชาติหน้าจริงๆ ก็ขอให้คำอธิษฐานของกาเซียร์เป็นโมฆะ และขอให้กาเซียร์เป็นกาเซียร์คนนี้ของพี่ตลอดไป”

“ก็ต้องเป็นคนขี้กลัวอีกน่ะสิคะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ เอาอย่างนี้ก็ได้ เวลากาเซียร์กลัว พี่ก็จะกอดเจ้าไว้แนบอกอย่างตอนนี้” กระหวัดแขนโอบร่างบางแน่นขึ้น “แล้วถ้ากาเซียร์เจอพวกอสูรหรืองู กาเซียร์ก็เรียกไวลด์มาช่วย พี่ว่าอสูรก็อสูรเถอะคงได้เผ่นแน่บ” เอ่ยทีเล่นทีจริงเพราะเข้าใจว่าอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่ไฉนกลับมีเสียงหัวเราะต่อกระซิกของคนหลายคน ท่านจ้าวสะบัดหน้าไปทางต้นเสียงแทบจะทันที

พวกข้ารองบาททั้งห้า นั่งบ้าง ยืนบ้าง หัวเราะคิกคัก เข้าใจว่าคงขันถ้อยคำเมื่อครู่

“ขำอะไรกันนักหนา” เสียงแข็งขึ้นตามแววตา ใบหน้าบึ้งตึง ขัดใจขึ้นมาทันควัน ถ้ารู้ก่อนว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย คงไม่พูดเล่นอย่างเมื่อครู่เป็นแน่ ไม่สบอารมณ์เมื่อถูกมองเป็นตัวตลก

“เตรียมตัวกันได้แล้ว จะได้ออกเดินทาง ทำอะไรกัน ไม่เห็นจะเข้าท่า”

“ไหนเลยจะเข้าท่าเท่าคำแนะนำเมื่อครู่ของฝ่าบาท เผ่นเน่บงี้...ดำริออกมาได้ไงเนี่ย อัจฉริยะเลยละพระเจ้าค่ะ” นั่นคือคำพูดของซีเซล ที่มาพร้อมกับเสียงเฮเกรียวกราวยิ่งกว่าตอนแรก ส่วนเจ้าของคำพูดเมื่อครู่รีบเบี่ยงตัวเข้าไปหลบหลังอาบูจาเพราะร่างกายหนาพอสำหรับกำบังภัย เดาได้ว่าเจ้าเหนือหัวต้องหาอะไรปาใส่เป็นแน่ แต่มิวายโผล่หน้ายียวนนั้นออกมาดูผลงานของตนเมื่อครู่

คนอื่นๆ ก็พยายามถอยห่างจากซีเซล รวมทั้งอาบูจาซึ่งดูจะลำบากที่สุด เพราะซีเซลเกาะหลงไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ท่าทางทั้งคู่ทุลักทุเลกันน่าดู ท่านจ้าวเองก็เดือดได้ที่ สายตาส่ายส่องหาบางอย่างที่พอจะใช้ปาศีรษะองครักษ์จอมยียวน

กาเซียร์หัวเราะสดใส ไม่ได้ขบขันคำพูดของท่านจ้าวดั่งคนอื่นๆ แต่ขันเสียงแข็งกลบเกลื่อนอารมณ์เคอะเขินนั้นต่างหาก



อาณาจักรนาบูจวนเจียนล่มสลายเต็มที สหพันธ์บุกยึดดวงดาวซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำได้หลายแห่ง ถึงแม้ว่าศูนย์กลางจะยังพอทานกำลังทหารหาญของสหพันธ์ได้ แต่ไม่ช้า...ประชาชนต้องเผชิญกับสภาวะขาดแคลนอาหาร ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ป่วยนัก จะทำการใดก็ไม่สะดวกนัก สถานการณ์ของนาบูในขณะที่เรียกว่าวิกฤตจนยากจะแก้ไข

“...พวกเกล้ากระหม่อมเห็นควรว่า ฝ่าบาทจะประทับที่นาบูไม่ได้แล้ว สหพันธ์ต้องบุกมาถึงที่นี่เป็นแน่ ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็ว ขอให้ทรงตรึกตรองเรื่องนี้ให้ดีด้วย” สมุหนายกเฒ่าแสดงความหวั่นวิตก

“จะให้เราทิ้งประชาชน แล้วหนีเอาตัวรอดอย่างนั้นหรือ?” กระแสเสียงบ่งชัดว่าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะที่เหล่าข้าราชบริพารได้ปรึกษาและลงมติเห็นควร

“เราทิ้งประชาชน เพราะเราต้องการเวลา อย่างน้อยก็เพื่อให้ฝ่าบาทรักษาพระอาการประชวน ถ้าทรงอยู่ในเงื้อมมือของสหพันธ์ ทุกอย่างก็จบ จะมีใครอีกเล่าที่จะสามารถกอบกู้สหพันธ์ได้อีกเมื่อนั้นทั่วจักรวาลจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติหนักกว่าที่เป็นอยู่ อีกทั้งพวกที่ตกเป็นทาสก็จะไม่มีวันได้รับการปลดปล่อย ฝ่าบาททรงเป็นความหวังเดียวของประชาชนเหล่านั้นนะพระเจ้าค่ะ” มาร์คเซลราชองครักษ์สนับสนุน

“ใช่เพคะ หม่อมฉันก็เห็นด้วย เราไม่ได้หนีเอาตัวรอด แต่เราต้องรักษาชีวิตไว้เพื่อรอโอกาส” เอสทีเซียร์ ราชินีของท่านจ้าวลูซิเฟอร์เห็นด้วย

ท่านจ้าวสบตาราชินีอย่างชั่งใจ เมื่อนางสนับสนุนอีกแรง ดูเหมือนจักรพรรดิแห่งนาบูจะคล้อยตามบ้าง แต่ก็มีเสียงหนึ่งแย้ง

“พวกเจ้าก็คิดแต่เรื่องของตัวเอง เคยคิดถึงเปอร์ซิโฟเน่กับเอริเซียร์บ้างไหม? ที่ท่านจ้าวมิคาเอลไม่บุกทำลายล้างนาบูดั่งที่ทำกับอาณาจักรอื่น ไม่ใช่เพราะพวกนางหรอกหรือ? หัดมีสำนึกกันบ้างสิ” พระมารดาของเจ้าหญิงทั้งสาม เข้ามายังห้องทำงาน ท่ามกลางสถานการณ์ตรึงเครียด

เหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่กำลังเกลี่ยกล่อมให้เจ้าเหนือหัวลี้ภัยกันอย่างสุดกำลังและสถานการณ์ทำท่าว่าจะไปได้ดี แต่ตอนนี้...คิ้วของแต่ละท่านดูจะขมวดเขม็งอีกครั้ง

พระนางมาลาวีใบหน้าบึ้งตึงบ่งชัดถึงอารมณ์ ถ้อยคำเมื่อครู่ตอกย้ำท่านจ้าวยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้ตัดสินใจยากขึ้น

“เสด็จแม่ เวลานี้ท่านจ้าวไม่มีพระกำลังพอจะต้านทานสหพันธ์ได้นะเพคะ เสด็จแม่ก็น่าจะเข้าพระทัย พวกเราทุกคนเป็นห่วงน้องกันทั้งนั้น แต่เราจะมัวห่วงหน้าพะวงหลังไม่ได้ ท่านจ้าวมิคาเอลคงไม่ทำอันตรายน้องทั้งสองเป็นแน่ เพราะถึงอย่างไรก็ทรงรักเปอร์ซิโฟเน่” เอสทีเซียร์อธิบายอย่างอ่อนใจ สถานการณ์ย่ำแย่ลงทุกที แต่พระมารดายังดื้อดึง

“ขออย่าทรงเป็นกังวลเรื่องเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์เลยพระเจ้าค่ะ” มาร์คเซลรายงาน หวังช่วยคลี่คลายสถานการณ์

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?” พระมารดามาลาวีเบือนหน้าไปยังผู้กล่าว

“ตอนนี้ทั้งสองพระองค์เสด็จลี้ภัยยังคาคูด้า โดยการช่วยเหลือของจิลแฟร์พระเจ้าค่ะ”

เรื่องราวที่รายงานสร้างความปีติไม่น้อย หากท่านจ้าวลูซิเฟอร์ก็ไม่อาจวางใจได้ “เรายังมองไม่เห็นเลยว่า ยังจะมีที่ไหนอีกที่จะหลบพ้นจากอำนาจของสหพันธ์ ขนาดนาบูยังอยู่ในสภาพนี้”

“คาคูด้าพระเจ้าค่ะ...ดินแดนที่ท่านจ้าวมิคาเอลจะเสด็จไปเยือนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการละเมิดพันธสัญญาที่เคยให้ไว้กับจักรพรรดิเมฟาตีส” มาร์คเซลแนะนำ

“คาคูด้า...โดเรียส” กระแสรำพึงเสียงเบาหวิว

“พระเจ้าค่ะ มีแต่ท่านจ้าวโดรเยสเท่านั้นที่พอจะต่อการกับท่านจ้าวมิคาเอลได้”

“มาร์คเซล เจ้าจะให้เรานำความเดือดร้อนไปให้โดเรียสอย่างนั้นหรือ? แค่พระองค์ยืมยื่นหัตถ์ช่วยเปอร์ซิโฟเน่กับเอริเซียร์ก็มาพอแล้ว เจ้ายังจะให้เราบากหน้าไปสร้างความเดือดร้อนให้พระองค์อีกหรือ? ตอนที่โดเรียสเผชิญกับเรื่องร้ายๆ จนเอาชีวิตแทบไม่รอด เรากลับช่วยอะไรพระองค์ไม่ได้เลย” ลูซิเฟอร์ละอายใจยิ่งนัก

“อย่าโทษองค์เองสิเพคะ นั่นเพราะเจ้าพี่ทรงช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ท่านจ้าวโดเรียสต้องทรงเข้าพระทัยเจ้าพี่ดี”

“ท่านจ้าวโดเรียส...ฮึ...บ้านป่าเมืองเถื่อน เมืองที่ไม่ยอมมีวิวัฒนาการอะไรนั่นน่ะหรือ ถ้าจะหนีไปที่อย่างนั้น สู้อยู่ที่นี่ไม่ดีกว่ารึ หนีตายไปที่นั่น...สิ้นคิดที่สุด” พระนางมาลาวีกล่าวดูแคลน ไม่ต่างจากเก่าก่อนเมื่อเอ่ยถึงท่านจ้าวโดเรียส ระยะทางและกาลเวลาไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังโดเรียสลดน้อยลงเลย

“เสด็จแม่...พอเถอะเพคะ ทุกอย่างยังเลวร้ายไม่พออีกหรือ” เสียงกร้าวขึ้นอย่างชัดเจน พระมารดามีแต่ใช้ถ้อยคำทิ่มแทงให้คนอื่นเจ็บปวด ทั้งที่นางไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่คงไม่มีใครหวังความช่วยเหลือจากนาง ขอเพียงนางอยู่เฉยๆ ก็เกินพอแล้วสำหรับความช่วยเหลือที่ทุกคนปรารถนาจากอดีตราชินีแห่งนาบู

“อะไรกัน...เอสทีเซียร์...เจ้ากล่าวโทษแม่อย่างนั้นน่ะหรือ...เจ้ามัน!”

“หม่อมฉันมิบังอาจกล่าวโทษเสด็จแม่ แต่ที่เปอร์ซิโฟเน่ต้องไปอยู่กับมิคาเอลเพราะเสด็จแม่ทรงเห็นดีด้วยไม่ใช่หรือเพคะ? เพราะทรงวางแผนกับมิคาเอลไม่ใช่หรือเพคะ?” เอสทีเซียร์เอ่ยอย่างสิ้นความอดทน นางเฝ้าแต่สงสารน้องที่ต้องแยกจากคนรัก ด้วยเหตุเพียงเพราะพระมารดาไม่พอใจคนรักของนาง

“จะ...เจ้าจะโทษแม่ไม่ได้นะเอสทีเซียร์ ทำไมท่านจ้าวลูซิเฟอร์ไม่เอาชนะการประลองให้ได้ ถ้าชนะเรื่องเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น อีกทั้งโดเรียสเองก็ไม่เอาไหน ไม่ยอมต่อสู้เพื่อแย่งชิงเปอร์ซิโฟเน่เอง ถ้าโดเรียสมีความทะเยอทะยานสักนิด เรื่องคงไม่เป็นเช่นนี้แน่” นางมิได้รู้สึกผิดแม้แต่เสี้ยวกระผีก ได้แต่โยนความผิดให้คนอื่นรับไป โดยมิได้สนใจว่าคนอื่นจะรู้สึกและมองนางเช่นไร

“พระเจ้าค่ะ...เพราะหม่อมฉันไม่เอาไหน เรื่องถึงเป็นเช่นนี้” เสียงสุดกล้ำกลืนหลุดจากลำคอจักรพรรดิแห่งนาบู ถ้อยวาจาของพระนางมาลาวีกรีดใจให้เจ็บปวดนัก ถ้าเขาทำอะไรได้มากกว่านี้ ถ้าชนะการประลอง สหพันธ์คงไม่เป็นดั่งทุกวันนี้

“อย่าเสียเวลาอีกเลยพระเจ้าค่ะ...ชักช้าจะไม่ทันการณ์” สมุหนายกรีบเร่ง ราวกับว่าเหตุร้ายกำลังจะเกิดในนาทีนี้ วินาทีนี้”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้ท่านจ้าวลูซิเฟอร์คิดไปว่า นาบูตกอับถึงเพียงนี้แล้วหรือ? เพราะพระองค์ไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือ?

“แล้วเราจะไปส่วนไหนของคาคูด้าล่ะ?” พระมารดายังมิวายร้อนใจ

“ปราสาทคาคูด้า...ศูนย์กลางแห่งอาณาจักรคาคูด้าพระเจ้าค่ะ จิลแฟร์จะทำหน้าที่ติดต่อท่านจ้าวโดรเยสให้เรา”

“หวังว่าคงไม่ต้องไปนอนเกลือกดินหรอกนะ”






greenteagreentea




Create Date : 11 ตุลาคม 2552
Last Update : 11 ตุลาคม 2552 23:02:39 น. 0 comments
Counter : 561 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.