<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 5



5.-

เวลานี้ซีเซลกับเฮเดรสต้องเผชิญศึกหนัก ฝ่ายโดเรียสเองก็ยังทรงตัวไม่มั่นคง แต่ดวงตากระด้างจ้องไปทางองค์จักรพรรดิ กัดกรามจนนูนเป็นสัน มือยกขึ้นเหนือศีรษะ

บังเกิดวงแหวนสว่างไสวคล้ายกงจักรหมุนแรงเร็ว โดยมีฝ่ามือเป็นแกนกลาง

เสียงเหมือนพายุลูกใหญ่จากที่ไกลแสนไกลเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาทุกขณะ หมู่เมฆดำทะมึนผุดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แผ่คลุมม่านฟ้าบดบังแสงสว่างไว้หมดสิ้น

‘วงแหวนพิฆาต’ ที่บังเกิดจากความเกรี้ยวกราดของโดเรียสขยายเส้นผ่าบนศูนย์กลางออกเรื่อย ๆ

เวลาเดียวกัน พื้นพิภพมืดสลัว สิ่งที่มองเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ ส่งให้ความโกลาหลทวีขึ้นอีกเท่าตัว ลมกรรโชกแรงปะทะพลับพลาทอง ข้าวของปลิวกระจัดกระจาย ฝุ่นผงคลุ้งตลบ ผู้คนพยายามหาที่ยึดเกาะกำบัง เพราะตระหนักดีว่าภัยพิบัติครั้งใหญ่กำลังก่อตัวและต้องปะทุขึ้นเป็นแน่แท้

องค์จักรพรรดิยังประทับนิ่งบนบัลลังก์ ประหนึ่งมิได้หวาดหวั่นกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ราวกับกำลังท้าทายว่า คนเจ็บเจียนตายอย่างโดเรียสจะมีปัญญาตอบโต้อะไรกลับมาได้บ้าง

ลูซิเฟอร์ใช้ตนเองเข้าปกป้องนางอันเป็นที่รัก รวมทั้งเจ้าหญิงน้อยเอริเซียร์ เวลาไล่เลี่ยกัน มิคาเอลก็รั้งร่างบางของเปอร์ซิโฟเน่เข้าสู่อ้อมแขน

เมื่อโดเรียสสะบัดมือ กงจักรเพลิงพลันพุ่งปราดไปทางพลับพลา จุดหมายคือจักรพรรดิบนบัลลังก์ทอง และทันที่ที่เข้าปะทะ อสุนีบาตจากฟากฟ้าฟาดกระหน่ำลงกลางท้องพระโรง เกิดประกายเงินจับขอบฟ้า ตามด้วยเสียงฟ้าคำรนกึกก้อง เสียงระเบิดสะเทือนลั่นตามมาอีกหน กลบเสียงผู้คนหวีดร้องลนลาน

เสาต้นใหญ่ขนาดสามคนโอบถูกระเบิดกระจุย ตัวตึกสั่นสะเทือนรุนแรง หลังคาที่เสียสมดุลค่อย ๆ เอนลงข้างหนึ่งก่อนจะถล่มลง กลืนผู้คนซึ่งออกกันอยู่เบื้องล่างหายวับไปในพริบตา

ทางฝ่ายซีเซลกับเฮเดรสก็ต่อสู้กับกลุ่มองครักษ์นับร้อยอย่างไม่ลดละ แม้ทั้งคู่จะจัดการกับศัตรูได้มากมาย แต่ก็บาดเจ็บสาหัส เลือดโซมไปทั้งกาย ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามมองหาเจ้าชายของตน

โดเรียสยืนโซเซและกำลังจะล้มลง ดีที่ยันมือไว้กับเข่าเสียก่อน จึงยังทรงกายอยู่ได้แม้แทบไม่เหลือกำลัง

จักรพรรดิเมฟาตีสเริ่มเคลื่อนไหว จะต้องตอบโต้อะไรกลับมาเป็นแน่...ซีเซล เฮเดรสตระหนักเช่นนั้น...อีกเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ประกายเงินพุ่งทะลุซากปรักหักพัง หลังคาพลับพลาที่ทรุดลงเอครู่ระเบิดกระจุยเป็นเศษเล็กเศษน้อย มองเห็นสภาพด้านในได้ชัดเจน

ผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วน เลือดแดงฉานละเลงเปรอะไปทั่ว กลิ่นคาวคลุ้งตลบท่ามกลางควันไฟซึ่งปกคลุมทึบทึม ชิ้นเนื้อและชิ้นส่วนแขนขาที่เพิ่มหลุดออกจากร่างยังกระตุก ก่อนจะค่อย ๆ หยุดนิ่งกลาดเกลื่อนทั่วบริเวณ

เสียงร้องโอดโอยอย่างน่าเวทนา กระตุ้นให้โดเรียสกระหายเลือดยิ่งกว่าเดิม...เค้าความพินาศครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น

“จะมากไปแล้วนะ !” มิคาเอลกระโจนเข้าปะทะร่างโซเซของโดเรียสทันที

การต่อสู้เริ่มขึ้นและดำเนินไปท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวน เสียงระเบิด แรงปะทะสะเทือนลั่นอีกหลายระลอก และมีเค้าว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ

“หยุดนะโดเรียส...พี่บอกให้เจ้าหยุด !” ลูซิเฟอร์ตะเบ็งเสียงห้ามทำให้โดเรียสเสียสมาธิ เบือนนห้าไปตามเสียงเรียก

“อย่าอยู่เลย !” มิคาเอลกระโจนเข้าใส่อีกครั้งหมายปลิดชีพ

เสียงระเบิดพร้อมกับสำแสงหลากสีเกิดขึ้น ตามด้าวยกลุ่มควันสีขาวที่เปลี่ยนเป็นสีดำแผ่คลุมทั่วบริเวณจนมองไม่เห็นร่างของทั้งสอง มีเพียงเสียงปะทะกันจากการต่อสู้ดังออกมาเป็นระยะ

เวลาเลยไปอีกพักใหญ่ ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงัดอีกครั้ง เมื่อกลุ่มควันเริ่มจางลง สายตาทุกคู่ก็ต้องเบิกกว้าง

“มิคาเอล !” ลูซิเฟอร์กำลังเผชิญกับความเย็นที่เกาะกุมขั้วหัวใจ มิคาเอลซึ่งเขายังพ่ายแพ้ บัดนี้นอนจมกองเลือดไม่เหลือสติ พ่ายแพ้แก่โดเรียสที่เวลานี้อยู่ในสภาพเจ็บหนัก ซวนเซอย่างคนไร้เรี่ยวแรง

‘โดเรียสเจ้าจะทำอะไร ? หนีไปสิ จักรพรรดิไม่ปลอ่ยเจ้าไว้แน่’ ลูซิเฟอร์อยากตะโกนบอกอนุชาเช่นนี้ แตก่ดูเหมือนมีบางสิ่งปรี่ขึ้นมาอุดลำคอไว้ ไม่อาจเปล่งวาจาใดๆ ออกมาได้

ร่างเจ็บหนักของโดเรียสพยายามสืบเท้าตรงไปทางเปอร์ซิโฟเน่ซึ่งยืนสั่นระริกด้วยความกลัว และตกใจกับเหตุการณ์ที่บานปลายไปได้ถึงเพียงนี้

“เปอร์ซิโฟเน่...ไปกับพี่เถอะ ไปจากที่นี่...” กระแสเสียงสั่นเครือ ยื่นมือเปื้อนเลือดไปยังนางอันเป็นที่รัก หวังจะไปให้พ้นจากตรงนี้ เพื่อครองรักกันดังที่เคยให้คำมั่น นี่เป็นสิ่งเดียวที่นึกได้ในเวลานี้

“โดเรียส...หม่อมฉัน...” ร่างบางลังเล ก่อนจะหลับตาลง เรียวปากบางเม้มสนิทใจที่สับสนต่อสู้กันภายใน และดูเหมือนจะยากเย็นยิ่งนักกับสิ่งที่นางต้องเลือกอึดใจ...เปลือกตาบางจึงเปิดขึ้น สบตาเขียวประกายอำพัน

“พอเถอะเพคะ...ทรงลืมหม่อมฉันเสียเถอะ” จับจ้องจดจำภาพนั้นไว้ หวังให้ตราตรึงอยู่ในหัวใจ “ฝ่าบาทอย่าทำร้ายคนอื่นอีกเลย แค่นี้ก็โหดร้ายมากพอแล้ว หม่อมฉันขอเป็นครั้งสุดท้าย”

“มะ...ไม่จริง...เจ้าไม่” โดเรียสเจ็บปวดกับถ้อยคำปฏิเสธ

“เปอร์ซิโฟเน่...ไปกับพี่เถอะ...ไปจากที่นี่กัน” ยังคงยื่นมือสั่นเทาเพราะพิษบาดแผลให้ คิดว่านางเพียงแค่ลังเลเท่านั้น ดวงตาคมเว้าวอน ประหนึ่งเหยื่อที่อ้อนวอนขอชีวิตจากผู้ล่า

“เปอร์ซิโฟเน่ ไปกับพี่...”

“ไม่ !” ปัดมือที่ยื่นหาทิ้งอย่างสิ้นเยื่อใย “ดูพระหัตถ์สิเพคะ...หัตถ์ที่อาบด้วยเลือดของผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ใช่โดเรียสคนเดิมอีกแล้ว ทอดพระเนตรสิเพคะ นี่คือสิ่งที่เกิดจากพระหัตถ์ ผู้คนล้มตายมากมาย ทรงทำเรื่องโหดร้ายปานนี้ได้อย่างไร...ทรงทำได้อย่างไร ? พระทัยทำด้วยอะไร !”

ความรู้สึกผิดเกาะกินใจแน่นหนา นางคือต้นเหตุของการสูญเสียครั้งนี้ ไม่คิดว่าโดเรียสจะทำอะไรที่โหดร้ายเยี่ยงนี้ได้ ดวงตามีเพียงรอยหมองเศร้า ทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง พยายามบอกกับตนเองว่า โดเรียสที่นางเคยรักไม่มีตัวตนอีกต่อไป

“พะ...พี่ทำเพื่อเจ้า พี่ผิดเหรอ...” ดวงใจแทบสลาย สติเลือนราง ไม่ทันตั้งตัวหรือเพราะไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงหมดกำลังต่อสู้และป้องกันภัยให้ตนเอง

หอกแหลมพุ่งมาด้วยความเร็วแทงทะลุอก ร่างสูงโปร่งกระตุกเฮือก...ศาสตราวุธที่หลุดจากหัตถ์องค์จักรพรรดิ คงหมายปลิดชีพโอรสด้วยตนเอง

เลือดแดงฉานซึมจากปากแผล คมหอกปักลึกอยู่กับแผ่นอก โดเรียสยกมือสั่นเทากำด้ามหอกไว้แน่น ออกแรงดึงสุดกำลัง

“อึก !” ทันทีที่ปลายแหลมหลุดพ้นแผ่นอก โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉุดไม่ต่างจากลาวาที่ปะทุจากปล่องภูเขาไฟ เปอร์ซิโฟเน่ทรงกายไม่อยู่ ซวนเซผละห่าง หูอื้ออึงสติเลือนราง

ก่อนที่โดเรียสจะทรงกายไม่ไหว...ล้มลงสิ้นสติ ซีเซลก็ปราดเข้ารับร่างไว้ได้ทัน

“ฝ่าบาท” ประคองเจ้าเหนือหัวไว้อย่างยากลำบาก เพราะตนเองก็แทบจะทรงตัวไว้ไม่ไหว เลือดนองเต็มตัว

เฮเดรสเบี่ยงตัวเข้าขวาง เอาตัวเองกำบังอันตรายให้เจ้าเหนือหัว แขนข้างหนึ่งเจ็บหนักทิ้งแนบลำตัว อีกข้างกำด้ามดาบไว้มั่นทั้งที่เต็มไปด้วยบาดแผล พร้อมฟาดฟันใครหน้าไหนที่คิดจะเข้ามาทำร้ายเจ้าเหนือหัวของตน สายตาคู่นั้นดุจสัตว์ร้ายซึ่งถูกต้อนให้จนมุม พละกำลังเฮือกสุดท้ายถูกปลุกขึ้นอย่างเต็มตัว

“ยืนแทบจะไม่อยู่...ยังคิดจะสู้ ช่างเด็ดเดี่ยวกันเหลือเกินนะ” เสียงเยือกเย็นไม่มีเค้าเกรี้ยวกราดแต่บ่งบอกว่าเคียดแค้นกับการกระทำของโอรสอย่างหาที่เปรียบมิได้ “ดี ! ข้าจะให้พวกเจ้าได้สู้สมใจอยาก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซีเซลตระหนักได้ถึงภัยที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าเหนือหัวในอีกไม่ช้า และพวกตนคงทานไว้ได้ไม่นานนัก พลันนึกอะไรบางอย่างได้ จึงตะเบ็งสุดเสียง

“ไวลด์ !” สิ้นเสียง บังเกิดกลุ่มควันสีทองพุ่งลงมาจากฟากฟ้ารวดเร็วประดุจวายุ ยามเคลื่อนเข้าใกล้จึงเห็นชัดว่าเป็นมังกรตัวมหึมา เมื่ออุ้งเท้าหนาหนักสัมผัสพื้นก็แผดเสียงคำรามกึกก้อง ข่มขู่ผู้คนให้หวาดเกรง

“ไวลด์ ฝากเจ้าชายด้วย” ซีเซลรีบประคองร่างเจ็บหนักขึ้นคร่อมร่างพญามังกร

“คิดว่าจะหนีข้าพ้นหรือ เจ้าพวกโง่ !” จักรพรรดิพุ่งปราดตรงมายังร่างพญามังกร แต่ก่อนจะถึงตัวก็ถูกเฮเดรสขวางไว้กลางอากาศ ซีเซลตามไปสมทบอีกแรง

ลูกไฟถูกซัดออกจากฝ่ามือ โถมใส่ร่างศัตรู

คู่หูองครักษ์ที่แทบจะไม่มีแรงยืนไม่อาจป้องกันตนเองได้ จึงรับพลังที่ซัดเข้าใส่เต็มแรง ร่างร่วงลงสู่พื้นสมใจเจ้าแห่งสหพันธ์ยิ่งนัก...และเพราะมัวยุ่งกับทั้งคู่ เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็ไม่พบแม้เงาของมังกรตนนั้น ใบหน้าขมึงตึงขึ้นทันที

เมฟาตีสมองเบื้องล่าง เห็นความพินาศจากน้ำมือโอรสอย่างชัดเจน ซากปรักหักพังยืนยันความวิบัติ ไม่เหลือเค้าความยิ่งใหญ่ที่เคยปรากฏอยู่ก่อนหน้า สูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ยิ่งกว่านั้นคือ เกียรติยศของตนเองได้ถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้สืบสายโลหิต ความอาฆาตผุดขึ้นในใจ

เสียงโอดครวญของผู้รอดชีวิตดังระงม เปลวเพลิงลุกโซนเป็นหย่อม ๆ จากความร้อนที่สัมผัสได้ กลุ่มควันและซากความเสียหายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ยืนยันว่าเหตุการณ์นี้เป็นของจริง หาใช่ความฝันไม่

ลูซิเฟอร์ตรงเข้าประคองร่างที่โชกไปด้วยเลือดและไม่ได้สติขององครักษ์คู่ใจอนุชา

“มันตายกันหมดหรือยัง ?” ถามห้วนทันทีที่เท้าแตะพื้น

“ยะ...ยังพระเจ้าค่ะ”

“ดี ! เอามันไปขังไว้ที่วังน้ำแข็ง รวมทั้งข้ารับใช้ที่ตำหนักไอ้ลูกเลวนั่นด้วย อย่าให้รอดไปได้แม้สักคน ส่วนเจ้านายของพวกมันโดนไปขนาดนั้นคงไม่รอด ให้ประกาศออกไปว่า ใครหรือพิภพใดที่ให้การช่วยเหลือโดเรียส มันจะต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อข้า !”

ยามที่โกรธเกรี้ยว เมฟาตีสจะไม่คำนึงถึงว่าเป็นใคร เด็ดเดี่ยวจนคำว่า ‘โหดร้ายเลือดเย็น’ เหมาะสมที่สุดสำหรับพระองค์



"กาเซียร์ รีบไปรีบกลับนะลูก”

เสียงนั้นสั่นเครือด้วยอายุที่มากขึ้น หญิงชราหลังค่อมยืนส่งเด็กน้อยอยู่ที่ปากถ้ำ

“ค่ะ...กาเซียร์ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว ยายเข้าไปรอข้างในดีกว่านะจ๊ะ ลมแรงเดี๋ยวจะไม่สบาย”

ร่างจ้อยในชุดกระโปรงยาวสีน้ำตาล เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่สวมใส่ไม่ได้ปกปิดความน่ารักของวงหน้าน้อย ดวงตากลมโต ผมหยักศกถักเปียยาวไว้เรียบร้อย สองมือป้อม ๆ นั้นประคองโถใส่น้ำขนาดย่อมไว้แนบอก เดินตรงไปตามช่องเขาซึ่งทอดยาวขนาบด้วยภูหินสูง

เด็กน้อยเดินไปตามทางคดเคี้ยวที่โรยตัวบนหุบเขาสูงได้พักใหญ่ จนกระทั่งถึงซอกหินแคบ ๆ ที่เกิดจากหินสองก้อนเกยซ้อนกัน เด็กน้อยมุดเข้าไปตรงช่องเล็ก ๆ นั้นอย่างคุ้นเคย

เมื่อเข้าไปถึงด้านใน เด็กหญิงก้มดูน้ำในแอ่งตื้น ๆ ที่คอยรับน้ำที่ซึมจากแผ่นหินผนังโพรง

“ว้าว...วันนี้ได้ตั้งเยอะ...”

น้ำที่ซึมผ่านร่องหินทีละหยดทีละหยาด ต้องอาศัยเวลาเป็นวันกว่าปริมาณน้ำจะเต็มแอ่งเล็ก ๆ นั้น

“จะได้เต็มโถไหมน้า...” เด็กน้อยเอาโถทรงกระบอกที่ประคองมาออกจากห่อผ้าวางไว้ข้างตัว บรรจงใช้ถ้วยสังกะสีเล็กๆ ซึ่งทิ้งไว้ก่อนหน้า ตักน้ำจากแอ่งใส่โถอย่างระมัดระวังด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย

จนเวลาผ่านไปได้พักใหญ่...

“เสร็จแล้ว วันนี้ได้เต็มเลย ถ้าได้อย่างนี้ทุกวันก็ดีสิ ทีนี้ก็กลับได้แล้วมั้ง”

เอ่ยพลางพาตนเองออกจากซอกหินอย่างกระตือรือร้น ขาดออกดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างขาเข้าเพราะต้องคอยระวังโถน้ำในมือ ร่างเล็กจึงดูเก้ ๆ กัง ๆ ทุลักทุเล

ตุ้บ ! เสียงหนัก ๆ จากด้านนอกสะท้อนเข้าหู ทำเอาสติสตังของร่างจ้อยกระเจิง

“สะ...สะ...เสียงอะไรน่ะ !” ร่างเล็กสะดุ้งโหยงถอยกรูด ก่อนจะหยุดนิ่งเงี่ยหูฟังระแวดระวังตัว

“ผะ...ผะ...ผี ! ผีหรือเปล่าเนี่ย !” เริ่มไม่แน่ใจ คิดไปต่าง ๆ นานา

โฮก !

เสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ซึ่งนางไม่แน่ใจนักว่าเจ้าเสียงน่าสะพรึงนั้นคือตัวอะไร มันคำรามยาวกระหึ่มก้อง ทำเอาใจดวงน้อยกระเจิงไปไหนต่อไหน

“ตาจ๋า...ยายจ๋า ช่วยด้วย ช่วยกาเซียร์ด้วย...พี่ชายจ๋า...ช่วยกาเซียร์ด้วย” กระซิบแผ่วแทบเป็นเพ้อ

เวลาผ่านไปอีกช้า...นาน เด็กตัวน้อยยังหวาดกลัว ไม่กล้าออกไปข้างนอก ซุกตัวอยู่ในนั้นนานเท่าไหร่ไม่แน่ชัด แต่ดูเหมือนความมืดโรยตัวลงคลี่คลุมบรรยากาศรอบตัว ความวิเวกและความเย็นทวีขึ้นทุกขณะ

“วะ...หวังว่าคงไม่ใช่...สะ...เสือนะ ! ถ้าเป็นเสือมันคงไม่กินกาเซียร์หรอกมั้ง กาเซียร์ผอมไม่น่ากินหรอก” ปลอบใจตัวเองพลางตัดสินใจกระเถิบตัวออกจากซอกหินอย่างไม่มีทางเลือก

เพราะมัวแต่ระวังด้านบนกับด้านข้างเลยไม่ทันมองเท้า พอพ้นจากซอกหินจึงสะดุดอะไรบางอย่างเข้า ร่างบางหน้าคะมำ แต่ด้วยสัญชาตญาณจึงยกโถน้ำขึ้นสูง ยอมเอาหัวโขกพื้นแทนโถในมือ

“โอ๊บ ! เจ็บ ! เจ็บจัง หัวกาเซียร์แตกแล้วมั้ง อะไรมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ตอนเข้ามาไม่เห็นจะมี...” บ่นพลางลุกขึ้นนั่ง มือเล็ก ๆ ลูบหน้าผากด้วยความเจ็บปวด

“กรี๊ด !” ยังไม่ทันมองสิ่งที่ขวางทาง ก็กรีดเสียงลั่นด้วยความตกใจเสียอีกหน เพราะมือเย็น ๆ ไม่รู้ที่มาคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้า

“ปะ...ปล่อย ! เฮ้ย...ปล่อย !” พยายามสะบัดข้อเท้า เมื่อหลุดจากการเกาะกุมได้ก็ลุกพรวด วิ่งหนีสุดชิวต

วิ่งมาได้พักใหญ่ จนแน่ใจว่าน่าจะพ้นอันตรายแล้ว จึงได้หยุดพัก

“หวังว่าคงไม่ตามมานะ...ผีอะไรออกมาแต่หัวค่ำเชียว” ทรวงอกยังคงกระเพื่อมแรง ด้วยเจ้าตัวหอบหนัก หลังจากตั้งสติให้ดี เด็กน้อยเริ่มนึกได้ว่านั่นอาจเป็นคนไม่ใช่ผี และเขาอาจจะกำลังแย่

“ถ้าเกิดไม่ใช่ผีล่ะ ? แต่เป็นคนที่อาจจะกลายเป็นผีในวันพรุ่งนี้ กาเซียร์ถีบแรงด้วยนะ”

นั่นอาจเป็นนักเดินทางซึ่งผ่านมาในถิ่นกันดารที่ผู้คนพากันอพยพหนีกันหมด ขนาดตัวนางเป็นคนที่นี่ยังหาน้ำหาอาหารลำบาก แล้วยิ่งเป็นคนต่างถิ่นที่พลัดหลงมาด้วยแล้วยิ่งจนหนทาง

“กลับไปดูหน่อยดีกว่าไหมพี่ชาย....” เด็กน้อยว่าพลางแหงนหน้ามองกลุ่มดาวสุกใส ซึ่งนางคิดว่านั่นคือพี่ชาย...ญาติเพียงหนึ่งเดียวที่จินตนาการขึ้น เพื่อไม่ให้ตนเองไร้ญาติขาดมิตรไปมากกว่านี้

“ไปได้ใช่ไหม ? พี่ชายจะไปกับกาเซียร์ใช่ไหม” เด็กสาวก้าวเท้ากลับทางเดิมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

เมื่อก้าวหนึ่งก้าว กลุ่มดาวนั้นก็ดูเหมือนจะเคลื่อนตาม

“ดีเลย พี่ชายไปกับกาเซียร์...มีเพื่อน ไม่กลัวละ”

เมื่อย้อนมาถึงที่เกิดเหตุ ร่างร่างหนึ่งคว่ำหน้าอยู่ดังเดิม เด็กน้อยตัดสินใจสะกิด

“นี่ ! นี่ ! ถ้ายังไม่ตายส่งเสียงหน่อย นี่...กระดิกตัวหน่อยสิ...นี่ !”

“ปะ...เปอร์...” เสียงแหบแห้งเบาหวิว พยายามพยุงตัวขึ้น ไขว่คว้าร่างจ้อยดั่งจะขอความเวทนา แต่เด็กตัวน้อยดีดตัวหนีมือที่เอื้อมมาแตะข้อเท้าเล็ก ๆ ของนาง

“อะ...เอาไงดี ?”

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ถูกลิขิตไว้แล้วโดยใครบางคน ซึ่งนำพาเจ้าแห่งความมืดมาพบกับเด็กน้อยแห่งดวงดาวสีน้ำเงิน



ดาวเซน เมืองศูนย์กลางของ ‘สหพันธ์คาออส’

อุทยานหลวงถูกตกแต่งอย่างวิจิตร น้ำตกสูงตระหง่านดั่งเนรมิตให้ลงตัวกลมกลืนกับสระน้ำใหญ่ซึ่งกินบริเวณกว้าง รูปปั้นราชสีห์คำรามประกาศศักดาอยู่บนหัวสะพานโค้งสองฟากฝั่ง เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของจ้าวผู้ครอบครองสหพันธ์

กลางตะพังมีน้ำพุพวยพุ่ง สูงสง่าตระการตา ยามที่ละอองน้ำเล็ก ๆ ต้องลมกระเส็นกระสายกระทบแสงทองของดวงตะวันสะท้อนเป็นรุ้งสายน้อยใหญ่ ส่องระยิบระยับจับทั่วบริเวณ แข่งความงามกับดอกไม้นานาพรรณซึ่งเบ่งบานงดงาม แมลงน้อยใหญ่โบยบินเก็บเกี่ยวน้ำหวาน

“เจ้าหญิงทรงคิดเรื่องอะไรอยู่เพคะ” นางข้าหลวงทักด้วยห่วงใย

ร่างบอบบางยืนอยู่กลางสะพาน ทอดมองเลื่อนลอย ใบหน้างามหม่นเศร้า

“เมื่อไหร่สงครามจะยุติ ประชาชนจะได้อยู่กันอย่างร่มเย็น เราไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เลย” กระแสเสียงระทมทุกข์ ดวงเนตรไร้แววสดใสปรายไปไกล ความงดงามสดชื่นที่รายรอบหาช่วยให้คลายเศร้าได้ไม่

“เมื่อไหร่น่ะหรือ ?” ต้นเสียงทุ้มค่ำดังมาจากฟากหนึ่งของสะพาน “ก็ต่อเมื่อข้าได้ครอบครองดวงดาวทั้งหมด รวมทั้งได้ทำลายคาคูด้าของโดเรียสให้ย่อยยับ !”

ร่างสูงโปร่งภายใต้อาภรณ์สีขาวนวลคลุมทับด้วยผ้าคลุมโทนสีเข้ม ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความสุขุมองอาจ ทอดสายตาจับจ้องดวงหน้างดงาม ดั่งต้องการอ่านให้ลึกถึงห้องหัวใจ

เหล่านางกำนัลก้มลงหมอบแทบเท้า

“ข้าจะให้มันได้ลิ้มรสความสูญเสียอีกครั้ง ข้าต้องการเห็นมันคลุ้มคลั่งเหมือนครั้งก่อนที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปก่อตั้งอาณาจักรเล็ก ๆ นั่น” มิคาเอลเอ่ยถึงอพดีตที่เปอร์ซิโฟเน่เข้าใจ และตระหนักได้ถึงความเจ็บปวดที่โดเรียสได้รับ

“แล้วทำไมฝ่าบาทยังทรงต้องการครอบครองอาณาจักรเล็ก ๆ นั่นล่ะเพคะ ?” ตัดพ้อด้วยเหนื่อยใจหัวใจ

“ข้าไม่ได้สนใจอาณาจักรของมันนักหรอก แค่ต้องการเห็นมันสูญเสียทุกอย่าง...เมื่อไม่มีมัน สหพันธ์ก็จะเป็นหนึ่งเดียว แล้วเจ้าก็จะได้เป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่ จักรวาลนี้ไม่มีใครเทียบเจ้าได้ เปอร์ซิโฟเน่ แล้วยังลูซิเฟอร์อีกคน ข้าจะไม่ปล่อยให้มันอยู่ขวางหูขวางตาข้าแน่” แววตากระด้างเมื่อเอ่ยถึงศัตรู

“เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายร้อยปี จะทรงตามจองล้างจองผลาญท่านจ้าวโดเรียสไปถึงไหน...แค่นี้ฝ่ายาทก็ทรงได้ทุกอย่างแล้ว ยังไม่พอพระทัยอีกหรือเพคะ” กึ่งอ้อนวอนกึ่งต่อว่า

“ยัง...เจ้าก็รู้ว่าข้ายังไม่ได้ทั้งหมด...เจ้ารู้ดี เปอร์ซิโฟเน่”

เปอร์ซิโฟเน่สบตาคมกริบ วูบหนึ่งนางรับรู้ถึงแววตัดพ้อระคนน้อยใจแฝงอยู่ในความกระด้างนั้น

“เพราะเจ้า...ข้าถึงวางมือไม่ได้ เพราะเจ้า ! ทุกอย่างถึงเป็นเช่นทุกวันนี้ ถ้าจะโทษก็โทษตัวเอง...เปอร์ซิโฟเน่” เอ่ยวาจาเชือดเฉือนสมใจแล้วจึงจากไป ทิ้งความหม่นหมองไว้กับคู่หมั้นคู่หมาย

เปอร์ซิโฟเน่เหนื่อยใจยิ่งนักกับเรื่องนี้ นางคงตัดสินใจผิดที่เลือกมิคาเอล หยาดน้ำตาไกลรินไม่หยุด นานเท่าไหร่แล้วที่เสียน้ำตาเพราะการกระทำของมิคาเอล

นางเคยมั่นใจว่ามิคาเอลนั้นอ่อนโยนนัก คอยช่วยเหลือให้กำลังใจนางตลอดมา แต่เวลานี้ไยจึงกลายเป็นจักรพรรดิบ้าอำนาจ ก่อให้เกิดสงคราม ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ถ้าไม่คล้อยตามก็ไม่ละเว้น

ร่างบางที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของสะพานเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งรู่ทั้งเข้าใจความรู้สึกของเปอร์ซิโฟเน่ นางอยู่ที่นี่นานพอ จึงรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รู้กระทั่งสาเหตุที่ทำให้มิคาเอลเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้

“เจ้าพี่” น้ำเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น เปอร์ซิโฟเน่ไม่หนมองต้นเสียง ดั่งกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นร่องรอยหม่นเศร้าที่ปรากฏบนใบหน้า

“พวกเจ้าถอยไปก่อน” ผู้ที่ก้าวมาทีหลังปรายตา สั่งนางกำนัลทั้งสองที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองน้อมรับ ค่อย ๆ คลานเข่าถอยห่างก่อนจะลุกเดินออกไป

“กันแสงอีกแล้วหรือเพคะ ?” นางถามแผ่วเบา พลางแตกมือเรียว

เพียงสัมผัสแรก อีกนางถึงกับสะดุ้งเฮือก หมุนตัวมาทางขนิษฐา โผเข้ากอดร่างบางไว้แน่น ประหนึ่งจะหาที่ยึดเหนี่ยวก่อนจะทรงตัวไว้ไม่ไหว น้ำตายังไหลรินไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ปากก็พร่ำรำพันถึงสิ่งอัดแน่นในหัวใจ

“เอริเซียร์...พี่ควรทำอย่างไรดี พี่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

ไม่มีถ้อยคำปลอบประโลม เพราะไม่รู้จะปลอบอย่างไร สู้ปล่อยให้น้ำตาระบายสิ่งที่อัดแน่นในใจคงดีที่สุด

สักพักเมื่อผู้ที่รู้สึกดีขึ้น ยอมเงยหน้าสบตา เพียงขยับปากจะเอ่ย อีกนางก็บอกเรื่องสำคัญเสียก่อน

“เจ้าพี่ เสด็จหนีไปพร้อมกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”

เปอร์ซิโฟเน่เบิกตากว้างไม่คิดว่าถ้อยคำนี้จะหลุดจากปากขนิษฐานางนิ่งไปอึดใจ

“หนี ! เอริเซียร์ เจ้าพูดอะไร ?”

“หม่อมฉันจะหนีไปจากที่นี่ ไปจากนรกขุมนี้” ถ้อยเอ่ยหนักแน่นยืนยัน

“เจ้าจะทิ้งพี่ไปหรือ ? จะทิ้งพี่ให้อยู่คนเดียวหรือเอริเซียร์” นางอ้อนวอนเพราะแน่ใจว่าผู้น้องเอาจริงกับเรื่องนี้แน่

“หมอ่มฉันไม่ได้ต้องการทิ้งเจ้าพี่...แต่หม่อมฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ถ้าหม่อมฉันยังอยู่ในดินแดนของปีศาจร้ายอย่างมิคาเอลต่อไป หม่อมฉันต้องอกแตกตายแน่เพคะ” นางอัดอั้นใจยิ่งนัก

“เจ้าพี่เสด็จไปพร้อมหม่อมฉันนะเพคะ ?”

“ถ้าเจ้าเอาพี่ไปรังแต่จะเป็นภาระ การหลบหนีก็จะยิ่งลำบาก ท่านจ้าวมิคาเอลคงไม่ปล่อยเราไว้เป็นแน่...และถึงเราจะหนีออกจากดาวเซนได้ แต่ยังจะมีที่ไหนที่จะหนีรอดการไล่ล่าของสหพันธ์”

เจ้าหญิงผู้อ่อนวัยว่าสบเนตรงามของเปอร์ซิโฟเน่ ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น

“คาคูด้า !”







 

Create Date : 07 ตุลาคม 2552
0 comments
Last Update : 7 ตุลาคม 2552 9:46:31 น.
Counter : 701 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.