<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
12 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 12

greenteagreentea


12.-


ตำหนักหลวงคาคูด้าอยู่ในฤดูใบไม้ผลิพฤกษานานาพรรณแข่งกันแทงใบอ่อน นกเริ่มส่งเสียงร้อง สัตว์ป่าออกจากการจำศีลเพื่อหาอาหาร ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ...เทือกเขาสูงตระหง่าน หิมะบนยอดเขาละลายเป็นลำน้ำเล็กๆ หลายสาย ก่อนจะไหลรวมกันเป็นธารน้ำใหญ่เลื้อยโอบรอบตั้งแต่กลางภู คดเคี้ยวหลั่นลงมาถึงตีนเขา ทอดตัวยาวไปตามป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้าเขียนขจี สล้างด้วยดอกหญ้าสีแดงสดที่บานสะพรั่งเต็มทุ่งกว้าง บ้านก็เป็นดอกสีเหลืองตัดกับสีฟ้าใสสว่างดุจท้องทะเล

ยามใดที่มองตามธารน้ำ จะเห็นกำแพงสูงตระหง่านอวดความโอฬาร สรรค์สร้างด้วยหินสีเข้มที่นำมาเรียงรายเป็นป้อมปราการล้อมรอบกินบริเวณกว้าง หอคอยสูงเสียดฟ้าโผล่พ้นสันกำแพงดูโดดเด่น ยิ่งเพลาที่แสงอาทิตย์สาดลำกระทบเกล็ดหิมะ...จะสะท้อนประกายระยับดั่งอัญมณีล้ำค่าที่ถูกลืมทิ้งไว้บนผืนดาวดวงนี้ งดงามจนยากจะละเลยผ่านไปได้ แต่ไยดินแดนแห่งนี้จึงถูกตราว่าเป็นดินแดนแห่งความมืด พิภพแห่งความตาย...

“ขอต้อนรับเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์สู่คาคูด้า เกล้ากระหม่อมเป็นผู้รักษาการณ์แทนท่านจ้าวโดเรียส เชิญเสด็จประทับในพระตำหนักหลวงให้สำราญพระทัย”

“ขอบใจจ้ะ...ท่านจ้าวไม่ได้ประทับที่ปราสาทคาคูด้าหรอกหรือ?” เอริเซียร์ถามแทนพี่นาง ที่ใคร่รู้แต่คงไม่กล้าเอ่ยปากเป็นแน่

“มิได้พระเจ้าค่ะ ฝ่าบาทจะเสด็จมาถึงช่วงเย็น ถ้าทรงประสงค์สิ่งใดก็รับสั่งกับนางกำนัลทั้งสองนี้ได้...เกล้ากระหม่อมทูลลา” สมุหนายกโค้งตัวลงเล็กน้อย ถอยห่างไปสองสามก้าวแล้วจึงหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้เรื่องทั้งหมดเป็นหน้าที่ของสองนางกำนัลที่นั่งอยู่กับพื้นเบื้องหน้าด้วยท่าทางพินอบพิเทา

“เจ้าทั้งสองชื่ออะไรกันบ้าง” เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ถาม

“มิว...มาทีร์เพคะ”

นางกำนัลนำทางผ่านประตูหน้าทะลุไปยังห้องท้องพระโรง กลางห้องโอ่อ่ามองสูงขึ้นไปเป็นหลังคาทรงโดม กระจกใสด้านบนเป็นทางผ่านของแสงทิวาให้สดกระทบลายเขียนรูปดาวแปดแฉก ตรงกลางดาวมีรูปปั้นมังกร ครั้นกระทบแสงตะวันยิ่งเด่นตระหง่านสะกดใจ

เมื่อทะลุออกมาทางด้านหลังเป็นทางเดินทอดตัวยาว ด้านข้างจัดวางรูปสลักลวดลายวิจิตรไว้อย่างลงตัวและกลมกลืนกับแมกไม้ที่รายรอบ มิว มาทีร์นำเจ้าหญิงทั้งสองเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูพรมสีแดงขลิบทอง จนกระทั่งมาถึงประตูบานใหญ่ทั้งคู่ผลักเปิดออกอย่างช้าๆ

“นี่คือห้องบรรทมเพคะ ด้านหลังทะลุออกไปยังอุทยานหลวงได้ ส่วนฝั่งโน้นเป็นห้องสรง” มิวรายงาน พลางเดินอ้อมเตียงนอนตรงไปเปิดประตูสีขาวด้านหลัง

แสงอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาพร้อมกับลมเย็นที่ไล้เลียผิวนวล เมื่อปรายตาไปไกลแลเห็นสวนเขียนสลับสีสดใสของดอกไม้นานาพรรณ เปอร์ซิโฟเน่ทรุดกายลงบนเตียงซึ่งอยู่กลางห้อง มองไปรอบๆ

นางกำนัลทั้งสองคลานเข่าเข้ามาทิ้งตัวลงเบื้องหน้า ด้วยท่าทางพินอบพิเทารอฟังคำสั่งต่อไป

“อาบูจาไม่อยู่หรือจ๊ะ?”

“พระพี่เลี้ยงตามเสด็จท่านจ้าวไปตำหนักแก้วเพคะ”

เรียวปากขยับจะหลุดคำถามต่อ แต่...

“เจ้าพี่...เสด็จทอดพระเนตรทางนี้สิเพคะ อุทยานสวยมากเลยเพคะ” ต้นเสียงอยู่ทางเฉลียงที่ทอดตัวออกไปด้านหลัง ท่านกำมะหยี่สีเข้มรูดเปิดอวดความงามเบื้องหน้า

“เอริเซียร์ ทำตื่นเต้นไปได้ อย่างกับไม่เคยเห็นของสวยๆ งามๆ” ร่างบอบบางตามาขนิษฐาออกไปสู่เฉียงด้านนอก

“เคยเห็นน่ะเคยเพคะ แต่นานแล้วที่ไม่ได้มองของสวยๆ แล้วรู้สึกสบายใจเช่นนี้”

สายตาจดจ้องที่อุทยานใหญ่หลังตำหนักหลวง พรรณไม้แปลกตาหลายชนิด หากส่วนมากก็ไม่ได้ต่างจากดาวเซน แต่นางกลับมองว่างดงามยิ่งนัก น้ำตกทอดตัวจากด้านหลังที่เป็นกำแพงสูง ทำให้มองเหมือนมีสายน้ำไหลออกมาจากในนั้น ด้านข้างมีโขดหินรูปร่างสวยงาม วางซ้อนบ้าง วางเดี่ยวบ้าง ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ด้านล่างเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ น้ำซึ่งตกมาจากที่สูงกระทบหินเป็นฟองฝอยลอยคว้าง

กลิ่นมวลไม้ไพรพรรณหอมอบอวล ช่วยขับกล่อมให้สดชื่นปลอดโปร่ง

“เอริเซียร์ นาบูจะเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วทุกพระองค์อีก ทั้งเสด็จแม่ ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ อีกทั้งเจ้าพี่เอสทีเซียร์”

“เจ้าพี่ไม่ต้องทรงเป็นกังวลไปหรอกเพคะ ทุกพระองค์เสด็จออกจากนาบูเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะมาประทับที่คาคูด้าเหมือนกับพวกเรา ท่านจ้าวโดเรียสประทานอนุญาตแล้ว” เรียวปากงามแจกแจง สุ้มเสียงไร้กังวล สถานการณ์ต่อจากนี้ทำท่าว่าจะดีขึ้น และต้องดีขึ้นเป็นเน่ เอริเซียร์เชื่อเช่นนั้น

“จริงหรือเอริเซียร์? เจ้าไม่ได้หลอกพี่นะ?” รอยยิ้มกระจ่างด้วยความดีใจ

เอริเซียร์จ้องใบหน้างาม

“นานแล้วนะเพคะ ที่หม่อมฉันไม่ได้เห็นเจ้าพี่ทรงพระสรวลอย่างเป็นสุข หม่อมฉันอยากให้เรื่องทั้งหมดจบลงด้วยดี เจ้าพี่จะได้มีความสุขกับท่านจ้าวโดเรียสเสียที”

“เอ่อ...พี่ยังไม่แน่ใจ พี่ไม่รู้ว่าพระทัยของท่านจ้าวจะยังเป็นของพี่หรือเปล่า”

“ต้องเป็นสิเพคะ...ท่านจ้าวทรงรักเจ้าพี่ยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ทรงทำทุกอย่างเพื่อเจ้าพี่ และที่สำคัญ...ความรักที่เจ้าพี่มีให้พระองค์ก็ไม่ได้น้อยลงเลย ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปกี่ร้อยปี ท่านจ้าวทรงเป็นของเจ้าพี่เพคะ...หม่อมฉันมั่นใจ”

“พี่ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น”



“เจ้าหญิงพระเจ้าค่ะ ท่านจ้าวเสด็จกลับมาถึงปราสาทเมื่อครู่นี้เองพระเจ้าค่ะ”

จิลแฟร์ถลันเข้ามาในห้องอย่างรีบเร่ง ละล่ำละลักรายงานข่าวคราวทันทีด้วยร้อยใจ เพราะรู้ว่าเจ้าหญิงทั้งสองก็เฝ้ารออย่างใจจดจ่อ

“โดเรียส” เสียงที่หลุดจากปากนั้นเบาหวิว เปอร์ซิโฟเน่ดีใจที่จะได้เจอกับเจ้าของหัวใจที่จำต้องจากกันไกลแสนไกลเป็นเวลานาน และบัดนี้อยู่เพียงเอื้อม

“จิลแฟร์ เจ้ารู้เรื่องนี้จากใคร?” เอริเซียร์ถามด้วยความร้อนใจ

“หม่อมฉันอยู่ด้านนอก ได้ยินพวกองครักษ์ที่รอรับเสด็จพูดคุยกันพระเจ้าค่ะ”

“แล้วเจ้าได้เข้าเฝ้าหรือไม่?” เอริเซียร์ถามกระตือรือร้นไม่ต่างกับเจ้าหญิงอีกนาง ผิดตรงการแสดงออก

“ยังพระเจ้าค่ะ...ไม่ได้เสด็จเข้าทางด้านหน้าปราสาทที่เตรียมการต้อนรับ แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าทางด้านหลัง พอหม่อมฉันตามไปเพื่อขอเข้าเฝ้า พวกองครักษ์รายงานว่าด้านหลังเป็นตำหนักหวงห้าม เลยไม่ได้พบท่านจ้าวพระเจ้าค่ะ”

“ทำไมล่ะ? หรือกลัวว่าพวกเราจะลอบปลงพระชนม์” ถามด้วยข้องใจ เสียงกร้าวขึ้นทันที

“เอริเซียร์...รู้ตัวไหมพูดอะไรออกมา นั่นคงเป็นตำหนักส่วนพระองค์ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร ท่านจ้าวจะไม่โปรดให้มีผู้คนพลุกพล่าน” ปรามขนิษฐาเสียงดุ ก่อนจะเบือนมาทางนางกำนัลที่พอจะถามความได้

“มิว มาทีร์ ตำหนักนั้นเป็ฯตำหนักส่วนพระองค์ใช่ไหมจ๊ะ?”

“ไม่ใช่ตำหนักส่วนพระองค์ของท่านจ้าวหรอกเพคะ เป็นตำหนักส่วนพระองค์ของทูลกระหม่อมกาเซียร์” มิวรายงานน้ำเสียงราบเรียบ

“ทูลกระหม่อมกาเซียร์...ใคร?” เอริเซียร์ถาม ถ้อยตอนท้ายแทบจะเป็นตวาด ดูอะไรๆ จะไม่เป็นดั่งที่นางวาดฝันไว้เลย

“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ...เสด็จมาพร้อมท่านจ้าวเมื่อหลายปีก่อน แต่มาประทับได้ไม่นาน ท่านจ้าวก็พาเสด็จไปประทับที่ตำหนักแก้ว นานๆ จะเสด็จมาที่นี่สักครั้งเพคะ”

“แล้วท่านจ้าวประทับที่นั่นด้วยหรือเปล่า?” เอริเซียร์ซักต่อไปอีก ต้องการความชัดเจนบางอย่าง

“เพคะ” ทั้งสองตอบรับพร้อมกัน

“แล้วนาง...”

พอเถอะเอริเซียร์” เปอร์ซิโฟเน่สั่งห้าม ก่อนที่ขนิษฐาจะซักไซ้ไปมากกว่านี้

“แต่หม่อมฉันอยากรู้นี่เพคะ”

“พวกเจ้าออกไปก่อน” เปอร์ซิโฟเน่สั่งนางกำนัลทั้งสองรวมทั้งจิลแฟร์ พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้งๆ ที่ในใจกำลังหวาดหวั่น

“เอริเซียร์...เจ้าจะถามให้ได้อะไรขึ้นมา มันเหมือนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น” เอ่ยหลังจากอยู่กันเพียงลำพัง

“แต่หม่อมฉันอยากรู้ ท่านจ้าวอาจมีใครอื่นก็ได้นะเพคะ”

“ถ้ามีแล้วจะเป็นอะไรไป เรามีสิทธิ์ห้ามอย่างนั้นหรือ?” กระแสเสียงเครือสะอื้นอย่างน้อยใจ

“กะ...ก็เจ้าพี่รักพระองค์”

“พี่รัก แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงรัก...” เสียงขาดหายไปพร้อมน้ำตาที่รินไหล เรียวปากบางสั่นระริก

“เจ้าพี่...อาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะเพคะ” เอริเซียร์รีบกลับลำทันควัน พยายามจะปลอบ แต่ดูเหมือนว่าเปอร์ซิโฟเน่ปักใจไปแล้วว่า กาเซียร์คงเป็นผู้หญิงของโดเรียสเป็นแน่ สิ่งที่สัมผัสได้บ่งบอกเช่นนั้น

“ถึงจะใช่จริง...แต่ท่านจ้าวก็ไม่ได้แต่งตั้งนางเป็นราชินี ก็แสดงว่าท่านจ้าวโดเรียสไม่ได้ให้ความสำคัญกับนาง เจ้าพี่อย่าทรงคิดมากสิเพคะ ท่านจ้าวทุกพระองค์มีชายาได้ตั้งหลายคน ไม่แปลกหรอกเพคะที่ท่านจ้าวโดเรียสจะมีใครบ้างสักคนสองคนแต่คนที่ท่านจ้าวทรงรักคือเจ้าพี่ ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น!”

เอริเซียร์พยายามย้ำว่า โดเรียสรักเปอร์ซิโฟเน่ เพราะนั่นเป็นถ้อยคำที่ทำให้พี่นางเฝ้าอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างมาได้



รัตติกาลแรกในคาคูด้าที่เพิ่งผ่านพ้น คงมิใช่ราตรีอันรื่นรมย์นัก เพราะมัวแต่ครุ่นคิดจนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้...โดเรียสพิงแผ่นหลังกับพนักเก้าอี้ หลับตาพริ้มศีรษะพักอยู่ตรงที่พิงรูปทรงสูง ขนตายาวงอนกะพริบไหว ก่อนจะยกมือคลึงเบาๆ ระหว่างหัวคิ้ว กระตุ้นสติ

เวลาไล่เลี่ยกัน เสียงเคาะประตูด้านหน้าดังขึ้นหนักๆ

“เข้ามา” เอ่ยขณะเอื้อมหยิบแก้วเจียระไนขึ้นจิบเครื่องดื่ม ก่อนจะวางลงที่เดิม ปรายตาไปทางราชองครักษ์ทั้งสองที่เพิ่งจะก้าวเข้ามา

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ” หยุดยืนเท้าชิดเบื้องหน้า โค้งคำนับพร้อมกัน

“มาแต่เช้าเลยนะ”

“ก็ไม่เช้ากว่าฝ่าบาทไม่ใช่หรือพระเจ้าค่ะ” ซีเซลยียวนไม่เกรงว่าอีกฝ่ายจะโกรธ

ท่านจ้าวตวัดมองเคืองๆ ก่อนจะขยับลุก “กวนกันแต่เช้าเลยนะ”

องครักษ์หน้าขาวยิ้มตรงมุมปากเหมือนจะสมใจ ก่อนจะถามน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า

“จะเสด็จไหนพระเจ้าค่ะ?”

“ทำไมต้องถาม?”

“ถ้าเป็นปกติก็จะเสด็จไปตำหนักทูลกระหม่อมกาเซียร์ แต่วันนี้...” ซีเซลทิ้งท้ายจ้องดวงตาคมกริบ ดั่งจะมองให้ลึกถึงในใจ

“พอเลย!” ไม่อาจทำเฉยดั่งเมื่อครู่ได้ “เรารู้หรอกว่าพวกเจ้าต้องการจะต่อว่าเรา” เบือนหน้าหนีสายตาขององครักษ์ อึดอัดใจอยู่แล้ว ยังมาเจอแบบนี้อีก

“ทรงกำลังหลัดกลุ้มว่าจะจัดการอย่างไรกับทูลกระหม่อมดี...ใช่ไหมพระเจ้าค่ะ” เฮเดรสถามประชด

“เฮเดรส!” โดเรียสตวาดหวังให้อีกฝ่ายหยุดพูด

ถ้าเป็นเรื่องอื่นอาจเห็นผล แต่กับเรื่องนี้เห็นจะไม่ “ก็สมควรจะกลุ้มอยู่หรอก เจ้าหญิงต้องไม่พอพระทัยแน่ ถ้าทรงทราบเรื่องระหว่างฝ่าบาทกับทูลกระหม่อมกาเซียร์ และอาจทำให้ทรงคิดไปว่า ฝ่าบาททรงหมดรักนางแล้วก็เป็นได้”

“เรายังรักเปอร์ซิโฟเน่และรักนางคนเดียว...รู้ไว้ซะ!”

“รักนางคนเดียว!” เฮเดรสย้ำ หวังเตือนเจ้าเหนือหัวให้รู้ว่าได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ก็สายไปเสียแล้วเมื่อทรงนึกได้...

“ทั้งที่ฝ่าบาทเคยรบสั่งว่า ทรงไม่ต้องการเห็นทูลกระหม่อมเสียพระทัย ไม่อยากให้เผชิญกับเรื่องร้ายๆ ที่รับสั่งหมายถึงที่ทรงทำอยู่ในตอนนี้หรือพระเจ้าค่ะ?” ถ้อยตอนท้ายนั้นเป็นเสียงที่ตวาดด้วยสุดจะทน

“ต้องให้เราคอยดูแลกาเซียร์ทั้งวันทั้งคืนเลยใช่ไหม ถึงจะพอใจพวกเจ้า!” โดเรียสเองก็ฉุนเฉียวขึ้นทันควัน ไม่ชอบให้ใครมาไล่ต้อนเยี่ยงนี้

“เปล่าเลยพระเจ้าค่ะ...หม่อมฉันไมได้ต้องการให้ทรงฝืนพระทัยทำเรื่องพวกนั้น” แววตาตัดพ้อยังไม่วางจากเจ้าเหนือหัว

ซีเซลที่ต้องทนฟังเฮเดรสกับเจ้าเหนือหัวปะทะคารมกันรุนแรง อยากไปให้พ้นจากตรงนี้ อยากห้ามเฮเดรสที่ใช้ถ้อยคำคาดคั้น เวลานี้องครักษ์หน้าขาวทำไม่ได้แม้แต่จะขยับปาก

“เมื่อครั้งเจ้าหญิงยังไม่เสด็จมาที่นี่ ฝ่าบาทเคยทำเช่นนี้หรือพระเจ้าค่ะ? ถึงจะทรงยุ่งเพียงใดก็ไม่เคยปล่อยให้ทูลกระหม่อมประทับเพียงลำพัง...ไม่เคยเลยแม้สักครั้ง” คำพูดของเฮเดรสพรั่งพรูออกมา หวังชี้ให้เห็นว่าเจ้าเหนือหัวเปลี่ยนไปเช่นไร

“อยู่ตนเดียวที่ไหน อาบูจา อานู นียาก็อยู่ด้วย” หาทางเลี่ยงไปได้อยู่ดี เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อาจสบตาเฮเดรสได้เพราะความจริงเป็นเช่นนั้น

“ทำไมต้องทรงหลบตาเกล้ากระหม่อม? ทรงกริ้วสิพระเจ้าค่ะ” รับสั่งปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่ทรงคิดเช่นนั้น ไม่ได้ทรงคิดจะทอดทิ้งทูลกระหม่อม” ถ้อยคำคาดคั้นนั้นกระตุกอารมณ์โดเรียสขึ้นอีกรอบ

“ใช่! เราคิดเรื่องเปอร์ซิโฟเน่ ครุ่นคิดจนไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนนี้เราไม่มีกะจิตกะใจไปหาทูลกระหม่อมของพวกเจ้า...แล้วไง!” เสียงกร้าว หันมาเผชิญหน้ากับเฮเดรส แววตากระด้าง ดื้อรั้นต้องการเอาชนะ

“เราผิดมากสินะในสายตาของพวกเจ้า ผิดมากที่รักเปอร์ซิโฟเน่ ผิดมากกับการที่เราจะคิดเรื่องคนที่เรารัก คนที่เราโหยหาตลอดมา...เราผิดมากใช่ไหม?!”

“ไม่เลยพระเจ้าค่ะ ไม่ผิด...แม้แต่นิดเดียว” เสียงแผ่วเบาของเฮเดรสกระตุ้นเตือนให้โดเรียสรู้ตัวว่าได้เอ่ยถ้อยคำที่โหดร้ายเพียงใด สายตาตัดพ้อที่ได้รับจากองครักษ์บาดลึกถึงหัวใจมากกว่าถ้อยคำทั้งหมดก่อนหน้านี้

“สำหรับฝ่าบาทแล้ว ทูลกระหม่อมทรงเป็นได้เพียงเงาที่ทรงไขว่คว้าเพื่อเป็นตัวแทนเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่สินะพระเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรก็มิอาจเทียบเคียงร่างที่แท้จริง...เงาก็ยังคงเป็นเงาไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปนานเพียงใด แต่เกล้ากระหม่อมอยากจะทูลขออะไรจากฝ่าบาทสักข้อหนึ่ง” ซีเซลหยุดพูดเพียงเท่านั้นดั่งใช้ความคิด และให้เวลาเจ้าเหนือหัว

บรรยากาศเงียบงันเกาะกุมหัวใจ จนกระทั่งโดเรียสกวาดตาไปยังผู้ที่เฝ้ารอ

“ขออย่าทรงเห็นทูลกระหม่อมกาเซียร์เป็นภาระ เพราะนั่นจะทำให้นางเจ็บปวด และถ้าต้องทรงเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ จะไม่มีใครถวายการรักษาพระอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นเฮเดรส หรือแม้แต่อำนาจของน้ำตาพระจันทร์ที่เคยใช้รักษาพระอาการประชวน”

เบือนหน้าหนีเจ้าเหนือหัว ไม่อยากรับรู้ว่ามีสีหน้าเช่นไร ก่อนจะเอ่ยต่อ

“นี่คือสิ่งที่พวกเกล้ากระหม่อมจะทูลขอจากฝ่าบาท”

สิ้นเสียงซีเซล ความเงียบเข้าเกาะกุมห้องใหญ่อีกครั้ง ทั้งซีเซลเฮเดรสเอาแต่ก้มหน้า ไม่เอ่ยคำใดๆ โดเรียสปรายตามององครักษ์ทั้งสอง นัยน์ตาคมสะท้อนแววลังเลระคนสับสน

องครักษ์ทั้งคู่มิได้ต้องการกดดันเจ้าเหนือหัว แต่กลับส่งผลตรงข้าม เพียงแวบแรกเท่านั้นที่โดเรียสรู้สึกอ้างว้าง เข้าใจความรู้สึกของพวกเขา แต่เพราะความรั้นที่ฝังแน่นในใจสุดท้ายจึงเป็นได้เพียง...

“โธ่โว้ย! เป็นอะไรกันไปหมด รำคาญจริง!”ก้าวผ่านหน้าทั้งคู่ ตรงดิ่งออกไปนอกห้องด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว อัดอั้นใจ ไม่แม้แต่จะหันกลับมา

“ทำไมฝ่าบาทถึงพระทัยแข็งได้ขนาดนี้? ทำไม...จะบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่ทรงกระทำต่อทูลกระหม่อม เป็นเพียงความสงสาร ทรงเห็นพระทัยอย่างนั้นน่ะหรือ ทั้งๆ ที่พวกเราคิดว่าทรงลืมเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ไปแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับไม่!” ซีเซลตะเบ็งสุดเสียง ไม่เกรงจะกระทบถึงโสตผู้จากไป เจ็บปวดและหวาดกลัวเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

“เหตุการณ์อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่พวกเราคิดก็ได้นะ” เฮเดรสปลอบคู่หู แต่คำพูดนี้อาจจะใช้ปลอบใจตัวเองด้วยก็เป็นได้

“เฮ้...จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะทรงเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร...แต่เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่จะทรงยอมหรือเฮเดรส ถ้าฝ่าบาทจะมีพระชายาอีกพระองค์”

“เจ้าคิดว่าปัญหาอยู่ที่เจ้าหญิงอย่างนั้นน่ะหรือ แต่ข้าว่าคนที่กำลังจะตามมาทีหลังมากกว่า”

คำพูดของเฮเดรสทำเอาอีกฝ่ายตาลุกโพลง มองหน้าคู่หูอย่างหวาดหวั่น เสียววาบเข้าไปในอก

“พระมารดามาลาวี” ซีเซลเอามือกุมหัว ทำอะไรไมได้มากไปกว่านี้อีก “โอ๊ย! กลุ้มโว้ย!”






greenteagreentea





Create Date : 12 ตุลาคม 2552
Last Update : 12 ตุลาคม 2552 9:28:34 น. 0 comments
Counter : 669 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.