<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
10 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 9

greenteagreentea


9.-



ย่านการค้าคึกคักมีชีวิตชีวา เพราะแสงแดดยามบ่ายคลายความจัดจ้าลงมากแล้ว เหลือเพียงแสงส้มแสดซึ่งสาดส่องไปทั่วตัวเมือง สะท้อนกระเบื้องหลังคาสีเข้ม รวมถึงหน้าต่างกระจกใส ส่งให้ตัวตึกสีขาวสองช้างทางดูสะอาดสะอ้านเย็นตายิ่งขึ้น

ร้านเหล้าตรงมุมถนนมีลูกค้าดื่มกินประปราย เด็กชายตัวน้อยผิวเข้มด้วยกร้านแดดกร้านลม ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดโต๊ะท่าทางกระฉับกระเฉง

“นิมพ์ ดูลูกค้าด้วย” เสียงสั่งงานจากนายหญิงเจ้าของร้านดังมาจากโต๊ะสูง ทำให้เด็กชายเหวี่ยงผ้าในมือขึ้นบ่า

“ครับผม” ตอบเสียงใส ตรงไปทางลูกค้าสามคนที่เพิ่งเข้ามาในร้าน “เชิญครับ”

ชายหนุ่มคนแรกแต่งตัวด้วยอาภรณ์เนื้อดี มีราคาค่างวด ผ้าคาดศีรษะถักทออย่างดี มีมณีเนื้องามประดับไว้อย่างสวยงาม คล้ายจะเป็นคุณชายบ้านในบ้านหนึ่งของพวกอาร์คนอยด์ ตามมาด้วยลูกน้องอีกสองคน ท่าทางวางก้าม หากรอยสักที่ข้อมือของทั้งคู่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโซเซียลเลส พวกที่ขายตัวเป็นเบี้ยให้พวกอาร์คนอยด์

“รับอะไรดีขอรับ” ถามหลังจากพาทั้งสามมาที่โต๊ะ

“เอาเหล้าพร้อมกับแกล้มสักสามสี่อย่าง” ลูกน้องคนหนึ่งสั่งเด็กชายแทนนาย

“มันน่าเจ็บใจนัก ข้าหรืออุตส่าห์มีใจ แต่ดูเหมือนนุรีจะไม่สนใจข้าเลย” ชายหนุ่มออกปากอย่างหัวเสีย

“ท่านไตยต้องใจเย็นเข้าไว้...คุณนุรีเองก็ยังไม่ได้ชอบใครจริงๆ จังๆ นี่ขอรับ” ลูกน้องคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพูดกับผู้เป็นนาย

“แล้วท่านไตยไม่ชอบคุณนุดาบ้างหรือขอรับ?” คนที่นั่งด้านข้างถามตาเป็นประกาย

“ข้าไม่ชอบผู้หญิงเรียบร้อยอย่างนุดา...น่าเบื่อ ต้องเปรี้ยวจี๊ดอย่างนุรีสิถึงถูกใจข้า และอีกอย่าง...นุดาดูจะมีคนที่ชอบพออยู่แล้ว ถ้าดูไม่ผิดคงเป็นองครักษ์หน้าขาวที่มาเมื่อวันก่อนกระมัง”

“ท่านซีเซล องครักษ์ท่านจ้าวโดเรียสน่ะหรือขอรับ?” คนผิวดำที่นั่งตรงข้ามถามใคร่รู้

“อืม...พาใครไม่รู้มาฝากท่านเบลไว้ ปกติพวกนั้นจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับพวกลี้ภัย ดูท่าจะเป็นคนสำคัญ เห็นพวกคฤหาสน์นั่นวุ่นวายเรื่องเตรียมการต้อนรับอยู่ ขนาดข้ายังเฉียดไปใกล้ไม่ได้เลย” เป็นสาเหตุให้นายน้อยบ้านอาร์คนอยด์หัวฟัดหัวเหวี่ยง จนต้องมานั่งซดเหล้าที่นี่

“แต่ถ้าท่านไตยชอบเสียอย่าง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ท่านเบลกับท่านอาร์คนอยด์เป็เนพื่อนสนิทกัน คงจะยกลูกสาวให้ลูกชายเพื่อนมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว” ลูกน้องอีกคนยกยอเอาใจ

นิมพ์ประคองไหเหล้าพร้อมแก้วเล็กๆ สามใบมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะรีบไปยกกับแกล้มตามมาสมทบ ลูกน้องคนหนึ่งยกเหล้ารินส่งให้ผู้เป็นนาย รวมทั้งของตนเองและเพื่อน เมื่อเด็กชายจัดของลงโต๊ะครบหมดก็ถอยออกไปดูลูกค้าที่โต๊ะอื่น

“มันก็ไม่แน่หรอก เพราะคนอื่นที่ว่าก็เป็นถึงองครักษ์เอกของจักรพรรดิแห่งคาคูด้า และอีกอย่าง...พ่อข้าก็เคยบอกว่า ข้าจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าไปมีเรื่องกับคนของท่านจ้าวโดเรียสเป็นอันขาด”

“ขนาดท่านอาร์คนอยด์ ผู้กุมอำนาจสูงสุดในนารายยังหวั่นเกรงต่อท่านจ้าวโดเรียสขอรับ?” คนผิวดำเอ่ยถามอย่างคาดไม่ถึง เพราะตระหนักดีถึงความยิ่งใหญ่ของอาร์คนอยด์

“คงงั้นมั้ง พ่อข้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้องด้วยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเราจะพบความวิบัติ แต่ข้าว่าพ่อคงเกรงใจท่านเบลมากกว่า เพราะเห็นคนพูดกันว่า ท่านเบลเคยเป็นนายทหารเก่าของคาคูด้า”

“ข้าก็เห็นด้วยกับท่านไตย ท่านอาร์คนอยด์เป็นผู้เปลี่ยนแปลงที่นี่ คนที่หนุนหลังท่านอยู่มีแต่พวกที่เคยเป็นท่านจ้าวของเหล่าดวงดาว ท่านอาร์คนอยด์มีทั้งกำลังทรัพย์ กำลังคน คงไม่มีใครกล้าต่อต้านท่านเป็นแน่” คนที่นั่งชิดประจบ พลางรินเหล้าให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะรินให้เพื่อนกับตนเอง

“ที่พ่อข้ากล้าทำเรื่องพวกนี้ ก็เพราะมั่นใจว่าท่านจ้าวโดเรียสจะไม่เข้ามายุ่งหรือเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องคนที่นี่ แต่กลับจะถูกใจด้วยซ้ำที่เห็นคนพวกนั้นต้องทนทุกข์ด้วยน้ำมือของพ่อข้า นี่เป็นการลงโทษผู้คนที่เคยขับไล่พระองค์...” หัวเราะร่วนแววตาเป็นประกาย มั่นใจภูมิใจในอำนาจที่บิดาของตนได้สร้างขึ้น...มิได้สังเกตเห็นสายตาสองคู่ซึ่งเฝ้ามองอยู่อีกสองโต๊ะถัดไป

“นิมพ์ กลับหมู่บ้านด้วยกันเลยไหม?” หนึ่งในนั้นละสายตาจากนายน้อยบ้านอาร์คนอยด์ หันมาถามเด็กชายตัวเล็กที่สาละวนกับของบนโต๊ะ

“ข้าต้องเก็บของต่ออีกหน่อย...กลัวว่าจะทำให้ท่านโตมะกับท่านเรก้าเสียเวลา”

“ไม่เป็นไร...งั้นเจอกันที่ประตูเมือง ข้าว่าจะแวะซื้อขนมไปฝากพวกเด็กๆ ที่หมู่บ้านด้วย”

หลังจากนัดแนะกันเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ออกจากร้าน เดินไปตามถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน



“แสดงว่าเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์หนีรอดจากเงื้อมมือของสหพันธ์ แต่สถานการณ์ในนาบูคงยิ่งแย่ คิดว่าไม่นานท่านจ้าวลูซิเฟอร์ต้องแพ้สงคราม” เรก้าพูดขึ้นหลังจากเดินมาได้พักใหญ่

“ดูท่าว่าสถานการณ์จะตึงเครียดขึ้น สภาพของนาบูก็วิกฤตเต็มที ไม่แน่ว่าอาจลุกลามมาถึงนารายก็เป็นได้ ผู้คนคงทะลักเข้ามาที่นี่อีกจม เห็นทีเราต้องเตรียมพร้อมให้มากขึ้น แค่ระวังพวกอาร์คนอยด์อย่างเดียวคงไม่พอ”

“เราต้องหาทางขยับขยายพื้นที่เพาะปลูก ลำพังที่มีอยู่ผลิตอาหารไม่พอกับความต้องการเป็นแน่”

“พื้นที่เรามีนะเรก้า แต่น้ำนี่สิ...บ่อที่เราขุดเจอก็แห้งขอดเต็มที แล้วถ้าพวกอาร์คนอยด์มันรู้เรื่องนี้เข้า มันคงบุกเข้าแย่งชิงอีก...ลำพังกำลังของข้า ไม่รู้ว่าจะปกป้องชาวบ้านได้สักแค่ไหน” โตมะพูดอย่างเหนื่อยใจ มองไปข้างหน้า สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้สลดหดหู่ พวกทาสกับขอทานเห็นได้ทั่วไป

“ถ้าข้ามีกำลังมากกว่านี้ก็คงดี”

“ท่านโตมะอย่าฝืนมากเลยขอรับ เราทำเท่าที่เราพอจะทำได้ก็พอ...ท่านอย่าลืมสิ พวกเราน่ะเป็นคนอื่น ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจกับคนพวกนี้จนตัวเองต้องลำบาก เพราะจักรพรรดิของพวกเขาเองยังไม่คิดจะใส่ใจ”

“คงมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น...ข้าเชื่อนะเรก้า เชื่อว่าพระองค์ไม่มิใช่คนเลว ถ้าข้าเดาไม่ผิดคนที่ช่วยพวกเราเมื่อหลายวันก่อนคือซีเซล เฮเดรส องครักษ์ของท่านจ้าวโดเรียส”

“ท่านโตมะมองโลในแง่ดีเกินไป ผิดกับ...”

“พี่ของข้า” ผู้เป็นนายดักคอ เพราะประโยคนี้ตนโดนอยู่เป็นประจำ “มันก็แน่อยู่แล้ว มาสเตอร์กับนักรบจะมองโลกเหมือนกันได้ยังไง”

“มันก็ใช่ขอรับ แต่ข้าก็ไม่อยากให้ท่านเข้าไปคลุกคลีกับมนุษย์เหล่านั้นนัก เพราะเมื่อวันของเรามาถึง มันคงยากที่จะตัดใจ”

คำพูดนั้นทำเอาผู้เป็นนายคิดหนัก ถอนหายใจแรง เข้าใจดีถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่จะให้ละทิ้งก็ยากจะทำได้



ดินแดนทางตอนใต้ของคาคูด้า อากาศอบอุ่นไม่หนาวเย็นดั่งที่ปราสาทแก้ว เหล่าผู้คนต่างรักความสงบ อยู่กันอย่างมีความสุข เมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หุบเขาน้อยใหญ่ทอดตัวยาว ลำธารเล็กๆ ลาดยาวผ่านใจกลางเมือง ท้ายหมู่บ้านเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ เหล่าสัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่มากมาย ทุกชีวิตอยู่อย่างผาสุก ปราศจากการฆ่าฟัน อุดมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร...ไร้กลิ่นอายสงคราม

แสงแดดยามเย็นสาดส่องไปทั่วตัวเมือง โดเรียสพากาเซียร์ลัดเลาะตามทางเล็กๆ ที่ทอดยาว จนมาหยุดอยู่ตรงตึกแถวด้านหน้า ทางเข้าประดับประดาด้วยต้นไม้นานาพรรณ

“วันนี้เราจะพักกันที่นี่” เอ่ยพลางโอบไหล่บางพาเข้าไปภายใน

ด้านล่างเป็นร้านน้ำชาเล็กๆ มีผู้คนนั่งกันอยู่ประปรายตามโต๊ะกลมร่วมสิบตัวที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ห้องโถงถูกขนาบด้วยบันไดมันเงาทอดตัวสู่ชั้นบน มองเห็นห้องพักชัดเจน เพราะตรงกลางโปร่งสูงไปจนถึงหลังคาทรงโดม

“ทูนหัวของอาบูจา” เสียงที่คุ้นหูมาพร้อมกับกับร่างซึ่งแทบกระโจนเข้าใส่ แต่เปลี่ยนเป็นก้มลงกอดขา ภายใต้ชุดยาวคลุมทับด้วยชุดคลุมตัวโคร่งของโดเรียส

“อาบูจา...ทำอะไร เดี๋ยวคนได้แตกตื่นกันหมดหรอก” ซีเซลสะกิดเตือน เมื่อมองดูรอบๆ เริ่มมีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ คงลืมไปว่าอยู่ท่ามกลางสายตาเหล่าราษฎร์ของคาคูด้า ถ้าเกิดผู้คนเหล่านั้นระแคะระคายว่า ร่างสูงโปร่งที่อยู่ข้างร่างบาง แท้จริงคือจักรพรรดิแห่งคาคูด้า...เจ้าชีวิตของพวกเขา ผู้คนจะแตกตื่นกันเพียงใด

“เอ่อ...ประทาน...เอ๊ย...ขอโทษเจ้าค่ะทูล...เอ๊ย...ขอประทานโทษเจ้าค่ะ นายหญิง” อาบูจาได้สติ พูดตะกุกตะกักเพราะไม่คุ้นเคย ทั้งที่ตระเตรียมกันมาก่อนหน้านั้น รีบพยุงร่างอันอ้วนท้วนของตนยืนขึ้น

กาเซียร์หัวเราะสดใส พลางปรายมองซีเซล เฮเดรส ดั่งที่เคยทำ เพราะวันนี้ทั้งคู่เพิ่งกลับจากด่านนอก แต่ทำไมไม่มีดอกไม้แปลกตามาฝากนางอย่างเคย

ยิ่งทั้งสองรู้ว่าทูลกระหม่อมน้อยจับจ้องพวกตนอยู่ ต่างพากันหลุบตาต่ำไม่กล้าสบตา ความฉงนปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์แทบจะทันที

“ทูลกระหม่อมเพคะ” เสียงที่คุ้นเคยไม่น้อยไปกว่าอาบูจาทัก จึงเบือนหน้ามองไปทางต้นเสียง นัยน์ตาลุกวาวเมื่อเห็นร่างสองสาวงามที่เพิ่งรุดผ่านประตูเข้ามา

“พี่อานู พี่นียา มาได้ไงเนี่ย” ดีใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้พบนางกำนัลคนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานแสนนาน เพราะทั้งคู่ต้องอยู่ที่ปราสาทหลวง ไม่ได้ตามไปยังปราสาทแก้วด้วยกัน

“ทูลกระหม่อมเพคะ” ทั้งสองนั่งลงแทนที่อาบูจา กระทำกิริยาที่ไม่แตกต่างกับพี่เลี้ยงเมื่อครู่ ซีเซลรู้สึกว่าป่วยการที่จะตักเตือน เพราะดูเหมือนสายตาเกือบจะทั้งหมดจับจ้องมา ยากจะกลบเกลื่อนใดๆ

“มารับกาเซียร์หรือคะ” นางกำนัลทั้งสองแย่งกันกุมมือเรียวมาแนบกับผิวแก้มบ้าง หน้าผากบ้าง ระบายความคิดถึงที่ต้องอยู่ห่างทูลกระหม่อมน้อย “ดีใจจัง คิดว่าจะได้เจอพวกพี่อยู่แล้วเชียว แต่ไม่นึกว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ กาเซียร์มีเรื่องเล่าให้ฟังมากมายเลย”

“พี่ว่า...ไว้ค่อยคุยกันทีหลังดีกว่านะ” โดเรียสตัดบท ก่อนจะเบือนหน้ามาทางอาบูจา “พากาเซียร์ขึ้นพักก่อน เดี๋ยวเราจะตามไป”

หลายวันที่ผ่านมา ท่านจ้าวโดเรียสพากาเซียร์แวะเที่ยวตามที่ต่างๆ มากมาย ระหว่างเดินทางกลับปราสาทหลวง แม้นางจะดูกระตือรือร้นที่ได้พบได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ แต่ก็มีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด หากก็ฝืนไว้อีกเช่นเคย

โดเรียสมองตามกาเซียร์จนคล้อยหลังไป ก่อนจะเบือนหน้ามาทางองครักษ์ เพียงปราดแรกที่ประสานสายตากับเฮเดรส ก็พอจะเดาเรื่องได้เลาๆ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ซีเซลก็เชิญให้ไปยังห้องข้างๆ



ห้องพักถูกจัดไว้อย่างสวยงาม เตียงนอนลายโปร่งวางชิดมุมห้อง ด้านข้างเป็นหน้าต่างติดกระจกใส ซึ่งบังตาด้วยม่านสีฟ้าที่ถูกผูกไว้อย่างง่ายๆ อานู นียา ช่วยกันดึงผ้าคลุมเตียงพับให้เรียบร้อยก่อนจะนำไปไว้ที่โต๊ะเตี้ยปลายเตียง ส่วนผู้เป็นนายนั่งพิงเก้าอี้ตัวยาวอยู่ทางระเบียบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ซึ่งยื่นออกไปด้านนอก อาบูจานั่งพับเพียบอยู่ไม่ห่าง นางทอดตามองร่างบางตรงหน้าบ้าง กวาดตาเข้ามาในห้องดูอานู นียา ที่วุ่นอยู่กับการตระเตรียมที่นอนบ้าง

“อาบูจา...” เสียงเรียกเบาหวิว แต่ก็พอช่วยเลือนลบบรรยากาศเงียบเหงาเมื่อครู่ไปได้มาก

“เพคะ” อาบูจาขานรับทันควัน เพราะเฝ้ารอให้ผู้เป็นนายเอ่ยอะไรบ้าง หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่เป็นนาน ราวกับว่ากำลังกลัดกลุ้มอะไรสักอย่างซึ่งนางเอกก็ยากจะคาดเดา

“กาเซียร์จะเป็นตัวปัญหาไหม?” เอ่ยขึ้นลอยๆ แผ่วเบา คงเพราะคิดหาคำตอบอยู่เป็นนาน ทว่าหาได้กระจ่างดังใจไม่

“เพคะ?” พี่เลี้ยงได้ยินไม่ถนัดนัก

“ไม่มีอะไรหรอก” นึกได้ว่าไม่ควรถาม เพราะอาบูจาเก็บความลับไม่ค่อยจะอยู่

“ทูนหัว...มีอะไรที่ทำให้ทรงกังวลพระทัยหรือเพคะ” ถามเสียงอ่อนเสียงหวาน

“เปล่าค่ะ...เพียงแต่กาเซียร์รู้สึกเหนื่อยเท่านั้นเอง” เฉไฉไปเรื่องอื่น เบี่ยงความสนใจพี่เลี้ยง และดูเหมือนจะได้ผล

“ถ้าเช่นนั้น บรรทมเลยนะเพคะ” บอกน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันหน้าเข้าไปในห้อง “อานู นียา ยังจัดการเรื่องที่บรรทมไม่เสร็จอีกรึ...ชักช้าจริงแม่พวกนี้”

“กาเซียร์ยังไม่ง่วง จะดูจันทร์ต่ออีกหน่อย วันนี้ท้องฟ้าสวย”

“อ้าว...เมื่อครู่ยังรับสั่งว่าทรงเหนื่อย”

“บอกว่าเหนื่อย ไม่ได้บอกว่าง่วงสักหน่อย”

“แต่ยังไงก็บรรทมเถอะนะเพคะ...ถ้าท่านจ้าวเสด็จ แล้วยังไม่เข้าบรรทมหม่อมฉันจะแย่ วันนี้ท่านจ้าวต้องทรงกริ้วหนักอีกแน่ ดูเหมือนที่นอกด่านจะเกิดเรื่อง” เล่าเสียงอ่อย

“ที่นารายน่ะหรือเพคะ?”

“เพคะ...พวกคนอพยพนั่นแหละเพคะ เวลาซีเซล เฮเดรสกลับจากนอกด่านทีไร ท่านจ้าวต้องกริ้วหนักทุกที คราวนี้ทำท่าว่าจะหนักกว่าทุกครั้ง...ขนาดไม่เสด็จมาเสวยพร้อมทูนหัว ทั้งๆ ที่ไม่เคยปล่อยให้เสวยคนเดียวสักครั้ง...ทูนหัวคงเหงาแย่”

“กาเซียร์ทานคนเดียวได้ ไม่ใช่เด็กที่จะต้องมาคอยดู และอีกอย่างเจสเซอร์คงยุ่งมาก”

“เพคะ...ก็ทูนหัวของอาบูจาทรงเก่งมาแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้น...บรรทมนะเพคะ”

“กล่อมอย่างกับกาเซียร์เป็นเด็กห้าขวบ กาเซียร์โตแล้วนะ ไม่ต้องมาชมเสียให้ยาก ไม่หลงกลหรอก”

“โถ...อาบูจาหรือจะกล้า ก็แค่...”

“ก็ได้...เดี๋ยวกาเซียร์จะนอน อาบูจาก็ไปนอนซะนะ แก่มากแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย” เอ่ยตัดบทประชดปนรำคาญ พลางก้าวขึ้นเตียงนอนใหญ่ โดยมีอานู นียา คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งสองไม่วายหลุดเสียงหัวเราะคิกคัก เลยโดนพี่เลี้ยงเขกหัวไปคนละที

“โถ...ทูนหัว อาบูจายังไม่แก่ขนาดนั้นหรอกเพคะ”

กาเซียร์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำแก้ตัว เบือนหน้าไปเอ่ยกับนางกำนัลทั้งสอง

“เดี๋ยวพี่อานู พี่นียา อยู่กับกาเซียร์นะจ๊ะ กาเซียร์ไม่อยากนอนคนเดียว...กลัวน่ะ”

“เพคะ” ตอบรับพร้อมกัน ยิ้มระรื่นจนพี่เลี้ยงนึกหมั่นไส้

“หม่อมฉันอยู่กับทูลกระหม่อมดีกว่าเพคะ”

ดวงตางามปรายมาทางนาง บ่งบอกัดเจนว่าปฏิเสธ จำต้องพาร่างอุ้ยอ้ายเดินคอตกออกจากห้องไปอย่างเสียไม่ได้

“บรรทมนะเพคะ” อานูเอ่ยอ่อนโยน มือทั้งสองเตรียมห่มผ้าให้ร่างบาง แต่ก็ต้องชะงัก

“พี่อานู พี่นียา กาเซียร์มีเรื่องจะถาม”

“เพคะ” ทั้งสองตอบรับพร้อมกัน วางมือจากงาน ทิ้งก้นลงข้างๆ เตียง รอฟังอย่างตั้งใจ

ทูลกระหม่อมน้อยของทั้งสองพิงหมอนใบใหญ่ที่นียาจัดให้เมื่อครู่ ยังมิหลุดคำถามดั่งไม่แน่ใจว่าจะถามดีหรือไม่

“เรื่องอะไรหรือเพคะ” นียาให้ความกล้าอย่างที่เคยทำ

ดวงตากลมโตปรายมาทางทั้งคู่ พร้อมกับถามเสียงปกติ “เรื่องเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่”

“ทูลกระหม่อม!” ร้องเสียงหลงแทบพร้อมกัน ใจหายวับ ทั้งคู่สบตากันเป็นเชิงปรึกษา สีหน้าหวั่นวิตกปนตกใจ

“ทำไมต้องตกใจด้วย”

“ก็ทำไมจู่ๆ ต้องรับสั่งถึงเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ด้วยเพคะ” อานูถามน้ำเสียงตำหนิ

“ใช่เพคะ” นียาย้ำอีกครั้ง

“พูดราวกับว่ากาเซียร์เพิ่งจะถามพวกพี่เรื่องเจ้าหญิงเป็นครั้งแรก”

“แต่นั่นมันนานมาแล้ว...แล้วจู่ๆ ก็รับสั่งเรื่องนี้ขึ้นมาอีก มันเรื่องอะไรกันเพคะ”

อานูถามน้ำเสียงหวาดหวั่น จริงๆ แล้วไม่อยากให้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าท่านจ้าวทราบว่าทั้งสองเป็นคนเล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงให้ฟังจะทำเฉยแน่หรือ แล้วยังพี่เลี้ยงอาบูจาอีกล่ะ แค่คิดลมก็แทบจับ

“ก็สองสามวันมาเนี่ย...กาเซียร์มีความสุขมากเหลือเกิน ได้ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เจสเซอร์ก็ใจดีกับกาเซียร์ ทำให้นึกกลัวไปต่างๆ นานา เคยได้ยินไหม สุขจนน่ากลัวน่ะ กาเซียร์เลยกลัว แล้วก็คิดไปว่า ถ้าวันหนึ่งเจ้าหญิงเสด็จมาที่นี่ กาเซียร์จะยังอยู่ที่นี่ได้ไหม? เจ้าหญิงจะยอมให้กาเซียร์อยู่กับเจสเซอร์ไหม? เจสเซอร์จะยังใจดีกับกาเซียร์อย่างนี้หรือเปล่า? กาเซยร์อยากรู้” หญิงสาวกลัดกลุ้ม เสียงใสเป็นกังวล ทอดสายตาออกไปภายนอก

“อะไรทำให้ทรงคิดเช่นนั้นเพคะ?” นียาถาม นึกโมโหตัวเองที่เล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงให้ฟังเมื่อก่อนหน้านี้ คงคิดผิดจริงๆ ที่ทำเช่นนั้น อานูเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันมากนัก

“ก็วันนี้ซีเซลเฮเดรสกลับมาจากนารายใช่ไหม? ดูทั้งคู่แปลกๆ ไม่กล้าสบตากาเซียร์ ทั้งที่เมื่อก่อน ถ้าคู่นี้ไปนอกด่านจะต้องมีดอกไม้หรือของแปลกๆ สวยๆ มาฝากกาเซียร์เสมอ แต่วันนี้ไม่ใช่ มันต้องมีอะไรแน่ๆ กาเซียร์รู้สึกอย่างนั้น”

“อย่าทรงคิดมากสิเพคะ” อานูปลอบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

“คิดมากอะไร...กาเซียร์ไม่ได้คิดมากนะ ซีเซล เฮเดรส เวลามีความลับอะไรจะปกปิด กาเซียร์มองแป๊บเดียวก็รู้แล้ว”

ที่เอ่ยออกมาทั้งอานูและนียาเห็นด้วยอย่างยิ่ง นึกฉุนทั้งคู่ขึ้นมาทันควัน ทีกับคนอื่นน่ะร้ายยิ่งกว่าเสือสิงห์ แต่กับทูลกระหม่อมน้อยละก็ กลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ นี่เอง

ดวงตาสีนิลระยับที่เคยสดใส ตอนนี้ดูเศร้าหมองจนคนมองใจหาย

“ทูลกระหม่อม...ท่านจ้าวทรงรักทูลกระหม่อมนะเพคะ” นียาพยายามเอ่ยให้คล้อยตาม

“รักหรือ?” เสียงถามเบาหวิว “สงสารต่างหาก...ไม่ได้รัก เจสเซอร์รักเจ้าหญิงพวกพี่ก็รู้” ถ้อยคำตอนท้ายเบาหวิวกว่าตอนแรก ทั้งเสียงใสยังสั่นเครือ

“ท่านจ้าวไม่ทรงทอดทิ้งทูลกระหม่อมเป็นแน่ เชื่ออานูนะเพคะ”

“ใช่เพคะ นียาก็ขอเอาศีรษะเป็นประกัน ท่านจ้าวทรงห่วงแสนห่วงทูลกระหม่อม”

“กาเซียร์จะไม่เป็นตัวปัญหาให้เจสเซอร์ใช่ไหมจ๊ะ”

“ไม่ใช่แน่นอนเพคะ” อานูตอบมั่นใจ นียาพยักหน้าเห็นด้วย ทูลกระหม่อมน้อยมองนางกำนัลทั้งสองอย่างชั่งใจ ก่อนจะแย้มยิ้มพร้อมกับบอกว่า

“เจสเซอร์เคยพูดว่า ท่านจ้าวมีชายาได้ตั้งหลายคน ถ้างั้นเพิ่มกาเซียร์อีกสักคนคงไม่เป็นไรหรอกนะ...กาเซียร์ไม่ต้องการอะไรหรอก ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ เจสเซอร์ก็พอ ให้เป็นอะไรก็ยอม ให้อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ตลอดไปก็ยังได้” เอ่ยหนักแน่น

“อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ...ทรงหมายถึงใครเพคะ?” อานูตกใจกับถ้อยคำที่ได้ยิน ไม่แน่ใจในความหมายนั้น

“ก็กาเซียร์ไง”

ทั้งสองยิ่งทำหน้างงงัน

“ก็กาเซียร์ไม่ใช่น้องเจสเซอร์...ญาติก็ไม่ใช่ แล้วกาเซียร์ก็ไม่ได้แต่งงานกับเจสเซอร์ด้วย แต่เจสเซอร์ก็ยังอยู่ด้วย คอยดูแลคอยเอาใจใส่ ถ้าตอนนั้นเจสเซอร์ไม่พามาที่นี่ กาเซียร์ก็อาจตายไปนานแล้ว คงไม่ได้อยู่มาจนป่านนี้หรอก”

“ทูลกระหม่อม” ทั้งสองได้แต่สบตากันดั่งจะระบายความหนักใจ เพราะไม่รู้จะปลอบอย่างไรจึงจะดี ทั้งๆ ที่รู้เหตุการณ์ทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถพูดหรืออธิบายอะไรได้เต็มปาก เหมือนกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ

“กาเซียร์จะนอนแล้ว...ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”




greenteagreentea





Create Date : 10 ตุลาคม 2552
Last Update : 10 ตุลาคม 2552 21:56:05 น. 0 comments
Counter : 526 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.