<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 7







7.-


โพรงน้ำแข็งที่ปรากฏเบื้องหน้ากินบริเวณกว้างประหนึ่งหลุดไปอยู่อีกพิภพ สูงขึ้นไปเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะตัวเป็นลวดลายซึ่งถูกแต่งแต้มโดยธรรมชาติ ภาพที่ปรากฏอัศจรรย์จนสะกดใจ ลืมเลือนความเย็นยะเยือกที่ฟุ้งกระจายเป็นม่านหมอกละอองไอไปหมดสิ้น

ด้านบนสุดคือปล่องภูเขาไฟเก่า เป็นทางผ่านของแสงตะวันที่เล็ดลอดสู่ภายใน ลำแสงน้อยใหญ่สาดกระทบธารน้ำใต้ดิน ซึ่งบัดนี้ตัวเป็นแผ่นกระจกใส มองทะลุไปยังกรวดสีสันหลากหลาย เม็ดทรายเล็ก ๆ สะท้อนประกายแจ่มจรัสเพิ่มความโดดเด่นให้ธารกระจกที่ทอดตัวยาวคดเคี้ยวไปมา

น้ำซึ่งหยดทีละนิด ๆ นานวันเข้าก็เกาะตัวเป็นแท่งน้ำแข็งย้อยลงจากเพดานถ้ำ บางต้นทอดตัวเรียวแหลมลงจรดพื้น ไม่ต่างไปจากเสาใหญ่กลางท้องพระโรงในเขตราชฐาน ทว่าเสางามแห่งนี้ดูใสสว่างแถมยังสลักลวดลายวิจิตรได้อย่างน่าพิศวง

สภาพแวดล้อมที่รายรอบมีทั้งหินย้อยเนื้อเนียนนวลดุจดั่งงาช้าง ตามผิวนั้นมีเกล็ดเล็ก ๆ คล้ายเม็ดทรายส่องประกายระยิบระยับ ทอประกายเขียวมรกตบ้าง น้ำเงินบ้าง ฟ้าบ้างปะปนกันไป แม้หลากหลาย หากลงตัวและกลมกลืนกันอ่างน่าอัศจรรย์

“สวยจัง อย่างกับแดนสวรรค์แน่ะ” เนตรงามถูกสะกดด้วยประติมากรรมชิ้นเอกที่เนรมิตโดยธรรมชาติ โดเรียสทอดตามองหญิงสาวไม่วางตา รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปาก คิดในใจ ‘พูดราวกับว่าเคยไปสวรรค์มาแล้ว’

“กาเซียร์ชอบก็ดีแล้ว”

“เข้าไปข้างในได้ไหมคะ?” นางหมายถึงโพรงซึ่งทอดตัวลึกเข้าไปด้านใน แม้ดูมืดมาก แต่มีแสงระยิบระยับหลอกล่อสายตามิให้แลเลยผ่านไปได้

“ได้...แต่ต้องระวังนะ เกาะแขนพี่ไว้” เอ่ยพลางยื่นท่อนแขนให้น้องน้อยใช้จับยึด หญิงสาวก้ามตามอย่างระมัดระวัง พื้นเป็นน้ำแข็งทั้งมืดทั้งลื่น ถ้าตอนนี้ไม่เกาะแขนชายหนุ่มไว้ อาจล้มกลิ้งตกลงไปยังช่องหินที่เป็นโตรกน้ำเก่าเบื้องล่างเป็นแน่

“ดวงดาวตอนกลางคืนอยู่บนฟ้า พอตอนกลางวันก็หนีร้อนมาหลบอยู่ที่นี่เอง...เนอะ” เสียงเอ่ยเจื้อยแจ้ว ช่างเจรจา

สายตาเริ่มชินกับความมืดกระทบกับวัตถุเรืองแสงก้อนกลม มีลำแสงสีฟ้าพุ่งผ่าน ไม่กี่อึดใจลำแสงนั้นก็หายไป สักพักก็พุ่งปราดออกมาอีก กะพริบแล้วเปลี่ยนสีหลากหลาย วาวระยับดั่งจะอวดความงามอยู่ตรงซอกหินซึ่งแตกเป็นทางยาว

“สวยจัง...” กาเซียร์เอื้อมมือคิดจับต้อง จึงเผลอผละห่างชายหนุ่มอย่างลืมตัว แต่ข้อมือเรียวเล็กถูกรั้งไว้เสียก่อน

“กาเซียร์! พี่บอกแล้วว่าอย่าออกห่างจากตัวพี่ ไม่เข้าใจหรือไงนะ” ท้ายประโยคเสียงห้วนอย่างเห็นได้ชัด

“ขะ...ขอโทษค่ะ”

“รู้ไหม ทำไมก้อนน้ำแข็งพวกนี้ถึงมีสีสัน?” ยังคงโกรธเคืองด้วยความเป็นห่วงชี้ให้อันตราย

หญิงสาวส่ายหน้าเนือยๆ

“นั่นเพราะมันเกิดจากแร่ธาตุ” ถามเองยังต้องตอบเอง อนาถแท้ “แร่บางตัวมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต บางตัวเป็นแก๊สพิษ ขืนสูดดมเข้าไปจะเป็นอันตราย...ลองมองดูรอบๆ สิ แล้วดูว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บ้างไหม”

หญิงสาวหน้าซีดที่โดนโกรธ หากความอยากรู้นั้นมีมากกว่า

“ค่ะ...แล้วนั่นอะไรคะ?”

“นั่นเรียกพลอยน้ำแข็ง เรืองแสงในที่มืด จะใสเหมือนแก้วเมื่ออยู่ในความเย็น”

“กาเซียร์อยากได้จัง จะได้เอาไปฝากอาบูจาด้วย...มีพิษร้ายแรงไหมคะ?”

“ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเอาออกไปข้างนอกก็จะมีค่าเพียงก้อนกรวดธรรมดา มานี่ดีกว่า พี่มีของจะให้”

ยิ่งเข้าไปด้านในลึกเท่าไหร่ ความมืดก็ยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น ทว่าโดเรียสกลับย่างเท้าอย่างมั่นคง ประหนึ่งเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในชัดเจน ผิดกับอีกคนที่ตามมาอย่างเก้ๆ กังๆ เกาะแขนแน่น เพราะสายตายังไม่ชินกับความมืดที่ถักทอแน่นหนา สิ่งที่เห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ

“คอยพี่อยู่ตรงนี้” อุ้มร่างบางวางลงบนลานหินกว้างที่สูงกว่าระดับพื้นเกือบครึ่งตัว ก่อนจะถอยออกห่าง พลางยกมือขึ้นสูง บังเกิดเป็นกงจักรสีเงินสว่างไสว ช่วยสลายความมืดไปได้บ้าง

กงจักรรัศมีเงินแจ่มจรัสหมุนติ้วอยู่รอบนิ้ว ครั้นเมื่อลดมือลง กงจักรนั้นลอยขึ้นสูงและขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปครอบอยู่เหนือร่างบาง...พร้อมกับคล้อยต่ำลงอย่างช้าๆ ไม่นานนักก็พลันหายไปทันทีที่สัมผัสพื้นหิน หลงเหลือเพียงเส้นวงกลมขนาดใหญ่รอบลานหิน

รัศมีเงินเรืองแสงกระทบม่านตาในเงามืด บ่งบอกเขตแดนของตนได้ชัดเจน

“อย่าออกจากวงกลมนี้ จนกว่าพี่จะกลับมา” เป็นครั้งแรกที่ออกคำสั่งกับหญิงสาว ดวงตาแลผ่านความมืดจ้องวงหน้าอ่อนเยาว์

“เอ๊ะ! เจสเซอร์จะไปไหน? จะทิ้งกาเซียร์ไว้คนเดียวหรือคะ? กาเซียร์กลัวนะ มันมืดออก” เอ่ยพลางกวาดตาไปรอบๆ ความมืดยังคงปกคลุมหนาแน่น

“ก็ไปเอาของที่ว่ามาให้กาเซียร์ไงคะ”

“ต้องไปคนเดียวหรือคะ พากาเซียร์ไปด้วยสิคะ” ก็พอจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้าตามไปด้วยได้ท่านจ้าวคงไม่ปล่อยให้อยู่ลำพังเป็นแน่ นี่คงหมดหวังแล้วจริงๆ

“ให้ซีเซล เฮเดรสมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้” ตามไปไม่ได้แต่อย่างน้อยก็มีเพื่อนอยู่ด้วยก็ยังดี

“ซีเซล เฮเดรสไม่ได้อยู่ที่นี่...พี่ให้ทั้งคู่ไปนอกเขตแดน ตรวจดูความเรียบร้อย คงอีกสองสามวันกว่าจะกลับ”

“ก็กาเซียร์กลัวนี่นา...จะปล่อยกาเซียร์อยู่คนเดียวจริงๆ หรือคะ?” เสียงใสอ่อยลงกว่าตอนแรก โดเรียสเองก็อดสงสารไม่ได้ ลังเลใจเหมือนกัน อยากพาไปด้วยอยู่หรอก แต่ข้างในทั้งมืดและอันตราย

เมื่อเห็นว่าใบหน้าคมยังคงวางเฉย จำต้องหาเหตุผลมาอ้างต่อ

“ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่อาจมีผีอยู่ก็ได้...กาเซียร์กลัวผี”

“ผะ...ผี” ทวนถ้อยคำปนหัวเราะ สั่นหัวก่อนจะเอ่ยปลอบ เพราะนี่มิได้แกล้งแต่คงกลัวจริง

“นั่นมันที่ดวงดาวสีน้ำเงิน ที่นี่ไม่มีหรอกค่ะ เอาเป็นว่าพี่จะรีบไปรีบกลับ ถ้ากาเซียร์ยังอยู่ในวงกลมนี้ละก็ไม่ว่าผีหรืออะไรก็เข้าใกล้ไม่ได้ พี่รับรอง” สบตางามแน่วแน่ดั่งจะสะกดความกลัวนั้นไว้ เพิ่มความมั่นใจให้น้องน้อย “เพราะงั้น...ถ้ากลัวก็อย่าออกจากเขตอาคมของพี่...เข้าใจนะ!”

ร่างสูงโปร่งผละไปพร้อมกับถ้อยคำสุดท้าย เนื่องด้วยไม่ต้องการฟังเสียงใสๆ ทัดทาน เพราะตระหนักดีว่าหญิงสาวต้องหาข้ออ้างมาได้ร้อยแปด ตามประสาช่างเจรจา ‘เลี่ยงไปเยอย่างนี้คงจะดีกว่า’ คิดพลางเดินผละจาก ตรงเข้าไปด้านในอย่างรีบเร่ง ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง ไม่นานนักร่างนั้นก็ถูกความมืดกลืนหายไป

“เจสเซอร์” ทำท่าว่าจะตามไป เพราะแน่ใจแล้วว่าถูกปล่อยให้อยู่ลำพังจริงๆ มิได้แกล้งเล่นดั่งที่ท่านจ้าวเคยกระทำ แต่ก่อนที่เท้าจะก้าวพ้นเส้นวงกลม วงแหวนของกงจักรก็โผล่ขึ้นจากพื้น พร้อมแสงสกาวสีเงินที่ลำสว่างไสว กันหญิงสาวเอาไว้ได้ทัน

‘ถ้ากลัวก็อย่าออกจากเขตอาคมของพี่...เข้าใจนะ’ ถ้อยคำครั้งหลังสุดแทรกขึ้นในหัว จำต้องชะงักเท้ายืนละล้าละลังอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยอมถอยกลับมานั่งลงบนลานหินเช่นเดิม สอดส่ายสายตาไปรอบๆ

เมื่อร่างบางไม่มีทีท่าว่าจะออกจากขอบเขตอาคมของตน กงจักรนั้นก็คล้อยต่ำลงอย่างรู้งานก่อนจะหายไป ทิ้งไว้เพียงความมืดสลัว...เงียบสงัด ในขณะที่สาวน้อยขี้ระแวงกำลังถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง

เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่...ท่อนแขนเรียวกอดเข่าไว้หลวมๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเบือนหน้ามองรอบตัว โสตประสาทรับรู้ว่าพื้นถ้ำเริ่มสั่นสะเทือน และยังรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งซึ่งกำลังจับจ้องนางอยู่ภายในเงามืดนั้นด้วย

“เจสเซอร์มาเร็วๆ สิคะ กาเซียร์กลัวจะแย่แล้วนะ”

แรงสั่นสะเทือนดูจะทวีขึ้นเรื่อยๆ เกล็ดน้ำแข็ง เศษดินเล็กๆ ที่ร่วงพรูจากเพดานเป็นสิ่งยืนยันชัดเจน...ดวงตาเหลือบแลระแวดระวังภยันตรายที่เจียนกล้ำกราย

ภายในความสลัวราง นัยน์ตาก็เริ่มชินกับความมืดเผอิญปรายไปพบสิ่งหนึ่ง...มันกำลังเคลื่อนที่เบาๆ อยู่ที่มุมด้านในของโพรง เยื้องๆ มุมนั้นมีซอกหินลึกลงไปคงเชื่อมกับโตรกน้ำใต้ดินที่อยู่ด้านนอก

“อะไรน่ะ?” ความกลัวเริ่มร้อยรัดในหัวใจขึ้นทุกขณะ เรียวปากสั่นระริก กอดเข่าแน่นขึ้น สายตายังจดจ้องที่สิ่งนั้น ดูเหมือนว่ามันเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ร่างตะคุ่มขนาดใหญ่ไม่เป็นรูปเป็นร่างโล้ไหวตลอดเวลา แต่ที่แน่ชัดคือ ตอนนี้มันอยู่ห่างจากนางไม่กี่สิบก้าว นางถอยเข้าไปใกล้โขดหินซึ่งอยู่เบื้องหลังเรื่อยๆ

“กรี๊ด!”

เสียงกรีดร้องทำให้โดเรียสชะงัก...ย้อนกลับมาทางเดิม ไม่อาจไปต่อได้ เพราะเป็นห่วงกาเซียร์จับใจ คิดผิดหรือเปล่าที่ปล่อยไว้คนเดียว

ร่างบางสะดุ้งเฮือก ตะกายออกจากบริเวณนั้นทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ นิ้วเรียวยกขึ้นปิดหน้าซีดเผือด รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกระทบแผ่นหลัง น้ำตาร่วงพรูอาบแก้ม แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง มือสั่นเท่าค่อยๆ เลื่อนลง

โธ่เอ๊ย! หลังชนแผ่นหินนี่เอง

“ตกใจหมดเลย...เฮ้อ” บอกกับตนเอง ตามด้วยเสียงถอยหายใจแรง แต่แล้วยังไม่ทันหายจากอาการตกใจ แสงสว่างจากเส้นวงกลมซึ่งสงบนิ่งอยู่นานก็สว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง มันเจิดจ้ามากพอที่จะทำให้นางรับรู้ได้ถึงตัวตนของสิ่งที่อยู่ในเงามืด

เห็นปราดแรกก็แน่ใจทันทีว่า ไม่เคยพบเคยเห็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน แต่สิ่งที่พอจะนำมาเปรียบเปรยได้คือ มันเหมือนกับปลาหมึกยักษ์ทั่วทั้งตัวเป็นสีน้ำตาลไหม้กระด่างกระดำ อีกทั้งยังมีเมือกเหลืองขุ่นข้น ท่าทางเหนียวเหนอะฉาบอยู่ตามเนื้อตัว ผิวสีเข้มนั้นเฉอะแฉะ หนวดใหญ่ยาวท่าทางแข็งแรงสะบัดยั้วเยี้ยไปมา รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวชวนให้สะอิดสะเอียนยิ่งนัก

“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องดังและยาวกว่าตอนแรก ร่างบางสะดุ้งแรง หมดหนทางหนี ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ยกมืดปิดตาเป็นพัลวัน...ไม่อยากเห็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวนั้น

เสียงเหมือนเอาเนื้อแนบกับแท่งเหล็กร้อน...แสงสีเงินยังคงส่องสาดอยู่รายรอบเจ้าสัตว์ร้ายชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้รามาอีกครั้ง มันพุ่งตรงมาจากด้านบน หมายมั่นว่าจะตวัดรัดร่างบางได้เป็นแน่ แต่เมื่อผิวนั้นสัมผัสลำแสงสีเงินก็เกิดเสียงซู่ พร้อมกับกลุ่มควันฟุ้งกระจาย หนวดนั้นสะบัดเร่าดั่งปวดแสบปวดร้อนอย่างแสนสาหัส หดกลับแทบจะทันที

“เจสเซอร์” คร่ำครวญปนสะอื้น

‘ถ้ากาเซียร์ยังอยู่ในวงกลมนี้ละก็ ไม่ว่าผีหรืออะไรก็เข้าใกล้ไม่ได้ พี่รับรอง’ ถึงจะนึกได้เช่นนั้น แต่ใช่ว่าความกลัวจะลดน้อยถอยลง ก็ดวงตาแดงก่ำของอสูรร้ายยังคงจับจ้องนางเขม็ง ไม่มีทีท่าว่าจะล่าถอยออกไปเลยแม้แต่น้อย

ไหนว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แล้วนี่มันตัวอะไรล่ะ” นางประชดกับตัวเอง ทั้งกลัว ทั้งโกรธ ดวงตาคลอหยาดน้ำปรายไปทั่วบริเวณดั่งจะหาช่องทางหลบหนี แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมาดูท่าทีของสัตว์อสูรซึ่งอยู่เบื้องหน้า

มันยังไม่ยอมแพ้ พยายามวนอยู่รอบนอกไม่ยอมลดละ เพราะมันเห็นเหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้า มีหรือจะยอมทิ้งไปง่ายๆ มันต้องหาหนทางให้ได้

แต่มันอาจจะคิดผิดที่คิดว่านี่คือเหยื่อ จึงไม่ยอมล่าถอยออกไป

จนกระทั่งเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา กาเซียร์สะดุ้งโหยง เพ่งความสนใจไปทางต้นเสียง

“ตัวอะไรอีกล่ะเนี่ย?” งึมงำแทบจะร้องโฮ แต่เฉลียวใจขึ้นว่าเสียงนั้นดังมาจากทางที่โดเรียสมุ่งไปเมื่อครู่

“เจสเซอร์” นางตะโกนเรียกสุดเสียง

สัตว์ร้ายชะงักกึก รอฟังเสียงตอบกลับ ไม่นานนักมันก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ดั่งแน่ใจว่ามีเหยื่อชั้นเลิศกำลังย่างกรายเพิ่มมาอีก ความสว่างของลำแสงทำให้มองเห็นทางที่มีเสียงฝีเท้าดังมาได้ชัดเจน ตรงนั้นเป็นหัวมุมของโพรงซึ่งแยกเข้าไปด้านในเงารางๆ ที่โผล่ออกมาท่าทางกระฉับกระเฉง รูปร่างที่คุ้นเคย...

“เจสเซอร์” สิ้นเสียง ร่างบางก็ผละออกจากวงกลมลำแสง ตรงไปทางเงาร่างที่เพิ่มจะก้าวพ้นออกมา

อสูรร้ายหันขวับกลับมาที่เหยื่อตัวแรก พึ่งหนวดตามไปติดๆ จนพร้อมที่จะตวัดรัดร่างบาง ทว่ามันกลับชะงัก...ท่าทางลังเลราวกับไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง

“เจสเซอร์” ร่างเพรียวบางโผเข้าสู่อ้อมแขนที่รอรับแทบจะทันที โอบรัดไว้แน่นดั่งเกรงว่าสิ่งที่สัมผัสได้จะเป็นเพียงฝันที่อาจจะหลุดลอยไปแล้วปล่อยนางไว้เพียงลำพังอีก ในหน้าซบกับแผ่นอก...สะอื้นไห้ ด้วยความหวาดตระหนกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งพานพบ

ร่างของเหยื่อที่เพิ่มจะก้าวพ้นเงามืดนั้นดูชัดเจนขึ้น แสงสว่างสีเงินสะท้อนวงหน้าคมเข้ม สัตว์ร้ายลนลานหวาดกลัวประหนึ่งว่ามันกำลังจะถูกเปลี่ยนสถานะจากผู้ล่าไปเป็นเหยื่อเสียเอง

โดเรียสไม่เอ่ยสิ่งใด...ไม่ได้ปลอบประโลมอย่างที่เคยกระทำ แต่ดวงตากระด้างจับจ้องอสูรร้ายที่ถอยกรูดเข้ราไปติดมุมเดิมที่ปลดปล่อยมันออกมา สัตว์ร้ายค่อยๆ ลดหนวดที่ชูขึ้นสูงลง ดั่งต้องการบอกผู้ที่อยู่ตรงหน้าว่าขอศิโรราบ ขอชีวิตมันได้เถอะ

ลำตัวที่นอกเหนือจากหนวดนั้นแท้จริงเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ ดวงตากลมโตแดงก่ำน่าขยะแขยงยิ่งนัก หนังตาหนักๆ กะพริบถี่ขึ้นเมื่อมันหวาดกลัว ฟันแหลมคมไม่ต่างจากฟันของปลาเพชณฆาตวาววับแทบจะล้นปากที่เปิดอ้ากว้าง...น้ำลายสีดำหยดเหนอะหนะอยู่รอบๆ ริมฝีปาก น่าสะอิดสะเอียนไม่ชวนมองนัก หากโดเรียสยังคงจับจ้องอสูรร้ายไม่วางตา แล้วสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าบังเกิดก็อุบัติขึ้น

แสงสว่างสะท้อนให้เห็นดวงตาที่กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม เรียวปากซึ่งเคยแดงระเรื่อกลับแปรเปลี่ยนเป็นดำคล้ำและเม้มสนิท ใบหน้าขาวนวลประหนึ่งมีลายภาพซ้อนทับและเปลี่ยนรูปร่าง ดุจดั่งถูกร่ายเวทสะกดให้อยู่ในอำนาจลี้ลับของมัน

ไม่กี่อึดใจต่อมา ลายเส้นก็ค่อยๆ เลือนไป ทิ้งไว้เพียงดวงตาสีน้ำเงินเข้มซึ่งมิใช่ดวงตาของมนุษย์ แต่เป็นของปีศาจซาตาน หลงเหลือแต่ความเหี้ยมโหดกระหายหิวแลความชั่วร้าย

สัตว์ร้ายมีท่าทางลนลานมากขึ้น มันคือสัตว์ป่าที่มีสัญชาตญาณ รู้ว่าสิ่งไหนคือเหยื่อ สิ่งไหนที่จะทำให้มันกลายเป็นเหยื่อ ตอนนี้มันแน่ใจว่ามันกำลังจะตกเป็นเหยื่อที่จะถูกล่าจากผู้ซึ่งอยู่เหนือกว่ามัน

“เจสเซอร์...” กาเซียร์ยังคงกอดโดเรียสไว้แน่น ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้นหวาดกลัวสติกระเจิดกระเจิง ไม่ทันสังเกตว่าอ้อมแขนที่เคยโอบกอดปลอบประโลมมิได้กระทำอย่างที่เคย แต่กลับทิ้งลงข้างตัว มืดนั้นกำแน่น ทั้งร่างแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นศิลา

แววตาดุดันปรายไปทางวงกลมที่สร้างไว้ก่อนหน้านั้น ไม่นานนักกงจักรก็ถูกเรียกขึ้นสัมผัสบรรยากาศเหนือแผ่นหิน แล้วค่อยๆ ลดขนาดลง หมุดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมองเห็นเป็นเพียงวงแหวนสีแดงเพลิง โดเรียสขบกรามแน่น ออกคำสั่งให้กงจักรหมุนเข้าปะทะร่างนั้น หมายปลิดชีพ

ร่างบางหันตัวไปทางต้นเสียง ตกใจเสียงระเบิดที่มาพร้อมกับเปลวเพลิงแดงฉานที่สัมผัสได้จากแสงสว่างจ้า ความร้อนระอุรุนแรงไล้เลียแผ่นหลัง กลุ่มเพลิงยังลุกโชติช่วงและยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก ร่างอสูรร้ายดิ้นทุรนทุราย กรีดร้องโหยหวน ทรมานแสนสาหัส เสียงนั้นดังอื้ออึงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเงียบลงพร้อมกับร่างที่ไหม้เกรียม

“เจสเซอร์...” เรียกขานนามดั่งต้องการหาที่พึ่ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ความเย็นยะเยือกเข้าเกาะกุมหัวใจ

นี่ไม่ใช่เจสเซอร์ของนาง แต่เป็นใครอีกคนหนึ่งที่นางเคยรู้จัก และจะหวาดกลัวทุกครั้งที่เขาปรากฏกายขึ้น

“จะ...เจสเซอร์” ถอยกรูดออกจากอ้อมแขนตามสัญชาตญาณ...ร่างนั้นเหมือนจะได้ยินเสียงพร่ำเรียก สีหน้าดุดันปรายมาทางร่างบาง นัยน์ตาแข็งกระด้างสะท้อนสีน้ำเงินเข้มชัดเจน

แววตาเฉยชา บ่งชัดว่า นี่ไม่ใช่ ‘เจสเซอร์’ ของนางแล้วจริงๆ

เจสเซอร์...ใคร? เจสเซอร์คือใคร ?

เราคือโดเรียสไม่ใช่หรือ? เราคือโดเรียส ใช่เราคือโดเรียส

แล้ว...แล้วความรู้สึกว่ามีคนเรียกอยู่คืออะไร? มันคืออะไรกัน

น้ำเสียงที่คุ้นเคยเรียกสติกลับคืน ร่างสูงโปร่งนั้นมีอาการเหมือนสะดุ้ง มืดที่กำแน่นคลายออกกำไว้เพียงหลวมๆ แววตาที่สะท้อนออกมานั้นเป็นสีเขียวประกายอำพันดังเดิม ทุกสิ่งกลับคืนสู่ปกติ รวมทั้งสติสัมปชัญญะทั้งหมด

ร่างบางเบื้องหน้าดูชัดเจน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง น้ำใสรินไหลไม่ขาดสาย แต่กลับไม่มีแม้เสียงสะอื้นไห้ ท่าทางนั้นยืนยันชัดเจนว่ากาเซียร์กำลังตกใจสุดขีดกับเหตุการณ์บางอย่าง

“...กาเซียร์” กระแสเสียงแผ่วโหย ขยับเข้าใกล้ หากน้องน้อยดูหวาดกลัว สืบเท้าออกห่างแทบจะทันที แววตาบ่งชัดว่าหวาดกลัวมือที่ยื่นเข้าหา ประหนึ่งเห็นเป็นหนวดน่าเกลียดน่าขยะแขยงของสัตว์ร้ายเมื่อครู่

ภาพหนึ่งแทรกเข้ามาในห้วงความคิด

‘เปอร์ซิโฟเน่ ไปกับพี่เถอะ ไปจากที่นี่...’

คำอ้อนวอนที่เคยร้องขอ พร้อมยื่นมือสั่นเทาให้นางอันเป็นที่รัก

‘โดเรียส...หม่อมฉัน...พอเถอะเพคะ...ทรงลืมหม่อมฉันเสียเถอะ ฝ่าบาทอย่าทำร้ายคนอื่นอีกเลย แค่นี้ทุกอย่างก็โหดร้ายมากพอแล้ว หม่อมฉันขอเป็นครั้งสุดท้าย’

‘ไม่...ไม่จริง เจ้าไม่...’

‘เปอร์ซิโฟเน่...ไปกับพี่เถอะ ไปจากที่นี่กัน...’

‘เปอร์ซิโฟเน่ ไปกับพี่...’

‘ไม่! ดูพระหัตถ์สิเพคะ หัตถ์ที่อาบด้วยเลือดของผู้คนที่เขาไม่รู้เรื่องด้วย ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ใช่โดเรียสคนเดิมอีกแล้ว ทอดพระเนตรสิเพคะ นี่คือสิ่งที่เกิดจากพระหัตถ์ ผู้คนล้มตายมากมาย ทรงทำเรื่องโหดร้ายปานนี้ได้...ทรงทำได้อย่างไร? พระทัยทำด้วยอะไร!’

‘พี่ทำเพื่อเจ้า...พี่ผิดเหรอ?’

โดเรียสกำลังยื่นมือคู่เดิมซึ่งเคยยื่นให้แก่เปอร์ซิโฟเน่ นางอันเป็นที่รัก เพื่อขอความเวทนา อ้อนวอนให้เข้าใจ แต่วันนี้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือ...กาเซียร์

กาเซียร์จะปฏิเสธไหม? จะมองด้วยสายตาผิดหวัง จะจงเกลียดจงชัง จะขับไล่เขาอีกไหม? ถ้าหากโดนปฏิเสธล่ะ? จะทำอย่างไรดี? โดเรียสหวาดสะพรึงกับคำถามเหล่านี้เหลือเกิน ความกลัวรัดรึงหัวใจแน่นหนา มือที่ยื่นให้เริ่มสั่นเทา

“กาเซียร์...” กระแสเสียงเว้าวอน หากอีกฝ่ายยังคงถอยหนี แต่ดวงตาประกายอำพันที่สะท้อนแววเจ็บปวดเริ่มทำให้ร่างบางลังเล ดวงตางามหลุบต่ำดั่งใคร่ควร...ชั่งใจ

“เจสเซอร์ไงคะ...”

ร่างบางขยับเข้าหาอย่างระมัดระวัง ด้วยยังไม่แน่ใจอะไรหลายๆ อย่าง

“มาหาพี่สิคะ...” เอ่ยแทบเพ้อ กางแขนออกกว้าง รอรับร่างบางที่โผเข้าหา

“เจสเซอร์...เจสเซอร์...” กาเซียร์มิได้ปฏิเสธ ร่างในอ้อมแขนพิสูจน์ชัด ร่างบางที่สั่นระริกนี้คือความจริง

“กาเซียร์” สัมผัสนั้นทำให้แน่ใจว่าผิวนวลเย็นจัดจนต้องกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น โอบกอดนางที่ห่วงนักหนาไว้แนบอก ประสงค์ให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไป...ช่วยปลอบประโลม

ไม่ว่าสัตว์ตัวใดที่มันคิดร้ายต่อเจ้า พี่จะไม่ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ จะไม่ให้หลงเหลือแม้แต่ซาก ถ้ามันคิดร้ายอยู่ในหัว สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันมีโอกาสได้คิด!

“เจสเซอร์...” น้ำเสียงสั่นพร่า เพรียกหาได้เพียงนาม แตะแก้มขาวรั้งให้ใบหน้าคมเข้าใกล้ เพ่งพินิจดวงตาคู่นั้นราวจะค้นหาอะไรบางอย่าง

เกิดอะไรขึ้นกับกาเซียร์กันแน่!

หรือว่า...ไม่! ต้องไม่ใช่!

“เจสเซอร์...ตะ...ตา...”

“ทำไมคะ? ตาพี่เป็นอะไร? หรือว่ามีอะไรอยู่ในนั้น?” เย้าทีเล่นทีจริง รวบนิ้วเย็นจัดเข้ามาเกาะกุมไว้มั่น “ว่าไงคะ?”

“เมื่อกี้...กาเซียร์เห็นตาเจสเซอร์เป็นสีน้ำเงินเข้ม...เหมือนตาของมังกรเลย” เสียงใสยังสั่นเครือ เหลือบมองรัดเกล้าซึ่งเก็บเรือนผมดำที่ซุ่มไปด้วยเหงื่อ ปรายตากลับมาจดจ้องใบหน้าอย่างต้องการคำอธิบาย

‘สีน้ำเงินเข้ม’ แค่คำสั้นๆ แต่ตอบคำถามในใจได้หมด...ถูกควบคุมอีกแล้วหรือ? สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวนั้นออกมาอาละวาดอีกแล้วหรือ? เขาแพ้มันอีกแล้วสินะ

“เจสเซอร์...นั่นคืออะไร? เจสเซอร์เป็นอะไร?”

“กาเซียร์กลัวหรือคะ?” ถามลังเลผิดวิสัยนัก หัวใจเต้นระรัวดั่งหวั่นกลัวคำตอบที่จะได้รับ

ใครกันที่จะไม่กลัว? ใครกันอยากเข้าใกล้ปีศาจร้าย?

แต่ใครที่ว่านั้นขออย่าให้มีกาเซียร์ร่วมอยู่ด้วยเลย ได้โปรด...

พระเจ้า หรือใครก็ได้ ช่วยลูกที...ได้โปรด...

ไฉนราชาปีศาจยังเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า คิดหรือว่าจะมีเทพเจ้าองค์ใดสนพระทัยคำอ้อนวอนของผู้ที่หันหลังให้พระองค์

“ไม่กลัว...ไม่เห็นต้องกลัวเลย กาเซียร์ไม่ได้กลัวจริงๆ นะ” คำตอบนั้นเปรียบเสมือนฝนหยาดแรกแห่งวสันตฤดู ซึ่งช่วยชโลมจิตใจทีแห้งผากให้กลับชุ่มชื่นจนสามารถยืดหยัดได้อย่างองอาจ

เรายืนหยัดอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเสียงนี้ไม่ใช่หรือ?

เพราะความเอื้ออาทรนี้ไม่ใช่หรือ?

เพราะกาเซียร์ไม่ใช่หรือ?

“แต่ทำไม...ทั้งๆ ที่เจสเซอร์มองกาเซียร์อยู่ กลับไม่มีภาพกาเซียร์อยู่ในดวงตา มันเหมือนกับว่าเจสเซอร์ลืมกาเซียร์ไปแล้ว เหมือนคนแปลกหน้า” เสียงใสเครือคลอสะอื้นอยู่น้อยๆ ยกมือปาดน้ำตาเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ร้องไห้โยเยเพราะถูกแย่งของสำคัญไป

“กาเซียร์ไม่ชอบ ไม่ชอบอย่างนั้น ไม่อยากให้เจสเซอร์มองกาเซียร์อย่างนั้น...อย่ามองกาเซียร์อย่างนั้นอีกนะ”

“โธ่เอ๊ย...” รั้งร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น “พี่จะลืมกาเซียร์ไปได้ยังไง นิ่งซะนะ...อย่าร้องนะคนดี”

คำปลอบประโลมมากมายที่พร่ำเอ่ยออกมา หวังเพื่อคลายความกลัวให้แก่หญิงสาว ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กาเซียร์กำลังหวาดกลัวคืออะไรกันแน่

พี่จะไม่ยอมเสียเจ้าไป จะไม่ยอมให้เหมือนกับที่ต้องสูญเสียเสด็จแม่ สูญเสียเปอร์ซิโฟเน่ เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่พี่เหลืออยู่ พี่จะไม่ปล่อยให้สิ่งใดๆ มาพรากเจ้าไปจากพี่...ไม่มีทางยอม





Create Date : 09 ตุลาคม 2552
Last Update : 9 ตุลาคม 2552 0:24:42 น. 0 comments
Counter : 680 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.