<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 17

greenteagreentea


17.-


แสงทิวาวารปรากฏที่ปลายฟ้า ไล่ความมืดแห่งรัตติกาลอันยาวนานหายไปสิ้น ดอกไม้รับความชุ่มชื้นจากหยาดน้ำค้างราตรี ต่างพากันออกดอกบานสะพรั่ง ลมยามเช้าโชยเอื่อยๆ ความสดใสระบายทั่วทุกหนแห่งของอุทยานตำหนักใน

“ทูนหัวเสด็จไหนนะเพคะ” อาบูจากำลังง่วนอยู่กับการตามหาทูลกระหม่อมน้อย เพราะดูเหมือนเมื่อนางไปถึงก็ไม่พบเจ้าของร่างบอบบางที่ห้องบรรทม

“แม่สองคนนั่นตามเสด็จด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าไม่ละก็กลับมาจะเล่นงานให้หนักเลยคอยดู...ท่านจ้าวก็อีก ทำไมไม่เสด็จมาหาทูลกระหม่อมบ้าง ทำไมพระทัยดำเช่นนี้ รับสั่งแต่ว่าทรงยุงเรื่องงาน ฝากดูแลกาเซียร์ด้วย โธ่! จริงแน่หรือ? ไม่ใช่ว่าทรงเกรงพระทัยเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ กลัวว่าจะไม่พอพระทัยถ้าเสด็จมาหาทูลกระหม่อม...รู้หรอกว่าทรงรักมากคิดถึงมาก แต่ทูนหัวของอาบูจาผิดอะไร ทำไมถึงทรงทำเฉยชาด้วยเช่นนี้ มันน่าโมโหนัก เป็นลูกเป็นหลานนะจะจับตีเสียให้เข็ด” เสียงบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยเปื่อย สายตาส่ายไปทั่ว

แต่แล้วหัวใจก็แทบหยุดเต้นกับภาพที่เห็นตรงหน้า

“ตายแล้ว! ทูลกระหม่อม ทำไมฉลองพระองค์ชุดนั้น ไม่น่ารักเลยเพคะ ทำไมแม่พวกนี้ถึงเอาฉลองพระองค์แบบนี้มาถวายได้...มันน่ารัก!” นางตรงเข้าหาอานู นียาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ หวังหยิกเนื้อให้เขียวเช่นตามปกติที่เคยทำ แต่วันนี้ทั้งคู่กลับหลบฉาก

“นี่พวกเจ้ากล้าหือรึ! มานี่เสียดีๆ นะ!” เกิดการวิ่งไล่กันอุตลุด มองแล้วเหมือนภาพนางยักษ์ไล่ตะครุบลูกไก่ตัวน้อยๆ ดูตลกพิลึก

พระพี่เลี้ยงวิ่งกวดอยู่เป็นนาน ร่างอ้วนกลมทำได้เพียงตะครุบลมครั้งแล้วครั้งเล่า หัวทิ่มหัวตำจนกระทั่งหมดแรงหอบฮัก หายใจไม่ทั่วท้อง ก่อนจะทรุดกองอยู่กับพื้นสุดอาการเข้าปอดอย่างกระหาย

ทูลกระหม่อมน้อยหัวเราะสดใส ขบขันท่าทางพระพี่เลี้ยง

“เป็นไง เหนื่อยแล้วสิอาบูจา แต่ดูพี่อานู พี่นียา ยังไม่เหนื่อยเลยนะ”

“ช่าง! แม่...พวกนั้นเถอะเพคะ” เสียงขาดเป็นห้วนๆ ยังไม่หายหอบ พยุงร่างอ้วนเดินโผเผมาทรุดลงแทบเท้า

“ว่าแต่ทูลกระหม่อมเถอะเพคะ ฉลองพระองค์แปลกๆ ไม่น่ารักเลย เปลี่ยนเถอะนะเพคะ” น้ำเสียงออดอ้อน

ที่ว่าแปลกนั้นนางหมายถึง ชุดผ้ามัสลินสีโทนเย็น กางเกงขายาวสวมทับด้วยรองเท้าหนังสีดำครึ่งแข้ง เรือนผมถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย ผ้าแพรมันสีเดียวกับชุดพันรอบศีรษะ ดูคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงขึ้นมา เปลี่ยนจากสาวน้อยอ่อนหวานเป็นสาวมาดมั่นในทันที

“กาเซียร์จะขี่ม้า ถ้าใส่กระโปรงยาวๆ ก็ไม่สะดวกสิคะ เดี๋ยวได้ล้มหัวฟาดพื้นกันพอดี” เอ่ยพลางเบือนหน้าไปทางอานู นียา

ทั้งสองยังไม่ยอมเข้าใกล้พระพี่เลี้ยง ยืนอยู่ข้างละเมาะไม้ที่ทอดยาวตลอดแนวทางเดิน รอดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ทั้งคู่ปรายตามาทางอาบูจา ส่งยิ้มกว้างสนับสนุนคำพูดเมื่อครู่ ผลปรากฏว่าพี่เลี้ยงเต้นเร่าๆ

“จะทรงม้า! ตายแล้ว! นี่แม่ตัวดี พวกเจ้าเห็นด้วยกับทูลกระหม่อมรึไง!” ตวาดเสียงสูง ปั้นหน้ายักษ์ใส่อานู นียา หวังข่มขู่ แต่ทั้งคู่กลับพยักพเยิดเห็นดีด้วยกับทูลกระหม่อมน้อย อารมณ์อาบูจาเดือดปูดๆ เต้นผางๆ

“เป็นไง...สามเสียงต่อหนึ่งเสียง กาเซียร์ชนะใสๆ ไม่ใช่สิ สี่เสียง ชิบิด้วยเนอะ” เอ่ยพร้อมกับยิ้มกว้าง นกน้อยชิบิบินมาเกาะที่ท่อนแขนยืนยันว่ามันก็เห็นด้วย

“ไม่ได้นะเพคะ ยังไงหม่อมฉันก็ไม่ยอม พวกซีเซล เฮเดรสก็ไม่ยอมด้วย” พระพี่เลี้ยงค้างอย่างมั่นใจ

“ไม่ยอมอะไรจ๊ะ อาบูจาคนสวย” น้ำเสียงลากยาวคือเสียงที่รอคอย พระพี่เลี้ยงยิ้มกว้าง มองหน้าอานู นียาอย่างมีชัย ก่อนจะตวัดสายตาไปทางต้นเสียงแต่แล้วก็ต้องยิ้มค้าง

“ว่าไง? แหม...วิ่งออกกำลังกายแต่เช้าเลยนะ อย่างนี้ไม่นานหุ่นคงพริ้ง” ราชองครักษ์รูปหล่อแซว เมื่อเดินพ้นแนวละเมาะไม้ ในมือมีสายหนังโยงทางด้านหลัง อาบูจารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ สังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก

ไม่กี่ก้าวเดินต่อมาของซีเซลก็เห็นอาชาตัวใหญ่สง่างามสองตัวเดินเคียงคู่กันมา ย่ำเท้ากระฉับกระเฉง ท่าทางกระตือรือร้นหากแต่ดูสงบ ด้วยถูกฝึกมาเป็นอย่างดี เห็นแค่นั้นอาบูจาแทบจะเป็นลมหงายผลึ่งลงตรงนั้น หากยังเหลือแรงแผดเสียงใส่หน้าองครักษ์หน้าขาว

“อะไรกัน! เจ้าเอาม้ามาทำไมซีเซล”

“เอามาทำไม? เอามาย่างกินมั้ง ถามแปลก” ตอบยียวน ยั่วโมโหอย่างนึกสนุก

“ซีเซล..ฮึ! แม้แต่เจ้า!” กัดฟันเข่นเขี้ยว “ไม่เป็นไร...ยังมีเฮเดรสอีกคน ยังไงเขาคงไม่เห็นดีด้วยกับเรื่องนี้ เฮเดรสเป็นมาสเตอร์ ต้องไม่ยอมให้ทูลกระหม่อมทรงทำเรื่องอันตรายเช่นนี้เป็นแน่” ผิดหวังจากซีเซล แต่ยังเหลือความหวังสุดท้าย

ซีเซลยิ้มขันๆ มองเห็นเรื่องสนุกรออยู่รำไร

“เจ้าขำอะไรซีเซล?!” นางแยกเขี้ยวใส่ แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะอ้าปากตอบเสียงเฮเดรสก็แทรกขึ้นทางด้านหลังอาบูจา

“ซีเซ...เจ้าสองตัวนั้นให้อานู นียา คนละตัวนะ...ส่วนเจ้าเอาตัวนี้ดีกว่า” ถ้อยคำที่ได้ยินทำเอาอาบูจายืนไม่ติดพื้น อยากเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด แทบไม่ต้องหันหน้าไปดูก็รู้ว่าความหวังสุดท้ายมลายหายไปสิ้นแล้ว

“นั่นแหล่ะสาเหตุที่ขำ...” ซีเซลไม่ลืมที่จะกลบดินถมตามสันดานเดิม

เฮเดรสเดินจูงม้ามาเพิ่มอีกสองตว ทำหน้าตาเหลอหลาไม่ค่อยเข้าใจนัก เมื่อเห็นอาบูจาเกรี้ยวกราดใส่ตน แต่เมื่อปรายตาไปทางซีเซลก็พอจะรู้คำตอบ แอบยิ้มขันๆ นึกอยู่แล้วว่าอาบูจาคงไม่เห็นดีด้วยกับเรื่องนี้ ดีแล้วก็ไม่บอกนางก่อน ไม่เช่นนั้นนางได้อาละวาดแหลกแน่ อาจลุกลามขนาดถึงพระกรรณท่านจ้าวโดรเยสก็เป็นได้

“คงไม่พอแล้วมั้งจ๊ะ...อาบูจาเพิ่มมาอีกคนแน่ะ” กาเซียร์ล้อต่ออีกหน่อย พระพี่เลี้ยงฮึดสู้หาเหตุผลมาอ้างอีกครั้ง

“ทูนหัวเพคะ...จะทรงม้าพวกนี้ไม่ได้นะเพคะ ม้าเถื่อนพวกนี้ซีเซลฝึกมากับมือ ต้องสติไม่ดีเหมือนคนฝึกแน่เลยเพคะ”

“อ้าว! ไหงพูดงั้นล่ะเนี่ย”

พระพี่เลี้ยงสะบัดหน้าหนี ไม่สนใจคำพูดของซีเซล

“แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะอาบูจาจ๋า ทูลกระหม่อมไม่ได้ใช้เจ้าสี่ตัวนี้หรอก”

สิ้นเสียงซีเซล ไวลด์...มังกรทอง ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า ทำเอาอาบูจาลมจับซวนเซ ตั้งตัวได้ก็ถอยหลังออกห่างแทบจะทันที ทุกคนดูจะขำท่าทีตกใจระคนหวาดกลัวของพี่เลี้ยงเอามากๆ มีเสียงหัวเราะคิกคักตามมาเป็นระลอกใหญ่

“ไวลด์จะเป็นม้าให้กาเซียร์ละ” สิ้นเสียง ร่างพญามังกรก็แปรเปลี่ยนเป็นม้าสีเงินตัวใหญ่ ถึงรูปร่างจะเปลี่ยนไปแต่ยังดูทรงอำนาจไม่เปลี่ยนจากเดิม ร่างสีเงินขู่คำรามพร้อมตบเท้ากระตือรือร้น

“นี่ไงม้าของกาเซียร์...อาบูจาจะไปด้วยไหมเอ่ย วันนี้จะไปเที่ยวป่าละ” เบือนพักตร์ไปทางพระพี่เลี้ยงซึ่งยืนแทบไม่ติด ยิ่งเมื่อไวลด์ส่งเสียงคำรามพลางย่ำเท้ากุบกับ นางกระเถิบถอยห่างออกไปแทบจะทันที มีหรือนางจะกล้าเข้าใกล้...ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาอาบูจาจะกลัวไวลด์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“แต่กาเซียร์ว่าอาบูจารออยู่นี่ดีกว่านะจ๊ะ” เอ่ยพลางเหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังม้ามังกรด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง โดยไม่ต้องมีใครคอยช่วยเหลือ ผู้ติดตามทั้งสี่ก็เข้าประจำที่เรียบร้อย เพลานี้อาบูจารู้ว่าป่วยการที่จะทัดทาน

“ทูลกระหม่อม...ทรงคิดจะทำอะไรเพคะ?”

“ก็เป็นตัวของตัวเองไง” ตอบเสียงหนักแน่น พลางหันหน้าไปทางซีเซล เฮเดรสรวมทั้งอานู นียา ซึ่งส่งยิ้มให้แสดงว่าเห็นด้วยกับทูลกระหม่อมน้อยเป็นที่สุด

“ไว้กาเซียร์จะหาของมาฝากแล้วนะ...ไปละ” บอกพลางกระตุกบังเหียน ไวลด์ทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างบางขี่ม้าอย่างคล่องแคล่ว

อาบูจาถึงกับตะลึง ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า ทูลกระหม่อมน้อยที่แสนอ่อนโยนและเรียบร้อยจะขี้ม้าได้คล่องแคล่วถึงปานนั้น ไม่ทันไรก็หายไปพร้อมกับเหล่าผู้ติดตาม รวมทั้งชิบิที่เกาะไหล่ไม่ยอมห่าง พระพี่เลี้ยงทอดตาตาม ยืนอึ้งเป็นบื้ออยู่นาน

“พระพี่เลี้ยงขอรับ” เจ้าของชื่อหันหน้าไปตามเสียงเรียก นายทหารที่เฝ้าหน้าตำหนักในโค้งคำนับให้นาง “ท่านจ้าวทรงมีรับสั่งให้พระพี่เลี้ยงเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ที่พระตำหนักหลวง” รายงานฉะฉาน

“พระตำหนักหลวง...ขอบใจนะ”



ห้องรับรองสว่างไสวจากแสงแดดอ่อนๆ ที่ทอลำผ่านเข้ามาทางประตูกระจกด้านระเบียงโปร่ง ซึ่งยื่นออกไปสู่อุทยานเขาวงกต มองเห็นทิวละไม้เขียวชอุ่ม

เบื้องล่างรายล้อมไปด้วยไม้ดอกสีสวยสด ซุ้มไม้หอมออกดอกบานสะพรั่ง ลมเป็นโกรกล้อกระดิ่งที่แขวนตลอดแนวชายคา เสียงใสขับกล่อมประหนึ่งเสียงเครื่องดนตรีชิ้นเอก

เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่อยู่บนที่นั่งหินอ่อน ข้างๆ มีดอกไม้วางเรียงรายอยู่บนถาดทองเหลืองวาววับ เยื้องๆ เป็นแจกันแก้วเจียระไนคู่ใหญ่สะท้อนประกายระยิบระยับ เจ้าหญิงบรรจงจัดดอกไม้อย่างตั้งใจ ถัดออกไปที่ระเบียง...เจ้าหญิงเอริเซียร์ยืนชมความงดงามแห่งอุทยานเบื้องหน้าอย่างเพลิดเพลินผ่อนคลาย

อิริยาบถที่อ่อนหวานละเมียดละไมของธิดาแห่งดวงดาวนั้นทำเอาอาบูจาอ่อนใจ ยิ่งเมื่อนึกถึงทูลกระหม่อมน้อยของนางที่ขี่ม้าเที่ยวป่า ดูห่างไกลกันเหลือเกิน นางทอดตามองพลางสะท้อนใจ ยืนห่อเหี่ยวอยู่พักใหญ่ ก่อนเลื่อนประตูเปิด พร้อมกับก้าวเข้าไป

“อ้าว! อาบูจา เข้ามาสิจ๊ะ” เสียงหวานที่นางยังคงจำได้เสมอทัก เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ยังคงอ่อนหวาน มิได้เปลี่ยนไปจากเก่าก่อนเลย ยังสง่างามหากแต่อ่อนหวานละเมียดละไม ดวงหน้าลออตาชวนมองยิ่งนัก รอยยิ้มใดใสสะกดใจ

“ถวายพระพรเพคะ” พระพี่เลี้ยงย่อตัว ก่อนจะทรุดนั่ง ค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปใกล้ นางเพิ่งสังเกตว่ามีอีกผู้ยืนอยู่ทางระเบียงที่ทอดออกไปด้านข้าง “องค์ราชินีประทับด้วยหรือเพคะ”

“จ้ะ...อาบูจามาถึงนี่มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า” พระนางตรงเข้ามานั่งเคียงเปอร์ซิโฟเน่ ก่อนจะเอื้อมหยิบกุหลาบสีขาวดอกโตเสียบลงในแจกัน บรรจงแต่งให้กลมกลืนดูสวยงาม

“หม่อมฉันอยากพบน่ะเพคะ เลยทูลขอท่านจ้าวโดเรียส” เปอร์ซิโฟเน่ตอบ

“อาบูจานี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ...ยังสวยไม่สร่าง” เจ้าหญิงเอริเซียร์ทักทายบ้าง

“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันน่ะแก่มากแล้ว แต่เจ้าหญิงทรงพระสิริโฉมขึ้นมากเลยเพคะ หม่อมฉันแทบจำแทบไม่ได้ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เข้าเฝ้า ยังทรงพระเยาว์วิ่งเล่นซุกซนคอยตามเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ ไม่ทันไรก็ทรงกลายเป็นเจ้าหญิงที่สง่างามได้เพียงนี้” อาบูจาร่ายยาวตามประสาช่างเจรจา

“ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะ” เอ่ยกับพี่เลี้ยงอย่างคุ้นเคยและเป็นกันเอง

“ไม่รู้ว่าอาบูจาจะมา ไม่เช่นนั้นจะทูลของท่านจ้าวโดเรียสให้พากาเซียร์มาเที่ยวที่นี่ด้วย อยู่แต่ที่ตำหนักในคงจะเหงา” เอสทีเซียร์เปรย สีหน้าของเจ้าหญิงทั้งสองมีเค้าฉงน โดยเฉพาะเอริเซียร์...ทนไม่ได้

“เจ้าพี่อยากเจอนังนั่นทำไมเพคะ” เสียงสะบัดไม่พอใจ เมื่อได้ยินชื่อนั้นหลุดจากปากคนใกล้ชิด

“เอริเซียร์ ทำไมเรียกน้องอย่างนั้น” องค์ราชินีปราม เสียงยังคงอ่อนโยนแม้จะมีเค้าไม่ชอบใจนัก

“น้อง? ทรงหมายถึงผู้หญิงที่แย่งท่านจ้าวโดเรียสจากเจ้าพี่เปอร์ซิโฟเน่นั่นน่ะหรือเพคะ” สีหน้าเหยียดหยันคนที่ถูกเอ่ยถึง ถ้อยคำนั้นสร้างความขุ่นใจให้ผู้เป็นพี่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“เอริเซียร์! เจ้ากลายเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กาเซียร์ไปทำอะไรให้ ถึงกล่าวานางเช่นนั้น” เสียงแข็งขึ้นทันที ทำเอาคนที่โดนกำราบหน้าเปลี่ยนสี เพราะไม่คิดว่าจะถูกโกรธ แต่ก็ยังแสดงท่าทางไม่พอใจ ดื้อรั้นอยู่ดี

“เปอร์ซิโฟเน่...เจ้าก็รู้สึกเตือนเอริเซียร์บ้างสิ ทำกิริยาไม่งามเลย เราควรรู้...เราอยู่ในฐานะอะไร มีอย่างที่ไหน ตัวเองมาอยู่บ้านเขาเมืองเขา กลับไปคอยว่าคอยจับผิดไม่ให้เกียรติคนที่เขาอยู่ก่อน”

คนโดนว่าได้แต่หลุบตาลงต่ำ ใช่ว่านงจะเห็นดีด้วยกับขนิษฐา แต่เพราะไม่ได้ห้ามปรามอย่างจริงจัง เลยกลายเป็นว่าเอริเซียร์ค่อนข้างเอาแต่ใจ

“เอริเซียร์” เรียกจำเลยของนาง รอจนอีกฝ่ายสบตา จึงเอ่ยต่อว่า “ถึงเจ้าจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเปอร์ซิโฟเน่เพียงใด แต่เจ้าก็ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง พี่สาวเจ้าเป็นราชินีของท่านจ้าวโดเรียสแล้วสินะ ถึงได้กล้าพูดถึงเพียงนี้! ไม่รู้สึกละอายใจกับคำพูดของตัวเองบ้างเลยหรือ” โทนเสียงราบเรียบแต่ต่อว่าได้เจ็บแสบยิ่งนัก

“กะ...ก็ท่านจ้าวทรงรักเจ้าพี่เปอร์ซิโฟเน่...ไม่ได้รักนาง” เถียงข้างๆ คูๆ แผ่วเบา

เอสทีเซียร์จ้องใบหน้าดื้อดึงของขนิษฐาอย่างอ่อนใจ

“เอาละ...พี่จะไม่พูถึงเรื่องนี้อีก เพราะคนที่จะตัดสินเรื่องนี้จริงๆ คือท่านจ้าวโดเรียส ไม่ใช่พวกเรา” เอ่ยตัดรำคาญ ไม่อยากทำลายบรรยากาศมากไปกว่านี้

ความเป็นธรรมของราชินีเอสทีเซียร์ พลอยทำให้อาบูจาโล่งใจขึ้นมาก อย่างน้อยทูนหัวของนางก็ไม่ได้โดนทุกคนเกลียด

“ว่าแต่อาบูจาเถอะ ไม่อยากเข้าเฝ้าเสด็จแม่บ้างหรือ” ราชินีเบือนหน้ามาทางเจ้าของนาม กล่าวเย้าแหย่ เพราะรู้ดีว่าพระมารดาไม่ชอบอาบูจาพอๆ กับเจ้าเหนือหัวของนาง

“โธ่! ฝ่าบาทรับสั่งอะไรเช่นนั้นเพคะ” อาการคล้ายสะดุ้งขนลุกขนพองของอาบูจาให้สถานการณ์ดีขึ้นมาก ทุกคนขบขันอาการนั้น

“นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน มีหลายๆ เรื่องที่เราอยากคุยด้วย อยากเล่าให้ฟัง เราอยากให้อาบูจามาอยู่กับเรา อาบูจาจะว่าอะไรไหม” เปอร์ซิโฟเน่ถาม

เสียงแฝงความหวังนั้นทำเอาคนถูกถามไม่กล้าปฏิเสธ ไม่รู้จะตอบเช่นไรดี ได้แต่นั่งอ้ำอึ้งแอบปรายตามองราชินีดั่งอยากขอความกรุณา

“คงไม่ได้สินะ...เพราะอาบูจาต้องถวายการรับใช้ท่านจ้าวโดเรียส” ออกตัวเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าพระพี่เลี้ยงลำบากใจที่จะตอบ

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยเพคะ อีกหน่อยถ้าทรงอภิเษกกับท่านจ้าวโดเรียส อาบูจาก็ต้องเป็นของเจ้าพี่อยู่แล้ว คอยอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร ใช่ไหมอาบูจา” เอริเซียร์เอ่ยแทรกขึ้นหลังจากเงียบอยู่เป็นนาน เสียงนั้นดูจะประชดประชันราชินีเอสทีเซียร์อยู่กลายๆ อย่างเด็กดื้อรั้นไม่ยอมแพ้

“หม่อมฉัน...” คนกลางอย่างอาบูจา ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จนราชินีทนดูไม่ได้จึงตอบแทนว่า

“ก็บอกไปเลยสิอาบูจา เจ้าเป็นข้ารองบาททูลกระหม่อมกาเซียร์แล้ว...อ้อ!” เอ่ยกับพระพี่เลี้ยงก่อนจะเบือนพักตร์มาทางขนิษฐา ไม่วายค่อนแคะอีกว่า “เอริเซียร์ เจ้าคงไม่ว่ากาเซียร์แย่งอาบูจาไปจากพี่สาวเจ้าหรอกนะ”

คนโดนว่าหน้างอขึ้นทันที อาบูจาแอบยิ้มอยู่เงียบๆ ไม่นึกว่าราชินีผู้อ่อนโยนเวลาโกรธก็เหน็บแนมได้เจ็บถึงทรวง มิได้เข้ากับวงพักตร์อ่อนโยนนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมเจ้าพี่ต้องเข้าข้างคนอื่นด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ทันได้เจอหน้าด้วยซ้ำไป” เอริเซียร์วนเข้าเรื่องเดิม ใบหน้าบึ้งตึง

ผู้ถูกถามทอดถอนอย่างอ่อนใจ ประจวบกับปรายสายตาเข้าไปภายในห้อง ท่านจ้าวโดเรียสกับท่านจ้าวลูซิเฟอร์มาถึงแล้ว และกำลังจะออกมายังระเบียง เลยนิ่งไปเสียเฉยๆ ไม่เหมาะที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกันเรื่องน่าอายเป็นแน่

เมื่อก้าวออกมาถึงระเบียง จักรพรรดิแห่งคาคูด้ายิ้มให้เหล่าสตรี แต่ยังไม่ทันทักทาย ก็เห็นคนที่คิดว่าไม่สมควรอยู่ตรงนี้เข้ราเสียก่อน

“ทำไมมาอยู่นี่! กาเซียร์ล่ะ?”

“ท่านจ้าวทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ไม่ใช่หรือเพคะ” อาบูจาตอบตามตรง โดเรียสเพิ่งนึกได้ จึงถามกลบเกลื่อน

“มานานหรือยัง? ที่ตำหนักในมีใครอยู่กับกาเซียร์บ้าง?”

“เพิ่งมาได้ครู่หนึ่งเพคะ...ส่วนทูลกระหม่อมไม่ได้ประทับที่พระตำหนัก เสด็จประพาสป่า...”

“อะไรนะ!?”

เสียงที่ดังเป็นตวาด กระตุกให้สายตาทุกคู่ตวัดมาที่ต้นเสียงแทบจะทันที

“ทูลกระหม่อมเสด็จประพาสป่าเพคะ” อาบูจาย้ำอีกครั้ง นึกว่าเมื่อครู่ยังไม่กระจ่างพอ

“ไปกับใคร! ไปทำไม! ใครให้ไป! แล้วทำไมข้าไม่รู้!” เสียงถามดังกระด้างกว่าตอนแรกมาก

“ก็ไม่ทรงว่างเลย แถมไม่ได้เสด็จตำหนักในตั้งหลายวัน แล้วจะทรงทราบได้อย่างไรล่ะเพคะ” อาบูจานึกฉุนที่ท่านจ้าวทอดทิ้งทูลกระหม่อมน้อย จึงประชดประชันอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้ว่าไม่สมควร รู้สึกหนาวยะเยือกเมื่อสายตาที่ทอดมากระด้างโดยแท้

“ปะ...ไปกับอานู นียา ซีเซล เฮเดรส...เอ่อ...แล้วก็ชิบิด้วยเพคะ” รีบตอบละล่ำละลัก น้ำเสียงสั่นพร่า

ไม่น่าพูดอย่างนั้นออกไปเลย หาเรื่องใส่ตัวแล้วไม่ล่ะ...อาบูจาตัวลีบ แต่ท่านจ้าวไม่สนใจคำพูดของนาง เพราะมีเรื่องให้โกรธมากกว่า

“ไอ้พวกบ้าเอ๊ย! มาขอลางาน...ข้ายังนึกว่าจะไปทำอะไร พาออกไปได้ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ข้าไม่เอาไว้แน่!” เสียงกระด้างคาดโทษ

อาบูจาเสียวสันหลังวูบขึ้นถึงท้ายทอย ทุกครั้งที่แววตากระด้างนั้นปรายมาทางตน ส่วนเอสทีเซียร์แอบยิ้มอยู่คนเดียว ทั้งที่ทุกคนกำลังฉงนที่จู่ๆ ท่านจ้าวโดเรียสก็กริ้วขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย กับแค่กาเซียร์ไปเที่ยวป่า ใช่ว่าไปคนเดียวเสียที่ไหน

“เจ้าพี่ หม่อมฉันทูลลา” เอ่ยจบ โค้งคำนับแล้วก็รีบหันขวับตรงไปยังทางออกทันที

“ตะ...แต่โดเรียส” จะทัดทาน แต่ดูจะช้าไป เพราะท่านจ้าวโดเรียสกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปพ้นประตูด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังไม่มีท่าทางว่าจะหันกลับมาตามเสียงเรียก

“อาบูจา!” แผดเสียงก้อง ไม่เกรงใจท่านจ้าวลูซิเฟอร์ที่อยู่ด้วย

“พะ...เพคะ” เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง “ทะ...ทูลลาเพคะ”

เอ่ยจบก็รีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็พ้นประตูหน้าไปอีกคนหนึ่ง ทิ้งเพียงความเงียบกับความงงงวยให้แก่ผู้ที่เหลืออยู่

“เป็นอะไรของเขาอีกล่ะ...ก็เพิ่งจะมา” ท่านจ้าวลูซิเฟอร์เปรยเบาๆ มองราชินีของตนเอง แต่นางกลับยิ้มน้อยๆ ราวกับเข้าใจเหตุการณ์เมื่อครู่

“เอสทีเซียร์ คนอื่นเครียดกันอยู่ เจ้ายังยิ้มอยู่ได้ แปลกคน”

“เอ่อ...หม่อมฉันไม่เคยเห็นท่านจ้าวโดเรียสเป็นเช่นนี้ เลยรู้สึกแปลกๆ เพคะ” เสียงตอบปนหัวเราะ

“แปลกๆ เจ้าเห็นเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ?” ถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าที่ควร

ต่างกับสตรีทั้งสามซึ่งมีความรู้สึกละเอียดอ่อน มีหรือจะไม่สะกิดใจในอิริยาบถแปลกๆ ของจักรพรรดิแห่งคาคูด้า...



อุทยานเขาวงกต หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นไม้ดอกนานาพรรณที่พากันแบ่งบาน ผีเสื้อโบยบินเก็บเกี่ยวน้ำหวาน บ้างโผผินประชันความงามแข่งกับกลีบดอกสีสวยสด บ้างล้อเล่นละอองไอที่โชยขึ้นจากธารน้ำที่ไหลคดเคี้ยวภายในตัวอุทยาน ผิวน้ำเปล่งประกายระยิบสะท้อนแสงตะวัน แม้ยามบ่ายจัดๆ ความสดชื่นยังระบายไปทั่วบริเวณไม่ต่างกับตอนรุ่งอรุณ

ณ ซุ้มสร้อยอินทนิล ร่างกำยำนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกสีขาวสะอ้านใต้ซุ้มไม้ พิงร่างอย่างผ่อนคลาย ปรายตาไปทางราชินีเอสทีเซียร์ที่ยืนดื่มด่ำความงามและความสงบของอุทยานเขาวงกต ทั้งสองอิ่มเอิบใจกว่าเมื่อครั้งมาถึงคาคูด้าใหม่ๆ โดยเฉพาะราชินีที่ยิ้มกรุ้มกริ่มราวกับเรื่องดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น แม้เพียงนึกถึงก็ทำให้เป็นสุขได้แล้ว

“เอสทีเซียร์ เป็นอะไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว

“เจ้าพี่...ทรงคิดว่าท่านจ้าวโดเรียสทรงเปลี่ยนไปมากไหมเพคะ”

“อืม...” พยักหน้าเนือยๆ “ทั้งที่ไม่ใช่คนยิ้มง่าย ตอนนี้กลับหัวเราะบ่อยขึ้น”

“แววเนตรก็ดูอ่อนโยน” ราชินีตั้งข้อสังเกต

“คงจะอ่อนโยนอยู่หรอก เปอร์ซิโฟเน่อยู่ใกล้แค่นี้เอง”

“เจ้าพี่ทรงคิดว่าเป็นเพราะเปอร์ซิโฟเน่หรือเพคะ”

“ถ้าไม่ใช่เปอร์ซิโฟเน่แล้วจะเป็นใครอีกล่ะ” ยืนยันความคิดเดิม

“เมื่อครั้งอยู่ที่ดาวเซน ทรงเป็นเช่นนี้หรือเพคะ” พยายามแนะให้อีกฝ่ายคิดตาม

“มันก็นานมากแล้วนะ” ไม่ค่อยแน่ใจนัก “แต่พี่ว่าโดเรียสเปลี่ยนไปมากเหมือนกัน อย่างเรื่องการไม่สนใจคนอื่น พี่ยังนึกแปลกใจว่าทำไมโดเรียสถึงได้ใส่ใจกาเซียร์นัก จนบางทีพี่ว่ามากไปด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าจะไม่ยอมให้คลาดสายตาเลย” เอ่ยพลางสบตาคู่งาม

“เพคะ...”

“ว่าแต่เจ้าได้พบนางแล้วไม่ใช่หรือ คงเป็นหญิงสาวที่น่ารักสินะ”

“เพคะ...ยังเด็กอยู่เลย อีกทั้งยังอ่อนโยน แล้วก็น่ารักมากด้วยเพคะ”

“พี่ว่าเจ้าคงถูกใจนางไม่น้อย”

“เพคะ...เจ้าพี่เสด็จตำหนักในดีไหมเพคะ? เจ้าพี่จะได้พบนางด้วย” ชวนอย่างตระตือรือร้น

“จะดีหรือ?”

“รับสั่งเช่นนี้แสดงว่าจะไม่เสด็จด้วยใช่ไหมเพคะ”

ท่านจ้าวยังยิ้มนิ่งดั่งต้องการเย้าแหย่

ใบหน้างามตึงขึ้นหน่อยๆ “หม่อมฉันไปคนเดียวก็ได้”

ร่างบางหมุนตัวไปทางสะพานที่ทอดข้ามธารน้ำ ก่อนจะย่ำตรงไปยังแนวกำแพงตระหง่าน ซึ่งอีกฟากหนึ่งของกำแพงหินเป็นตำหนักในของทูลกระหม่อมกาเซียร์

“อะไร...งอนหรือ พี่ยังไม่ได้พูดเลยว่าจะไม่ไปด้วย อ้าว! เอสทีเซียร์ รอพี่ด้วยสิ” เรียกรั้งปนหัวเราะ รีบตามไป ขบขันท่าทางของนาง นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้เห็นท่าทางแสนงอน





greenteagreentea





 

Create Date : 19 ตุลาคม 2552
3 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2552 12:28:30 น.
Counter : 781 Pageviews.

 

มาลงชื่อให้กำลังใจจร้า

 

โดย: คณิตยา 19 ตุลาคม 2552 18:30:16 น.  

 

กรอบหวานจังเลย

 

โดย: ชามินต์ (ชามินต์ ) 26 ตุลาคม 2552 21:20:35 น.  

 

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะพี่อุ๋ย

พี่ชามินต์...กรอบสีหวานสวยแบบนี้
ไม่รู้ได้มาจากไหนเนอะ555

 

โดย: adel_ew 27 ตุลาคม 2552 17:37:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.