<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 15



15.-

ดาวเซน ศูนย์กลางสหพันธ์

บัดนี้มิคาเอลตัดสินใจว่าจะบุกทำลายคาคูด้า เพราะทนรอต่อไปไม่ไหว ยอมละเมิดสัญญาที่ให้ไว้กับจักรพรรดิเมฟาตีส เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งร้อนใจ แต่การตัดสินใจในครั้งนี้โกดอนไม่เห็นด้วยและพยายามทัดทาน

“ขอทรงตรึกตรองเรื่องนี้อีกสักครั้งเถอะพระเจ้าค่ะ ไม่เป็นการเหมาะแน่ ถ้าฝ่าบาทจะทรงละเมิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่านจ้าวเมฟาตีส เกล้ากระหม่อมว่าน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้”

“จะให้ข้างอมืองอเท้ารอให้มันบุกมาก่อนหรือยังไง! เวลานี้ไม่มีเสด็จพ่อแล้ว สัญญานั่นจะมีความหมายอะไร เสด็จพ่อเองก็เถอะ ไปตกลงทำสัญญาเช่นนั้นกับมันได้ยังไง ข้าจะไม่ยอมอีกต่อไป เจ้าเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”

“ข้าก็เห็นด้วยกับท่านจ้าวนะโกดอน ถ้าปล่อยไว้นานยิ่งจะมีปัญหาอื่นตามมาอีกนับไม่ถ้วน จัดการเสียตั้งแต่ตอนนี้น่ะดีที่สุดแล้ว” โกเนมสนับสนุน

“โกดอน กำลังของเรามีมากพอที่จะถล่มคาคูด้า แล้วชิงตัวเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่กลับมา...เรื่องพวกนี้ข้าว่ามันง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร เจ้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก” เมดูซ๋าสนับสนุนอีกแรง

“ว่าไง...โกดอน เจ้ายังจะยืนยันความคิดเดิมอยู่อีกหรือ” มิคาเอลถามราชองครักษ์เอก

“พระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมยังคงยืนยันความคิดเดิม เราไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม ท่านจ้าวโดเรียสหาใช่คนที่จะสามารถเล่นงานได้ง่ายๆ ทรงลืมไปแล้วหรือพระเจ้าค่ะขนาดท่านจ้าวเมฟาตีสยังต้องจำใจอ่อนข้อให้” โกดอนอธิบายเหตุผล น้ำเสียงหนักแน่นหวังเตือนสติ

“แต่ตอนนี้ท่านจ้าวทรงครอบครองน้ำตาพระจันทร์ อัญมณีที่มีค่าที่สุดในจักรวาล ยังต้องกลัวอะไร” เมดูซ่าลำพองใจ

“แล้วเมื่อก่อน ท่านจ้าวเมฟาตีสมิได้ทรงครอบครองน้ำตาพระจันทร์หรอกหรือ?” โกดอนตวาดกร้าว ทำเอาอีกฝ่ายพูดอะไรไม่ออก

“เกล้ากระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาททรงเสี่ยงกับเรื่องนี้ พวกเราต้องศึกษาให้ดี อย่าทรงลืมสิพระเจ้าค่ะ ท่านจ้าวโดเรียสทรงเป็นผู้ครองพลอยแห่งดวงดาวด้วยเช่นกัน และเราเองก็ยังไม่แน่ใจในพลังอำนาจของมันด้วยซ้ำ” หยุดให้คิดตามก่อนจะโน้มน้าวไปอีกว่า

“ยังไม่เข้าพระทัยอีกหรือพระเจ้าค่ะ ที่ท่านจ้าวเมฟาตีสทรงยอมตกลงทำพันธสัญญาในกาลนั้น ก็เพื่อกันมิให้ท่านจ้าวโดเรียสเข้าใกล้ฝ่าบาท” คำพูดหนักแน่นของโกดอนบั่นทอนการตัดสินใจของเจ้าเหนือหัวได้ไม่น้อย

“แต่ข้าแค้นพวกมันนัก โดยเฉพาะซีเซลกับเฮเดรส มันสองตัวทำแสบนัก ข้าอยากสับมันเป็นชิ้นๆ” โกเนมกัดฟัน เค้นเสียงเคียดแค้น เพราะเจ้าเหนือหัวดูจะโอนอ่อนไปทางโกดอนแล้วในตอนนี้

“แค้นเพราะไม่มีปัญญาเอาชนะพวกนั้นได้น่ะสิ” เมดูซ่าไม่วายเหน็บแนม ซึ่งอีกฝ่ายทำได้เพียงกัดฟันกรอด ไม่มีหน้าจะเถียงเพราะรังแต่จะทำให้ตัวเองน่าสมเพชยิ่งขึ้น จึงเลี่ยงไปเรื่องอื่นว่า

“โกดอน ดูเจ้าใจเย็นเหลือเกิน หรือว่ามีแผนการอะไรอยู่ในใจ”

“มีน่ะมีแน่...ขั้นแรกก็ต้องจัดการกับท่านจ้าวโดเรียส” บอกน้ำเสียงราบเรียบ

“ก็เจ้าเพิ่งจะบอกว่าท่านจ้าวมิคาเอลเสด็จคาคูด้าไม่ได้ แล้วยังจะมีใครที่สามารถเอาชนะท่านจ้าวโดเรียสได้อีก” โกเนมสงสัย

โกดอนไม่ตอบ เบือนหน้าไปทางท่านจ้าวดั่งรายงานบางอย่างด้วยสายตา

“จุดอ่อน...ต้องจัดการที่จุดอ่อนของโดเรียส” เอ่ยอย่างเข้าใจในสายตาที่องครักษ์ต้องการสื่อ

อีกฝ่ายยิ้มเยือกเย็น

“ทรงหมายถึง...” เมดูซ่าไม่กล้าเอ่ยนามนั้น เพราะไม่คิดว่าเจ้าเหนือหัวจะใช้ นางผู้เป็นที่รักจัดการกับท่านจ้าวโดเรียส

“ใช่! เปอร์ซิโฟเน่ ถ้าเราได้ตัวนางกลับมา เมื่อนั้นโดเรียสมันต้องโผล่หัวออกจากกระดองอย่างแน่นอน ทีนี้เราก็จะได้จัดการกับมันโดยไม่ต้องห่วงเรื่องพันธสัญญาของเสด็จพ่อ ข้าจะจัดการมันด้วยตัวของข้าเอง จะตอบแทนมันให้สาสมกับที่มันได้ทำไว้” กระแสเสียงเยือกเย็นสุขุมกว่าตอนแรก พลอยทำให้โกดอนคลายใจได้มาก

“แต่เราจะได้ตัวเจ้าหญิงมาด้วยวิธีไหนล่ะพระเจ้าค่ะ” โกเนมถามอย่างพยายามใคร่ครวญแล้ว “อีกทั้งถ้าจะคิดดีๆ แล้ว เมื่อครู่โกดอนยังไม่มั่นใจด้วยซ่าอำนาจของน้ำตาพระจันทร์จะสามารถเอาชนะอำนาจของพลอยแห่งดวงดาวได้”

“ยังมีคนที่รักและชื่นชมในตัวข้าอยู่อีกทั้งคน ยังจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ” เอ่ยแฝงความนัย

โกดอนสบตาแวววาว หัวเราะร่วนอย่างสมใจ รู้ใจเจ้าเหนือหัว แต่ดูเหมือนโกเนมกับเมดูซ่ายังงงงัน

“ส่วนเรื่องจัดการกับอำนาจของพลอยแห่งดวงดาว...” โกดอนจ้องหน้าโกเนม “ก็เคยมีคนทำมาแล้วไม่ใช่หรือโกเนม มีคนเคยจัดการกับพลอยแห่งดวงดาวมาแล้ว ก่อนที่มันจะตกไปอยู่ในมือของท่านจ้าวโดเรียส”

“เทวาลัยเทพเจ้าเซเรส...วงแหวนศักดิ์สิทธิ์ ปิดผนึกพลอยแห่งดวงดาว” โกเนมเริ่มมองเห็นแผนการที่เจ้าเหนือหัวกับโกดอนวาดไว้ได้เลาๆ รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนวงหน้าดุดัน

การจะเล่นงานโดเรียสจะต้องจัดการที่จุดอ่อน และจุดอ่อนของโดรเยสก็คือเจ้า...เปอร์ซิโฟเน่ ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เมื่อก่อนที่โดเรียสมันไม่มาชิงตัวเจ้าคืนจากข้า เพราะมันคิดว่าตนเองโดนเจ้าชิงชังแล้ว แต่เวลานี้ไม่ใช่ ถ้าเจ้าตกอยู่ในกำมือข้า โดเรียสมันต้องกระเสือกกระสนมาตามเจ้ากลับไปอย่างแน่นอน เมื่อนั้น... ‘เทวาลัยเทพเจ้าเซเรส วงแหวนศักดิ์สิทธิ์ ปิดผนึกพลอยแห่งดวงดาว’ ของสองสิ่งและหนึ่งเหตุการณ์จะต้องเกิดกับเจ้าโดเรียส...เปอร์ซิโฟเน่เห็นทีข้าคงต้องให้เจ้าช่วยแล้วละ

มิคาเอลวาดฝัน ยิ้มเยือกเย็น มองเห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้า ถ้าเอื้อมก็จะไขว่คว้าไว้ได้ แต่ต้องรอเวลาอีกหน่อย รอเวลาที่จะได้จัดการเรื่องที่ค้างคาให้จบลง...เมื่อไม่มีโดเรียส พระองค์ก็จะยิ่งใหญ่ไร้หนามคอยทิ่มแทง



นาบูถูกบุกยึด โดนเผาทำลาย ประชาชนถูกเกณฑ์ไปเป็นเชลยใช้แรงงาน ตีตราเป็นทาส ผู้ต่อต้านถูกฆ่า ผู้หญิง คนแก่เฒ่าและเด็กถูกทอดทิ้งให้เผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง ต้องดำเนินชีวิตในสภาวะขาดแคลนอาหาร น้ำ เครื่องยังชีพ จะหนีให้พ้นนรกก็ไร้ซึ่งหนทาง ต้องทนมีชีวิตอยู่ในสภาพตรากตรำ อยู่ในสภาวะที่จักรพรรดิของตนแพ้สงครามจนต้องลี้ภัยออกนอกอาณาจักร แต่นั่นก็นับว่าปรานีแล้วสำหรับคนโหดเหี้ยมอย่างมิคาเอล

“พี่มันไม่เอาไหน...เรื่องถึงได้เลวร้ายขนาดนี้” ท่านจ้าวลูซิเฟอร์เหมือนถูกแท่งเหล็กทุบเข้าที่ศีรษะอย่างแรง กล้ำกลืนยิ่งนักกับการต้องทนดูบ้านเมืองที่ตนรักถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตา เสียงผู้คนโอดโอยคร่ำครวญ ภาพประชาชนที่กำลังอดอยากแทรกมากระทบโสต ดูเด่นชัดอัดแน่นอยู่ในหัว คงยากที่จะสลัดให้หลุดได้ในตอนนี้

“พี่อาจตัดสินใจผิดก็ได้ที่ลี้ภัย ถ้าพี่ยังอยู่ทุกอย่างคงไม่...” ตอนปลายเสียงแห้งหาย ไม่สามารถเปล่งถ้อยคำออกมาได้

“ทรงตัดสินพระทัยไม่ผิดหรอกพระเจ้าค่ะ จะช้าหรือเร็วนาบูก็ต้องถูกคาออสเข้ายึดครอง แค่เวลาสั้นเข้ามาหน่อย เพื่อแลกกับโอกาสที่จะกอบกู้สหพันธ์ก็เกิดคุ้มแล้วละพระเจ้าค่ะ” โดเรียสปลอบเชษฐาเสียงราบเรียบเฉยชา ตามแบบฉบับของตนเอง

“โอกาสหรือ?” ประชดตัวเอง “พี่ยังมองไม่เห็นเลยว่าจะเป็นยังไง คนอย่างพี่น่ะหรือจะเอาชนะมหาอำนาจอย่างสหพันธ์คาออสได้”

“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องชนะสหพันธ์ ศัตรูของฝ่าบาทหาใช่สหพันธ์...หากสิ่งที่ต้องเอาชนะคือมิคาเอลต่างหากล่ะพระเจ้าค่ะ”

“มิคาเอล” สบตาโดเรียสดั่งจะมองให้ลึกถึงในใจ “พี่จะเอาชนะมิคาเอลได้ยังไง พี่น่ะหรือที่จะเอาชนะพลังอำนาจของน้ำตาพระจันทร์...แค่นี้ก็มองไม่เห็นหนทางชนะแล้ว และตอนนี้ก็เจ็บหนัก” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบา สีหน้าเย้ยหยันระคนสมเพชตนเอง

ถ้อยคำได้ทำร้ายจิตใจเหล่าองครักษ์ที่ยืนนิ่งเท้าชิดอยู่ข้างๆ สีหน้าและแววตาของเหล่าทหารหาญเจ็บปวดไม่ต่างจากเจ้าเหนือหัว

โดเรียสจ้องใบหน้าสิ้นหวังท้อแท้ของเชษฐาอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างเฉยชา “ประชวรกายรักษาได้ แต่เวลานี้ฝ่าบาทประชวรที่พระทัย ประชวรอย่างหนัก มาสเตอร์ที่ไหนก็คงจนปัญญาที่จะถวายการเยียวยา”

“โดเรียส...เจ้าจะว่าพี่ก็ว่ามาตามตรงเลย ไม่ต้องอ้อมค้อม” ตวาดก้อง ยิ่งเห็นความน่าสมเพชของตนเองมากขึ้น

“ดีเหมือนกัน...หม่อมฉันก็ไม่ถนัดพูโอ้อมค้อมนักหรอพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันกำลังคิดว่าทรงกลัวมิคาเอล เพราะฝ่าบาทไม่เคยเอาชนะมิคาเอลได้เลยสักครั้ง...ฝ่าบาทเลยกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับมิคาเอล”

“เจ้าจะบอกว่าพี่ขลาดอย่างนั้นหรือ? พูดออกมาเลยสิ พูดสิว่าพี่มันเป็นไอ้ขี้ขลาด!” ตวาดใส่หน้าอนุชา วาจาตอกความเจ็บปวดในใจ

“ฝ่าบาททรงขลาด” เน้นเสียงย้ำหนักแน่นพลางลุกขึ้นยืน สบตาเชษฐาด้วยแววตาเฉยชาระคนสมเพช

ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ถึงกับตะลึงงัน บรรยากาศเงียบสงัดลงทันที เหล่าองครักษ์ก้มหน้านิ่งแทบหยุดหายใจ

“ไม่มีใครว่าฝ่าบาท...ถ้าทรงสู้แล้วแพ้ แต่นี่ยังไม่ได้สู้ก็ทรงคิดว่าแพ้ นี่คือความขลาดของพระองค์ ประชาชนที่รอคอยอยู่ พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร ถ้ารู้ว่าผู้นำที่เป็นเพียงความหวังเดียวหวาดกลัวศัตรู และกำลังจะแปรสภาพของการลี้ภัยอย่างผู้กล้าที่เฝ้ารอโอกาสไปเป็นหลบลี้หนีภัยด้วยกลัวความตาย แล้วมันจะต่างอะไรกับพวกขี้ขลาดบางกลุ่มที่แห่กันมาซุกหัวอยู่ในนารายเวลานี้ล่ะ!”

ท่านจ้าวลูซิเฟอร์เงยหน้าสบเนตรคม ดวงตาสีเขียวประกายอำพันนั้นแน่วแน่ไม่หวั่นไหว

“โดเรียส...พี่...” รู้สึกระอายใจยิ่งนัก คงจริงอย่างที่อนุชาด่าว่า

ภายในห้องเงียบไปอีกเกือบอึดใจ

“รับสั่งสิพระเจ้าค่ะ...รับสั่งว่าจะสู้! ถ้าทรงคิดที่จะสู้ มีคนอีกมากมายพร้อมจะติดตามฝ่าบาท” เสียงตอนต้นตะเบ็งหนักแน่น ตอนปลายแผ่วลงอ่อนโยน เรียวปากหยิ่งทะนงหยักแย้มเพียงนิด หากช่วยสร้างกำลังใจให้อีกฝ่าย จนสามารถยืนหยัดขึ้นได้อีกครั้ง

ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ปรายตาไปทางเหล่าองครักษ์ที่เพิ่งเงยหน้าขึ้น สายตามาดมั่นทุกคู่จับจ้องที่องค์กษัตริย์ พระองค์จึงยิ้มอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะตวัดกลับมาทางอนุชา

“รวมทั้งหม่อมฉันอีกคน...ถ้าจะทรงอนุญาต” เสียงสมทบของอนุชาฟังอบอุ่นยิ่งนัก

“โดเรียส...” ตื้นตันใจยิ่งนัก ประสงค์จะเอ่ยขอบใจ แต่กลับไม่สามารถหลุดคำใดออกมาได้

“รวมถึงพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ” เสียงใสมาพร้อมกับร่างบอบบางของราชินีและขนิษฐาทั้งสอง รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏบนใบหน้างามทั้งๆ ที่คราบน้ำตายังคงเปรอะแก้ม

แสงทิวาวารยามสายจัด ทอเข้ามาเป็นลำสะท้อนประกายวาววับ นัยน์ตาของเปอร์ซิโฟเน่ประสานกับเนตรเขียวอำพัน ดั่งจะเอ่ยว่าหม่อมฉันขอขอบพระทัยเพคะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง

แววเนตรหวานหยดย้อยทอดประสานบอกความในใจ ดำเนินอยู่เนิ่นนานประดุจเวลาได้หยุดนิ่ง มารู้ตัวอีกทีเมื่อท่านจ้าวลูซิเฟอร์ทำเสียงกระแอมไอ ฉุดดวงใจที่ล่องลอยบนม่านเมฆให้กลับสู่ความจริงอีกครั้ง

เพลานี้แก้มนวลของเปอร์ซิโฟเน่แดงระเรื่อ ท่าทางชม้ายเอียงอายงดงามดุจฟ้าหลังฝน ท่านจ้าวโดเรียสเองใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เพราะเก็บอารมณ์ขัดเขินได้ดีเลยเปลี่ยนไปเอ่ยถึงเรื่องอื่น

“แล้วเรื่องพระอาการเป็นอย่างไรบ้างพระเจ้าค่ะ”

“ไม่ดีขึ้นเลยเพคะ...ดูเหมือนว่าจะประชวนจากภายใน มาสเตอร์หลวงรายงานว่าต้องใช้เวลารักษาอีกนานเพคะ” ราชินีเอสทีเซียร์ตอบแทนท่านจ้าวลูซิเฟอร์ หนักใจไม่น้อย ถึงอาการจะรักษาให้หายได้ แต่จะมีเวลามากถึงเพียงนั้นหรือ และเวลาที่ว่าก็คือปัญหาใหญ่

“ลองให้เฮเดรสตรวจดูพระอาการหน่อยดีกว่าไหมพระเจ้าค่ะ” โดเรียสเสนอ แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบ เสียงหนึ่งก็โพล่งขึ้นเสียก่อน

“เฮเดรสเป็นมาสเตอร์ด้วยหรือ ไม่ยักรู้...ไว้ใจได้แน่หรือเพคะ” เอริเซียร์ค่อนแคะ ปรายตาไปทางเฮเดรสที่ยืนขนาบอยู่กับซีเซล สายตาเหยียดๆ ดูจะยังไม่หายแค้นเรื่องที่โดนเฮเดรสข่มขวัญเมื่อวันก่อน

“หม่อมฉัน...” เฮเดรสขยับปากได้เพียงเท่านั้น เจ้าหญิงองค์เดิมก็แทรกขึ้นอีก

“ถ้าเรื่องข่มขู่คน หรือกระทั่งฆ่าคนละเชื่อว่าเชี่ยวชาญ”

องครักษ์หนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึงส่ายหน้าเนือยๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเจ้าหญิงเอริเซียร์ต้องหาเรื่องตนด้วย จะเอ่ยให้ได้อะไรขึ้นมา มองหน้าซีเซลเชิงปรึกษา

คู่หูทำหน้าทำตาดั่งจะบอกว่า อย่าใส่ใจเลยเพื่อเอ๋ย...เมื่อเพื่อนว่างั้น จึงยอมปล่อยวาง ถอนหายใจแรง ก่อนจะนิ่งไปเสียเฉยๆ เพราะปกติเฮเดรสไม่ใช่ชอบต่อล้อต่อเถียงกับใคร ยกเว้นกับเจ้าเหนือหัวของตน ซึ่งเวลานี้ทรงทิ้งสายตาอยู่ที่เอริเซียร์ได้พักใหญ่แล้ว พยายามค้นหาอะไรบางอย่างจากวงหน้างาม

หรือว่าเอริเซียร์จะมีใจให้เฮเดรส...

เมื่อองค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้านึกได้ดังนั้นก็รีบเบือนพักตร์ไปทางเฮเดรส ยิ้มขันๆ เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมนั้น ก่อนจะหันไปทางซีเซล บอกความนัยแก่องครักษ์จอมทะเล้น

ปราดแรกซีเซลไม่ค่อยเข้าใจท่านจ้าวนัก แต่เมื่อจับจ้องดวงตาที่ชี้ชวนให้ดูเจ้าหญิงเอริเซียร์ ก็อ๋อขึ้นมาทันที เหล่มองคนข้างๆ เห็นใบหน้าเคร่งขรึมที่คิ้วขมวดอย่างหนักใจ...ก็เผลอยิ้มน้อยๆ พลางกระเซ้า

“ขอให้โชคดี เพื่อนเอ๋ย”

เฮเดรสทำหน้างงๆ ประจวบกับ...

“โดเรียส” ท่านจ้าวลูซิเฟอร์เรียกอนุชา เพราะเห็นว่าจู่ๆ ก็เงียบไปเสียเฉยๆ

“เอ่อ...อย่าทรงเป็นกังวลเลยพระเจ้าค่ะ อย่างกาเซียร์เป็นมนุษย์โลกที่อ่อนแอ ตอนนั้นอาการหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เฮเดรสยังรักษาให้หายได้ ยิ่งกับฝ่าบาทที่มีพลังรักษาตัวตามธรรมชาติดีอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาพระเจ้าค่ะ” ท่านจ้าวโดเรียสแก้ต่างแทนองครักษ์คนสนิท พลางบรรยายสรรพคุณให้เสร็จสรรพ

“กาเซียร์...ใคร?” ถ้อยถามของท่านจ้าวลูซิเฟอร์ดูจะโดนใจเอริเซียร์ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันที่คนตอบจะได้เอ่ยปาก เสียงหนึ่งก็โพล่งขวางลำขึ้น

“ก็นางบำเรอยังไงล่ะ”

สายตาทุกคู่ตวัดไปทางต้นเสียงที่อยู่ที่หน้าประตู ร่างหนึ่งก้าวเข้ามาภายในห้องท่วงท่าสง่างาม วงหน้ามีเค้าร่วงโรยไปตามวัย หากความงดงามยังปรากฏชัดบนผิวเนียนนวลดุลละอองทอง อีกทั้งยังดูกระปรี้กระเปร่า

“เสด็จแม่” เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่เข้าประคองพระนางมาลาวี พามายังเก้าอี้ไม้ฉลุลาย ก่อนที่นางจะอ้อมไปยืนอยู่เบื้องหลัง เจ้าหญิงเอริเซียร์ตามไปหยุดอยู่ข้างพระพี่นาง ดั่งจะคอยอยู่เคียงข้าง รอฟังคำตอบจากท่านจ้าวโดเรียส

เปอร์ซิโฟเน่จับจ้องใบหน้าของโดเรียสที่ยังคงทิ้งสายตาไว้ที่พระนางมาลาวี หัวใจของนางในเพลานี้เฝ้าจดจ่อคอยคำตอบส่วนลึกในหัวใจก็อยากฟังว่าท่านจ้าวจะว่ากระไร เมื่ออยู่ต่อหน้าพระมารดา

“กาเซียร์คือชายาของหม่อมฉัน” โดเรียสตอบเสียงราบเรียบ มิวายแอบปรายตาไปทางองครักษ์ของตนเอง ที่พากันวางพักตร์เคร่งขรึมทันที เมื่อรู้ว่าเจ้าเหนือหัวสังเกตท่าทีของพวกตน

“แต่ที่หม่อมฉันได้ยินมา...อย่านางเรียกว่าเป็นพระชายาด้วยหรือเพคะ ทรงพามาที่นี่ก็หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีการแต่งตั้งอะไร” พระนางมาลาวีเอ่ยเสียงสะบัดเพราะผิดหวังไม่น้อยที่โดเรียสกล้ากล่าวออกมาเช่นนั้น

“จะทำอะไรก็รีบทำเสียนะเพคะ ขอทูลไว้อย่าง ถ้าทรงต้องการสมหวังกับเปอร์ซิโฟเน่ละก็ ทรงรีบจัดการเรื่องเด็กกาเซียร์อะไรนั่นเสียให้เรียบร้อย” นางยื่นคำขาด ทุกผู้ยังคงนิ่งงงงัน ท่านจ้าวโดเรียสก็ไม่ด้คัดค้านใดๆ

ท่าทางวางเฉยของโดเรียส ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้พระนางมาลาวีแน่ใจว่านางกำลังเป็นต่อ อีกทั้งตระหนักว่าโดเรียสรักเปอร์ซิโฟเน่ มีหรือโดเรียสจะกล้าขัดใจนาง

“”หม่อมฉันรู้ดีเพคะ ว่าทรงรักเปอร์ซิโฟเน่เพียงใด กับแค่ให้ทิ้งนางบำเรอสักคนสองคน หรืออีกหลายคนถ้าทรงมี ก็คงไม่ทรงลังเลพระทัยเลยใช่ไหมล่ะเพคะ” นางเลือกใช้ถ้อยคำที่บ่งบอกว่าถือไพ่เหนือกว่า แฝงคำดูหมิ่นเย้ยหยันชัดเจน

โดเรียสยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด ท่านจ้าวลูซิเฟอร์กับราชินีได้แต่แลสบเนตร จนใจกับการกระทำของพระมารดา หรือเพียงให้ท่านจ้าวโดเรียสเข้าใจไม่ถือโทษนาง ส่าวนซีเซลและเฮเดรสไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่า พระนางมาลาวีจะกล้าเอ่ยออกมาเช่นนั้น แต่จะกระทำการใดได้เล่า เพราะคนที่สามารถจัดการกับเรื่องนี้กลับนิ่งเฉย ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนใดๆ

เอริเซียร์เฝ้าสังเกตท่าทีของคู่หูองครักษ์ที่ขบกรามแน่น แววตาดุดันน่ากลัว นางไม่เชื่อสายตาว่าจะได้เห็นแววตาเช่นนี้อีก หลังจากเหตุการณ์วันนั้น...วันที่ท่านจ้าวโดเรียสถูกจักรพรรดิเมฟาตีสทำร้าย

กาเซียร์...นางเป็นใครกันแน่? ถึงทำให้ทั้งคู่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนได้ถึงเพียงนี้

“พวกเจ้าสองคนไม่พอใจหรือยังไง” พระนางถามเมื่อเห็นท่าเมื่อเห็นท่าทีของซีเซลและเฮเดรส

“เกล้ากระหม่อมมิกล้า” เฮดรสตอบเบาๆ พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนซีเซลนั้นแทบจะสั่นเป็นเจ้าเข้า จึงได้แต่ก้มหน้าต่ำ ขืนพูดอะไรออกมาในตอนนี้ คงมีแต่คำที่จะทำให้เคืองใจ ไม่สมควรเป็นแน่

“อยู่ด้วยกันมานานก็น่าจะผูกพันกันอยู่หรอก แต่ก็น่าจะรู้แก่ใจไม่ใช่หรือระหว่างเปอร์ซิโฟเน่ลูกเรากับแม่เด็กกาเซียร์อะไรนั่น ท่านจ้าวของพวกเจ้าจะเลือกใคร” เอ่ยอย่างผู้กำชัยชนะ สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

ราชินีกับท่านจ้าวลูซิเฟอร์ก็อึดอัดยิ่งนัก ทำไมโดเรียสจึงนิ่งเฉยได้ถึงเพียงนี้ ส่วนซีเซลและเฮเดรสนั้นก็นิ่วหน้า เครียดหนัก

กาเซียร์เป็นใคร? นางสำคัญต่อโดเรียส หรือว่าสำคัญต่อองครักษ์หนุ่มทั้งสองกันแน่

บรรยากาศถูกความวิเวกดูดกลืนอยู่ชั่วอึดใจ โดเรียสยังสงบนิ่ง ทอดมองไปทางพระมารดาด้วยสายตานิ่งเฉย ไม่มีเค้าความไม่พอใจ ราชองครักษ์ทั้งสองได้แต่มองเจ้าเหนือหัวด้วยสายตาตัดพ้อ

ท่านจ้าวไม่ทรงรู้สึกอะไรกับถ้อยรับสั่งของพระนางมาลาวีเลยหรือ?

ไม่ทรงเป็นเดือดเป็นร้อนเลยหรือ?

ซีเซลชักจะทนต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจว่าจะระเบิดอารมณ์ ระบายความแค้นให้รู้แล้วรู้รอด ความใจร้อนของซีเซลถึงจะไม่ขนาดท่านจ้าวโดเรียส แต่คงไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

แต่ก่อนที่องครักษ์หน้าขาวจะได้ทำการใดลงไปนั้น...

“กาเซียร์จะอยู่ที่นี่ และจะอยู่ตลอดไป หม่อมฉันไม่ยอมให้นางไปไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม” ตอบเสียงเรียบ หากแต่หนักแน่น สะกดความรู้สึกของทุกผู้ที่ได้ยินคำตอบนั้น

องครักษ์ทั้งคู่สบตากันอย่างไม่คาดคิด ทุกอย่างสงบนิ่งอีกครั้ง พระมารดาตกใจ...เนตรลุกวาว กัดริมฝีปากแน่นจนบวมเป่ง ขัดใจยิ่งนัก ร้อนรนแทบคลั่ง ทรวงอกกระเพื่อมแรง

“เฮเดรส...ทำงานของเจ้าได้แล้ว” โดเรียสเอ่ยทำลายความเงียบ ส่งผลให้ทุกผู้ได้สติอีกครั้ง

ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ทรุดกายลงบนที่นั่ง เฮเดรสเข้าไปตรวจอาการอย่างละเอียด โดยมีบุคคลอื่นเฝ้าสังเกตอยู่ห่างๆ เปอร์ซิโฟเน่แอบปรายตาไปทางโดเรียส...หวั่นไหวยิ่งนัก พยายามคิดว่าที่โดเรียสกล่าวเช่นนั้นเพราะสงสาร ทนไม่ได้ที่พระมารดาดูแคลนกาเซียร์...พยายามบอกตนเองให้คิดเช่นนั้น

แต่ไยโดเรียสไม่ทอดเนตรแลนางเลยแม้แต่น้อย ยังคงจดจ้องไปยังท่านจ้าวลูซิเฟอร์ ไม่ได้สนใจนางเลย หวั่นใจทุดบรรยาย น้ำใสๆ คลอเนตรงาม

“ทรงบอบช้ำจากภายใน แค่โอสถรักษาได้ช้า ต้องอาศัยพลังความร้อนจากภายนอกเข้าไปกระตุ้นเพื่อให้ปราณทำงานได้ดีก่อน จึงถวายโอรสตามหลัง...แต่พลังที่ว่าต้องเป็นพลังที่แกร่งกว่าคนที่เจ็บพระเจ้าค่ะถึงจะได้ผล” เฮเดรสสบตาเจ้าเหนือหัวดั่งจะกล่าวบางอย่าง

“หมายถึงเรา?” เข้าใจความหมายที่องครักษ์ต้องการบอก

“พระเจ้าค่ะ”

“แล้วใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะหายเป็นปกติ” ท่านจ้าวโดเรียสถามสั้นๆ

“ประมาณร้อยราตรีพระเจ้าค่ะ...ถ้าได้รับพลังกระตุ้นจากฝ่าบาท”

“ง้นเจ้าถวายการรักษา อีกหนึ่งร้อยราตรีเราจะไปทวงทุกสิ่งทุกอย่างคืนจากมิคาเอล”

“ฝากด้วยนะเฮเดรส” ท่านจ้าวลูซิเฟอร์เอ่ยอย่างให้เกียรติ ก่อนจะเบือนไปยังเหล่าองครักษ์ที่ยืนนิ่งอยู่ถัดไป

“จิลแฟร์ มาร์คเซล พวกเจ้าไปสืบเรื่องมาให้ชัดเจน คอยเวลาที่เราจะได้กอบกู้สหพันธ์ นำความสงบสุขคือแก่ปวงชนอีกครั้ง...เราจะกลับไปทวงทุกอย่างจากมิคาเอล” กระแสเสียงหนักแน่นมั่นใจยิ่งขึ้น เอ่ยย้ำถ้อยคำของอนุชา

โดเรียสเพียงยิ้มบางๆ เช่นกัน

“พระเจ้าค่ะ” บัดนี้ท่านจ้าวของตนได้หายจากอาการป่วยทางใจแล้ว พวกเขาคิดเช่นนั้น ความกระตือรือร้นประดังจนตัวสั่งระริก ทุกก้าวที่เดินออกไปจากห้องเต็มไปด้วยความมั่นใจ และมั่นคง

“ซีเซล เฮเดรส พวกเจ้าก็ช่วยอีกแรงสิจะได้หาที่ระบาย อัดอั้นมานานแล้วไม่ใช่หรือ” โดเรียสเอ่ยเจือหัวเราะ เข้าใจความรู้สึกขององครักษ์

“จะตอบแทนพวกสหพันธ์ให้สาสมเลยละพระเจ้าค่ะ” ซีเซลตอบอย่างคะนองก่อนจะคำนับและถอยหลังออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราจะกลับ” พระมารดามาลาวีรู้สึกเสียหน้าแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ไม่กล้าสบตาโดเรียส นางออกไปพร้อมกับเจ้าหญิงทั้งสอง โดเรียสทอดเนตรตามอย่างไม่เข้าใจ คงลืมเรื่องที่เอ่ยกับพระนางมาลาวีก่อนหน้านั้นแล้ว พอปรายตากลับมายังทั้งสองพระองค์ ก็ต้องถามขึ้นว่า

“หน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือพระเจ้าค่ะ”

ทั้งสองพระองค์มองวงพักตร์คมของโดเรียสไม่วางตา เหมือนต้องการจับผิดระคนตั้งคำถาม

“ฝ่าบาทยังไม่ทรงตอบเลยเพคะ เรื่องทูลกระหม่อมกาเซียร์”

โดเรียสยิ้มอ่อนโยนดั่งเพิ่งนึกได้ว่า ทำไมพระนางมาลาวีจึงรีบเร่งกลับเช่นนั้น

“กาเซียร์เป็นคนช่วยหม่อมฉันไว้ตอนได้รับบาดเจ็บ...ไวลด์พาหม่อมฉันไปยังดวงดาวสีน้ำเงินที่เรียกกันว่าดาวโลก รู้สึกจะอยู่ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก นางอาศัยอยู่ที่นั่น” ดวงตาสีเขียวเจืออำพันสะท้อนประกายแจ่มจรัส

“ฝ่าบาทก็เลยพานางมาที่นี่ด้วย” เอสทีเซียร์ยิ้มอ่อนหวาน พอจะเข้าใจเรื่องราว

“พระเจ้าค่ะ” ตอบรับสั้นๆ

“ดูซีเซลกับเฮเดรสจะให้ความรักความสำคัญกับนางมาก สังเกตจากที่ไม่พอใจรับสั่งของพระมารดา” ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ตั้งข้อสังเกตบ้าง

“ถ้าให้สองคนนั้นเลือกระหว่างหม่อมฉันกับกาเซียร์ เห็นทีหม่อมฉันจะตกกระป๋องพระเจ้าค่ะ ยิ่งหลายวันมานี้ ดูทั้งคู่เคืองๆ หม่อมฉันยังไงไม่รู้” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มให้ผู้พูดและผู้ฟัง ก่อนที่ราชินีจะกล่าวเปรยๆ

“คงเพราะทั้งสองรักและเคารพท่านจ้าวมากน่ะสิเพคะ นางก็คงรักฝ่าบาทด้วยเช่นกัน จึงยอมตามเสด็จมายังที่ที่ไม่เคยรู้จัก”

ท่านจ้าวโดเรียสยิ้มรับ

“แต่ก็เป็นเด็กขี้แย ขี้กลัว...กลัวที่ต้องอยู่คนเดียว กลัวความมืด กลัวงู...ชอบนกสวยๆ ชอบดอกไม้...ทั้งที่ไม่ค่อยแข็งแรงแต่ก็ไม่รู้จักดูแลตัวเอง...ต้องให้คอยห่วงอยู่เรื่อย” เสียงราบเรียบ แต่ประกายเนตรอ่อนโยนยิ่งนัก ทั้งสองสังเกตได้อย่างชัดเจน

“หม่อมฉันขอพบนางบ้างจะได้ไหมเพคะ”

“ได้พระเจ้าค่ะ ถ้าพระนางไม่ทรงรังเกียจนาง”

“รับสั่งเช่นนั้น...ยิ่งทำให้หม่อมฉันอยากพบนางมากขึ้น”

“ไว้พรุ่งนี้หม่อมฉันจะพานางมาเฝ้า”

“อย่ารบกวนฝ่าบาทเลยเพคะ ไว้หม่อมฉันไปพบนางที่ตำหนักจะได้ไหมเพคะ”

ท่านจ้าวยิ้มรับ

“เจ้าพี่ หม่อมฉันว่าเรากลับได้แล้วกระมังเพคะ” เบือนหน้ามาทางท่านจ้าวลูซิเฟอร์

“จ้ะ...โดเรียสพี่กลับละ รบกวนเจ้ามานานแล้ว”

ราชินีเอสทีเซียร์กับท่านจ้าวลูซิเฟอร์ออกจากตำหนักท่านจ้าวโดเรียส ระหว่างทาง นางเฝ้าครุ่นคิดเรื่องราวระหว่างท่านจ้าวโดเรียสกับกาเซียร์

“ท่านจ้าวโดเรียสคงจะรักนางมากนะเพคะ”

“รักใคร?” ใบหน้าเคร่งขรึมเบือนมาทางราชินีผู้เลอโฉม พลางยิ้มอ่อนโยน

“ก็รักทูลกระหม่อมกาเซียร์น่ะสิเพคะ รับสั่งถึงนางด้วยดวงเนตรที่อ่อนโยน ทรงจดจำว่านางชอบ นางกลับอะไร คอยดูแลเมื่อทรงทราบว่านางไม่แข็งแรง...อย่างนี้ไม่เรียกว่ารักจะเรียกว่าอะไรเพคะ” ตอบเสียงชื่นชม หัวเราะสดใส เกาะท่อนแขน ท่านจ้าวอย่างเอาใจ

“แต่โดเรียสรักเปอร์ซิโฟเน่ไม่ใช่หรือ” ถ้อยถามเรียบเฉย มิได้ตื่นเต้นเหมือนกับร่างบางข้างกาย

“นั่นอาจเป็นรักแรก และรักที่ฝังใจ แต่ก็ไม่ใช่รักที่จะทำให้ทรงเป็นสุขได้ไม่ใช่หรือเพคะ”

“แต่พี่ว่าโดเรียสยังมั่นรักเปอร์ซิโฟเน่ ความรักที่โดเรียสมีต่อเปอร์ซิโฟเน่ไม่ใช่แค่ที่เจ้าคิดหรอกนะเอสทีเซียร์” เอ่ยหนักแน่น เป็นครั้งแรกที่คิดขัดแย้งกับพระชายา

“แล้วทำไมท่านจ้าวโดเรียสทรงกริ้วเมื่อมีใครพูดถึงนางในทางที่ไม่ดี” เสียงถามสะบัดหน่อยๆ เมื่อถูกค้าน

“เพราะความสงสารยังไงล่ะ” ตอบเสียงเย็นชาจนคนฟังรู้สึกใจหาย ความหม่นหมองหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจอย่างไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่

“โหดร้าย! ถ้าเช่นนั้นนางก็น่าสงสารไม่ใช่หรือเพคะ”

“เป็นใครก็น่าสงสารทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นกาเซียร์ หรือว่าเปอร์ซิโฟเน่”

“รบสั่งเช่นนั้น หม่อมฉันยิ่งอยากพบนางมากขึ้น เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง”

“พี่ว่าเปล่าประโยชน์นะ...ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้หญิงคนใดอีกแล้ว ที่สามารถแย่งหัวใจโดเรียสไปจากเปอร์ซิโฟเน่ได้” เสียงหนักแน่นและมั่นใจผิดจากตอนแรกจนราชินีหมั่นไส้ ค้อนให้วงใหญ่ ท่านจ้าวยิ้มขัน พลางเอ่ยเย้า

“เจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง น้องสาวเจ้าคือเปอร์ซิโฟเน่นะ ไม่ใช่กาเซียร์”

“หม่อมฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันเพคะ รู้สึกว่านางน่าสงสาร เหมือนกับว่านางมีเพียงท่านจ้าวโดเรียส ถ้านางไม่มีพระองค์แล้ว นางคงต้อง...” เสียงสลดอย่างบอกไม่ถูก

ท่านจ้าวลูซิเฟอร์จึงเอ่ยปลอบ ต้องการให้นางปล่อยวาง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

“เอสทีเซียร์...ความรักน่ะ เราจะห้ามหรือบอกให้เขารักใครนั้นทำไม่ได้หรอก”














 

Create Date : 15 ตุลาคม 2552
0 comments
Last Update : 15 ตุลาคม 2552 11:46:38 น.
Counter : 588 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.