<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 8



8.-

นาราย...แดนสวรรค์ของผู้อพยพหนีตายจากสงคราม พื้นที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งมีเพียงเมืองเดียวที่มีผู้คนอาศัยอยู่ เป็นเมืองใหญ่กินบริเวณประมาณหนึ่งในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด เมืองแห่งนี้มีชื่อเรียกตามชื่อดวงดาวและเคยเป็นส่วนหนึ่งของฐานทัพใหญ่ ‘อาณาจักรคาคูด้า’

แต่เวลานี้ฐานทัพนั้นถูกปิดตาย มีเขตอาคมแรงกล้าตรึงไว้แน่นหนา มีเพียงตัวเมืองเท่านั้นที่เปิดให้เป็นที่อยู่ของคนพื้นเมือง ผังเมืองจัดว่าดีเยี่ยม กำแพงหินสูงตระหง่านดุจภูผาสามารถป้องกันพายุทะเลทรายซึ่งเกิดขึ้นทางด้านทิศใต้ของเมืองได้เป็นอย่างดี

พอสงครามระบาดอยู่รอนอก มีคนอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก พวกอาร์คนอยด์โดยการนำของตาเฒ่าอาร์คนอยด์ เข้ายึดสิทธิ์ในการครองครองที่อยู่อาศัยของประชาชนแล้วนำออกมาแบ่งขาย ใครอยากได้สิทธิ์เข้าอาศัยต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนตามแต่พวกมันพอใจ

แน่นอนว่าชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่ไม่ได้มั่งมี คงไม่มีปัญญาหาสิ่งแลกเปลี่ยนที่พวกอาร์คนอยด์ต้องการ จึงถูกอัปเปหิไปหาที่อยู่ใหม่ในพื้นว่างทางตอนใต้ของเมืองซึ่งล้อมรอบด้วยผืนทราย ต้องคอยเสี่ยงกับภยันตรายอย่างเลือกไม่ได้ แต่นั่นก็นับว่ายังดีกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอพยพมาจากพิภพอื่น คนเหล่านั้นถ้าไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนต้องถูกกักกันไปอยู่ยังที่ซึ่งพวกอาร์คนอยด์จัดให้ ที่นั่นถูกเรียกว่า ‘ถิ่นอาศัยของพวกโซเซียลเลส’

ประชาขนส่วนใหญ่ต้องอยู่อย่างแร้นแค้น อดๆ อยากๆ ไม่มีอาชีพที่แน่นอนบ้างก็เพาะปลูกแต่ก็ไม่ค่อยได้ผลนัก ถึงจะมีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน แต่ก็ต้องคอยเลี่ยงกับพายุบ้าง น้ำท่วมบ้าง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า นารายเป็นดวงดาวที่มีสภาพอากาศปรวนแปรตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้พวกโซเซียลเลสบางส่วนจึงต้องออกไปรับจ้างทำงานให้แก่พวกอาร์คนอยด์ที่นอกเมืองทางเหนือ ที่นั่นมีน้ำและป่า เหมาะแก่การเกษตรกรรม

เมื่อก่อนพื้นที่ทางตอนใต้ของเมองไม่ได้แห้งแล้งอย่างตอนนี้ ความกันดารเริ่มขึ้นเมื่อพวกอาร์คนอยด์สร้างเขื่อนขนาดยักษ์กั้นแม่น้ำสายหลักของเมือง หน้าแล้งก็เก็บกักน้ำเอาไว้ น้ำที่เคยไหลผ่านจึงแห้งขอด แต่พอถึงช่วงฝนหลากพวกนั้นก็ปล่อยน้ำให้ไหลบ่ามา โดยมิได้สนใจไยดีพวกโซเซียลเลสที่อยู่ทางใต้เลยแม้แต่น้อย และสิ่งที่ทำให้โซเซียลเลสแตกต่างไปจากอาร์คนอยด์ คือรอยสักรูปงูรัดกางเขน ซึ่งติดอยู่บนตัว ที่หลังมือ ส่วนหนึ่งของใบหน้า หรือไม่ก็บนลำคอ นั่นคือสัญลักษณ์บ่งบอกชัดเจนถึงความด้อยกว่า แบ่งแยกชัดเจนว่า คนเหล่านี้จะไม่สามารถเข้ามาภายในกำแพงเมืองได้ในยามวิกาล ถ้าฝ่าฝืนและถูกจัดได้ โทษสถานเดียวคือตัดหัวเสียบประจาน...ถึงแม้จะตระหนักในโทษนั้นได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีการละเมิด มีโซเซียลเลสถูกจัดได้วันละมากมาย แต่หาใช่เพราะไม่เกรงกลัวหรือเบื่อชีวิตไม่ หาก...พวกเขาดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ด้วยเหตุผลที่ว่า สิ่งประทังชีวิตของพวกเขาสามารถหาได้แค่ในกำแพงเมือง ถิ่นต้องห้ามยามราตรีของพวกตนก็เท่านั้น



“ให้ตายสิ มาทีไร ‘เสาหัวคน’ พวกนี้ดูจะหนาตาขึ้นทุกทีสิน่า” ซีเซลพูดน้ำเสียงเหยียดๆ เมื่อมองเห็นเสาแหลมที่เรียงรายนับร้อยต้น ตรงปลายเสามีศีรษะถูกเสียบประจานแทบทุกต้นใบหน้าเหล่านั้นแสดงความหวาดกลัว สิ้นหวัง รอยสักแสดงว่าเป็นหนึ่งในโซเซียลเลส

“ก็ดี จะได้ไม่เห็นภาพเดิมๆ มาคราวหน้าคงจะเรียงยาวไปจนสุดกำแพงฟากโน้นเลยมั้ง” เฮเดรสว่าไม่ยี่หระ

“ชอบละสิ เจ้ามันพวกซาดิสม์ โรคจิตอ่อนๆ นี่” เน้นเสียงค่อนขอด หากอีกฝ่ายยังเฉย “คนพวกนี้ก็แปลก มายืนดูหัวคนอยู่ได้ สงสัยจะเพี้ยนไปหมด”

ไม่พอใจคู่หูเลยพานหงุดหงิด แหวกฝูงชนที่ยืนมุงดูเหล่าทหารรับใช้ของอาร์คนอยด์นำหัวที่เพิ่งถูกตัดลำเลียงขึ้นไปบนเสาดั่งที่ทำกันอยู่ทุกวี่วัน

“เจ้าคิดว่าสายตาของพวกเขาบ่งบอกว่าชอบเหรอ”

คำพูดของเฮเดรสทำเอาซีเซลชะงัก เริ่มสังเกตสิ่งรอบตัว

“ลูกแม่...ไม่น่าเลยแม่บอกแล้ว...บอกแล้วว่าอย่า...เพราะแม่ เจ้าจึงต้องจบชีวิตอย่างไร้ค่าเยี่ยงนี้” ภาพหญิงชราทรุดลงกองกับพื้น ร่ำไห้ราวจะขาดใจ ถึงนางจะดูโรยราเพราะอยู่ในวัยที่ผนึกเวลาเริ่มคลายตัว แต่ผิวพรรณหน้าตายังอิ่มเอิบ บ่งชัดว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งตามเนื้อตัวก็ไม่มีส่วนใดที่บ่งบอกว่าเป็นหนึ่งในพวกโซเซียลเลส หรือทาสที่หนีตายมาจากสหพันธ์

“อาเม็ท” ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์แต่งตัวดี ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยปลอบประโลม

“ท่านโตมะ...วายุไม่ใช่โซเซียลเลสนะ เขาไม่ใช่ทาส...เขาเป็นลูกข้า เขามีสิทธิ์เข้ามาในกำแพงเมืองยามค่ำคืน เขาหาได้ผิดกฎไม่ อีกทั้งเขาเป็นถึงลูกทหาร ข้ารับใช้พระนางมาเรีย...เขาเป็นคนพื้นเมืองที่อยู่ก่อน...ก่อนที่พวกมัน...”

“อาเม็ทพอเถอะ” รีบห้ามเมื่อเห็นพวกอาร์คนอยด์สี่ห้าคนกำลังเดินมาทางกลุ่มตน อีกทั้งซีเซลก็เอะใจกับสิ่งที่นางพร่ำออกมา

“เรก้า พาอาเม็ทกลับหมู่บ้าน” สั่งลูกน้องให้พยุงหญิงชราออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ ก่อนพวกทหารของอาร์คนอยด์จะเดินมาถึง

อย่างไม่ได้ตั้งใจ สายตาของซีเซลก็ประสานกับคนที่ชื่อโตมะพอดี...องครักษ์หนุ่มสะกิดใจในดวงตาทรงอำนาจนั้น คงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่...แววตาคมกริบนั้นดูทรงอำนาจดั่งท่านจ้าวโดเรียส ดูสุขุมราวเฮเดรส...ดูอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนดวงตาของแม่ผู้ให้ชีวิต

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”

เรก้าสอดมือเตรียมจะชักอาวุธที่เหน็บติดเอว โตมะก็เตรียมพร้อมเช่นกัน

“นึกว่าใคร...ที่แท้ก็ท่านโตมะ นักบุญของพวกไร้ที่อยู่อาศัยนี่เอง” คนที่ดูมีอำนาจกว่าเพื่อนแผดเสียงเหยียดหยัน ตีหน้าเหี้ยมเกรียมมาดร้าย

“จับมัน” สั่งลูกน้องที่ตามมาเสียงเด็ดขาด แต่ก่อนที่นายทหารกลุ่มนั้นจะได้ขยับตัว...

“อ้าว! โตมะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นบ้างสบายดีไหม? แหม...ไม่ส่งข่าวคราวบ้างนะ” ซีเซลแสร้งทำเป็นเดินไปโอบไหล่โตมะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันแม้แต่น้อย อีกฝ่ายทำหน้างง...ยังไม่วางใจ มองกลุ่มทหารที่ตีวงเข้าล้อมพวกตน แต่ยังไม่ทำอะไรวู่วาม

“เรก้าด้วย ยังหล่อเนี้ยบเหมือนเดิมนะ...ไงอาเม็ท ยังแข็งแรงอยู่เลยนะ” แสร้งตีสนิท เอาชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่มาทักไปทั่ว ก่อนจะเบือนหน้าไปถามพวกทหารของอาร์คนอยด์ที่ยืนอยู่บริเวณนั้น

“มีอะไรกันเหรอ?” ตีหน้าเซ่อได้อย่างแนบเนียน เฮเดรสยืนมองอยู่เงียบๆ

“ท่านซีเซล ท่านเฮเดรส” พวกมันท่าจะรู้จักคู่หูองครักษ์เป็นอย่างดี มองหน้ากันดั่งจะปรึกษา แปลกใจกับการกระทำขององครักษ์หนุ่ม ไม่ต่างกับทางฝ่ายโตมะ

“ท่านทั้งสองรู้จักคนกลุ่มนี้หรือขอรับ” ถามน้ำเสียงหยั่งเชิง

“ใช่...พวกนี้เพื่อนข้าเอง รู้จักกันนานแล้ว...ตั้งแต่สมัยกอบกู้ ‘คาคูด้า’ โน่นแน่ะ เฮเดรสกับข้าดีใจมากเลยที่เจอพวกเขา เห็นทีต้องคุยกันยาว...ว่าแต่พวกเจ้ามีอะไร”

ปดไปเรื่อยตามประสาคนกะล่อน เฮเดรสก็ถูกฉุดเข้าไปร่วมด้วยอย่างเสียไม่ได้ จำต้องยิ้มรับเพื่อไม่ให้พวกอาร์คนอยด์สงสัย

“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกขอรับ แค่เข้าใจผิด” คิดว่านั่นดีที่สุดแล้ว พวกมันรู้ดีว่าไม่ดีแน่ถ้าขัดใจคนคู่นี้ ไม่เช่นนั้นใบหน้ายิ้มระรื่นนี้ได้เปลี่ยนเป็นใบหน้าของฆาตกรบ้าเลือด ที่พร้อมจะจัดการใครก็ตามที่ขัดใจตนให้หายวับไปกับตาอย่างไม่รู้สึกผิด

“เหรอ...ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” เบือนหน้ามาทางคนถูกโอบไหล่ “เราไปก๊งเหล้ากันที่บ้านเจ้าดีกว่านะ...โตก้า...เอ๊ย โตมะ ใช่ เรก้าด้วย”

“งั้นพวกข้าขอตัวก่อน” พวกทหารของอาร์คนอยด์ยอมถอยออกไป ถึงแม้จะคลางแคลงใจอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าการมีเรื่องกับทั้งสองจะเป็นเรื่องดี

“ขอบคุณ” โตมะบอกซีเซล มองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะพยุงหญิงชราซึ่งยังไม่คลายความเศร้าโศกเดนจากไป ไม่แน่ใจว่าทำไมทั้งสองต้องช่วยตน แต่เห็นจะอยู่นานไม่ได้ ไม่รู้ความเกี่ยวข้องระหว่างคนแปลกหน้ากับพวกอาร์คนอยด์...รู้เพียงว่าคนที่เป็นมิตรกับพวกกดขี่ข่มเหงคนไม่น่าคบเท่าไหร่นัก

“ไม่คิดว่าเจ้าจะยื่นขาเข้าไปยุ่ง หรือเจ้าเป็นประเภทคลำดูไม่มีหางเป็นใช้ได้” เฮเดรสค่อนแคะ

“เจ้ามันชอบคิดกุศล แต่ช่างเถอะ เพราะยังไงข้าเป็นประเภทพ่ายแพ้น้ำตาหญิง ไม่เว้นแม้แต่วัยผนึกเวลาคลายตัว...ว่าแต่เจ้าก็เออออด้วยไม่ใช่หรือ?”

“มีทางให้ข้าเลือกไหมล่ะ?” เน้นเสียงราวจะบอกว่าเพราะใคร “แต่ถ้าฝ่าบาททรงทราบเรื่องเข้า ก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน”

“เจ้าไม่ปริปาก ข้าไม่พูด...ฝ่าบาทจะทรงทราบได้ยังไง...ส่วนพวกอาร์คนอยด์คงไม่มีปัญญาไปเข้าเฝ้าอยู่แล้ว” ยักไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินไปขอเข้าพบ ‘ท่านเบล’ ยังปราสาทกลางเมือง



อากาศมืดมิดเวิ้งว้างอย่างไร้ขอบเขต ยานลำมหึมาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แหวกม่านหมอกความมืดมุ่งหน้าสู่จุดหมาย โดยมีรังสีอำมหิตของผู้ไล่ล่าติดตามมาไม่ห่าง

เสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับยานเสียการทรงตัว เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง

“เกิดอะไรขึ้นวูรี” เอริเซียร์ถามกัปตันร่างเล็กเสียงพร่า

“ยานถูกจู่โจม...ห้องเครื่องได้รับความเสียหายพระเจ้าค่ะ”

“ทั้งๆ ที่เจ้าพี่ก็อยู่ด้วย มันยังกล้าจู่โจม” เอ่ยอย่างเป็นกังวล เพราะตลอดหลายวันที่เดินทางออกจาก ‘ดาวเซน’ ถึงโกเนมจะติดตามอย่างกระชั้นชิด แต่ก็ไม่มีการโจมตีหรือทำการใดที่รุนแรง ทำให้แน่ใจว่าโกเนมไม่กล้าพอจะทำอะไรบุ่มบ่าม แต่ตอนนี้คงไม่ใช่แล้ว

“มันจู่โจมแบบเฉียดๆ ไม่คิดจะทำลายยาน คงต้องการขู่เราไม่ให้เข้าสู่นาราย มันยอมเสี่ยงดีกว่าปล่อยเราผ่านเส้นแบ่งแดน แต่ถ้าเราผ่านดาวดวงเล็กๆ ตรงหน้าไปได้ มันคงไม่กล้าติดตาม”

จิลแฟร์วิเคราะห์อย่างผู้มากประสบการณ์ ก่อนจะหันมาปรึกษาวูรี

“สภาพยานตอนนี้ พอจะไปถึงนารายได้ไหม?”

“เครื่องได้รับความเสียหาย ไปไม่ถึงนารายแน่ ถ้าไม่ร่อนลงหาทางแก้ไขก่อน”

จิลแฟร์ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนตัดสินใจ

“คิดว่าดาวตรงหน้าเป็นไงวูรี”

“ก็ดีขอรับ ดาวดวงนั้นดูจะอยู่ระหว่าง ‘คาคูด้า’ กับ ‘สหพันธ์’ คิดว่าโกเนมคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามนัก”

ดวงดาวที่ว่าประกอบด้วยบรรยากาศสีฟ้าแกมเขียว บ่งบอกว่าเป็นดวงดาวที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่เพราะอยู่คาบเกี่ยวระหว่างสองอาณาจักรจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปอาศัย อีกทั้งยังเป็นดาวเล็กๆ ไม่เหมาะแก่การหลบซ่อน หากเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็คงไม่เลวร้ายนัก



แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ สาดกระทบกระจกสีชา สะท้อนกระเบื้องหลังคาสีน้ำตาลไหม้ดูสว่างไปทั่วบริเวณ

ลานใจกลางเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน อาภรณ์แปลกตาที่ผู้คนส่วนใหญ่สวมใส่เป็นผ้าทอบางเบาสีสันเย็นตา สตรีสวมใส่ผ้านุ่งยาวคลุมข้อเท้า...ลวดลายสวยงาม เสื้อตัวสั้นมองเห็นผ้าคาดเอวสีสดคาดทับผ้านุ่งเอาไว้ ทั้งชายหญิงจะมีผ้าโพกศีรษะเก็บผมเผ้าให้เรียบร้อย

ผู้คนออกมาเดินจับจ่ายใช้สอยกันพลุกพล่าน พ่อค้าแม่ขายร้องเรียกลูกค้ากันเสียงดัง ข้าวของหลากหลายถูกวางขายกลาดเกลื่อนเต็มสองข้างทาง บ้างเป็นพืชผักของสดไปจนถึงดอกไม้นานาพรรณ บ้างเป็นร้านผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับละเอียดลออ

ถังไม้เนื้อแข็งทรงสูงสีดำเมื่อมซึ่งบางติดพื้นซีเมนต์ มีบุปผาชาตินานาพรรณเสียบรวมไว้ ชายชราร่างผอมแกร็นแต่งตัวมอซอ เสื้อผ้าที่สวมใส่บ่งบอกถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน ยืนนิ่งประสานมือไว้ด้านหน้า ท่าทางนอบน้อมให้เกียรติลูกค้า

“ดอกไม้เยอยะจัง...สวยๆ ทั้งนั้นเลย”

ร่างบางภายใต้อาภรณ์แปลกตาดูแตกต่างจากคนทั่วไป เครื่องประดับบนเรือนร่างล้วนแต่ดูล้ำค่า เคียงข้างมากับชายหนุ่มท่วงท่าองอาจที่สวมใส่เครื่องแต่งกายโทนดำเข้ากับผมสีนิล ซึ่งถูกรวบเก็บอย่างเรียบร้อยด้วยผ้าโพกสีเดียวกับอาภรณ์ ใบหน้าสะอาดสะอ้านเรียวยาวดั่งอิสตรี หากดูทรงอำนาจน่าเกรงขาม สะกดใจผู้คนที่เดินผ่านให้หันหลังกลับมามองได้ไม่น้อย

“เจสเซอร์ นี่ดอกอะไรคะ? มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย” หญิงสาวสนใจดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ รูปดอกเป็นกระเปาะ มองเห็นเกสรสีแดงสดยื่นออกจากปลายกลีบทั้งหกซึ่งบานโค้งจนงุ้ม ทุกดอกยังติดอยู่กับกิ่งก้านสีดำรูปร่างคล้ายเขากวาง แต่ละแขนงมีอยู่หลายสิบดอก

คนถูกถามครุ่นคิด “เกล็ดดาวมั้งคะ”

“ใช่ขอรับ ถ้าอยู่ในความมืดจะเรืองแสงด้วยนะขอรับนายหญิง” น้ำเสียงสั่นพร่าแหบแห้งด้วยอายุที่มากขึ้น พยายามโน้มน้าวให้สนใจสินค้าของตน

“อืม...มิน่าล่ะชื่อเกล็ดดาว...คงหมายถึงดาวที่หล่นมาจากฟ้าสินะ” พยักหน้าหงึกๆ “นี่ก็สวย เหมือนดอกบัวแต่สีดูสดกว่าเยอะ”

เบือนหน้าไปทางอีกฝ่าย แววตาสุกสกาวตั้งคำถามเดิม

“อืม คงเป็นปะการังทะเลมั้งคะ” ตอบไม่แน่ใจเหมือนตอนแรก

นิ้วเรียวหยิบบุปผางาม ดอกโตจนเต็มอุ้มมือ ก้านแข็งสีเขียวเข้มคล้ายก้านสายบัว กลีบสีน้ำทะเลซ้อนเหลื่อมกันหนาหลายชั้น ตรงกลางมีลูกกลมๆ คล้ายลูกแก้วหลากสีส่องประกายระยิบระยับ

“ไม่ยักกะมีกลิ่นหอม อยู่ในทะเลหรือคะ?” เอ่ยถามเมื่อประคองเข้ามาชิด จนสามารถสูดดมสัมผัสหากลิ่นหอม

“คิดว่าไม่ได้อยู่ในทะเล...แต่สีเหมือนน้ำทะเลเลยได้ชื่อนี้มา ดอกไม้เมืองหนาวส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีกลิ่น กลีบจะหนาและแข็ง เพราะต้องทนกับความหนาวเย็น”

“เหมือนอาบูจาเลย เป็นคนเมืองหนาวเลยตัวหนา เพราะต้องทนกับความหนาวให้ได้” ล้อเลียนพร้อมรอยยิ้มพริ้มพราย โดเรียสเองก็อดขันไม่ได้ เมื่อนึกถึงร่างที่ห่อหุ้มไปด้วยไขมันของพระพี่เลี้ยง

“นี่ก็สวย” สนใจดอกไม้ช่อใหญ่เป็นพวงระย้า ก้านยาวเกือบสองศอก รูปดอกเล็กๆ เป็นกระเปาะทรงแหลมเหมือนเข็ม ชี้ปลายออกเหมือนตัวเม่น แต่ละดอกเป็นสีม่วงเข้ม แววตากลมโตตั้งคำถาม

“”พี่ไม่รู้หรอกค่ะ...ไว้ถามอาบูจาดีกว่านะเรื่องดอกไม้พวกนี้” ตอบตามตรง เพราะดอกไม้ที่พอรู้นับชื่อได้เลย

“มิน่าล่ะ เมื่อกี้ก็ตอบว่าเกล็ดดาวมั้ง ปะการังทะเลมั้ง มีมั้งตลอดเลย ที่แท้ก็ไม่รู้จริง สงสัยต้องถามว่า อสูรนี้ชื่ออะไร กินอะไร อาศัยอยู่ที่ไหนบ้าง ถึงจะเชี่ยวชาญใช่ไหมคะ”

โดเรียสแตะเรือนผมน้องน้อยกึ่งลูบกึ่งเขย่าเบาๆ รู้สึกหมั่นไส้แกมเอ็นดู

“พี่ว่ากลับที่พักดีกว่า นี่ก็จวนจะมือแล้ว อากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ เดี๋ยวกาเซียร์จะไม่สบาย”

“แต่ว่า...”

“อย่าดื้อสิคะ ไว้วันหลังค่อยมาใหม่ พาอาบูจามาด้วย อาบูจาจะรู้ชื่อดอกไม้ดีที่สุด”

“อาบูจาจะตามเรามาด้วยหรือคะ?” ดวงตากลมโตเป็นประกายระยับกระตือรือร้นขึ้นทันที”

“ค่ะ อีกสองสามวันคงเดินทางมาถึงที่นี่”

“ก็ได้ค่ะ...งั้นวันนี้กาเซียร์ขอหมดนี่ได้ไหมคะ?” ออดอ้อน พลางเบือนหน้าไปทางบุปผางามที่สนใจเมื่อครู่

“ได้ค่ะ” อนุญาตอย่างว่าง่ายเจือเสียงหัวเราะ แววตาอ่อนโยนปรายมองผู้ที่กำลังหยิบดอกไม้ทั้งหมดมาวางไว้ในอ้อมแขน

“เกล็ดดาวสีขาว ปะการังทะเลสีฟ้า เอานี่ด้วย ไม่รู้ชื่อแต่สีม่วง...ขอหมดนี่เลยค่ะ” บอกคนขายก่อนจะเบือนหน้ามาทางชายหนุ่ม ท่านจ้าวพยักหน้า ก่อนจะดึงถึงผ้ากำมะหยี่ที่เกี่ยวกับเข็มขัด ล้วงหยิบของในนั้น

“จ่ายด้วยสิ่งนี้ได้ไหม...ข้าไม่ได้พก ‘เบี้ยทอง’” ยื่นเพชรน้ำงาม ส่องประกายวาววับให้คนขาย

“ขะ...ขอรับ แต่มันมากไป พ่อค้าจนๆ คงไม่มีเบี้ยทองจ่ายคืนหรอกขอรับ” ตอบน้ำเสียงสั่นพร่าด้วยไม่เคยเห็นของเลอค่าเช่นนั้น

“เอาไปเถอะ” เอ่ยเบาๆ พลางส่งเพชรเม็ดนั้นให้ถึงมือเหี่ยวย่นที่ยื่นออกมารับก่อนจะเบือนหน้ากลับมาทางน้องน้อย แต่เพราะดวงตากลมโตที่จ้องนิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มชื่นชม ทำให้ต้องถามว่า

“หน้าพี่มีอะไรติดอยู่หรือคะ?”

“เจสเซอร์ใจดีจัง” แย้มรอยยิ้มบาง หัวเราะเสียงใสจนนัยน์ตาหรี่เล็ก

“พี่เคยใจร้ายกับกาเซียร์หรือไงคะ” ถามไม่จริงจังนัก

“ไม่ได้หมายถึงใจดีกับกาเซียร์ หมายถึงใจดีกับคนขายต่างหากค่ะ” ตอบพลางเบือนมองชายสูงวัยซึ่งยืนยิ้มหุบไม่ลงตั้งแต่เมื่อครู่ คงดีใจเอามากๆ เพราะมูลค่าที่ได้รับนั้นมากค่ากว่าราคาสินค้าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า

โดเรียสเกิดขัดใจขึ้นมาตงิดๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มชื่นชมระคนดีใจ นางจ้องมองดั่งกับว่าเขาเป็นคนดีนักหนา ทำให้อยากจะร้ายขึ้นมาทันที หากทำได้เพียงปั้นหน้าบึ้งตึงใส่ ก่อนจะยิ้มก้อๆ เมื่อเหลียวกลับมาทางร่างบาง โอบไหล่นำออกจากร้านกลับที่พัก

เมื่อหลายร้อยปีก่อน ท่านจ้าวโดเรียสพาร่างบอบช้ำสาหัสของกาเซียร์มายังปราสาทแก้วที่รายล้อมไปด้วยหุบเหว เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่ง ‘คาคูด้า’ ไม่เคยได้ออกมาสัมผัสกับสภาพแวดล้อมภายนอกสักครา จะเคยไปที่อื่นบ้างก็แค่ไปปราสาทหลวงของคาคูด้า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเห็นชีวิตของผู้คนนอกเขตราชฐาน



ยานอวกาศร่อนลงอย่างนิ่มนวล ประตูกลเปิดขึ้นช้าๆ ลมภายนอกโถมเข้าสู่ด้านใน พัดชายเสื้อเหล่าองครักษ์สี่นายซึ่งออกมาสำรวจสภาพพื้นที่ลานหิน ล้อมรอบด้วยหน้าผาสูง ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมหนาแน่น

“กระหม่อมกับวูรีจะไปดูห้องเครื่อง คงต้องเสียเวลาสักครู่ แต่อย่าทรงกังวลพระทัยไปเลยพระเจ้าค่ะ พวกเกล้ากระหม่อมจะต้องนำเสด็จไปถึงคาคูด้าให้ได้” จิลแฟร์เอ่ยให้คลายกังวล ก่อนจะเดินนำวูรีไปทางประตูที่เชื่อมต่อกับห้องเครื่อง ตามด้วยเหล่าทหารหาญอีกสี่นายที่พอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

“นึกว่าจะหนีไปได้ไกลกว่านี้เสียอีก”

เสียงกังวานแทรกสายลมจากหน้าประตูเข้ามาภายใน ทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเย็นแผ่ซ่านขึ้นเกาะกุมขั้วหัวใจทุกดวงหนาแน่น

“ไม่นึกว่ามันจะตามมาเร็วขนาดนี้” จิลแฟร์กล่าวเสียงเครียด ถอนหายใจแรงก่อนจะสั่งพวกนางกำนัลทั้งสี่ให้คอยอารักขา พร้อมกับให้กัปตันวูรีนำคนอื่นๆ ไปจัดการซ่อมเครื่องยนต์ ส่วนตัวเองจะถ่วงเวลาไว้ก่อน

“ถ้าจัดการเรียบร้อยแล้วก็นำเสด็จไปได้เลย ไม่ต้องห่วงข้า” ไปรอช้า เมื่อสั่งการเสร็จ จิลแฟร์ตรงไปยังประตูพร้อมกระโจมออกไป ประตูกลปิดลงอย่างรวดเร็ว วูรีนำทหารคนอื่นไปทางห้องเครื่อง”

“เจ้าพี่...เราต้องปลอดภัยเพคะ” เอริเซียร์โอบกอดพี่นางที่หวาดกลัวไว้มั่น ถึงนางจะไม่ใช่หญิงซึ่งแข็งแกร่งราวนักรบ แต่ก็ไม่ใช่สตรีที่จะหวาดกลัวจนควบคุมสติไม่ได้

เสียงต่อสู้กันดังสนั่น แรงระเบิดทำให้พื้นสั่นสะเทือนจนแม้อยู่ในยานก็ยังรู้สึกได้ การต่อสู้ดำเนินไปเรื่อย ทว่าผู้ที่อยู่ภายในไม่อาจรู้ถึงสถานการณ์ด้านนอกได้ ยิ่งทำให้ร้อนรนกระวนกระวายใมจ เสียงระเบิดดังขึ้นอีกหลายระลอกก่อนเงียบสงบลง

“เจ้าหญิงเสด็จออกมาได้แล้วกระมัง...ถ้ายังทรงชักช้าจะไม่ทันได้ทอดพระเนตรวาระสุดท้ายขององครักษ์ผู้จงรักภักดีนะพระเจ้าค่ะ” วาจาหยาบคายไม่เคารพยำเกรง เสียงหัวเราะร่วนแสดงถึงชัยชนะที่ได้รับ

“อย่าเสด็จออกมาพระเจ้าค่ะ” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดกระตุกให้ทั้งสองรุดออกมาจากยานแทบจะทันที

“พอเสียที โกเนม” เปอร์ซิโฟเน่ตะโกนห้ามอย่างที่ไม่เคยกระทำ สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาคือ ร่างซึ่งโชกไปด้วยเลือด บาดแผลเต็มตัว ร่างองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์นอนเหยียดยาวแน่นิ่ง

“ถ้าไม่หยุดจะทำไมพระเจ้าค่ะ” ปีศาจร้ายข้ารับใช้ของมิคาเอลเหยียดแผ่นอกออกแรงกด กระทืบซำอย่างไร้ความปรานี

“จิลแฟร์” เอริเซียร์จะถลาไปยังร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดนั้น แต่ถูกพระพี่นางรั้งตัวไว้ก่อน

“หม่อมฉันมารับเสด็จ ทรงออกมาข้างนอกนานแล้วนะพระเจ้าค่ะ ถึงเวลาเสด็จกลับเสียที”

“เราจะกลับ แต่เจ้าตอ้งปล่อยคนอื่นไป” เปอร์ซิโฟเน่ต่อรอง

“ฝ่าบาทไม่อยู่ในฐานะที่จะทรงต่อรองได้ แต่วางพระทัยเถอะพระเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่คิดที่จะพาเจ้าพวกนี้กลับไปด้วยอยู่แล้ว...พวกกบฏไม่สมควรได้กลับไปเหยียบแผ่นดินของท่านจ้าว”

“เจ้า!” เปอร์ซิโฟเน่โกรธเกรี้ยว เรียวปากบางเม้มแรงจนบวมเป่ง

“เจ้าพี่ไม่ต้องรับสั่งให้เสียเวลาหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่เคยกลัวตาย หม่อมฉันจะไม่ยอมก้มหัวให้พวกที่ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อน”

โกเนมแสยะยิ้มรับ ดั่งเห็นเป็นคำชม และถ้อยคำเมื่อครู่ยิ่งงส่งให้มันฮึกเหิม

“รับสั่งจบแล้วสินะพระเจ้าค่ะ นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากกระหม่อม เป็นของกำนัลแก่เจ้าหญิงผู้เป็นที่รัก” มันคายวาจาหยาบโลน พร้อมแววตาเล้าโลม

สิ้นเสียง ยานอวกาศก็ระเบิดสนั่น เปลวเพลิงแดงฉานพุ่งขึ้นสู่ฟ้า

“วูรี”

“ต่อไปก็เจ้า...จิลแฟร์” โกเนมเปล่งวาจา พลางถอยออกห่างร่างที่อยู่ใต้อุ้งเท้า แววตาของปีศาจร้ายเปลียนเป็นแดงก่ำ ลำแสงพุ่งปราดออกจากดวงตาคู่นั้น มุ่งไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง ไม่มีแรงขยับ

ทว่า เจ้าตัวหาได้หวาดหวั่นกับมัจจุราชที่กำลังจะกล้ำกรายไม่ นักรบกล้ายังจดจ้องคนชั่วสายตาแน่วแน่ ขบฟันแน่น ผิดหวังที่ตนทำได้เพียงเท่านี้

เสียงระเบิดดังพร้อมกลุ่มควันสีดำและเปลวเพลิงแผดระอุ มองไม่เห็นร่างกำยำของจิลแฟร์ซึ่งน่าจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานแสนสาหัส หรือเป็นเพราะร่างนั้นได้แหลกละเอียดไม่เหลือแม้แต่เศษเนื้อ ราชองครักษ์แกล้วกล้าของพวกนางดับสลายไปแล้วจริงหรือ?

โกเนมหัวเราะร่วนพึงพอใจ แต่ต้องหยุดแทบจะทันทีเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“โกเนม...เรื่องอะไรเจ้ามาวางเพลิงในถิ่นคนอื่นได้หน้าตาเฉย แถมยงแหกปากสร้างความรำคาญจนข้าตื่น เราหรืออุตส่าห์หนีมานอนกลางวันถึงนี่ มิวายมีมารมาผจญ แน่ใจนะว่าเจ้ามีปัญญาชดใช้” เสียงร่ายยาวที่ดังขึ้น กระตุกให้ดวงจิตสิ้นหวังของผู้ถูกล่ามองเห็นแสงสว่าง แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก ท่าทางลนลานสาดสายตาหาต้นตอของเสียงอย่างหวาดระแวง

สิ่งที่พบคือ ชายร่างสูงโปร่ง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีเข้ม สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวโคร่ง มีผ้าพันรอบศีรษะอย่างคนภูเขา ปกปิดใบหน้าไว้มิดชิด แขนข้างหนึ่งประคองร่างโชกเลือดของจิลแฟร์พาดไว้บนไหล่ ท่าทางไม่สะทกสะท้านรับร่างกำยำที่ใหญ่กว่าตนเองอยู่โข

“ใคร? แส่ไม่เข้าเรื่อง” ตะเบ็งสุดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด

“นิสัยเสียไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ มาบ้านท่านเมืองท่านยังทำเบ่ง” คราวนี้ต้นเสียงมาจากอีกฟากหนึ่ง ซึ่งอยู่เยื้องกับซากของยานที่เพิ่งระเบิดไป ร่างกำยำแต่งตัวไม่ต่างจากคนแรก พร้อมกับร่างเล็กๆ ของกัปตันวูรี รวมทั้งเหล่าองครักษ์อื่นก็อยู่พร้อมหน้า

ร่างสูงใหญ่ก้าวมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเจ้าหญิงทั้งสอง ทำความเคารพพลางคลายผ้าที่พันรอบศีรษะออก ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นคุ้นตา

โกเนมเบิกตากว้างตะลึงงัน

“เฮเดรส!” โกเนมร้องเสียงหลง “งะ...งั้น เจ้านั่น...”

“ช่าย” ลากเสียงยาว “ไม่ใช่ใครที่ไหนร้อก ข้าเอง...หนุ่มรูปงาม นามก็เพราะ ยอดบุรุษที่คนอย่างเจ้าไม่เคยเอาชนะได้ทั้งความหล่อเหลาและองอาจแกล้วกล้า”

เฮเดรสส่ายหน้า ระอากับการแสดงตัวเกินจริง ทั้งๆ ที่สถานการณ์ตึงเครียดยังมีหน้ามาทำทะเล้น

“เลิกเล่นเสียทีน่าซีเซล”

เมื่อเฮเดรสว่าอย่างนั้น องครักษ์จอมยียวนจึงหุบปากที่กำลังจะโต้ตอบต่อ พร้อมกับวางจิลแฟร์ที่เริ่มได้สติลงอย่างระมัดระวัง

“เออ...ขะ...ขอบคุณ” มองหน้าคนที่ช่วยชีวิตราวกับฝัน ทั้งสองไม่น่าจะมาถึงนี่ได้

“พะ...พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” น้ำเสียงโกเนมมีแววหวาดตระหนก ช่างแตกต่างจากครั้งที่ตัวเองกำชัยชนะอยู่ในมือ

“คำถามนี้เจ้าควรเป็นผู้ตอบมากกว่านะ นี่มันเขตแดนของท่านจ้าวโดเรียสถึงจะไม่ใช่ศูนย์กลางคาคูด้า แต่ใช่ว่าเจ้าจะมาทำอะไรตามอำเภอใจได้” ปลายเสียงกังวานมีอำนาจของเฮเดรสทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้ง แต่ยังคงมีศักดิ์ศรีของนักรบ

“ข้าเพยงแต่มาตามเจ้าหญิงกลับเท่านั้น” ตอบเสียงกระชับ

“แต่ข้าว่าเจ้าหญิงคงไม่ต้องการกลับไปพร้อมเจ้าหรอกมั้ง” ซีเซลพูดราบเรียบ แต่แฝงวัตถุประสงค์

“แสดงว่าพวกเจ้าจะขัดขวาง” โกเนมกระแทกเสียง หัวเสีย

“เปล๊า...ถ้าทั้งสองพระองค์มีพระประสงค์จะตามเจ้ากลับไป พวกข้าก็ไม่คิดจะขัดขวาง” ยกมือทั้งสองขึ้นทำท่าปฏิเสธ น้ำเสียงยั่วโมโหตามแบบฉบับซีเซล

“องค์ราชินีไม่สามารถตัดสินพระทัยเอง ท่านจ้าวมิคาเอลให้เสด็จกลับก็ต้องกลับ ใครขัดขวางตาย” น้ำเสียงมั่นใจขึ้น เมื่อเอ่ยอ้างนามเจ้าเหนือหัว

“เจ้าพี่ไม่ใช่ทาสที่ต้องคอยทำตามความต้องการของมิคาเอล” เอริเซียร์แก้ต่างดั่งเกรงว่าจะถูกทั้งคู่ทอดทิ้ง “และที่สำคัญ เจ้าพี่ก็ไม่ใช่ราชินีของมิคาเอลด้วย”

เน้นดั่งจะเอ่ยว่าเปอร์ซิโฟเน่ยังเป็นของท่านจ้าวโดเรียส

“ได้ยินแล้วใช่ไหมโกเนม ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่เจ้าต้องการนะ จะกลับเองหรือให้ส่งกลับดีล่ะ” ซีเซลข่มเล็กน้อย ยืนจังก้ากอดอกคุมเชิงอยู่ห่างๆ หากแต่จ้องโกเนมเขม็ง

“พะ...พวกเจ้าคิดว่าทำถูกแล้วสินะ ท่านจ้าวไม่ทรงปล่อยให้เรื่องจบลงแค่นี้แน่ คาคูด้าต้องโดนทำลายล้าง รวมทั้งท่านจ้าวของพวกแกด้วย เตรียมใจเอาไว้เถอะ” เค้นเสียงข่มขู่

“ไอ้นี่! วอนหาเรื่องไม่ได้กลับแล้วไหมล่ะ” ซีเซลชักจะฉุนขาด เดินเข้าหา ทำเอาโกเนมดีดตัวลอยออกห่าง หยุดอยู่กลางอากาศ มองกลับมาด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะหายไปพร้อมกับความเวิ้งว้างของห้วงอวกาศ

โกเนมรู้ดีว่าเมื่อไรควรสู้ เมื่อไรควรหลบ ตัวเองตอนนี้ไม่ใช่คู่มือของทั้งสองเป็นแน่

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ” ซีเซลที่เพิ่งจะก้าวเข้ามา โค้งคำนับเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์

“ขอบใจท่านทั้งสองมากที่มาช่วยพวกเราไว้ได้ทัน เราไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี” เปอร์ซิโฟเน่เอ่ยอ่อนโยน

“นั่นเป็นหน้าที่ที่พวกเกล้ากระหม่อมต้องกระทำอยู่แล้ว” เฮเดรสตอบราบเรียบ

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรเฮเดรส” เอริเซียร์ถามเสียงแข็ง เพราะน้ำเสียงของเฮเดรสคิดได้สองแง่

“ท่านจ้าวโดเรียสคงจะดีพระทัยที่พวกเกล้ากระหม่อมทำเช่นนี้”

“เจ้าพูดราวกับว่า ท่านจ้าวทรงทราบว่าพวกเราจะมา เลยให้พวกเจ้ามารอรับ”

“เปล่าเลยพระเจ้าค่ะ ท่านจ้าวไม่ทรงทราบล่วงหน้า และไม่ได้มีการเตรียมการใดๆ ด้วย นี่คงเป็นเหตุบังเอิญที่องค์มหาเทพทรงมีพระบัญชาลงมากระมังพระเจ้าค่ะ” เฮเดรสยังคงเอ่ยในสิ่งที่ทั้งสองไม่เข้าใจ ซีเซลเองก็ไม่อาจตีความหมายสิ่งที่คู่หูทำได้ด้วยเช่นกัน

ไม่มีใครเข้าใจว่าเฮเดรสรู้สึกเช่นไร เพราะเจ้าตัวเองก็ใช่จะเข้าใจหรือรู้ว่าทำไมต้องกล่าวเช่นนั้น การที่เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่มาที่นี่เป็นสิ่งที่ท่านจ้าวต้องการ เจ้าเหนือหัวของพวกตนจะพบสิ่งที่พยาบาลไขว่คว้ามาตลอด จะได้อยู่กับเจ้าของดวงหฤทัยซึ่งต้องการกันมานานแสนนาน ทั้งๆ ที่น่าจะดีใจ แต่ทำไมรู้สึกโหวงแหวงหวาดกลัว ความรู้สึกหม่นหมองนี้คืออะไร?

“แล้วเจ้าจะทำยังไงกับพวกเรา...ไม่น่าถาม คงต้องจับไปเป็นเชลยสินะ” เอริเซียร์ประชดประชัน เปอร์ซิโฟเน่เองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ทั้งคู่ยังให้ความรู้สึกเหินห่างได้ปานนี้ แล้วโดเรียสล่ะ คนรักของนางจะรู้สึกเช่นไร จะยินดีหรือคิดว่านางเป็นภาระกันแน่

“คงต้องให้ประทับที่นารายก่อน...” ยังไม่ทันที่เฮเดรสจะเอ่ยจบ

“พวกลี้ภัยอย่างพวกเรากับนารายก็เหมาะสมกันดีนี่ พวกเรามาแต่ตัว ไม่มีสมบัติพัสถานอะไรไปแลกเปลี่ยน...คงต้องโดนตีตราเป็นพวกโซเซียลเลสด้วยสิคะ” เอริเซียร์พูดแดกดัน ไม่พอใจท่าทางเหินห่างขององครักษ์หนุ่ม ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายยังคงเฉยไม่ตอบโต้

“ประทับที่หน้าผากเลยซี้! จะได้รู้ไปเลยว่า นี่คือพวกหนีตายมาพึ่งใบบุญขององค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้า”

“เอริเซียร์!” เปอร์ซิโฟเน่ปรามขนิษฐา ตัดบทอย่างอ่อนใจว่า “เราคงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว ไว้ถ้ามีโอกาสคงได้ตอบแทน”

“การจะเข้าไปยังคาคูด้าต้องมีรับสั่งจากท่านจ้าวโดเรียส มิใช่ว่าพวกเกล้ากระหม่อมเห็นทั้งสองพระองค์เป็นเช่นที่รับสั่ง” ถ้อยคำของเฮเดรสยิ่งทำให้เอริเซียร์ไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม สะบัดหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้













 

Create Date : 09 ตุลาคม 2552
0 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2552 21:22:27 น.
Counter : 588 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.