<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
10 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 10

greenteagreentea


10.-



หลังจากที่กาเซียร์หลับไปแล้ว อานู นียาก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ทั้งสองนั่งคิดทบทวนเรืองราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น คิดแล้วคิดอีก แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ประหนึ่งว่าตกลงไปในก้นเหวที่เป็นเขาวงกต พยายามเท่าใดก็หาพบทางออกไม่

“กาเซียร์หลับหรือยัง?”

ภายในความเงียบ เสียงทุ้มต่ำกระชากจิตใจที่ล่องลอยของอานู นียากลับมา

“เพคะ”

“พวกเจ้าไปพักได้แล้ว”

ม่านบางพลิ้วไหวยามสายลมเฉื่อยพัดผ่าน แสงจันทร์เพ็ญสาดกระทบร่างบางที่ซุกซบอยู่ภายใต้ผ้านวมอุ่น ดวงตาคมสะท้อนแววสับสน...ภาพที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้คือ...วงหน้าหวานหยดย้อยด้วยความไร้เดียงสา ซึ่งเป็นภาพเดิมๆ ที่นัยน์ตาคู่นี้คุ้นเคยและสามารถสะกดใจให้ลืมความตรอมตรมในอดีตได้แค่เพียงปราดแรกที่สัมผัส

ทว่าเวลานี้กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย รังแต่จะเพิ่มความหม่นหมองให้ทวีขึ้น

“กาเซียร์” เสียงนั้นเพียงรำพึง ความรู้สึกสับสนดำดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความมืดมน

‘เวลานี้เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ประทับที่นาราย’ เสียงซีเซลรายงานยังก้องอยู่ในหัว ‘เจ้าหญิงขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท’ ถ้อยคำยังกระชับ

‘ขอเข้าพบเรา...ว่าที่ราชินีแห่งสหพันธ์ขอเข้าพบเรา...ไม่ตลกไปหน่อยรึ’ ประชดอย่างไม่รู้จะกล่าวอะไรให้ดีไปกว่านี้ แต่ถ้อยคำนั้นทำเอาองครักษ์ทั้งสองนิ่งไปทันที โดยเฉพาะเฮเดรสซึ่งผิดหวังกับคำกล่าว เจ้าชีวิตปั้นหน้าเครียดดั่งกลัดกลุ้มหนักหนา ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ขุ่นเคืองให้ทวีขึ้น...ทั้งที่น่าจะยิ้มแย้มกับการจะได้พบคนรักซึ่งเฝ้าถวิลหา...ทำไมต้องแกล้งทำเป็นหนักใจ? ทำไปเพื่ออะไร?

‘รับสั่งเช่นนั้น แสดงว่าฝ่าบาทจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สินะพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมนึกว่าจะทรงรีบรุดไปพบนางในดวงหทัยเสียอีก...ไม่อยากเชื่อว่าทรงคิดเช่นนั้น’

โดเรียสเจ็บปวดยิ่งนักกับถ้อยคำเสียดแทง แต่จะทำการใดได้เล่า เพราะสิ่งที่เฮเดรสประชดประชันนั้นเป็นความจริง พระองค์อยากพบเปอร์ซิโฟเน่แทบขาดใจ อยากไปหานางถึงนารายในนาทีนี้ วินาทีนี้ แทบจะทนรอไม่ไหว และจะมีหน้าไปแย้งอะไรได้

ท่าทางเจ็บปวดอ้ำอึ้งของเจ้าเหนือหัว ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟที่สุมอยู่ในอกของเฮเดรสให้ลุกโชนขึ้นอีกระลอก

‘จะมัวลังเลอะไรอยู่อีกล่ะพระเจ้าค่ะ ทรงรอโอกาสนี้มานาน จะรับสั่งเช่นนั้นออกมาเพื่ออะไร!’ ระเบิดเสียงใส่เจ้าเหนือหัวแทบจะทันที

‘ใช่!’ ในเมื่อเฮเดรสยังไม่หยุดใช้ถ้อยคำเสียดแทงจิตใจ โดเรียสเองก็ฉุนขาดเหมือนกัน และไม่พอใจที่มีใครมาต้อนให้จนมุม ‘แล้วไง? พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว...ยังจะมาถามอีกทำไม!’ กระแทกเสียงดั่งจะให้เฮเดรสเจ็บปวด แต่ไยเวลานี้หัวใจกลับรวดร้าวเสียเอง

‘ทำไมทรงเจ็บแล้วไม่รู้จักจำ! จะทรงดันทุรังไปเพื่ออะไร’ ยิ่งพูดยิ่งโมโห สิ่งในใจพรั่งพรูออกมา ‘ทรงตั้งกฎขึ้นเอง แม้จะมีคนไม่เห็นชอบก็ไม่ทรงรับฟัง ทรงห้ามไม่ให้ใครเข้ามายังคาคูด้า นี่เป็นกฎเหล็กที่ถือปฏิบัติกันมานาน แต่ตอนนี้กลัย...’

‘เจ้าชอบว่าเราอยู่แล้วไม่ใช่หรือ’ ไม่ปล่อยให้เฮเดรสพูดต่อ ‘เรื่องที่เราทุ่มเททุกอย่างเพื่อเปอร์ซิโฟเน่ ยอมทำทุกอย่างเพื่อนาง แม้จะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างก็ยอม แล้วตอนนี้เรากำลังจะทำทุกอย่างเพื่อนางอีก...แค่ทำลายกฎเก่าๆ ที่เจ้าว่า...มันน้อยไปด้วยซ้ำ’

น้ำเสียงตอนท้ายกระทกโกรธเคือง ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายจนซีเซลหาช่องว่างเข้าไปแทรกไม่ได้เลย

‘เจ้าได้ยินไหม เราจะทำมันอีก และรู้ไว้ด้วยว่าจะไม่มีไอ้หน้าไหนมาห้ามเราได้...รวมทั้งพวกเจ้าด้วย!’

‘ใครจะบังอาจห้ามฝ่าบาท’ เฮเดรสเค้นเสียงประชด ‘ถ้าทรงคิดเช่นนั้นจริง ก็ทรงวางพระทัยเถอะพระเจ้าค่ะ เพราะเกล้ากระหม่อมให้คนของเราเดินทางไปรับเจ้าหญิงเพื่อลี้ภัยยังคาคูด้าอย่างสมพระเกียรติ...ให้สมกับที่ทรงเป็นถึงคนรักของจักรพรรดิแห่งค้าคูด้า หรือว่าทำขนาดนี้แล้วยังหาว่าช้าไปอีก เห็นทีต้องเสด็จด้วยองค์เองกระมัง’ กระแสเสียงสุดท้ายแฝงความน้อยใจ หวังให้เจ้าเหนือหัวเข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการสื่อ

โดเรียสยังคงจ้องหน้าเฮเดรสแน่นิ่ง แววตากระด้างดื้อรั้นอย่างที่เคยเป็น มิได้หลุดถ้อยคำใดๆ ท่าทางเช่นนั้นบ่งบอกว่าไม่ได้เข้าใจเลย ในเมื่อเจ้าเหนือหัวยังคงดื้อรั้น เฮเดรสก็จำต้องพูดสิ่งที่ทำให้วงพักตร์เย่อหยิ่งนั้นแสดงความรู้สึกออกมาให้หมด

‘แต่ถ้าจะเสด็จไปนารายจริงๆ เห็นทีต้องเสด็จองค์เดียวกระมัง เพราะถ้าขืนเสด็จโดยมีทูลกระหม่อมกาเซียร์คอยเป็นภาระ คงไม่ดีแน่ เพราะจะยิ่งทำให้ทรงพบคนรักช้าไปอีก ทรงทิ้งไปซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ ถึงจะเร็วไปหน่อย แต่ในไม่ช้าก็ต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือพระเจ้าค่ะ!’

‘เฮเดรส! จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา เจ้าเงียบไปเลย!’

ซีเซลเห็นว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะถ้าปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ ถึงเฮเดรสจะเป็นคนสุขุม แต่ถ้าโกรธขึ้นมาก็ระเบิดอารมณ์ไม่ยั้งเหมือนกัน

คำพูดของแต่ละฝ่ายเป็นเพียงการประชดประชัน หาได้ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเจ็บปวด แต่เพราะไม่รู้จะถ่ายทอดออกมาเช่นไร เลยกลายเป็นใบมีดที่คอยกรีดใจซึ่งกันและกัน เหมือนมีกำแพงเหล็กมากั้นความรู้สึกจนไม่อาจแลผ่านเข้าไปสัมผัสให้ลึกถึงจิตใจของอีกฝ่าย

สายตาสะท้อนภาพร่างบางที่ยังซุกซบอยู่กับผ้านวมอุ่น ใบหน้าคมบ่งชัดถึงความสับสนในใจ เอื้อมมือแตะหน้าผากหญิงสาว เกลี่ยนิ้วไล้เส้นผมดั่งจะส่งความรู้สึกเอื้ออาทรขับกล่อมให้ฝันดี

“กาเซียร์ พี่จะทำอย่างไรดี? เจ้าจะให้พี่จัดการกับเรื่องนี้ยังไง? บอกพี่ที...”



อากาศพลบค่ำค่อยคลายความระอุอ้าว ความเย็นหลั่งไกลแทนที่ จันทร์ข้างแรมสาดแสงผ่านหน้าต่างบานเล็กกระทบร่างบางบนเก้าอี้ไม่สักทองฉลุลายเล็กๆ เจ้าของร่างถอนหายใจหลายต่อหลายครั้ง ริมฝีปากยกเหยียดนั้นดูเย่อหยิ่ง รับกับดวงตาดำระยับใต้กรอบคิ้วซึ่งขมวดเล็กน้อย เพราะกำลังจับจ้องท่าทีของพี่นางที่อยู่บนเตียงนอนกลางห้อง

“เจ้าพี่...ทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ?” เอริเซียร์เห็นว่าสมควรทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้

“พี่ไม่สบายใจเลยเอริเซียร์” เสียงตอบบ่งชัดถึงอารมณ์

เอริเซียร์เคลื่อนกายจากที่เดิม มาหยุดอยู่ใกล้อีกฝ่าย แตะแขนเรียวปลอบ

“พี่สงสารประชาชนที่ต้องมาแออัดอยู่ที่นี่ ทั้งที่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาน่าจะดีกว่านี้ เพราะสงครามทำให้ผู้คนต้องเดือดร้อน พี่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่ยังไม่รู้อยู่ตลอดเวลา” หัวใจดำดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความมืดมน

“ทำไมเจ้าพี่ต้องโทษองค์เองด้วยเพคะ เรื่องทั้งหมดใช่ว่าเป็นความผิดของเจ้าพี่” สบตาพี่นางดั่งจะสะกดให้คล้อยตาม

“เรายังไม่สิ้นหนทาง เรายังมีนาบูบ้านเกิดเมืองนอน ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ เจ้าพี่เอสทีเซียร์ จะต้องช่วยกอบกู้สหพันธ์และนำความสงบสุขคืนแก่ประชาชนของเราได้แน่เพคะ” พยายามจะปลอบประโลมแต่สีหน้าพี่นางมิได้ดูดีขึ้นเลย แววตายังคงว่างเปล่า

“พี่อาจตัดสินใจผิดก็ได้ที่หนีออกมา ป่านนี้มิคาเอลอาจให้ทหารบุกทำลายล้างนาบูแล้วก็เป็นได้ ประชาชนจะต้องเดือดร้อนอีกเท่าไหร่ ความเดือดร้อนที่เกิดจากตัวพี่...”

“แล้วที่เป็นอยู่ล่ะเพคะ? ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขแล้วหรือ มันจะต่างอะไรกันมากมาย เจ้าพี่ทรงคิดว่ามิคาเอลยังจะเกรงพระทัยอยู่อีกหรือเพคะ”

“พี่ไม่รู้...พี่สับสนไปหมด กลัวว่าสิ่งที่ทำอยู่จะเป็นสิ่งผิด ที่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว...เอริเซียร์พี่จะทำอย่างไรดี พี่จะทำอย่างไรกับชีวิตนี้ดี” ถ้อยรำพึงมืดมน ท้อแท้และสิ้นหวัง

“เจ้าพี่อย่าทรงสิ้นหวังสิเพคะ ในสถานการณ์ตอนนี้เราต้องอยู่ที่นี่ก่อน ถ้ามีโอกาสเราค่อยกลับไปยังนาบู เราต้องหาใครสักคนเพื่อช่วยเหลือเรา และคนคนนั้นก็คือท่านจ้าวโดเรียส เราต้องการความช่วยเหลือจากคนที่มีอำนาจอย่างท่านจ้าวโดเรียสนะเพคะ และมีแต่เจ้าพี่เท่านั้นที่จะทูลขอความช่วยเหลือนั้นได้”

“ท่านจ้าวจะให้พี่เข้าเฝ้าหรือเปล่ายังไม่รู้เลย พี่อาจไม่มีแม้โอกาส...อาจจะยังทรงกริ้วพี่ เรื่องที่พี่เคยกระทำกับพระองค์”

“ทรงกริ้วเจ้าพี่เรื่องอะไรเพคะ? ถ้าเป็นเรื่องที่เจ้าพี่ต้องตัดสินพระทัยอยู่กับมิคาเอล นั่นก็เป็นเพราะท่านจ้าวโดเรียสไม่ยอมต่อสู้เสียตั้งแต่ตอนแรก ถ้าจะหาคนผิดก็คงผิดคนละครึ่งละเพคะ” กระแสเสียงเห็นใจพี่นาง และต้องการต่อว่าท่านจ้าวโดเรียสที่ไม่มีความทะเยอทะยานจนต้องเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดเช่นทุกวันนี้

มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ขัดการสนทนาที่กำลังตึงเครียด

“เข้ามา” เจ้าหญิงเอริเซียร์อนุญาต

ประตูไม้ค่อยๆ เลื่อนเปิด ผู้ก้าวเข้ามาคือหญิงสาวสองนาง หน้าตาจิ้มลิ้ม อายุอานามคงไล่เลี่ยกับเจ้าหญิงเอริเซียร์ แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวผ้ามัน ตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้เน้นความอ่อนหวานเข้ากับผู้สวมใส่

“ถวายพระพรเพคะ” ทั้งสองหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า ย่อตัวลงคำนับ ท่าทางพินอบพิเทาอย่างได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี

“นุรี นุดา มีอะไรหรือจ๊ะ?” เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ถาม พลางยิ้มอ่อนโยนให้อย่างเป็นกันเอง เพราะทั้งคู่เป็นบุตรีฝาแฝดของท่านเบล เจ้าของคฤหาสน์ที่นางมาอาศัยอยู่ในตอนนี้

นุรีผู้น้องเป็นสาวเปรี้ยวแต่งกายโทนสีเข้ม แต่งหน้าจัดจ้าน งามยั่วยวน อีกทั้งท่าทางกระฉับกระเฉง ส่วนนุดาผู้ที่แต่งกายด้วยโทนสีเย็นตา แต่งหน้าเพียงบางๆ ทั้งสองงดงามหากแต่ดูแตกต่างกัน นุรีงามเฉิดฉาย ร้อนแรงดุจดวงตะวัน ส่วนนุดางามอ่อนหวาน หากแต่ตราตรึงราวพระจันทร์เพ็ญ

“ท่านพ่อให้มาทูลว่า ทางท่านจ้าวโดเรียสประทานอนุญาตให้เจ้าหญิงทั้งสองเสด็จลี้ภัยยังคาคูด้าได้แล้ว เวลานี้ยานที่จะนำเสด็จรออยู่ด้านนอก พร้อมที่จะนำเสด็จสู่ศูนย์กลางคาคูด้าในทันทีเพคะ” ถ้อยคำที่หลุดจากริมฝีปากเรียวบางของนุรีเหมือนน้ำทิพย์รินรดลงบนหัวใจที่แห้งผาก เป็นดั่งแสงทิวาสารให้ความสว่างแก่จิตใจที่มืดมน

“เอริเซียร์” หลุดปากได้เพียงเท่านั้น นิ้วเรียวรวบมือขนิษฐาเกาะกุมไว้มั่นดั่งหาที่ยึดเหนี่ยว รอยยิ้มที่ปรากฏแสดงถึงหัวใจที่สว่างไสว นัยน์ตาสดใสสุกปลั่ง ดุจหัวใจล่องลอยไกลสู่คาคูด้า



“เจ้าพวกโง่! แค่ผู้หญิงคนเดียวยังปล่อยให้หนีไปได้”

มิคาเอลตะเบ็งเสียงอย่างสุดกลั้น ทำเอาทหารสองนายที่เฝ้าประตูหน้าตำหนัก เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าถึงกับสะดุ้งโหยง ก้มศีรษะแทบเท้า หวาดกลัวตัวสั่นงันงก ปากก็พร่ำคำสำนึกผิดดั่งจะอ้อนวอนขอประทานอภัยโทษ

“เกล้ากระหม่อมผิดไปแล้วพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมสมควรตาย...ขอทรงอภัยด้วย ขอทรงประทานอภัยด้วย”

“งั้นก็จังตายซะ!” หาได้ผลไม่ กลับยิ่งทำให้โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม

ทหารดวงดับทั้งคู่สบตาประกายครามด้วยความหวาดสะพรึง ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวดั่งกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดทรมาน

“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ก่อนที่ร่างทั้งสองจะระเบิดรุนแรงจากภายใน ทิ้งไว้เพียงชิ้นเนื้อและเลือดสดๆ ที่กระจายนองพื้นหินอ่อนสีหยกของท้องพระโรง

กลิ่นคาวคลุ้งตลบ ชวนให้คลื่นเหียนจนบางคนต้องเบือนหน้าหนี หากแต่ดวงตารัศมีครามกลับจ้องมองอย่างสมใจยืนยิ่งอยู่เป็นนาน มือทั้งคู่กำแน่นทิ้งไว้ข้างกาย อารมณ์คับแค้นประดังเข้ากัดกินหัวใจแน่นหนา และกำลังจะปะทุอออกมาอีกครั้ง

“อย่างทรงกริ้วไปเลยพระเจ้าค่ะ ยังไงเสียโกเนมก็ตามไปแล้ว...คงได้ข่าวคืนหน้าอะไรมาบ้าง”

องครักษ์ร่างสูงใหญ่เอ่ย ผิวสีเข้ม ใบหน้านิ่งเฉย แววตาเหมือนสัตว์ป่าแผลเป็นใหญ่ที่ลากยาวตั้งแต่หางคิ้วเฉียงลงจรดปลายคางยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูน่ากลัวสายตามุ่งมั่นสุขุมที่สบตาพลอยทำให้เจ้าเหนือระงับอารมณ์ลงได้บ้าง

องครักษ์ร่างสูงใหญ่เอ่ย ผิวสีเข้ม ใบหน้านิ่งเฉย แววตาเหมือนสัตว์ป่า แผลเป็นใหญ่ที่ลากยาวตั้งแต่หางคิ้วเฉียงลงจรดปลายคางยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูน่ากลัว สายตามุ่งมั่นสุขุมที่สบตาพลอยทำให้เจ้าเหนือหัวระบับอารมณ์ลงได้บ้าง

“ขณะนี้เรายึดดวงดาวในอาณัติของนาบูได้ส่วนหนึ่งแล้ว พวกนั้นคงกำลังระส่ำระสาย ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ก็ทรงได้รับบาดเจ็บ อีกไม่นานนาบูต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่าบาทอย่างแน่นอนเพคะ”

คำกล่าวสนับสนุนหลุดจากริมฝีปากโค้งเรียวดุจคันธนูของเมดูซ่า ราชองครักษ์อีกคนของมิคาเอล ถึงนางจะเป็นหญิงแต่ความสามารถในการรบมิได้ด้อยไปกว่าชาย และยังได้ชื่อว่าเป็นนางอสรพิษแห่งคาออส แววตาเย่อหยิ่งคมดุนั้นดึงดูดให้เข้าหา หากแฝงด้วยพิษร้ายซึ่งพร้อมจะคร่าชีวิตผู้หลงใหลความงามได้ในเศษเสี้ยวลมหายใจ

“อีกไม่นานเราน่าจะเข้าถึงตัวท่านจ้าวลูซิเฟอร์ ถ้าจัดการกับผู้นำได้ พวกที่เหลือก็ไม่น่ามีปัญหา...ถ้านาบูตกอยู่ในอำนาจของเรา พวกกลุ่มต่อต้านอื่นๆ คงไม่กล้าแข็งข้อเป็นแน่พระเจ้าค่ะ” โกดอน องครักษ์หน้าผีกล่าวถึงเรื่องราวที่น่าจะทำให้ใจที่คุกรุ่นเย็นลงได้ไม่ยาก

“เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่จะเสด็จหนีไปไหนได้อีกเพคะ”

“มันก็ไม่แน่หรอกเมดูซ่า” เจ้าของเสียงปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู ก่อนจะย่างกรายเข้ามาภายใน

“เจ้าหมายความว่ายังไงโกเนม” เมดูซ่าถามสงสัย...คงกำลังหาข้อแก้ตัวละสิ นางคิดเช่นนั้น แววตาที่มองโกเนส่อแววสมเพช

“ตอนนี้ตัวปัญหาปรากฏขึ้นแล้วน่ะสิ”

เมดูซ่าขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมาย แต่เห็นว่าไม่เหมาะที่จะถามตอนนี้ เพราะโกเนมหันไปทางเจ้าเหนือหัว โน้มกายลงต่ำรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ตอนนี้เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่เสด็จเข้าไปในเขตแดนของคาคูด้าแล้วพระเจ้าค่ะ” รายงานอย่างระมัดระวัง สายตาบ่งบอกถึงความกังวลในใจ

“ทำไมต้องกระเสือกกระสนไปหามัน หนีไปหามันทำไม!” ตะเบ็งเสียงขัดใจยิ่ง กำมือแน่น ขบฟันจนกรามนูนเป็นสัน เกรี้ยวกราดจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม ทั้งๆ ที่พอจะเดาเหตุการณ์ได้อยู่แล้ว แต่ไม่วายแค้นใจ ป่านนี้คงปลอบใจกันยกใหญ่ ยิ่งคิดยิ่งเคือง

“แล้วเจ้าก็พานางกลับมาไม่ได้...ไร้ความสามารถสิ้นดี” เมดูซ่าต่อว่า น้ำเสียงเย้ยหยัน สายตาดูแคลน

“กะ...ก็เพราะโดนพวกซีเซล เฮเดรสมาขวางเอาไว้ก่อนน่ะสิ” รีบรายงานสาเหตุละล่ำละลัก สายตาที่หวาดหวั่นจับจ้องไปยังเจ้าเหนือหัว รอดดูท่าที แต่ฝ่ายนั้นยังคงนั่งนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ดั่งกำลังใคร่ครวญคิดการใหญ่ พวกองครักษ์เองก็พอจะคาดเดากันได้

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าหญิงเสด็จไปถึงศูนย์กลางของคาคูด้าอย่างนั้นน่ะหรือ? ไม่ตลกไปหน่อยหรือโกเนม เจ้าหญิงเสด็จด้วยยานขนส่งธรรม ไม่มีทางไปถึงคาคูด้าได้ในเวลาเพียงไม่กี่ราตรี” เมดูซ่าจ้องจับผิด

“ข้าบอกเจ้าหรือไงว่าเจ้าหญิงเสด็จถึงศูนย์กลางคาคูด้า” ตะคอก...เหยียดมองอย่างต่ำหนิ ก่อนเบือนหน้าไปทางเจ้าเหนือหัว “เสด็จไปถึงเขตเชื่อมต่อ ยังไม่เข้าเขตแดนของนารายด้วยซ้ำพระเจ้าค่ะ”

“น่าแปลก? พวกนั้นออกมาถึงที่นั่นทำไม? ที่ชายแดนเช่นนั้น” โกดอนยืนกอดอก สีหน้าครุ่นคิด

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจมีการเตรียมการไว้แล้ว แต่จะว่าไปก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก เพราะเจ้าสองตัวนั่นมันมีพลังเคลื่อนย้ายสสาร สามารถย่นระยะเวลาในการเดินทางได้มากกว่าครึ่ง ตรงนี้กระมังที่พวกมันดูแตกต่างกับพวกเรา” โกเนมตั้งสมมุติฐานเท่าที่รู้มา

ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะได้ปรึกษากันต่อ

“เปอร์ซิโฟเน่! เจ้ากล้าทำกับข้าถึงขนาดนี้ นับแต่นี้ไป ข้าก็ไม่เห็นเหตุต้องไว้หน้าเจ้า...โกเนม ทั่งการลงไป ยกกำลังพลไปล้างเผ่าพันธุ์นาบูให้หมด อย่าให้เหลือรอดแม้มดสักตัว

“พระเจ้าค่ะ” สนองคำสั่งแทบจะทันที เพราะตนก็คับแค้นใจเป็นทุนอยู่แล้ว กำลังหาที่ระบายความร้อนซึ่งสุมอยู่ในอก โค้งคำนับเตตรียมถอยออกไปทำตามบัญชา เรื่องทำลายล้างเผ่าพันธุ์ โกเนมถนัดที่สุดอยู่แล้ว

“ไม่ได้นะพระเจ้าค่ะ” โกดอนทัดทาน เข้าขวางโกเนมไว้ได้ทัน

“เจ้าจะขัดใจเราหรือโกดอน” ตวัดมองโกดอน ยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก

“มิบังอาจพระเจ้าค่ะ แต่เกล้ากระหม่อมทำเพื่อฝ่าบาท”

โน้มตัวคำตับ หยุดรอดูท่าทีเจ้าเหนือหัว

“ทรงทำเช่นนั้นได้เลยพระเจ้าค่ะ ถ้าทรงหมดรักเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่แล้ว”

คำพูดที่เตือนสติของโกดอนช่วยระบายความร้อนในอกไปได้มาก แต่ก็ยังขัดใจเบือนหน้าหนี โกดอนหน่วงเวลาไว้ หวังให้ตรึกตรองให้ดี แล้วก็ไม่ผิดหวัง มิคาเอลเข้าใจในความหมายของเขา

ในตอนนี้การถล่มนาบูเป็นเรื่องง่าย แต่หากทำเช่นนั้นประตูหัวใจของเปอร์ซิโฟเน่คงถูกปิดตายด้วยเช่นกัน จะมีหญิงใดเล่าที่จะมอบความรักให้กับชายผู้พรากทุกสิ่งในชีวิตไปจากตน

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปชิงตัวเจ้าหญิงกลับมาดีกว่าไหมเพคะ?” เมดูซ่าถาม

“เมดูซ่า...เจ้าหัดคิดเสียบ้าง ป่านนี้เจ้าหญิงคงจะเสด็จไปถึงนารายแล้ว ถ้าท่าน้าวทรงบุกเข้าไปจริง ก็เท่ากับว่าทรงผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับท่านจ้าวเมฟาตีส ไม่เป็นการดีแน่ที่จะกระทำเช่นนั้น”

โกดอนกล่าวถึงจักรพรรดิองค์ก่อนซึ่งมีอำนาจสูงสุด ที่หลับใหลมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จึงได้มอบอำนาจปกครองทั้งหมดให้แก่มิคาเอลซึ่งเป็นรัชทายาท แต่มิคาเอลโหดเหี้ยมบ้าอำนาจไม่เคยเพียงพอ ต้องการขยายอาณาเขตประกาศศักดาของตน แสวงหาสงคราม ประชาชนเดือดร้อน อดอยากยากไร้ หากจำต้องทนทุกข์อยู่เช่นนั้นด้วยไม่มีทางเลือก ทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นว่าความระกำนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ทนต่อภัยพิบัติที่เกิดกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ จึงประกาศแยกดินแดนตั้งเป็นอาณาจักรนาบู หวังพึ่งใบบุญเพื่อให้รอดพ้นการไล่ล่าของสหพันธ์เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ท่านจ้าวมิคาเอลไม่พอใจ ตอนแรกเป็นแค่ความขัดแย้งซึ่งเกิดจากอุดมการณ์ไม่ตรงกัน แต่เมื่อหนักเข้าก็ถึงขั้นแตกหัก กลายเป็นสงครามภายในระหว่างพี่น้อง จนลุกลามใหญ่โตดั่งที่เกิดขึ้นในเพลานี้

ส่วนเจ้าหญิงแห่งนาบู เวลานี้อยู่ที่นารายโดยการช่วยเหลือของซีเซล เฮเดรสทั้งคู่พามาพำนักที่คฤหาสน์โอ่อ่ากลางเมือง ซึ่งท่านเบล...เจ้าของคฤหาสน์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นข้าราชบริพารในพระนางมาเรีย พระมารดาของท่านจ้าวโดเรียส จึงเป็นคนรู้จักของทั้งคู่ และพอฝากฝังให้ช่วยดูแลเจ้าหญิงทั้งสองได้เป็นอย่างดี






greenteagreentea






Create Date : 10 ตุลาคม 2552
Last Update : 11 ตุลาคม 2552 10:09:26 น. 0 comments
Counter : 547 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.