<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 มกราคม 2550
 
All Blogs
 

แฟนฟิค รัตนมณีแห่งดวงดาว VS วีรบุรุษจอมจักรวาล บทที่ 3

ทางฝ่ายอาซิคาลอส…ระหว่างการเดินทางผจญภัยผ่านมิติพิสดารในห้วงจักรวาล ราชวัลลภคนหนึ่งคือ ลีอุส ได้รับพิษจากหินประหลาดลมป่วย และการที่ลีอุสได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากช่วยเหลือไอบิรินกลับยาน นางจึงสื่อจิตขอความช่วยเหลือจาก ‘ท่านผู้เฒ่า’

ซึ่งครั้งหนึ่งไอบิรินเคยเข้าสู่ดินแดนที่เรียกว่าโอเมรอส ที่ถูกเรียกว่ามิติคู่ขนานแดนแห่งเทพเจ้า ในครั้งนั้นนางได้พบกับเจ้าหญิงเฮร่าและได้รับความเอ็นดูจากพระนางถึงขั้นรับเป็นน้องบุญธรรม เจ้าหญิงเฮร่าส่งนักบวชชุดขาว ซึ่งต่อมาไอบิรินเรียกว่า ‘ท่านผู้เฒ่า’ คอยสื่อจิตช่วยเหลือให้คำแนะนำเมื่อเธอมีปัญหา

การติดต่อกับท่านผู้เฒ่าทำให้ได้รับคำแนะนำว่า มีสิ่งเดียวที่สามารถดูดพิษจากหินนั้นได้ คือของวิเศษที่เรียกว่า น้ำตาพระจันทร์ สิ่งวิเศษแห่งคาออส…และนั่นทำให้อาซิคาลอสนึกถึงองค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้า… สหายเก่าที่น่าจะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้…ทั้งหมดจึงออกเดินทางสู่สหพันธ์แห่งดวงดาวคาออส

ประจวบกับ….จุดหมาย…อยู่ในช่วงงานฉลองอิสรภาพของพวกทาสและปลอบขวัญทำพิธีปัดเป่าปลอบประโลบจิตใจผู้คน และที่สำคัญคืองานแต่งงานขององค์จักรพรรดิทั้งสามแห่งคาออสกับเหล่าสาวงาม…

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์… ถูกตกแต่งด้วยสีขาวและฟ้า ประแซมด้วยสีชมพูสดใส แสงแดดอ่อนสาดเข้าไปในภายในห้องบรรทมโถง… อาบูจากำลังรับศึกหนัก การจะจับเจ้าเหนือหัวให้ลองชุดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังไม่มีทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์คอยช่วยปราม ก็อย่างที่รู้กันอยู่คนที่พอจะรับมือฝ่าบาทของอาบูจาได้มีไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือทูลกระหม่อมน้อยที่มักจะมีวิธีจัดการกับความดื้อดึงได้อย่างที่คนอื่นทำด้วยไม่ได้

และอีกคนหรือเรียกว่าอีกคู่คงถูกกว่า นั่นก็คือคู่หูพารานาเรีย คนทั้งคู่ที่มีวิธีจัดการคนละแบบ คนที่กล้าแหย่เจ้าเหนือหัวอย่างซีเซลเรียกว่ากล้าแบบไม่กลัวตาย ส่วนอีกคนคือเฮเดรสเรียกว่าเหนือกว่าเจ้าเหนือหัวในทุกด้าน และจะว่าไปแล้ว เฮเดรสดูจะเป็นคนที่เจ้าเหนือหัวไม่อยากหาเรื่องให้โกรธมากนัก เพราะองครักษ์ผิวหมึกเวลาโกรธน่ากลัว…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทูลหม่อมน้อยตอนอยู่นารายยืนยันได้เป็นอย่างดี

ส่วนองครักษ์หน้าขาวที่กำลังก้าวเข้ามาภายในห้องดูจะมีวิธีรับมือเจ้าเหนือหัวแตกต่างออกไปอีก อย่างตอนนี้ องครักษ์หนุ่มกำลังสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเจ้าเหนือหัวอยู่เงียบๆ ใบหน้าคมปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมองเห็นเรื่องสนุกรออยู่บนปลายจมูก

พิธีอภิเสกสมรส…ในความคิดของซีเซลมันดีอย่างนี้นี่เอง อย่างน้อยองครักษ์หนุ่มก็มีโอกาสเห็นเจ้าเหนือหัวอยู่ในฉลองพระองค์อื่น นอกจากสีดำนิลอย่างที่เห็นจนชิน เวลานี้วรองค์กำยำอยู่ในชุดผ้าเนื้อบางเบาสีอ่อน เป็นชุดที่มีผ้าพลิ้วๆ ตกแต่งได้อย่างลงตัวกับอัญมณีสีสดของสังวาล…

“ข้า…ไม่คิดว่าชุดนี้มันจะดีสำหรับข้า” เจ้าเหนือหัวแทบจะปัดมืออาบูจาทิ้งเมื่อนางเอื้อมจะจัดสังวาลให้ดูเรียบร้อยกว่าที่เป็น ถึงอย่างนั้นพระพี่เลี้ยงร่างอ้วนก็คิดว่า ไม่มีวันไหนที่เจ้าเหนือหัวจะดูงดงามเท่าตอนนี้ ทรงสง่างาม สมศักดิ์ เป็นองค์จักรพรรดิที่ทรงได้ทั้งพระรูปโฉมและปรีชา เหนือบุรุษใดๆ

“พอได้แล้ว” ดูเหมือนอาบูจาจะลืมตัวไปว่ากำลังสร้างความลำคาญให้กับผู้ครอบครองระเบิดไว้กับองค์เองอยู่เสมอ มันพร้อมจะตูมตามขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

“ตรงนี้ดูท่าจะหลวมไปหน่อยนะเพ…”

“พอแล้ว…” พยายามระงับโทสะที่สุด แต่ดูเหมือนอาการของอาบูจายิ่งทำให้ทรงกริ้วหนัก นางไม่ได้ฟังสิ่งที่พระองค์บอกไปแม้สักนิด

“จริงๆ ด้วย…ต้องแก้หน่อย…”

“อาบูจา…หูแตกรึไง ข้าบอกให้เอามือไปให้พ้น!!” ถ้อยตวาดตอนท้ายเหมือนแรงผลักร่างอ้วนๆ ให้หงายผึ่ง องครักษ์หน้าขาวขันอาการสะดุ้งโหยงของพระพี่เลี้ยงร่างอ้วน…แม้ไม่เห็นหน้าแต่แน่ใจได้เลยว่าเวลานี้อาบูจาคงแทบจะปล่อยโฮ นางคงลืมไปแล้วฝ่าบาททรงขี้รำคาญปานใด อาจเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยทรงแผลงฤทธิ์เสียกระมังทำให้นางลืมตระหนักเรื่องนี้ไป

“พะ…เพคะ” ดูเหมือนถ้อยตอนท้ายจะทำเอาอาบูจาหลุดกลับมาสู่โลกความจริง เมื่อครู่นางคงฝันไป ฝันว่าฝ่าบาทของนางยอมเป็นเจ้าชายน้อยเมื่อทรงพระเยาว์ เด็กตัวน้อยที่ยอมให้นางจับแต่งตัวอย่างไรก็ได้ตามแต่นางต้องการ

“กาเซียร์ไปไหน?” นี่กระมังสาเหตุที่ทำให้พระอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าที่ควรเป็น คงไม่ใช่แค่ถูกจับแต่งองค์อย่างที่ไม่คุ้นเคย จะว่าไปแล้วพระองค์น่าจะดีพระทัย เพราะฉลองพระองค์ทำให้ทรงสง่างามอย่างสมศักดิ์

“ทะ…ทูลกระหม่อมเสด็จไปตำหนัก…เจ้าหญิงแห่งนาบูเพคะ” อาบูจาตัวรีบเมื่อดวงเนตรอำพันตวัดมองนางอย่างกริ้วกราด

“ไปกับใคร” สุรเสียงยังคงรักษาความกระด้าง

“กะ…กับชิบิเพคะ…ตะ…แต่สักพักก็น่าจะเสด็จกลับแล้วเพคะ…”

“แล้วทำไมเพิ่งบอกข้า”

“กะ…ก็…” อาบูจาอยากจะบอกนักว่าก็ไม่ทรงถาม…หากนางหรือจะกล้า…แต่ถ้าเป็นอีกคนที่สังเกตการณ์ด้วยอารมณ์ขันๆ อยู่ก่อนแล้ว…ก็ไม่แน่

“นายจะขำอะไรนักหนาซีเซล” ดูท่าเจ้าเหนือหัวจะทันสังเกตเห็นองครักษ์หน้าขาวอยู่ก่อน ดวงเนตรอำพันตวัดมองอย่างเกรี้ยวกราด แต่ดูท่าจะยิ่งสมใจองครักษ์หน้าขาว

“ไม่ยักกะรู้ว่าทรงมีรสนิยมเหมือนเกล้ากระหม่อม สีสดสวยนะพระเจ้าค่ะ” ซีเซลแหย่จับจุดฝ่าบาทของตนได้ แน่นอนมันได้ผลทรงกริ้วไปกันใหญ่ แต่อาบูจากแอบคิดว่าซีเซลทำไมไม่รู้จักกลัวตายเอาซะเลย

“ถ้าทรงให้อาบูจาจัดอาภรณ์ให้เข้าที่จะดูดีกว่านี้มากนะพระเจ้าค่ะ” องครักษ์หน้าขาวเปิดยิ้มยียวน

“นายอยากตายหรือไงซีเซล...” ตวัดสุรเสียงลั่น จะตรงเข้าเล่นงานซีเซลอย่างที่เคยทำ และก่อนหน้านั้นแจกันที่อาบูจาจัดมาอย่างสวยถูกแรงจากหัตถ์กำยำตวัดใส่ร่างองครักษ์หน้าขาว…ไปก่อนแล้ว…

“โอ้โอ๋” ใบหน้าขาวๆ เบี่ยงหลบนิดเดียวก็พ้น…ประกอบกับ… มันหล่นไปถึงมือใครอีกคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา

“นายกล้าหลบรึซีเซล” ตวาดลั่นอย่างต้องการเอาเรื่อง..

“อ้า…สัญชาตญาณน่ะพระเจ้าค่ะ” ใบหน้าขาวๆ นั้นบ่งชัดแทนคำตอบว่า…ถ้าไม่หลบก็เจ็บสิ…

“ไว้ฆ่ากันคราวหน้าดีกว่าพระเจ้าค่ะ” เฮเดรสทันรับแจกันก่อนที่มันจะตกลงพื้นแตก องครักษ์ผิวเข้มมองคู่หูต่อว่าหลอกๆ… เพราะรอยยิ้มตรงมุมปากแสดงความพอใจกับการกระทำของซีเซลยืนยันเช่นนั้น แต่ดูท่าเจ้าเหนือหัวจะไม่ทันได้สังเกต อาจจะทรงคิดไปว่าเฮเดรสเห็นด้วยกับพระองค์ ทีว่าซีเซลน่ะผิด

“เวลานี้เกล้ากระหม่อมว่าพระองค์ไม่ทรงว่างพอที่จะฆ่าซีเซลแน่” เฮเดรสรีบขยายความ เพราะกระถางอีกอันยังอยู่ในหัตถ์เจ้าเหนือหัว พร้อมจะเหวี่ยงมาอีกรอบ คราวนี้ตนอาจเจอลูกหลง…เพราะยืนคู่กับองครักษ์จอมยียวนพอดี…และรู้ดีว่าซีเซลมักพาความซวยมาให้คนรอบข้างได้เสมอ

“ทำไม?” ตะคอกสุรเสียงใส่

“มีใครคนหนึ่งรอขอเข้าพบฝ่าบาท...”

“ใคร?” ดูท่าเรื่องจะน่าสนใจพอ ทำให้แจกันที่ทรงถือไว้ถูกวางลงที่เดิมของมัน

“คนจากคิวปัสตี้... เจ้าชายอาซิคาลอส พร้อมขนิษฐา” สิ่งที่รู้จากเฮเดรสสร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่เพิ่งรับรู้ ไม่ใช่แค่องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้า กับซีเซลก็เช่นกัน ถ้าจำไม่ผิดพวกตนเพิ่งจะพูดถึงเรื่องของคิวปัสตี้ได้ไม่นาน…

“ซาลาร์ค…เรียน่า” เจ้าเหนือหัวตรัสเป็นเพ้อ

“เจ้าหญิง…เสด็จด้วยหรือเฮเดรส?…เป็นไงบ้าง…” เฮเดรสดูจะรู้ความหมายถึงคำว่า ‘เป็นไงบ้าง’ ของซีเซลดี องครักษ์ผิวเข้มส่ายหน้าเนือยๆ ยิ่งเมื่อเห็นร้อยยิ้มเปิดกว้างของคู่หูยิ่งเหนื่อยใจ ซีเซลยังเป็นประเภทแพ้ผู้หญิงอยู่ดี แม้เวลาผ่านไปเท่าไรก็ตาม

“ก็ดี…แต่รู้สึกว่าตอนนี้จะเสด็จออกนอกเส้นทาง” แต่เฮเดรสเห็นมากกว่านั้น เห็นเหตุการณ์ที่ว่าทำไมเจ้าหญิงที่ว่าต้องเสด็จออกนอกเส้นทาง…ระหว่างทางที่จะไปต้อนรับ องครักษ์ผิวเข้มเห็นการถกเถียงกันของคนสามคน

ใครคนหนึ่งกำลังใช้วาจาเล่นงานคนที่น่าจะเป็นเจ้าหญิงเรียน่า…อาการแปลกๆ ของคนๆนั้นทำให้ตีความหมายไปว่า จะเล่นงานเจ้าหญิงของตนเพราะการลืมตัว…เฮเดรสแน่ใจว่านั่นคงมีความเกลียดชังในตัวเจ้าหญิงที่ว่า…แต่ข้อสงสัยก็ตามมาเช่นกัน…มาสเตอร์ผิวเข้มมีความสงสัย…ราชองครักษ์ไยต้องเกลียดเจ้าชีวิตของตน มีเหตุการณ์ใดทำให้คนที่ชื่อว่า…ลูเปอร์เซียร์แสดงออกกับเจ้าหญิงอาเซนธาเรียจนต้องทำให้มากัสเข้ามาช่วย…

“เหมือนโมนิคน้อยเลย” เห็นรอยยิ้มของเฮเดรส ซีเซลก็พอจะเดาเรื่องได้เลาๆ นอกเส้นทาง ก็แสดงว่า…

“เรียน่า…ยังซนเหมือนเดิมสินะเฮเดรส” เจ้าเหนือหัวดูจะไม่ใส่พระทัยกับการออกนอกเส้นทางของเจ้าหญิงจากคิวปัสตี้ “นายไปรับกาเซียร์ที่ตำหนักเจ้าหญิงนาบูทีซีเซล…ข้าจะให้นางพบกับสหายของข้า”

“ฝ่าบาททรงมีสหายกับเขาด้วยหรือ…ไม่ยักกะรู้”

ซีเซลน้อมรับพระบัญชาแต่อดไม่ได้ที่จะไปกระซิบกระซาบกับเฮเดรส แต่ดูท่าเจ้าเหนือหัวจะทันได้ยินน้ำเสียงกระแนะกระแหนนั้น เนตรอำพันที่ตวัดมองอย่างขัดพระทัยยืนยัน แต่จะทรงทำการณ์ใดได้ นอกจากแสดงท่าทีขึงขังออกไปอย่างที่ทรงทำอยู่…หากดูจะสมใจคู่หูพารานาเรียเสียเหลือเกิน

“เฮเดรส!” สุรเสียงเรียกแทบเป็นตวาด เพราะดูท่าเจ้าของชื่อจะยังไม่ตามเสด็จด้วย

“พระเจ้าค่ะ” เฮเดรสน้อมรับพร้อมรอยยิ้มขันๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมาทางซีเซล “นายอยากรู้มั้ย สหายของฝ่าบาทจะเป็นคนเช่นไร”

“ฮ่าๆ…” ซีเซลหัวเราะลั่น “ก็อย่างนั้นไง”

อย่างนั้นที่ว่าก็คงเป็นคนที่เพิ่งเสด็จออกจากห้อง คู่หูองครักษ์เปิดยิ้มกว้างอย่างเจอเรื่องถูกใจ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำตามพระบัญชา…

:- :- :- :- :- :- :- :- :- :- :- :- :- :-

แสงแดดทอลำลอดซุ้มองุ่นม่วง…จับผิวน้ำนิ่งริมตะพัง ทางเดินทอดวกวนโอบกอดด้วยแนวไม้ดอกเตี้ยๆ มองไกลๆ คล้ายธารน้ำที่กระหนาบด้วยแนวหินทรายสีรุ้ง ผิดตรงที่แห่งนี้เป็นอุทยานเขาวงกตที่ได้ชื่อว่างดงามนักหนา หากใครไม่รู้คงคิดว่าหลงเข้าไปในอีกมิติที่หาใช่มีไว้สำหรับให้เหล่าลูกมนุษย์ได้ชื่นชม

ไม่ต่างจากเจ้าหญิงไอบิริน…ซึ่งหลงเข้ามา…หรือไม่ก็เพราะต้องการหนีให้ไกลคนที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งข้างหลังที่ว่าคงเป็นพวกที่เดินทางมาจากคิวปัสตี้…หนึ่งในนั้นคือเจ้าชายอาซิคาลอส ซึ่งดูจะมีความเห็นไม่ตรงกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ไอบิรินก็รู้แก่ใจ คนพวกนั้นคงไม่ชอบตนนัก…โดยเฉพาะกับลูเปอร์เซียที่เพิ่งมีปากเสียงกันมา ดีที่มากัสอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้น… เพราะอารมณ์ฉุนเฉียวทำให้ไม่ทันสังเกตว่าตรงทางแยกหลังพุ้มไม้สูงนั้นมีใครอีกคนกำลังก้าวสวนมาเช่นกัน…

“ระวัง…” เสียงร้องหลงของนกน้อยดูจะกระชั้นเกินไป เพราะมันไม่ได้ช่วยให้คนสองคนที่ลงไปกองกับพื้นหลบได้ทัน…

“อู้ยยย” เสียงร้องใสประทานแทบพร้อมกัน…

“…ทูลกระหม่อมน้อยๆ แย่แล้วๆ ล้มเลยๆ เจ็บแล้วๆ เจ็บจริงๆเลย”

“ก็เจ็บนะสิ…ชิบิ…ก็น่าจะรู้ ยิ่งย้ำมันก็ยิ่งเจ็บนะ…” แม้การแต่งกายในเวลานี้จะแสดงตัวตนของทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์ แต่มีอะไรบางอย่างบ่งบอกความเป็นโมนิคน้อยที่เติบโตมาในแผ่นดินบิ๊กเกรซเนว่า…

“เจ็บจัง” มือขาวๆ ยกขึ้นถูกไถ่ตรงหน้าผากมน…อย่างลืมตัว

“ขอโทษ…” ดูเหมือนไอบิรินจะเจ็บน้อยกว่า นางรีบลุกขึ้นดูอีกฝ่าย หรือนั่นอาจเพราะนางรู้ว่าตนเองผิดไม่น้อยที่โทสะทำให้ไม่ทันระวังทำคนอื่นเดือดร้อน



การพบเจอตามลำนำ…เริ่มขึ้นอีกครั้ง…และมันกำลังจะนำความยุ่งยากมาให้คนทั้งสองดินแดน…

คนสองคนที่มีอะไรเหมือนๆ กัน อย่างน้อยชิบิคิดเช่นนั้น หญิงสาวแปลกหน้ามีอะไรหลายๆ เหมือนโมนิคน้อย…แต่มันคงไม่รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่ซ้อนทับร่างของทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์ ใครคนนั้นที่องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าทรงให้ความสำคัญ…



องครักษ์หน้าขาวมาไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เห็นตอนแรกคือรอยยิ้มสดใสของสองเจ้าหญิง

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ…” ซีเซลเข้ามาขวางการสนทนาก่อนที่ทั้งสองจะได้พูดคุยมากไปกว่าต่างฝ่ายตรงขอโทษ ขอโพย แม้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ดูท่าองครักษ์หน้าขาวจะรู้ว่าคนแปลกหน้าที่ลงเข้ามาในอุทยานเขาวงกตเป็นใครกัน อาการโน้มตัวลงถวายพระพรยืนยัน

“ทูลกระหม่อมน้อยทรงประทับที่นี่เองหรือพระเจ้าค่ะ…”

ไอบิรินยืนระล้าระลัง แปลกใจคนตรงหน้า…รู้สึกว่าเพิ่งได้เจอกัน แต่มีความแตกต่าง สีผิวขาวขึ้น รอยยิ้มเปิดกว้างแตกต่างจากคนที่เพิ่งแนะนำตัวกับพระองค์ว่าชื่อเฮเดรส…คงเป็นคนละคนกัน คนทั้งสองหน้าเหมือนกัน…อาจเป็นฝาแฝด…แต่พี่น้องร่วมอุทรมีสีผิวผิดกันขนาดนี้เชียวหรือ…

ความสงสัยมีมากพอดูสำหรับไอบิริน แต่นางก็ได้ยินชัดเจนว่าคนที่ดูท่าทางจะเป็นองครักษ์ทูลความต่อหญิงสาวร่างแบบบางด้วยท่าทางพินอบพิเทา… ทูลกระหม่อมน้อย…นางเป็นใครกันนะ หรือจะใช่…คนที่เจ้าชายอาซิคาลอสเคยบอกไว้ คนที่เหมือนกับเจ้าหญิงอาเซนธาเรีย…

“เจสเซอร์เรียกหากาเซียร์เหรอจ๊ะ”

รอยยิ้มน้อยๆ อ่อนโยนคือคำตอบจากองครักษ์หน้าขาว ก่อนที่ใบหน้าคมนั้นจะเบือนมาทางแขกแปลกหน้า

“พระองค์คงเป็นเจ้าหญิง…อาเซนธาเรีย…”

คำถามนั้นทำเอาไอบิรินอ่ำอึ้ง… ไม่ใครแน่ใจนักว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ

และเพราะชื่อที่ได้ยินทำให้นกน้อยสีส้มที่เพิ่งโผนลงเกาะไหล่ซีเซลเอียงคอสงสัย… มันรู้จักชื่อนี้ดี และเป็นนกตัวเดียวที่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้าหญิงอาเซนธาเรียกับฝ่าบาท…

“เกล้ากระหม่อม…” ซีเซลตีอาการนิ่งเฉยอีกฝ่ายเป็นตอบรับจึงแนะนำตัวต่ออย่างคนชอบพูด “ซีเซล…เป็นองครักษ์ของท่านจ้าวโดเรียส…ที่อยู่เบื้องพักตร์พระองค์คือทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์ พระชายาของท่านเจ้าโดเรียส…อ้อไม่ใช่สิ…นั่นต้องหลังจากผ่านการอภิเษก…ที่จะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้าก่อน”

“เรียน่าสินะ” ทูลกระหม่อมน้อยทรงนึกได้…เรื่องราวที่เคยได้รับรู้ก่อนหน้านี้

“ฉะ…ฉัน…” ไอบิรินยิ่งไม่มีทางเลือกเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจอย่างนั้น … จะทำอะไรได้อีกล่ะปล่อยไปเลยตามเลยก็แล้วกัน…เจ้าหญิงน้อยทรงคิดเช่นนั้นจึงรีบพูดไปเรื่องอื่น “ที่นี่สวยมากนะ…เพราะความสวยนี่กระมังทำให้ไม่ทันระวังเลย…ชนพระองค์…ขอประทานอภัยอีกครั้งเพคะ”

“กาเซียร์ก็ไม่ระวัง…พอดีรีบเพราะ…” ทูลกระหม่อมน้อยตอบรับเก้อๆ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางซีเซล ดูเหมือนมีเรื่องให้ช่วยและองครักษ์หน้าขาวดูท่าจะรู้…

“ไม่ใช่น่า…” รอยแย้มละมุนอย่างต้องการเอาใจทำให้ซีเซลต้องเพ้อออกมาเช่นนั้น “…ฝ่าบาทเอาเกล้ากระหม่อมตายแน่พระเจ้าค่ะ…ถ้าทูลหัวจะเสด็จออกนอกเส้นทางตอนนี้”

“นะจ๊ะซีเซล” ทูลกระหม่อมน้อยอ้อนวอน “กาเซียร์รับปากเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ไว้…”

“ให้คนอื่นไปก็ได้นี่พระเจ้าค่ะ” ซีเซลราวกับกำลังจะถูกผลักลงเหว ทั้งๆ ที่รู้ว่าอย่างไรเสีย ตนก็ไม่กล้าขัดใจทูลกระหม่อมน้อย ไอบิรินเองก็รู้สึกเช่นนั้น รอยยิ้มใสผุดขึ้นบนใบหน้านวล

“ให้กาเซียร์ไปเถอะนะ…จะได้ทำอะไรได้บ้าง…ดอกไม้พวกนั้นกาเซียร์อยากหามาด้วยตัวเอง…และมีแต่ไวลด์เท่านั้นที่จะผ่านที่อันตรายอย่างนั้นได้…ซีเซลก็รู้มีแต่กาเซียร์เท่านั้นที่จะขึ้นเขาไปกับไวลด์ได้…”



เวลาถูกทิ้งไปอีกเกือบอึดใจเมื่อองครักษ์หน้าขาวใช้ความคิดตัดสินใจ…ไอบิรินมองสบเนตรทูลกระหม่อมน้อยพร้อมรอยยิ้มขันๆ ดูท่าเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์รู้อยู่แล้วว่าคำตอบที่จะได้รับคืออะไร…

“…แต่ต้องให้เกล้ากระหม่อมตามเสด็จด้วยนะพระเจ้าค่ะ” ซีเซลต่อรองอย่างเสียไม่ได้ ไม่ลืมที่จะเบือนหน้าไปทางมากัส ราวกับจะบอกว่า…นายคงเข้าใจสถานการณ์นะ…เรามันคนทำหน้าที่เดียวกัน…ย่อมขัดทูนหัวไม่ได้…

“ได้อยู่แล้ว” ทูลกระหม่อมน้อยรู้ว่าซีเซลต้องตามใจพระองค์ในที่สุด นั่นล่ะคือองครักษ์หน้าขาว… แต่ถ้าเป็นเฮเดรสคงยากกว่านี้ มาสเตอร์ผิวเข้มมักมีเหตุผลร้อยแปดมาทำให้พระองค์เถียงไม่ได้ “…ว่าแต่…ไอริบินไปกับกาเซียร์มั้ย…ไปปราสาทแก้ว…ที่นั่นสวยกว่าที่นี่เยอะเลย…”

ทูลกระหม่อมน้อยจะรู้องค์เองหรือไม่ว่า…ทรงทำอะไรลงไป การจะให้ใครสักคนเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นทำกันง่ายๆ อย่างนั้นน่ะหรือ…หรือเพราะทรงคิดว่าคนเบื้องพักตร์คือคนที่เจสเซอร์เคยให้ความสำคัญ ไอบิรินก็รู้สึกเช่นนั้น… อยากปฏิเสธ แต่ตอนนี้พระองค์ไม่มีทางเลือก…เดินทางไปกับกาเซียร์ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อย…ก็ได้อยู่ห่างจากคนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในตอนนี้ได้…

“เจ้าหญิงน้อย…” มากัสดูเหมือนจะถูกสั่งให้ตามไอบิริน หรือนั่นอาจเป็นความเต็มใจ องครักษ์ของเจ้าชายอซิคาลอสผู้นี้ต้องการดูแลเจ้าหญิงน้อยเพราะความสมัครใจ คนๆ นี้เป็นคนเดียวในสี่ราชวัลลภที่เห็นใจให้ไอบิริน ไม่เอาแต่โทษว่านางเป็นต้นเหตุการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงอาเซนธาเรีย..

“…จะเสด็จก็ได้พระเจ้าค่ะ…แต่ต้องให้เกล้ากระหม่อมตามเสด็จด้วย…” มากัสเหมือนจะลอก…คำพูดของซีเซลก่อนหน้านี้มา องครักษ์ทั้งสองเบือนหน้าสบตาพร้อมร้อยยิ้มน้อยๆ แสดงความเป็นมิตร

“งั้นตกลงตามนี้” ทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์เปิดยิ้มกว้าง… “ออกเดินทางกันเลย”

สิ้นเสียงใสร่างสีทองปรากฏกายขึ้นเบื้องพักตร์ ราวกับมังกรทองสถิตอยู่จุดนี้ก่อนแล้ว มันเพียงแต่พรางตัวรอให้ผู้เป็นนายร้องเรียก…



การพบเจอของคนทั้งสี่…ดำเนินไปด้วยการแนะนำตัว…และจบลงด้วยการตกลงแกมถูกบังคับ อย่างน้อยซีเซลกับมากัสก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เลือกไม่ได้ ต้องตามเสด็จ…เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์เข้าสู่ปราสาทแก้ว…

การพบเจอนี้นำมาซึ่งความผูกพัน…

มากัสกับซีเซลดูเหมือนจะชอบอะไรคล้ายๆ กัน ความร่าเริง รักสนุก ทำให้คุยกันง่ายขึ้น องครักษ์หน้าขาวในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กที่เจอเพื่อนที่สามารถอวดอะไรๆ ได้ อย่างน้อยน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะปกติซีเซลจะมีเฮเดรสอยู่ข้างกาย…ซึ่งมาสเตอร์ผิวเข้มคงไม่แสดงท่าทีตื่นเต้น คล้อยตามและหัวเราะกับการเล่นแผลงๆ ของตนอย่างที่มากัสทำอยู่ตอนนี้…

ราชวัลลภจากคิวปัสตี้กำลังสนุกกับการดูซีเซลเข้าไปยั่วงูยักษ์ที่อาศัยอยู่ในหน้าผาดำ… ซีเซลไม่ลืมที่จะเล่าให้เพื่อนใหม่ฟังว่า…ที่ตรงนี้เคยเป็นค่ายกล ซึ่งก็ไม่ต่างจากขุมนรกที่คอยดักจับพวกที่ลักลอบเข้ามาในคาคูด้าเมื่อร้อยปีก่อน… ในสมัยที่คาคูด้ายังไม่ถูกรวบเข้ากับสหพันธ์แห่งดวงดาว สมัยที่พวกตนต้องต่อสู้กับเมฟาตีส ในตอนนั้นสัตว์อสูรของที่นี้ ดูเหมือนจะถูกเลี้ยงด้วยเนื้อมนุษย์ผู้ไม่รู้จักความตาย…ไม่ตระหนักถึงนามของผู้ครอบครองดวงเนตรสีน้ำเงิน…

หากเวลานี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป…ถึงงูยักษ์ที่กำลังไล่งับเอาร่างกำยำที่รีบไต่ผาหินอย่างเร็วรี่นี้จะยังคงดุร้าย แต่มันไม่จำเป็นต้องฆ่าใครอีกแล้ว มันไม่มีเนื้อมนุษย์ลิ้มลอง แต่มันยังคงมีชีวิตอยู่ตามกลไลของป่า แม้บางครั้งจะมีคนเล่นพิเรนอย่างซีเซล ผ่านเข้ามา และดูเหมือนมากัสจะเป็นอีกคนที่ไม่กลัวตาย เพราะความอยากรู้อยากเห็นกระมัง เมื่อมีโอกาสเข้ามาเห็นสัตว์อสูรของโลกใหม่แล้ว มีหรือจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้…

ดูเหมือนเวลานี้ทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์กับเจ้าหญิงไอบิรินจะถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง นั่นอาจเพราะซีเซลตระหนักดีว่า คงไม่มีอันตรายใดทะลายกำแพงของไวลด์เทพสีทองไปได้…

การที่ต้องมาสวบบทของเรียน่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยสำหรับเจ้าหญิงน้อยไอบิริน…

แต่เพราะการเดินทางของสี่คนจากสองดินแดนเริ่มขึ้น…ดำเนินไป…และจบลงเมื่อทั้งหมดได้สิ่งที่ต้องการ…โดยที่ไอบิรินไม่ใจแข็งพอที่จะหลอกกาเซียร์ว่า…พระองค์คือคนส่วนกับการตายของเรียน่า…

“…ถ้าเป็นกาเซียร์ล่ะ…ถ้ารู้อย่างที่ฉันรู้…จะทำอย่างไร…จะปล่อยให้คนๆ นั้นไปเผชิญกับความตายอย่างนั้นหรือ…” ไอบิรินเหมือนได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในอก

“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้…” อาการเงียบไปของทูลกระหม่อมน้อยทำให้เจ้าหญิงไอบิรินพรั่นใจ ใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ การถูกคนของอาซิคาลอสแสดงท่าทางเฉยชาให้ มันเจ็บปวดแค่ไหน เจ้าหญิงน้อยทรงตระหนักได้ดี…และหวาดกลัวไม่น้อยที่จะต้องเผชิญ การความเข้มแข็งทำให้คนเหล่านั้นอาจคิดไปว่าพระองค์ไม่ได้ทรงรู้สึกผิดกับสิ่งที่ได้กระทำ

“…แล้วเจ้าชายอาซิคาลอสทรงโทษว่าเป็นความผิดของ…ไอบิรินไหม”

คำถามที่เหมือนเป็นสิ่งที่ไอบิรินเองก็อยากรู้… แล้วไม่แน่ใจนักว่าจะให้คำตอบนี้ได้…

* * * * * * * * * * *

“เรียน่า…” สิ่งที่ทำให้องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าแน่พระทัย ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ที่ทรงสัมผัสได้ หากแต่เป็นปีกมรกต…ที่ห้อยอยู่บนลำคอระหงของไอบิริน… “เจ้าโตขึ้นมาก…และเป็นเจ้าหญิงที่งดงาม…อย่างที่อาซิคาลอสบอกพี่”

ดูเหมือนมีคนอยู่อย่างน้อยสามคนล่ะที่ลำบากใจกับถ้อยดำรัสขององค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้า หนึ่งคือไอบิรินที่ต้องมารับบทของเจ้าหญิงอาเซนธาเรียอย่างเสียไม่ได้…สองคืออาซิคาลอสที่ยังไม่เคยเอ่ยด้วยโอษถ์ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างวรองค์คือใคร…แต่การที่ไม่ทรงปฏิเสธก็ถือว่าพระองค์ร่วมที่จะทำตามแผ่นการ…นั่นคือให้โดเรียสเข้าใจผิดเป็นเช่นนั้น เพราะมันอาจจะทำให้เรื่องต่างๆ ง่ายขึ้น หรือไม่นั่นอาจเพราะห่วงความปลอดภัยของไอบิริน อาซิคาลอสไม่ค่อยแน่ใจนักว่า ถ้าความจริงปรากฏออกมา โดเรียสจะเข้าใจถึงสิ่งที่ไอบิรินทำ…เพราะอย่างน้อยรอบตัวของพระองค์ก็มีคนเช่นนั้น… ราชวัลลภของพระองค์นอกจากมาคัสแล้ว ต่างก็แสดงความรู้สึกต่อไอบิรินในด้านลบ บ้างเฉยชา บ้างต่อว่าเกลียดชัง… เพราะเหตุนี้อาซิคาลอสจึงเห็นควรว่า…ไม่บอกกับโดเรียสจะดีที่สุด

“เจ้าคงสบายดีสินะ…” โดเรียสเสด็จเข้าไปหาไอบิรินมากขึ้น ยิ่งทำให้อีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกลำบากใจนัก “พี่อยากเจอเจ้า…อยากเห็นหน้าเจ้า…แต่คิดไปเหมือนกันว่า มันดีแล้ว…การที่ปีกมรกตไม่เรียกพี่…แสดงว่าเจ้าไม่มีอันตราย…พี่หวังเช่นนั้น…และเมื่อได้มาเห็นเจ้าเติบโตอย่างงดงาม…พี่ก็ดีใจ”

ดูเหมือนจะมีแต่องครักษ์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าที่ตรัสอยู่องค์เดียว…เพราะหลังจากนั้นบรรยากาศก็เงียบไปอยู่เกือบอึดใจ…

“…เจสเซอร์…” ทูลกระหม่อมเริ่มตั้งสติได้เป็นคนแรก “เจอไอบิ…เอ่อ…เจอเรียน่าแล้วลืมกาเซียร์เลยนะคะ…เห็นไหมเนี่ยว่ากาเซียร์ยืนอยู่ตรงนี้”

เกือบไปแล้ว…เกือบหลุดชื่อไอบิรินออกไป…ทูลกระหม่อมน้อยแอบถอนหายใจ… รวมทั้งเจ้าชายอาซิคาลอสและไอบิรินด้วยกระมังที่คิดเช่นนั้น… และนั่นก็ทำให้มาคัสรู้เช่นกันว่า เจ้าหญิงน้อยไอบิรินคงบอกความจริงเกี่ยวกับเจ้าหญิงเรียน่ากับทูกลระหม่อมกาเซียร์ไปแล้ว แต่ดูท่าทูลกระหม่อมกาเซียร์จะเห็นดีด้วยกับการให้เจ้าหญิงน้อยสวมบทเจ้าหญิงเรียน่า…ต่อหน้าโดเรียส

“เรียน่าเป็นคนสำคัญของเจสเซอร์นะเนี่ย…” ทูลกระหม่อมน้อยพยายามทำเป็นร่าเริงทั้งๆ ที่ยังหวาดกลัวว่า เจ้าของหัตถ์กำยำที่เพิ่งยกขึ้นโอบอังสาบางจะรู้ความจริง… เมื่อนั้นเหตุการณ์ที่น่ากลัวอาจเกิดขึ้น…ทุกคนในคาคูด้านี้ตระหนักได้ดี

แต่ดูเหมือนการเล่นละครของทูลกระหม่อมน้อยจะไม่ค่อยแนบเนียนนัก เพราะคิ้วของเฮเดรสกำลังขมวดเข้าหากัน…ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเบือนไปทางซีเซลที่ยังคงยืนคู่กับมาคัส ก่อนจะอ้อมไปทางลูเปอร์เซียความสงสัยผุดขึ้นมาในดวงตาคม…

วันนี้…มาสเตอร์หนุ่มอยู่กับลูเปอร์เซียเหมือนกับที่ซีเซลอยู่กับมาคัส…ทำให้จับอะไรได้มากมาย รวมทั้งกับเจ้าชายอาซิคาลอสเองก็เช่นกัน ทุกครั้งที่องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าตรัสถึงเจ้าหญิงอาเซนธาเรีย…อีกฝ่ายจะพยายามเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึงนาง… ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สิ่งที่ตนได้ยินมาจากเจ้าเหนือหัว…พี่น้องทั้งสองรักกันยิ่งนัก…ผูกพันและต่างฝ่ายต่างภูมิใจในตัวตนของอีกฝ่าย…แต่สิ่งที่เฮเดรสสัมผัสได้ในตอนนี้กลับเป็นตรงข้าม

“รู้จักกันแล้วเหรอคะ” องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าตรัสถาม เจ้าของร่างแบบบางทั้งสอง ไม่แปลกถ้าพระองค์จะตรัสอย่างอ่อนโยนกับทูลกระหม่อมน้อยและเรียน่า…แต่กับไอบิริน…นางยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังทำผิดอย่างยากจะให้อภัย… เจ้าชายอาซิคาลอสมีเหตุผลเพราะต้องการปกป้องนาง กาเซียร์ปกปิดเพราะเห็นควรว่าต้องทำอย่างนั้น แล้วสำหรับนางล่ะ…ถ้านางยังหลอกก็จะกลายเป็นเห็นแก่ตัวปกป้องตนเอง…ต้องปฏิเสธออกไปอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด…

“เรียน่า…” เสียงเรียกอ่อนโยนยิ่งทำให้วางตัวไม่ถูก

“หม่อมฉันคืนให้เพคะ” ไอบิรินดึงปีกมรกตออกมาจากสร้อย พร้อมกับยืนให้องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้า พร้อมที่จะบอกความจริง…โดยไม่หันไปมองว่าคนรอบตัวตกใจเพียงไรกับการกระทำของนาง…

“…ไม่จำเป็นหรอก” ดูเหมือนองค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าจะเข้าพระทัยสิ่งที่ไอบิรินทำผิดไป “…มันจะมีประโยชน์กับเรียน่า…พี่หมายถึง…พี่ไม่จำเป็นต้องให้ปีกมรกตกับกาเซียร์อีกแล้ว…มันเหมาะกับเจ้า”

“ไม่จำเป็นเพคะ” ไอบิรินอยากบอกความจริงนัก

“เรียน่าเก็บไว้เถอะนะ” ทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์จะถลาเข้าหาไอบิรินหวังให้นางหยุดสิ่งกำลังจะทำ “กาเซียร์ไม่ต้องการมันแล้ว…อยู่กับเรียน่าจะดีกว่า…คิดซะว่าเป็นตัวแทนของเจสเซอร์…อีกอย่างเจสเซอร์จะได้สบายใจด้วยยังไงล่ะ…”

“ใช่…และพี่ยังให้คำมั่นเหมือนเดิม…เพียงเจ้าเรียกที่จะมา…อยู่ข้างตัวเจ้า…ปกป้องเจ้า…พี่ให้คำสัตย์…เรียน่า” ถ้อยดำรัสที่เอ่ยออกมาบ่งบอกถึงความห่วงใยแต่ทำเอาหัวใจหลายดวงระส่ำ… นั่นมันจะต่างอะไรกับการตอกย้ำ ทูลกระหม่อมน้อยรู้ดีกว่า…ถ้าความจริงปรากฏอะไรจะเกิดขึ้น…

ร้อยแย้มสรวลที่ปรากฏบนวงพักตร์คมนี้จะสลายไปทันที… ดวงเนตรอำพันที่ทอดมองร่างแบบบางที่ยังคงมีเงาของเรียน่าตัวน้อยในตอนนี้ต้องแปลเปลี่ยนไป…ดวงเนตรสีน้ำเงินอาจกลับมาครอบครองร่างคัสเซลนี้อีกก็เป็นได้…น่าสะพรึงนัก…

“น้องเก็บไว้เถอะเรียน่า…” เจ้าชายอาซิคาลอสคงเป็นองค์เดียวที่ตรัสสินเรื่องนี้ได้ อย่างน้อยก็ในเวลานี้ “ท่านจ้าวทรงประสงค์เช่นนั้น…พระองค์ต้องการปกป้องเรียน่า…เจ้าก็จงทำเช่นนั้น”

ทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์ทรงรับรู้ได้ว่าถ้อยตอนท้ายของถ้อยดำรัสนั้น ดวงเนตรคงปลายมาทางพระองค์ ไม่ต้องมีถ้อยดำรัส…ก็ทรงรับรู้ได้ถึงถ้อยคำขอบคุณ…

เจ้าชายอาซิคาลอสก็คงจะทรงรู้ด้วยเช่นกันว่า ทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์กำลังช่วยพวกพระองค์ปกปิดตัวตนของไอบิริน…

ดูเหมือนเวลานี้ในหัวของเฮเดรสมีแต่คำถามมากมาย…ที่จะให้ซีเซลเป็นคนตอบ…แต่ทันทีที่เห็นหน้าขาวๆ นั้นอารมณ์ฉุนเฉยดูจะโถมเข้าใส่มาสเตอร์ผิวเข้มแทบจะทันที…มัวแต่ไปเล่นสนุก…คงไม่ได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลอะไรเลยล่ะสิ…



“นายเป็นอะไรน่ะเฮเดรส” ซีเซลอดไม่ได้ที่จะถามหลังจากแยกออกมาจากส่งเสด็จ และแยกตัวออกมาอยู่กันเพียงลำพัง

“ว่าไง” แต่ดูเหมือนมาสเตอร์ผิวเข้มยังคงไม่วางตาจากกลุ่มคนที่มาจากคิวปัสตี้ “หรือว่านาย…”

ใบหน้าขาวๆ นั้นเปิดยิ้มกว้างเหมือนนึกเรื่องสนุกอะไรขึ้นมาได้ ประกอบกับมาสเตอร์ผิวเข้มเบือนหน้ากลับมาพอดี ทันได้เห็นร้อยยิ้มยียวนของคูหู ตีหน้าแปลกใจยิ่งกว่าเดิม หรือนั่นอาจเป็นใบหน้าในยามที่กำลังรู้สึกเหนื่อยหน่ายเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป…

“นายคงเหงาล่ะสิ” เฮเดรสนึกไว้ไม่มีผิด และถ้าให้เดาก็คงถูกว่าประโยคต่อไปที่จะหลุดจากปากยียวนนั้นคือ… “ข้าน่ะไม่ลืมนายหรอกน่า…แค่พามาคัสเที่ยว…ยังไงสำหรับข้า…นายก็ที่หนึ่ง”

ดูเหมือนซีเซลจะรู้ว่าจะแหย่เฮเดรสยังไง ดูเหมือนจะสมใจเมื่อเฮเดรสส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนจะเดินนำไปทางตำหนักด้านนอกทำตามพระบัญชาเจ้าเหนือหัว… โดยมีซีเซลตามมาทิ้งระยะไม่ห่าง…และดูท่าองครักษ์หน้าขาวจะรู้โดยสัญชาตญาณว่าเฮเดรสมีเรื่องจะพูดกับตน

“…จะถามอะไรก็ว่ามา…” นั่นล่ะซีเซล ถึงจะเล่นแต่ก็รู้เสมอว่าเวลาไหนสมควรจริงจัง

“…คนของคิวปัสตี้…ต้องการอะไรจากฝ่าบาท” น้ำเสียงของเฮเดรสบ่งชัดว่านั่นอาจไม่ใช่เรื่องดี นั่นรวมไปถึงมันเป็นสิ่งที่มาสเตอร์หนุ่มใคร่ครวญแล้วก่อนจะพูดออกมา มันต้องมีเหตุมากพอที่ทำให้เฮเดรสคิดเช่นนั้น ซีเซลรู้ข้อนี้ดีที่สุด

“แค่อำนาจของน้ำตาพระจันทร์แค่นั้นหรือ…” เฮเดรสเหมือนจะเล่าสิ่งที่ตนรู้มาระหว่างการพบเจอของเจ้าเหนือหัวกับเจ้าชายอาซิคาลอส “หนึ่งราชวัลลภถูกพิษทำให้เจ้าชายเสด็จมาที่นี่…”

“แล้วไง” คำถามที่แสดงความเป็นซีเซลได้ค่อนข้างชัดเจน…

“…พวกนั้นอาจกำลังแสดงหาอำนาจบางอย่าง” เฮเดรสบอกสิ่งที่ตนคิด

“พลอยแห่งดวงดาว” ซีเซลเอ่ยออกมาคล้อยยอกย้อน ในน้ำเสียงนั้นมีถ้อยคำตำหนิกลายๆ แม้เข้าใจว่าเฮเดรสต้องมีเหตุผลอธิบายในสิ่งที่ตนพูด แต่ด้วยความที่คิดว่าเฮเดรสมองโลกในแง่ร้ายและลึกเกินไปทำให้ซีเซลอดไม่ได้ที่จะตำหนิ

“…อาจไม่ใช่…” เฮเดรสไม่แน่ใจ “แต่มันต้องมีอะไรบางอย่าง…พวกนั้นต้องปกปิดอะไรพวกเราสักอย่าง”

“แต่คงมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น” ซีเซลโบ้ยอย่างไม่ต้องการคิดเรื่องปวดหัว “อย่าลืมสิ เจ้าหญิงเรียน่า เจ้าชายอาซิคาลอส…เคยเป็นที่พักพิงให้ฝ่าบาทนะเฮเดรส…ถ้าแค่เอ่ยปาก…ผู้ครอบครองดวงเนตรสีน้ำเงินต้องยอมยืนให้เข้าให้ คนที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญจนมอบปีกมรกตให้…มีเหตุให้ต้องทำร้ายตนเองเยี่ยงนั้นหรือ…”

ซีเซลดูจริงจังกับสิ่งที่พูด ใบหน้าขาวๆ นั้นวางเคร่งขรึมกว่าที่เคยเป็น…และนั่นอาจเป็นคำตอบที่เฮเดรสต้องการ เพื่อที่จะนำมาประมวลผลสิ่งที่ตนสัมผัสได้…ข้อมูลที่ซีเซลรับมาในเวลาหนึ่งวันที่เดินทางไปพร้อมกับเจ้าหญิงเรียน่าและมาคัส…

“ข้ารับรู้มาอย่างนั้นจริงๆ “ ซีเซลเน้นย้ำ ใบหน้าเคร่งขรึมก่อนหน้านี้อาจเป็นเพียงหน้ากากที่สามารถถอดออกอย่างง่ายดาย…เพราะรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นมาแทนแทบจะทันทีที่สิ้นคำพูด แต่เฮเดรสดูจะยังไม่วางใจทำให้ซีเซลต้องมีคำพูดต่ออย่างเสียไม่ได้ “ทูลกระหม่อมน้อยก็ทรงรู้สึกเช่นนั้น…โดยเฉพาะกับเจ้าหญิงเรียน่า”

ซีเซลรู้ดีกว่าคำพูดในตอนท้ายสามารถสลายกำแพงแข็งๆ ในใจคู่หูได้ อาการเบือนหน้าหนีพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของอีกฝ่ายยืนยันชัดเจน…

“…ว่าแต่วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างระหว่างข้าไม่อยู่…” ซีเซลถามรีบเดินให้ทันคู่หู ใจจริงอยากถามนักว่า ฝ่าบาททรงอาละวาดหนักไหม…ตอนที่ทรงรู้ว่าซีเซลนำเสด็จทูลกระหม่อมน้อยออกนอกวัง…

“…ถ้าไม่มีเจ้าหญิงเรียน่ามาเบี่ยงเบนพระทัย…ไวลด์ต้องโดนขอดเกล็ด…และนาย…”

“ต้องโดนเพ่งกะบาล” ซีเซลเหมือนจะรู้ ถึงจะทำเป็นฮาๆ แต่ก็อดหวาดไม่ได้ แอบถอนหายใจที่รอดมาได้ นั่นเพราะเจ้าหญิงเรียน่าจริงๆ

“คิดว่าจะโดนแค่นั้นเหรอ” เฮเดรสบอกอย่างสนุก ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าหวาดๆ ของซีเซลยิ่งรู้สึกดี “…ไปถามอาบูจาดูก็แล้วกันว่า…วันนี้นางเจออะไรบ้าง”

“เอ้ย…เฮเดรส” ซีเซลอึ้งไปเกือบอึดใจ ก่อนจะตะโกนไล่หลังคู่หู “อย่าทำอย่างนี้สิ…บอกมานะว่า…ฝ่าบาทจะทำยังไงกับข้า…อย่าบอกนะว่า…เดี๋ยวจะมีเอาคืนย้อนหลัง…เฮเดรส…เฮ้ย ไอ้ตาทวด…รอด้วยสิวะ…ตอบข้ามาสิ…”

<============================= >



จบตอน




 

Create Date : 29 มกราคม 2550
0 comments
Last Update : 29 มกราคม 2550 13:24:29 น.
Counter : 1563 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.