<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 13

greenteagreentea


13.-


อุทยานส่วนในของทูลกระหม่อมกาเซียร์เป็นเขตหวงห้าม นอกจากพวกอาบูจา อานู นียา ซีเซล และเฮเดรสแล้ว จะมีทหารและนางกำนัลอีกเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าออกตำหนักส่วนในนี้ได้

“อาบูจาเอาดอกนั้นด้วย กิ่งที่ชิบิเกาะอยู่...อยู่ทางซ้าย...” เสียงใสเจื้อยแจ้วสั่งงานพี่เลี้ยงร่างท้วม พลางชี้ไปทางก้านกุหลาบที่มีเถาหนามพันขึ้นไปตามกำแพงสูง

“ดอกนี้หรือเพคะ? มองไม่เห็นตัวชิบิเลยเพคะ”

“ไม่ใช่...ดอกนั้นยังเล็กอยู่เลย...อีกดอก อยู่ทางซ้ายไง...ทางซ้ายน่ะ...ใช่ๆ ดอกนั้นแหล่ะ อาบูจาระวังหนามนะ” ต้นเสียงได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ เพราะอาบูจาไม่ยอมให้เข้าไปใกล้เถาหนามกุหลาบ

“ยังไม่ได้อีกเหรอ? อาบูจาตัวอ้วนเข้าไปไม่ถึงหรอก มา...กาเซียร์ตัดเองดีกว่า” ถ้อยสุดท้ายมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ตรงเข้าหาเถาหนาม อาบูจาหันขวับพลางตะโกนห้ามเสียงหลง

“อย่าเสด็จเข้ามาเพคะ อ๊ะ!” ร่างท้วมยืนโงนเงนเพราะหมุนตัวเร็วไป ไม่ทันระวังจึงเสียหลักล้มกระแทกพื้นดังสนั่น ถาดทองเหลืองในมือกระเด็นกระดอนไปไกล ดอกไม้กระจายเกลื่อนบนแพหญ้าเขียวขจี

“อ้าว! อาบูจาเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ชิบิอย่าไปอยู่บนหัวอาบูจาสิ” หัวเราะสดใสจนเห็นฟันขาวตัดกับเรียวปากสีสด นกน้อยแสนรู้ตัวสีส้มบินมาเกาะไหล่ เมื่อร่างบางเข้าไปประคองพี่เลี้ยง

“มะ...ไม่ต้องเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร เสด็จออกไปให้ห่างจากเถาหนามเถอะเพคะ” พยายามลุกขึ้น แต่ดูเหมือนชายกระโปรงตัวโคร่งจะเกี่ยวกับเถาหนาม พลอยทำให้เสียหลักคะมำลงไปอีกหน

“โอ้โฮแฮะ!...นั่นอาบูจาทำอะไรน่ะ?” เสียงซีเซลตะโกนทักมาแต่ไกล

พระพี่เลี้ยงนึกว่าปลดหนามออกหมดแล้ว พอหันขวับไปมองต้นเสียงยียวน ซึ่งอยู่อีกฟากตรงหัวมุมทางเดินเยื้องไปด้านหลัง ชายกระโปรงจึงแผ่ออกเกี่ยวเถาหนามเข้าอีกหน

“ดูท่าว่าพระพี่เลี้ยงกำลังเล่นชักเย่อกับเถากุหลาบแน่ะเฮเดรส...ข้าว่าน่าสนุกเนอะ”

“เจ้าอยากลองดูบ้างไหมล่ะซีเซล?” น้ำเสียงสะบัด ใบหน้าบึ้งตึง เกลียดนักพวกเห็นความลำบากของคนอื่นเป็นเรื่องตลก

“หึๆ ไม่เอาหรอก แบบว่าเกรงใจ” ซีเซลสัพยอกปนหัวเราะร่วน

พระพี่เลี้ยงสุดแค้น อยากหาอะไรอุดปากยียวนนั้นนัก แต่รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะไปหาเรื่องซีเซล รังแต่จะโดนมากไปกว่านี้ เลยเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่รู้แม่ตัวดีทั้งสองไปอยู่เสียที่ไหน?” บ่นอุบอิบนึกถึง อานู นียาที่ยังไม่โผล่มาตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน แม่สองคนนี้พักหลังชอบทำอะไรมีลับลมคมในอยู่เรื่อย วันนี้ไปไหนอีกก็ไม่รู้

“อ้าว...ชิบิมาประจบใหญ่เลย ดูสิ อ้วนขึ้นทุกวันเลยนะ...เดี๋ยวก็บินไม่ขึ้น ต้องกลิ้งไปเหมือนอาบูจาหรอก ข้าว่าลดความอ้วนหน่อยดีกว่า เพราะงั้นวันนี้ไม่มีของกินให้หรอกนะ” ซีเซลทักทายนกน้อยที่บินมาคลอเคลียแสดงความคุ้นเคย

“ดู! พอบอกไม่มีของกินให้ บินไปหาเฮเดรสเฉยเลย มันน่าจับถอนขนไปทำนกย่างนักเชียว!” นกน้อยบินไปเกาะท่อนแขนกำยำภายใต้เสื้อแขนยาวสีดำที่ยื่นออกมารอรบ ส่งเสียงร้องเจื้อย ทักทายดั่งนกแสนรู้

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ” สององครักษ์คำนับ เมื่อเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า

“จ้ะ” ยิ้มอ่อนหวานให้แก่องครักษ์หนุ่ม

อาภรณ์ในชุดสีน้ำเงินเข้ม สวมทับด้วยผ้าคลุมลูกไม้ลายปัก ประดับพลอยสีแดงเม็ดเล็กๆ ตามชายผ้าสีขาว ใบหน้าที่ไม่เคยขาดรอยยิ้มนั้นช่างอ่อนโยนสดใสยิ่งนัก

“อาบูจายังออกมาไม่ได้อีกหรือ? ดูสิ ดอกไม้กาเซียร์ช้ำหมดเลย” ปรายตาไปทางร่างท้วมที่ตอนนี้กำลังเก็บดอกไม้ใส่ถาดอย่างทุลักทุเล

“สะ...เสร็จแล้วเพคะ” ตอบละล่ำละลัก “ซีเซล เฮเดรส พวกเจ้าไม่มีน้ำจิตน้ำใจจะช่วยกันบ้างเลยหรือไงนะ” ไม่วายแขวะใส่องครักษ์ทั้งคู่

ไม่มีเสียงตอบกลับ นอกจากเสียงหัวเราะร่า โดยเฉพาะเสียงของซีเซลจอมยียวนดูจะชัดเจนกว่าใครเพื่อน

“ทั้งสองคนไม่ได้ตามเจสเซอร์ไปหรือจ๊ะ?” ทูลกระหม่อมน้อยปรายตากลับมาทางองครักษ์หนุ่ม ซึ่งสบตากันแบบไม่ได้นัดหมาย สีหน้าพะอืดพะอม อุตส่าห์หนีมาที่นี่ กลับมาเจอคำถามที่ทำเอาพูดไม่ออก

“เป็นอะไร? ทำหน้าอย่างกับกินยาขม” เสียงเย้าปนหัวเราะ “มาหากาเซียร์แต่เช้า ไม่ตามไปโดนโกรธไม่รู้ด้วยนะ”

ทั้งสองยืนเท้าชิด อ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน ซีเซลตะขิดตะขวงใจ จึงบ่นอุบ มิได้ตั้งใจให้ทูลกระหม่อมน้อยได้ยิน “คงจะมีเวลากริ้วอยู่หรอก...ป่านนี้คงจะ...อะ..จ๊าก!”

ถ้อยตอนท้ายร้องเสียงหลง เมื่อเฮเดรสกระทืบเท้าอย่างแรง แถมทำตาโตแทบถลนจากเบ้า ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าทูลกระหม่อมน้อยเขาคงกระโจนเข้าชกคว่ำด้วยเป็นแน่ เมื่อนั้นแหละองครักษ์จอมทะเล้นจึงต้องรีบหลุบตาต่ำ ไม่กล้าสบตา รวมทั้งเฮเดรสด้วยเช่นกัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกผิด

กาเซียร์ทอดมองอย่างเข้าใจ ยิ้มอ่อนหวานดั่งที่ไม่เคยห่างหายไปจากใบหน้า บ่งบอกว่าไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียงให้ทั้งคู่ลำบากใจ

“ทรงทราบหรือพระเจ้าค่ะ ว่าท่านจ้าวเสด็จไหน?” เฮเดรสสงสัย ไม่มีทางที่จะรู้ องครักษ์หนุ่มแลสบตากัน สีหน้าของทั้งคู่เครียด ร้อนใจยิ่งนัก

“มีแขกคนสำคัญมาไม่ใช่หรือจ๊ะ?” ทั้งเสียงและสีหน้าเป็นปกติยิ่งนัก แต่ไยราชองครักษ์ทั้งสองถึงกับอึ้ง ใจหายวาบ มองเห็นพายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า ความหวาดหลั่นเกาะกินหัวใจไปกว่าครึ่ง

“หรือว่าไม่ใช่เอ่ย?” แกล้งยั่วอย่างขันกับสีหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะทรุดนั่งบนเก้าอี้หินอ่อน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าเถากุหลาบติดทางเท้าที่ปูด้วยแผ่นหินตัดสีน้ำตาลเข้ม

ดูเหมือนว่าภวังค์ทั้งคู่จะล่องลอยไปไกลแสนไกล

“งั้นคงต้องพูดตรงๆ แล้วมั้ง” ทั้งคู่สบตาทูลกระหม่อมน้อย แทบลืมหายใจ “ก็ไปต้อนรับเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ไงจ๊ะ”

“ทรงทราบ!” ทั้งสามาอุทานพร้อมกัน รวมทั้งอาบูจาที่เดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆ แปลกใจไม่น้อยที่ผู้เป็นนายเอ่ยเรื่องเจ้าหญิง หรือว่าอาคมของท่านจ้าวที่ลบความทรงจำของทูลกระหม่อมน้อยจะเสื่อมลง? ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกยังน่าจะเป็นไปได้มากกว่า ทั้งคู่แอบคิด

“ทำไมจะไม่รู้...แล้วยังมีเจ้าหญิงเอริเซียร์ด้วย” เสียงใสหนักแน่น

“ทรงทราบได้อย่างไรเพคะ? อาบูจาไม่เห็นทรงมีท่าทีว่าจะทราบเรื่องพวกนี้เลย” พี่เลี้ยงตั้งสติได้เป็นคนแรก

“ไม่บอก” รอยแย้มยิ้มพริ้มพรายยังแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า

“ทูลกระหม่อม”

ทั้งสามทำสีหน้าอ้อนวอนปานจะขาดใจ กาเซียร์หัวเราะเสียงใส ก่อนจะไขข้อข้องใจ

“รู้จากท่านจ้าวโดเรียสไงคะ” เห็นชัดว่าเย้าหยอก เพราะไม่เคยเอ่ยนามท่านจ้าวเยี่ยงนี้สักครา ทำเอาทั้งสามหนาวสะท้านไปทั้งร่าง ไฉนคนที่ทำให้ทูลกระหม่อมน้อยรู้เรื่องนี้กลับเป็นคนที่ห้ามพวกเขาหนักหนา

“ไม่ได้บอกตรงๆ หรอก...เจสเซอร์ละเมอ เรียกชื่อเปอร์ซิโฟเน่ บอกว่าขอโทษ บางทีก็บอกคิดถึง...แล้วก็บอกว่ารักด้วย” เสียงแผ่วลงเรื่อยๆ สะเทือนใจไม่น้อยที่ต้องเอ่ยเรื่องนี้

อาบูจาพรั่นใจกับความรู้สึกของทูลกระหม่อมน้อยที่สุด ถ้าคนที่เรารักอยู่กับเรา แต่กลับไปคิดถึงผู้หญิงอีกคนจนเก็บมานอนละเมอ แค่นึกก็เจ็บไปทั้งใจแล้ว แต่ทำไมทูลกระหม่อมยังทนอยู่ได้...โธ่...ทูนหัวทรงปวดพระทัยอยู่เช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ

“เกิดขึ้นนานแล้วหรือเพคะ?”

“นานแล้ว...” เสียงเนื่อยๆ นั้นเบาหวิว

“แล้วทรงทราบได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ ว่าเจ้าหญิงเสด็จมาประทับที่คาคูด้า” เฮเดรสเฉลียวใจ รู้เรื่องเจ้าหญิงน่ะไม่เท่าไหร่ แต่รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหญิงมาที่นี่ จะว่าท่านจ้าวละเมออีกก็ให้มนรู้ไปสิ

“กาเซียร์ก็ต้องมีสายสืบสิ ถึงได้รู้” เอ่ยดั่งจะให้คิด ทั้งสามสบตาสีนิลระยับนั้นค้นหาคำตอบ ก่อนจะ อ้อ...ขึ้นพร้อมกัน

“อานู นียา”

ทูลกระหม่อมยิ้ม ก่อนจะหัวเราะเสียงใส นึกขันสีหน้าเฝื่อนๆ ระคนแค้นเคืองของทั้งสาม โดยเฉพาะอาบูจาดูจะเกินหน้าเกินตาคนอื่น

“คิดว่ากาเซียร์ไม่รู้หรือไง? ดูถูกกาเซียร์เกินไปแล้วมั้ง” เสียงกระตือรือร้น “แต่ไม่ต้องโทษพี่ทั้งสองหรอกนะจ๊ะ กาเซียร์รู้ก่อนดีกว่ามารู้ทีหลังนะ...อย่างน้อยก็จะได้เผื่อใจไว้ไง”

นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

“เจสเซอร์ดีกับกาเซียร์เพียงเพราะสงสาร ไม่ได้รัก...เจสเซอร์อยู่กับกาเซียร์ แต่ดูเหมือนกำลังคิดถึงใครสักคนที่อยู่ไกลแสนไกล” เสียงตอนท้ายเริ่มสั่นเครือ แต่ฝืนให้ดูเป็นปกติที่สุด

“กาเซียร์ไม่รู้ว่าความทรงจำก่อนหน้านี้หายไปไหน มันมีแต่ความว่างเปล่า เหมือนเป็นความมืดที่มองไม่เห็น รู้แต่เพียงว่าตัวเองเป็นมนุษย์โลกอื่น ไม่รู้แม้แต่มาที่นี่ได้ยังไง ตอนไหน และเพราะอะไร ทั้งที่อยากรู้แต่ก็ไม่มีใครบอก...เมื่อไม่มีใครบอกและในเมื่อทุกคนเห็นว่ากาเซียร์ไม่จำเป็นต้องรู้ กาเซียร์ก็จะไม่ซักไซ้ไล่เลียงให้ทุกคนลำบากใจ...แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ กาเซียร์ไม่รู้ไม่ได้ กาเซียร์เลยต้องรู้”

เสียงพร่ำพูดนั้นบอกชัดว่าน้อยใจเรื่องนี้อยู่ลึกๆ อาบูจาทรุดอยู่กับพื้นหมดแรง ซีเซล เฮเดรสยืนเถ่อ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาทูลกระหม่อมน้อย

“แต่กาเซียร์ก็พอรู้เรื่องเจ้าหญิงบ้างจากพี่อานู พี่นียา แล้วพี่ทั้งสองเคยบอกว่าเจ้าหญิงเป็นคนที่สวยมากและใจดีเหมือนนางฟ้า...เป็นธิดาแห่งดวงดาว สูงศักดิ์ราวเทพธิดา เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ยอมละทิ้งความรักของตนเองเพื่อประชาชน...กาเซียร์อยากเจอสักครั้ง อยากเห็นด้วยตาตัวเอง อยากดูว่าคนที่สามารถทำให้เจสเซอร์รักได้ขนาดนั้นจะเป็นยังไง อยากเจอสักครั้ง ครั้งเดียวก็พอ” เสียงตอนท้ายเบาหวิว น้ำใสคลอดวงเนตรงาม ก่อนจะรินลงอาบแก้ม ปลายนิ้วปาดหยาดหยดความเศร้านั้นออก ไม่ต้องการให้ข้ารองบาทได้เห็นน้ำตาแห่งความตรอมตรม

“ทูนหัวของอาบูจา” พี่เลี้ยงที่นั่งนิ่งอยู่นาน กอดเข่าทูลกระหม่อมน้อยไว้แน่น น้ำตาไหลรินเพราะความสงสาร แต่หาคำพูดปลอบใจให้ดีไปกว่านิ่งเฉยไม่ได้

“ทุกคนอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ...กาเซียร์ไม่เป็นไรหรอก ถึงเจสเซอร์ไม่ได้รักกาเซียร์ แต่ก็ไม่ได้เกลียดไม่ใช่หรือจ๊ะ?” จำต้องเอ่ยเช่นนั้นเพราะตระหนักดีว่า ถ้านางเศร้าโศก คนเหล่านี้ก็จะพลอยทุกข์ใจไปด้วย จึงต้องฝืนยิ้มไว้ ต้องร่าเริงอยู่เสมอเท่านั้น จึงจะสามารถตอบแทนความดี ความเอาใจใส่ที่คนเหล่านี้มีต่อนาง เพราะนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางทำได้ เป็นสิ่งเดียวจริงๆ

นกน้อยชิบิบินมาเกาะกิ่งไม้ใกล้ๆ ส่งเสียงร้องเหมือนต้องการปลอบใจ ทั้งซีเซล เฮเดรสและสบตากัน...เจ็บปวดในใจสุดบรรยาย



ลำแสงอ่อนๆ จากโคมระย้าบนเพดาน ขับให้ห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีทองสว่างขึ้นทันตา โต๊ะกระจกทรงรีวางกึ่งกลาง โซฟาชุดใหญ่ที่บุผ้ากำมะหยี่ปักลายมังกรผงาด แสดงความยิ่งใหญ่ของเจ้าผู้ครอบครองอาณาจักร ดูโดดเด่นด้วยกุหลาบสีแดงเพลิงจัดแต่งลงตัวในแจกันลายคราม

“ประทับคอยสักครู่ ไม่นานท่านจ้าวก็เสด็จเพคะ” นางกำนัลรายงาน ก่อนจะถอยออกไปยืนต้อนรับท่านจ้าวที่ประตูทางเข้าด้านหน้า

ร่างบางอยู่ในชุดสีทอง สง่างามสมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งดาวดาว เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเกล้าสูงอวดลำคอระหง สร้อยคอเส้นเล็กเข้ากับชุดตัวยาว งามเลิศยากหาสิ่งเปรียบเปรย

“ที่นี่สวยจังเลยนะเอริเซียร์”

“เพคะ” มิได้ใส่ใจนัก “ไม่รู้ว่าคนที่ชื่อกาเซียร์อะไรนั่นจะมาด้วยหรือเปล่า” ยังคงคิดใจเรื่องนี้ หากพี่นางแสร้างทำเป็นไม่ได้ยิน ทำให้ต้องเงียบไปเอง

“ท่านจ้าวเสด็จ”

รอคอยได้พักใหญ่ เสียงนายทหารที่ยืนระวังอยู่ด้านหน้าประกาศก้อง นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างประตูด้านในคุกเข่าก้มหน้า ก่อนจะก้มกาบแทบเท้า เมื่อร่างสูงโปร่งก้าวผ่านเข้ามาในห้อง

เปอร์ซิโฟเน่รู้สึกว่าเวลาเดินช้าเหลือเกิน สายตาทอดต่ำ...ร่างกายใต้ชุดสีนิลที่คุ้นเคย เวลานี้อยู่เบื้องหน้า ถ้าเพียงแค่เงยหน้าขึ้นก็จะได้พบ หทัยดวงน้อยเต้นระรัวเร็ว เนตรงามเลื่อนขึ้นทีละนิดอย่างละล้าละลัง อยากพิษใบหน้าชายผู้เป็นที่รักใจแทบขาด แต่อีกใจยังหวั่นว่าสิ่งที่ได้รับจะมีเพียงสายตาเฉยชา

“คาคูด้ายินดีเป็ฯอย่างยิ่งที่มีโอกาสต้อนรับเจ้าหญิงจากนาบู...ธิดาแห่งดวงดาว” กระแสเสียงก้องกังวานไปทั่วห้อง

เปอร์ซิโฟเน่ยิ่งหวาดหวั่น เมื่อดวงตาเขียวอำพันคู่นั้นฉายแววอ่อนโยน โดเรียสเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าดูเคร่งขรึมกว่าเก่าก่อน หากแต่งดงามยิ่งนัก

เจ้าหญิงทั้งสองนิ่งอึ้ง ดั่งถูกมนต์ขลังสะกดอยู่เกือบอึดใจ ก่อนจะย่อกายลง

“ถวายพระพรเพคะ”

ท่านจ้าวโดเรียสเหยียดยิ้มเพียงน้อยนิด แล้วใบหน้าก็กลับเคร่งขรึมตามเดิม

“หม่อมฉัน...” เปอร์ซิโฟเน่อยากกล่าวถึงเรื่องราวมากมาย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก เรารู้เรื่องทั้งหมดจากซีเซล เฮเดรสแล้ว” เอ่ยเหมือนรู้ความในใจตั้งแต่ปราดแรกที่สบตา “ขอให้คิดซะว่าที่นี่เป็นนาบู บ้านของเจ้าหญิง”

ใบหน้าคมเข้มไม่ได้บึ้งตึงแม้เพียงนิด แต่เสียงที่ราบเรียบนั้นทำให้เปอร์ซิโฟเน่รู้สึกหนาวสะท้าน นางไมได้ต้องการขนาดให้โดเรียสโผเข้ากอดอย่างรักใคร่ แต่ไม่น่าจะใช้ถ้อยคำที่แห่งเหินถึงเพียงนี้

“หม่อมฉันไม่ได้ต้องการรบกวนท่านจ้าวไปมากกว่านี้” อาการไหวสะท้านคล้ายกับสะอื้น

“พะ...เรียงต้องการลี้ภัย” นางหลุบตาต่ำไม่กล้าสบตาทรงอำนาจ หวาดกลัวจับจิต แต่ไม่รู้ว่ากลัวอะไรกันแน่

“พี่...” ร่างสูงโปร่งนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะแอบถอนหายใจ “เราได้รับการติดต่อมาจากนาบูแล้ว และเพิ่มได้รับการยืนยันมาว่า พรุ่งนี้ยานที่นำเสด็จจะมาถึงที่นี่”

ถ้อยคำอยากเอ่ยตอนต้นมิได้หลุดปาก หากแต่พูเรื่องอื่นแทน กระแสเสียงยังคงห่างเหิน เปอร์ซิโฟเน่เองก็สัมผัสได้ชัดเจน แต่เจ้าหญิงอีกนางดูจะไมได้สะกิดใจกับเรื่องนี้

“ท่านจ้าวทรงรับผู้ลี้ภัยจากนาบู ไม่เกรงว่าจะเป็นปฏิปักษ์ต่อสหพันธ์หรือเพคะ?” เอริเซียร์ถาม ด้วยไม่ทันสังเกตว่าพี่นางอยู่ในอาการใด

“หมายถึงท่านจ้าวมิคาเอลน่ะหรือ?” ดวงเนตรคมจับจ้องที่เปอร์ซิโฟเน่เมื่อย้อนถาม ดั่งต้องการเชือดเฉือนหัวใจนางให้เจ็บช้ำ

น้ำตาไหลรินทั้งที่พยายามหักห้าม หญิงสาวเบือนหน้าหนี ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นน้ำตาแห่งความผิดหวัง เพรามันยิ่งดูเหมือนว่านางกำลังเรียกร้องความสงสาร แม้ไม่ต้องการเช่นนั้น แต่ร่างบางกลับสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นไห้

“เปอร์ซิโฟเน่ พี่...” เสียงแผ่วโหยด้วยสำนึกผิดที่ทำให้นางเจ็บปวด

ร่างบางเบื้องหน้าสั่นระริก สะอื้นไห้แทบขาดใจ มือแข็งแรงยื่นออกจนเกือบถึงท่อนแขนเรียว อยากไขว่คว้าร่างบางสวมกอดให้คลายคิดถึง แต่กลับละล้าละลัง...สับสนยิ่งนัก

โดเรียสพยายามหักห้ามความรู้สึกผิดถูกอย่างเต็มกำลัง...
หากอีกไม่ถึงอึดใจก็พ่ายแพ้...
แพ้ต่อความต้องการที่สุมแน่นอยู่ในอก...

“เปอร์ซิโฟเน่...” ร่างบางถูกคว้าเข้าสู่อ้อมแขนด้วยไม่อาจห้ามใจได้อีกต่อไป ทุกสิ่งราวกับหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านั้น ไม่ต้องการวจีใดๆ มาเอ่ยอ้าง ปล่อยให้สัมผัสแห่งรักถ่ายทอดความรู้สึกอัดอั้นให้กันและกันได้รับรู้

เอริเซียร์ย่อกาย...พาตัวออกห่าง ไม่ต้องการบกวนคู่รักที่จากกันมานานแสนนาน ดีใจที่เจ้าพี่ของนางจะได้พบกับความสุขเสียที แม้จะยังไม่แน่ใจอะไรหลายๆ อย่าง แค่ได้รู้ว่าท่านจ้าวโดเรียสยังมั่นรักในเปอร์ซิโฟเน่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“โดเรียส...หม่อมฉันขอประทานอภัยทุกเรื่องที่เคยกระทำ” เสียงยังคงสั่นเครือดวงเนตรอำพันตอบแทนวาจา พี่เข้าใจเจ้า เข้าใจความจำเป็นทั้งหมดของเจ้า

“ยังทรงรักหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ? รับสั่งสิเพคะว่ายังทรงมั่นในรัก ฝ่าบาทมิได้ทรงเปลี่ยนแปลง”

เรียวปากงามยิ้มอ่อนๆ เป็นคำตอบ

“พี่ขอโทษที่ทำเรื่องร้ายๆ อีกทั้งเมื่อครู่พี่ยัง...ไ สบตานางอย่างสำนึกผิด

“โดเรียส...พระองค์ทรงทราบไหมเพคะ การที่ทรงหายไปทำให้หม่อมฉันคิดว่าทรง...” ไม่กล้าเอ่ยคำนั้นออกมา “แต่แล้วก็มีข่าวว่าเสด็จกลับมา หม่อมฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นอย่างมาก อย่างน้อยก็ทรงปลอดภัย หม่อมฉันเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะเสด็จไปรับหม่อมฉัน...แต่อีกใจก็คิดว่าคงจะทรงเกลียดหม่อมฉันแล้ว ไม่มีทางที่จะทรงกระทำเช่นนั้นเป็นแน่” เสียงสั่นเครือ ดวงเนตรงามหลุบต่ำดั่งจะสงบใจ

“เปอร์ซิโฟเน่ ไม่ใช่นะ...พี่ไม่ได้...” รีบปฏิเสธอย่างร้อนใจ พลางกุมมือเรียวเล็กไว้มั่น

เปอร์ซิโฟเน่ยิ้มอ่อนหวานเป็นคำตอบ ก่อนจะเอ่ยต่อ

“หม่อมฉันมารู้ทีหลังว่า พระองค์ทรงทำพันธสัญญาฉบับหนึ่งกับท่านจ้าวเมฟาตีส หม่อมฉันก็พอมีความหวัง หม่อมฉันเฝ้าหลอกตัวเองว่า ที่ไม่เสด็จไปรับหม่อมฉัน คงเป็นเพราะสัญญาฉบับนั้น...แต่อีกใจก็ไม่วายคิดอีกว่า คงประสงค์เช่นนั้นจริงๆ พระองค์ทรงเกลียดหม่อมฉันแล้ว จึงได้ตกลงทำสัญญาฉบับนั้นอย่างไม่ลังเลพระทัย” น้ำเสียงหม่นเศร้าเหลือเกิน

“โดเรียส” ดวงเนตรทั้งคู่สบประสาน “พระองค์มิได้เกลียดหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ” อ้อนวอนดั่งต้องการคำตอบที่คั่งค้างในหัวใจมานานแสนนาน

“เปอร์ซิโฟเน่ ฟังพี่นะ...พี่อาจจะเคยโกรธเคยเกลียดคนมามากมาย แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะเป็นเส้นขนานกับเจ้าตลอดไป” เอ่ยหนักแน่น สบเนตรงาม

“ตลอดเวลาหกร้อยปี มันช่างดูเนิ่นนานเหลือเกิน ไม่มีเลยที่พี่จะไม่คิดถึงเจ้า พี่จะทำอะไรก็ไม่สบายใจ พี่อยากเจอเจ้าใจแทบขาด อยากพูดคุยไกล่เกลี่ยปัญหาที่ค้างคา อยากขอโทษเจ้า อยากชดใช้ความผิดที่พี่เคยกระทำ อยากไถ่โทษให้ตัวเอง...ภาพสุดท้ายที่พี่เห็นเจ้า คือภาพที่สองแก้มเต็มไปด้วยน้ำตา ภาพใบหน้าที่เจ็บปวดแสนสาหัส ความเจ็บปวดที่เกิดจากการกระทำของพี่...แต่วันนี้พี่ได้พูด ได้อธิบายให้เจ้าฟัง ให้เจ้าได้เข้าใจ...พี่รู้สึกสบายใจเหลือเกิน เหมือนยกภูเขาที่ต้องทนแบกไว้มานานออกจากอก ความรู้สึกมืดมนที่อยู่ในใจหายไปหมด...ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า...”

เสียงตอนท้ายเน้นย้ำ ทุกสิ่งที่อยู่ในใจถ่ายทอดออกมาจนหมด ดวงเนตรเขียวอำพันเป็นประกายระยับ ใบหน้าคมอิ่มเอิบอย่างสุขใจ รั้งร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนกว้าง สิ่งเดียวที่ติดค้างในใจได้ถูกขจัดไปสิ้น นับจากนี้คงไม่มีสิ่งใดที่ทำให้หวาดกลัวได้อีกต่อไป

ร่างบางถูกโอบกอดไว้ ใบหน้างามซุกซบแสวงหาความอบอุ่น ที่นี่ เวลานี้ นางน่าจะเป็นสุขยิ่ง แต่ไยหัวใจยังคงอ้างว้าง? เพราะอะไรกัน? หรือเพราะเรื่องทูลกระหม่อมกาเซียร์ที่เคยได้ยินมา ขอให้เป็นแค่นั้นด้วยเถอะ...เปอร์ซิโฟเน่เฝ้าวิงวอน



เอริเซียร์ออกมานอกตำหนักรับรอง เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งคนรักอยู่กันตามลำพัง นางเดินไปตามถนนสายเล็กๆ ที่ทอดยาวคดเคี้ยวไปมา..พรรณไม้นานาชนิดเบ่งบาน เสียงนกร้องแผ่วเบา สายลมอ่อนพัดผ่าน คิดอะไรเพลิดเพลินอย่างสุขใจ

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ” เสียงที่คุ้นหูดังมาจากเบื้องหลัง

“เฮเดรส” ใบหน้างามได้รูปเบือนไปทางต้นเสียง ดวงตากลมโตสะท้อนแสงทองยามรุ่งอรุณ อวดโฉมแห่งสาวแรกรุ่น นางมีรูปโฉมมิได้ด้อยไปกว่าพี่นาง หากแต่ลักษณะประจำตัวดูจะต่างกันชัดเจน เปอร์ซิโฟเน่อ่อนโยนดุจศศิคืนเพ็ญ แต่เอริเซียร์จะมาดมั่น งดงามดุจดั่งพระอาทิตย์แผดกล้า

ร่างกำยำยืนเท้าชิด พลางโค้งคำนับอยู่เบื้องหน้า ปราดหนึ่งแววตาคู่งามมีความชื่นชมระคนพึงพอใจแฝงอยู่ลึกๆ แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนไป เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นยิ้มตรงมุมปากเพียงนิดอย่างสุขุม

“ประทับอยู่องค์เดียวหรือพระเจ้าค่ะ?”

“ถ้าไม่อยู่คนเดียวจะให้อยู่กับผีหรือไง ก็เห็นๆ อยู่” เสียงสะบัดจนอีกฝ่ายสัมผัสได้

ไม่คิดจะสนทนาดีๆ กับเราเลยหรือไง...เฮเดรสอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ตัดสินใจว่าไม่ควรอยู่ที่นี่จะดีกว่า

“เกล้ากระหม่อมทูลลา” คำนับเสร็จก็รีบถอยออกห่างทันที แต่ยังไม่ทันได้หันหลังกลับ

“เกลียดขี้หน้าเราขนาดนั้นเลยหรือไง?” เสียงถามสะบัด แฝงความน้อยใจอยู่กลายๆ หากอีกฝ่ายคงมิได้สังเกตด้วยไม่สันทัดเรื่องทำนองนี้

“มิกล้าพระเจ้าค่ะ...ถึงเกล้ากระหม่อมจะความรู้สึกช้า แต่ก็พอรู้ว่ามิได้ทรงโปรด”

“เจ้า!” ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้ตัวสักนิด ไม่รู้ว่านางรู้สึกเช่นไร

เฮเดรสสบเนตรที่ปรายมาทางตน รับรู้เพียงว่ามีแววตัดพ้อ แต่ไม่รู้ว่าตัดพ้อตนเรื่องอะไร ถ้าเป็นแววจงเกลียดจงชังองครักษ์หนุ่มยังจะหาเหตุผลได้ง่ายเสียกว่า

เอริเซียร์เข้าใจดี เฮเดรสไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของนาง ไม่มีทางเข้าใจ ทั้งที่ตระหนักเช่นนั้น แต่ก็ยังอยากอยู่ใกล้ อากอยู่ด้วยกันตามลำพัง อยากพูดคุยด้วยดีๆ แต่ไยทุกครั้งที่ได้พบกลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ในใจเสียทุกที

ความเงียบเข้าเกาะกุมบรรยากาศพักใหญ่

“เอาละ เราไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า...เรามีเรื่องจะถามหน่อย” เสียงอ่อนลงกว่าตอนแรกมาก

“เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ?”

“เจ้าสัญญาก่อนว่าจะตอบความจริงกับเราทุกเรื่อง” พยายามคุยด้วยดีๆ หวังให้การสนทนาดำเนินไปยืดกว่าที่เคยเป็น

“นั่นมันก็ต้องแล้วแต่ว่า หม่อมฉันรู้เรืองไม่” น้ำเสียงเย็นชากระตุนอารมณ์

“เราว่าเจ้ารู้ แต่อาจไม่ตอบตามตรง”

“เกล้ากระหม่อมไม่มีเหตุต้องบิดเบือน”

“มีสิ...ก็เจ้าไม่พอใจเรา”

แน่ใจว่าเฮเดรสจะตอบกลับมา แต่ดูเหมือนดวงหน้าคมเข้มยังวางเฉย แถมยังถอนหายใจแรง จงใจให้รับรู้ว่าไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนาง แถมยังแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา

“ผู้หญิงที่ชื่อกาเซียร์เป็นใคร?” เสียงสะบัดอย่างแค้นเคือง มิได้ให้เกียรติบุคคลที่เอ่ยถึงแม้สักนิด นึกหมั่นไส้ใบหน้าเย่อหยิ่งอวดดีนั้นนัก แต่จำต้องยอมให้เพราะนางมีเรื่องสำคัญที่ต้องซักไซ้จากอีกฝ่าย

เฮเดรสแปลกใจไม่น้อยที่เจ้าหญิงทราบเรื่องทูลกระหม่อมเร็วถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับตกใจจนแสดงออกทางสีหน้า หากเวลานี้กลับรู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงทูกระหม่อมน้อยของตนห้วนๆ เช่นนั้น

“ทรงเป็นพระชายาท่านจ้าวโดเรียส” ตอบน้ำเสียงปกติค่อนไปทางเฉยชาเสียด้วยซ้ำ ไม่แสดงท่าทีว่าต้องการปิดบังบิดเบือนอย่างที่เอริเซียร์คิดไว้ ทำเอานางแปลกใจ

“ใช่แน่หรือ? ในวังนี้ไม่เห็นมีใครรู้สักคนว่าท่านจ้าวโดเรียสทรงมีพระชายาที่ชื่อกาเซียร์”

“หึ...ประทับที่นี่เพียงข้ามวัน ทรงถามคนในวังทั่วแล้วหรือพระเจ้าค่ะ?” เฮเดรส ยอกย้อน ดูแคลน

“ไม่หมดแต่ก็มากพอดูละ” ปันหน้าตึงเกลื่อนอารมณ์ฉุน

“เกล้ากระหม่อมเชื่อว่ามากพอ” ถ้อยคำนั้นทำเอาเอริเซียร์ถึงกับสะดุ้ง ไม่คิดว่าเฮเดรสจะต่อว่านางไม่เจ็บแสบถึงเพียงนี้ “แล้วจำเป็นด้วยหรือพระเจ้าค่ะ ที่ต้องป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าทูลกระหม่อมเป็นใคร และที่สำคัญคือ ทรงเป็นชายาของท่านจ้าวโดเรียส ไม่ใช่พระชายาของจักรพรรดิแห่งคาคูด้า”

เอริเซียร์ขัดใจขึ้นอีก การกระทำของเฮเดรสในเวลานี้เหมือนไม่สนใจหรือใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่นางมีความรู้สึกที่ดีต่อเขา...แค้นยิ่งนัก

“อ้อ...พระชายาของท่านจ้าวโดเรียส ไม่ใช่พระชายาของจักรพรรดิแห่งคาคูด้า..” เอ่ยอย่างต้องการยั่วเฮเดรส “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง เราว่าเจ้าคงใช้คำผิดแล้วกระมัง อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าพระชายาหรอกนะ...เขาต้องเรียกว่านางบำ...!”

คำที่เอ่ยกลับชะงักเพียงเท่านั้น สาตาคมกริบที่จับจ้องนางในเวลานี้ส่อแววกระด้างดุดันโดยแท้ ถือขืนยังกล่าวคำนั้นออกมา เฮเดรสต้องฉุนขาดเป็นแน่ และนางตระหนักได้ดีว่า เวลาที่ทหารหาญของคาคูด้าผู้นี้หมดความอดทนนั้น น่าหวาดสะพรึงเพียงใด

“คนอื่นจะมองทูลกระหม่อมกาเซียร์เป็นอะไรก็ช่าง แต่สำหรับพวกเกล้ากระหม่อม ทรงเป็นพระชายาของท่านจ้าวโดเรียส” นิ่งรออยู่ท่าทีเจ้าหญิง ก่อนจะเน้นถ้อยคำที่กระด้างพอๆ กับแววตาว่า “ถ้ามีใครหน้าไหนมาทำให้ทรงเสียพระทัย เป็นได้เจอดีแน่!”

“เฮเดรส” กระแสเสียงของท่านจ้าวโดเรียสลอยมาจากฟากหนึ่ง ก้าวเข้ามาพร้อมกับเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่

เฮเดรสยังคงจ้องใบหน้างามที่ตกตะลึงจนซีดเผือดพักใหญ่ ก่อนจะหันไปคำนับทั้งสองที่เพิ่มมาถึง

“ซีเซลล่ะ?” ถามเพราะน้อยครั้งจะเห็นคู่นี้แยกกันอยู่ ไม่ทันสังเกตใบหน้าซีดเผือดของเจ้าหญิงเอริเซียร์

“เข้าเฝ้าทูลกระหม่อมกาเซียร์พระเจ้าค่ะ” ตอบคำถามดั่งต้องการบอกให้เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ทราบ ด้วยอยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าเหนือหัวจะแก้ตัวอย่างไรกับเรื่องนี้

“กาเซียร์คือใครเพคะ?” เอริเซียร์ได้โอกาสถามข้อสงสัยทันที ยังคงแค้นที่เฮเดรสตวาดใส่หน้าเมื่อครู่

โดเรียสตวัดสายตากระด้างมาทางเฮเดรสดั่งจะต่อว่า ก่อนจะเบือนกลับไปทางเจ้าหญิงเอริเซียร์

“นางเป็นมนุษย์จากดาวสีน้ำเงิน...” ยังไม่ทันได้เอ่ยต่อ เฮริเซียร์ก็ถามแทรกขึ้น

“ที่หม่อมฉันทราบมา นางเป็นพระชายาของพระองค์ไม่ใช่หรือเพคะ?”

“เอริเซียร์...” เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่รีบปรามขนิษฐา แต่ก็ถูกท่านจ้าวโดเรียสรั้งแขนไว้ก่อน

“นางเป็นชาชาของเราจริง แต่นางจะไม่ออกมาวุ่นวายข้างนอก นางอยู่แต่ในตำหนักใน เจ้าไม่ต้องห่วง” ตอบเอริเซียร์ แต่นัยน์ตาคมกริบกลับทิ้งไว้ที่เปอร์ซิโฟเน่ เฝ้าสังเกตท่าทีของหญิงคนรัก และไม่ผิดหวังเมื่อได้รับรอยยิ้มอ่อนหวานกลับมา โดเรียสแอบถอนหายใจ รู้สึกว่าสิ่งที่ครั่งค้างมานานมลายหายไปสิ้น

“ที่แท้ก็แค่นางบำเรอ...” เอริเซียร์ออมเสียงตั้งใจไม่ให้ท่านจ้าวโดเรียสได้ยิน แค่ต้องการตอกหน้าเฮเดรสที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“เอริเซียร์...เจ้าพูดอะไรเช่นนั้น มันไม่เหมาะ” เปอร์ซิโฟเน่ปรามเสียงแข็ง ก่อนจะหันมาส่งสายตาแก่บุรุษที่อยู่ใกล้ดั่งจะขออภัยแทนขนิษฐา โดเรียสยิ้มรับอย่างว่าง่าย

เฮเดรสมองเจ้าเหนือหัวอย่างผิดหวัง ในหัวใจคงมีแต่เรื่องเจ้าหญิง เกรงว่าเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่จะไม่เข้าใจเรื่องทูลกระหม่อมกาเซียร์ แล้วเรื่องที่เจ้าหญิงเอริเซียร์เรียกทูลกระหม่อมน้อยว่านางบำเรอล่ะ ไม่สนพระทัยเลยหรือไร? หรือสำหรับเจ้าเหนือหัวแล้วนางมีค่าเพียงเท่านั้น?








greenteagreentea





 

Create Date : 13 ตุลาคม 2552
2 comments
Last Update : 13 ตุลาคม 2552 22:01:39 น.
Counter : 572 Pageviews.

 

เดียวต้องปรินต์ไปอ่านละ

 

โดย: jamjuree (nuchock ) 13 ตุลาคม 2552 11:24:20 น.  

 

ยินดีค่ะคุณ jamjuree ดอกไม้สวยจังค่ะ กล้วยไม้ดอกเยื่อมาก

 

โดย: adel_ew 14 ตุลาคม 2552 10:27:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.