<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
14 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 14



14.-


ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ต่างไปจากทุกวัน ความมืดมิดยังคงปกคลุม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ทำไมวันนี้รู้สึกกลัวความมืดที่อยู่ตรงหน้า กลัวว่าอาจถูกดูดกลืนเข้าไปในความเวิ้งว้างกว้างใหญ่นั้น

อาภรณ์ยาวพลิ้วไหว ยามเมื่อสายลมเอื่อยพัดผ่าน ร่างเพรียวบางยืนพิงราวระเบียง เรือนผมถูกปล่อยเป็นอิสระเคลียแผ่นหลัง ดวงตานิลระยับช้อนขึ้นสู่น่านฟ้า สีหน้าสะท้อนความหม่นเศร้าที่เกาะกินหัวใจ

“ทูลกระหม่อม บรรทมเถอะเพคะ นี่ก็ดึงมากแล้วนะเพคะ” อานูเอยต่อผู้เป็นนาย ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอนเลยแม้แต่น้อย

“นอนแล้ว...แต่มันนอนไม่หลับนี่นา” นางเข้านอนแล้วก่อนที่อาบูจาจะกลับไป แต่ก็เพียงแค่แกล้งหลับ เพราะไม่ต้องการฟังเสียงเซ้าซี้ของพี่เลี้ยงร่างอ้วน

“อย่างนั้นเรียกบรรทมด้วยหรือเพคะ” อานูเอ่ยอย่างอ่อนใจ

ร่างบางยังคงนิ่งเฉย

“บรรทมเถอะนะเพคะ พวกหม่อมฉันง่วงแล้ว” เมื่ออานูจนปัญญา นียาลองใช้ไม้ตายนี้ดู เพราะทั้งสองรู้จักทูลกระหม่อมน้อยดีพอ

“ง่วงก็นอนสิ” น้ำคำมีเค้าแห้งแล้ง

“ถ้าพวกหม่อมฉันนอน แล้วเกิดพระพี่เลี้ยงมาพบเข้า พวกหม่อมฉันก็แย่น่ะสิเพคะ แค่เรื่องเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ก็โดนหนักแล้ว” นียาตอบเสียงอ่อย

กาเซียร์ยอมปรายตามองทั้งคู่ พลางเอ่ยเสียงราบเรียบ

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกาเซียร์เป็นยามให้เอง ถ้ามาจะปลุก” ไม่พอใจที่โดนรบเร้าถึงจะรู้สึกผิดไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุให้ทั้งคู่เดือดร้อน แต่ก็ยืนยันที่จะอยู่ดูดาวต่อ เบือนมองออกไปภายนอกดังเดิม

“ดูรับสั่งเข้า” นียาได้แต่สบตาอานูอย่างจนปัญญา ถ้าดื้อเช่นนี้ คงมีแต่ท่านจ้าวเท่านั้นกระมังที่จะกำราบความดื้อและแสนงอนนี้ได้...อยากให้ท่านจ้าวเสด็จมาจัง ทั้งสองแอบคิดเช่นนั้น

เพราะมัวแต่สนใจร่างบางตรงหน้า เลยมิทันสังเกตว่าองค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้ามาอยู่ด้านหลังได้ครู่ใหญ่แล้ว รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเสียงทุ้มต่ำแทรกความเงียบขึ้น

“ดื้อไม่เข้าเรื่อง”

เสียงนั้นทำเอากาเซียร์เกือบสะดุ้ง ไม่คิดว่าท่านจ้าวจะเสด็จ ทว่าอานู นียาถึงกับแอบยิ้ม เพราะสิ่งที่นึกไว้เป็นจริงแล้ว ทีนี้ทูลกระหม่อมน้อยจะกล้าดื้อกับท่านจ้าวอีกหรือเปล่า อยากรู้นัก...แต่เห็นควรว่าพวกนางควรต้องรีบหลบฉากไปเสียโดยเร็วคงจะดีกว่า

“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”

เมื่อท่านจ้าวพยักหน้า ทั้งคู่จึงลุกขึ้นคลานเข่าผ่านไปอย่างระมัดระวัง

“พี่อานู พี่นียา กาเซียร์ไม่ให้ไปนะ” ห้ามเสียงแข็ง เพราะรู้ตัวดีว่าต้องโดนเอ็ดจึงคิดจะถ่วงเวลา แม้น้อยนิดก็ยังดี

“เจ้าสองคนไปได้แล้ว” ผู้มีอำนาจกว่าสั่งราบเรียบ

อานู นียา แลไปทางทูลกระหม่อมน้อยนิดหน่อย เมื่อคลานเข่าห่างได้ระยะจึงค่อยหยัดกายขึ้นยืน ก้าวออกไปจากห้องให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะปิดประตูลงแผ่วเบา

ท่านจ้าวเบือนหน้ากลับมายังร่างบอบบางที่ทำกะบึงกะบอนระคนดื้อดึง มองตามหลังนางกำนัลทั้งคู่ ดั่งอยากจะตามออกไปด้วยเสียนักหนา แม้ทั้งคู่จะออกไปได้พักใหญ่ หากดวงตาคู่นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะปรายมาทางพระองค์แม้แต่น้อย ผู้มากวัยกว่าจำต้องหลุดปากก่อนถามอย่างเสียไม่ได้

“แล้วทำไมไม่ยอมนอน นี่ก็ดึกมากแล้วนะ” เสียงราบเรียบมีเค้าไม่พอใจระคนรำคาญที่ต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ

กาเซียร์ยังคงนิ่งเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามเมื่อครู่ รั้นอย่างไม่มีเหตุผล...ในสายตาท่านจ้าวเห็นเป็นเช่นนั้น

“ทำไมกาเซียร์ชอบทำตัวเหลวไหล? ต้องให้ดูแลอยู่เรื่อย เหมือนเด็กไม่รู้จักโต”

ถ้อยคำบ่งชัดว่ารำคาญและอ่อนใจกับเรื่องนี้ ถึงแม้จะไม่ได้จ้องมองโดยตรงแต่ผู้เยาว์วัยกว่าก็รู้ว่า ดวงตาที่มองตนเวลานี้คงมีแต่ความเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา

ความเงียบเข้าครอบงำห้องกว้างในบัดดล

ท่านจ้าวยังคงยืนนิ่ง มิได้เอ่ยอะไรอีก นอกจากจ้องหน้ากระเง้ากระงอดดั่งรอดูว่าสาวน้อยจะทนเล่นสงครามเงียบได้นานสักเพียงใด

ทูลกระหม่อมน้อยแอบปรายตาสังเกตท่าทีอีกฝ่ายหลายต่อหลายหน

ทว่าเรียวปากของผู้มากวัยกว่ายังเม้มสนิท ไม่มีเค้าจะกล่าวกระไร แถมยังถอยไปพิงผนังห้อง กอดอกหลวมๆ จ้องมองเขม็ง วัตถุประสงค์เดิมคือต้องการกดดันเด็กดื้อเบื้องหน้า

เวลาล่วงไปอีกพักใหญ่ สิ่งที่ท่านจ้าวกระทำดูจะสัมฤทธิผล เพราะผู้เยาว์วัยกว่าอึดอัดจนต้องหลุดปากอย่างเสียไม่ได้ “กาเซียร์ยังไม่ง่วงนี่คะ”

ท่านจ้าววางเฉยอยู่เกือบอึดใจ ก่อนจะขยับตัวหลังจากยืนท่าเดิมอยู่เป็นนาน พลางเอ่ยเสียงห้วน “แต่พี่ง่วง แล้วก็ง่วงมากด้วย”

คนโดนตำหนิเหลืองมองกึ่งกล้ากึ่งกลัว พลางบ่นกระปอดกระแปดเบาๆ

“เกี่ยวกันตรงไหน...ถ้าง่วงก็นอนสิ ใครเขาห้ามล่ะ” ทันทีนั้น ดวงเนตรคมมองประสานมาทำเอาผู้เยาว์วัยกว่าเกือบสะดุ้ง รีบเบือนหน้าหนี หมุนตัวไปทางระเบียง

อยากรู้นักว่าจะทำอย่างไร อยากโกรธก็โกรธไป อยากว่าก็ว่าไป กาเซียร์ไม่กลัวหรอก ไม่สนใจแล้วด้วย...อยากฆ่าก็ฆ่าเลย เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว จะต้องกลัวอะไรอีก...อีกฝ่ายคิดไปไกลแบบเด็กไม่รู้จักโต

ท่านจ้าวรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง กาเซียร์ไม่เคยดื้อกับพระองค์สักครั้ง แต่ยังไม่เข้าใจว่างอนเรื่องใด หรือเพราะพระองค์ไม่ได้มาหาตอนเช้า หรือว่าซีเซล เฮเดรสจะมาใส่ไฟอะไรไว้ คงเป็นอย่างหลังเสียกระมัง

ไอ้พวกบ้าเอ๊ย! ชอบหาเรื่องให้ข้านักเชียว...ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมแพ้เด็กดื้อเบื้องหน้า

“กาเซียร์โกรธพี่เรื่องอะไรคะ? หือ...หรือโกรธที่พี่ไม่ได้มาหาเมื่อเช้า”

ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง...เจสเซอร์ไม่ได้โกรธ ไฉนถามอย่างนั้น ทำเอาเด็กดื้ออึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบตะกุกตะกัก

“ปะ...เปล่าค่ะ ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรให้โกรธนี่คะ” รีบเฉไฉไปเรื่องอื่น “เอ่อ...กาเซียร์ง่วงแล้ว จะนอนแล้วนะคะ”

ประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับก้าวเท่าเร็วๆ จะตรงไปทางเตียงนอน โดยเลี่ยงไปอีกทาง ไม่ยอมผ่านหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี

“เดี๋ยวก่อน!” โดเรียสก้าวเข้าหาร่างบางทันที “พี่ว่า...เราต้องคุยกันยาวแล้วนะ” คว้าท่อนแขนกลมกลึงไว้ พลางออกแรงกระตุกเพียงเบาๆ ร่างบางก็ปลิวเข้าสู่อ้อมแขนอย่างง่ายดาย

“กะ...กาเซียร์ง่วงแล้วค่ะ จะนอนแล้วจริงๆ ปล่อยสิคะ” พยายามดิ้นหนี แต่ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะโดเรียสตวัดแขนโอบเอวคอด รั้งร่างบางลอยลิ่วพ้นพื้น เมื่อเท้าไม่ติดพื้นก็หมดหนทางหนี แต่ก็ยังดิ้นเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม

“ปลอ่ยกาเซียร์นะ!” เสียงใสเกือบตวาด คงโกรธท่านจ้าวเข้าแล้วจริงๆ

“ปล่อยนะ...ปล่อย กาเซียร์เจ็บนะ” ได้ผล เมื่อโอดโอยว่าเจ็บ ท่านจ้าวยอมผ่อนแรงลง แต่ไม่ยอมปล่อย

“ก็ได้...แต่กาเซียร์ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่เดินหนีพี่อีก” เสนอข้อแลกเปลี่ยนสุ้มเสียงล้อเลียน ยิ้มอย่างผู้มีชัย อารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก

“จะให้หนีไปไหน ก็ไม่ได้หนีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ตอบไม่เต็มเสียง ดวงตาหลุบต่ำ

โดเรียสขันท่าทางที่พยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ของน้องตัวน้อย ใบหน้างามงอง้ำ แต่จะอย่างไรก็ไม่ยอมสบตาพระองค์อีกตามเคย

“ว่าไงคะ?” เสียงทุ้มยังเจือหัวเราะ เร่งรัดคำตอบ

“ค่ะ” คนตอบสะบัดหน้าง้ำ ปั้นปึ่ง ท่านจ้าวค่อยๆ คลายท่อนแขนที่รั้งร่างบางออกช้าๆ ดั่งจะเย้าแหย่อย่างนึกสนุก

ทว่าพอเท้าแตะพื้น ร่างบางหันขวับ เตรียมหนีให้ห่าง จึงถูกรวบตัวลอยขึ้นจากพื้นแทบจะทันที

“ปล่อยนะ”

“ไม่ได้รักษาสัญญาเลยนะ ง่วงใช่ไหม...เดี๋ยวพี่จะพาไปที่เตียงเองจะได้ถึงเร็วๆ ไงคะ” เอ่ยพลางอุ้มร่างบางตรงไปทางเตียงนอนกลางห้อง สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังสนุกกับการแกล้งทูลกระหม่อมน้อย

“ไม่ต้อง...กาเซียร์เดินเองได้ บอกไม่ต้องไงคะ!” มือเรียวผลักอกกว้าง หากแต่อีกฝ่ายยิ่งแกล้งรั้งร่างบางมาชิดพระองค์มากขึ้น

“ไม่ต้องมั้ง จะถึงแล้วนี่”

“ปล่อยนะ!” ตวาดดัง หากชายหนุ่มยังเฉย “เจสเซอร์พูดไม่รู้เรื่อง” เสียงใสสะบัดหน้าบึ้งตึงแทบปล่อยโอด้วยจนใจ ไม่รู้จะหนีอย่างไรให้พ้น

“พูดไม่รู้เรื่องอะไรคะ? ก็กาเซียร์บอกว่าง่วง พี่ก็จะพามานอนที่เตียง แล้วยังมาว่าพี่พูดไม่รู้เรื่องอย่างนี้ได้ไง ฮึ” เอ่ยพร้อมๆ กับวางร่างบางลงบนเตรียง จังหวะเดียวกันเด็กดื้อก็รีบพลิกตัวหนี ซุกหน้ากับหมอนหนานุ่ม

“กาเซียร์ ไม่เอาน่าคนดี...อย่าดื้อสิคะ” โดเรียสทิ้งตัวลงข้างๆ ก่อนยันร่างขึ้นจ้องใบหน้าที่ยังไม่ยอมเงยขึ้นจากหมอน

“กาเซียร์...พี่มีเรื่องจะคุยด้วยนะคะ”

ไม่มีเสียงตอบกลับ

“ง่วงจริงหรือคะ? หือ?” กระซิบเบาๆ ข้างหู ลำแขนโอบเอว รั้งน้องตัวน้อยเข้าหาตัว ทอดตามองอ่อนโยน ป่วยการจะเซ้าซี้

“หลับฝันดีนะคะคนดี...” ยอมแพ้เด็กดื้อ ก่อนจะจุมพิตที่แก้มนวลแผ่วเบา ทั้งร่างลง หลับตาพริ้ม เข้าสู่นิทราด้วยความปลอดโปร่ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลัดกลุ้มจนทนไม่ได้ ต้องมาที่ตำหนักในแม้ดึกมากแล้ว



กำแพงสูงตระง่าน กว้างใหญ่ไพศาล กินอาณาเขตจากขอบฟ้าหนึ่งไปจรดอีกขอบฟ้าหนึ่ง เป็นบริเวณ ‘อุทยานเขาวงกต’ ที่มีสีสันสวยงาม กลิ่นหอมของมวลพฤกษานานาพรรณขจรไปไกลชวนให้น่าหลงใหลยิ่งนัก

ทางเดินคดเคี้ยวอยู่ท่ามกลางละเมาะไม้ซึ่งทอดเงาร่มรื่น หญ้าเขียวขจีแซมด้วยดอกเล็กๆ ลาดสลับกับแปลงดอกไม้หลากชนิด ทั้งไม่พุ่มไม้เลื้อย อีกทั้งยังมีประติมากรรมแต่งเป็นระยะๆ ได้อย่างกลมกลืนลงตัว

ใจกลางอุทยาน คือปราสาทคาคูด้าที่เลื่องลือกันว่างดงามเทียบเคียงแดนสวรรค์ ปราสาทสีทองอร่ามตา โอ่อ่าและงดงามทอดตัวยาวเป็นรูปจันทร์เสี้ยว โดดเด่นด้วยซุ้มด้านหน้าที่ตกแต่งเป็นสวนดอกไม้ มีแอ่งน้ำพุขนาดใหญ่พุ่งสูงระยอดปราสาท อลังการไร้สิ่งเปรียบเปรย

จักรพรรดิแห่งคาคูด้าอยู่ในชุดสีนิลอย่างเก่าก่อน ออกสู่นอกตำหนักพร้อมเจ้าหญิงที่มาเยือนคาคูด้าก่อนหน้านี้ทั้งสอง เพื่อรอรับท่านจ้าวลูซิเฟอร์กับคณะผู้ติดตาม

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ” โดเรียสเอ่ยต่อท่านจ้าวลูซิเฟอร์ โดยอีกฝ่ายโน้มตัวต่ำตอบกลับอย่างไม่ถือตัวว่าเป็นเชษฐา

“ถวายพระพรเพคะ” ราชินีเอสทีเซียร์ย่อเข่า พร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนหวาน

“ทรงสง่างามไม่เปลี่ยนเลยนะพระเจ้าค่ะ”

“ขอบพระทัยเพคะ”

ส่วนพระนางมาลาวีโอบกอดธิดาทั้งสองอย่างรักใคร่ เพราะมิได้พบกันเป็นเวลานาน ต่างฝ่ายต่างทักทายด้วยปลื้มปีติ

“พระมารดามาลาวีทรงเกษมสำราญดีหรือพระเจ้าค่ะ”

ผู้ถูกทักเบือนหน้ามาทางเจ้าบ้าน สายสำรวจตั้งแต่ศีรษะจดเท้าดั่งจะค้นหาความเปลี่ยนแปลง

“คนไม่มีแผ่นดินอยู่ จะมีความสุขไปได้อย่างไรเพคะ” ตอบเสียงกระด้าง ตัดเยื่อใยแต่แรกเจอ

บรรยากาศนิ่งสงัดในทันที

“ท่านจ้าวทรงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากนะเพคะ จากเจ้าชายน้อยกลับกลายเป็นองค์จักรพรรดิที่ทรงเคร่งขรึมและสง่างาม” บรรยากาศน่าอึดอัดถูกทำลายลงด้วยเสียงใสของราชินีเอสทีเซียร์

“คงเพราะเหตุการณ์บังคับกระมังพระเจ้าค่ะ” เรียวปากขยับดั่งจะหยักแย้ม หากใบหน้าคมกลับบึ้งตึง เพราะปกติใช่ว่าจะปกปิดอารมณ์ขัดเคืองได้ดีนัก

“นานแล้วนะที่เราไม่ได้มาเยือนที่นี่ ครั้งหลังสุดเห็นจะเป็นตอนที่ตามเสด็จแม่กลับมาเยี่ยมบ้าน ตอนนั้นโดเรียสยังเป็นเจ้าชายน้อยอยู่เลย...ที่นี่ยังคงงดงาม มิได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเลยแม้แต่น้อย” ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ช่วยคลี่คลายสถานการณ์อีกแรง กวาดตาไปรอบๆ โคมไฟแก้วเจียระไนเป็นผลงานชิ้นเอกที่โดดเด่น ห้อยระย้าจากเพดานท้องพระโรง ช่างอลังการยิ่งนัก

“ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ รวมทั้งสวนหน้าซุ้มทางเข้า ดอกไม้เต็มเลย เจ้าเองก็ใช่ว่าจะชอบดอกไม้ พี่ยังจำได้ เจ้าเคยบอกว่าไม่ชอบกลิ่นฉุนของมัน ทั้งๆ ที่คนอื่นเห็นว่าหอม” ยิ้มเชิงเย้าหน่อยๆ

“หม่อมฉันต้องการให้ปราสาทแห่งนี้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด”

“คงเพื่อระลึกถึงพระนางมาเรียสินะ” ท่านจ้าวลูซิเฟอร์เอ่ยถึงพระมารดาของเจ้าบ้าน ซึ่งยิ้มบางๆ เป็นเชิงตอบรับ ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงพระมารดา ดวงหน้าเย่อหยิ่งทะนงในตอนของโดเรียสจะสลดลงทันที ถึงเวลาจะล่วงเลยไปนานเพียงใด แต่กลับมิได้ทำให้โดเรียสลืมความขมขื่นในครั้งนั้นได้เลย

ภาพหนึ่งแทรกเข้ามาในโสตเจ้าแห่งความมืด

นัยน์ตาเขียวแกมอำพันสะท้อนประกายระยับ...เรือนผมสีนิลนั้นพลิ้วไหว เจ้าชายน้อยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางแมกไม้เขียวชอุ่ม มีเด็กชายรุ่นเดียวกันอีกสองคนคอยติดสอยห้อยตามไม่ยอมห่าง

‘ซีเซล เฮเดรสตามมาเร็วๆ สิ...ช้าจัง’ เสียงใสแว่วมาตามสายลมเฉื่อยที่พัดไอเย็นจากผิวน้ำระบายความระอุร้อนของยามบ่ายอ่อนๆ

ร่างระหงนั่นบนแท่นไม้สีเข้ม ปรายตาไปทางต้นเสียงใส ปราดแรกที่จ้องมอง ดวงหน้าเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู แต่แล้วแววตานั้นก็กลับกลายเป็นเศร้าสร้อยเหงาหงอย...ดวงตาหม่นเศร้ายังคงจับจ้องเจ้าชายที่วิ่งตรงมาหา ดั่งต้องการจดจำเก็บภาพลูกน้อยให้ฝังแน่นในดวงจิต

‘เสด็จแม่’ เจ้าของดวงตาประกายอำพัน วิ่งเข้ามาทรุดนั่งข้างๆ ก่อนจะล้มตัวลงบนตักของพระมารดา หลับตาพริ้ม

‘เหนื่อยไหมลูก...ดูซิ เหงื่อโชกเชียว’ ลูบไล้เรือนผมอ่อนนุ่มอย่างรักใคร่ทะนุถนอม

‘โดเรียส...รักลูกมาก จำไว้นะจ๊ะ’

ดวงตาเขียวอำพันลืมขึ้น ‘หม่อมฉันก็รักเสด็จแม่ รักที่สุดเลยพระเจ้าค่ะ’

‘ถ้าวันหนึ่งแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ โดเรียสต้องปกป้องคาคูด้า ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ให้ได้ ปกป้องดาวงดาวที่แม่รักให้อยู่รอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สัญญากับแม่ได้ไหม?’

‘เสด็จแม่จะเสด็จไหน? ทรงพาหม่อมฉันไปด้วยสิพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ยอมอยู่ห่างเสด็จแม่หรอก’

‘แม่ไม่ได้ไปไหนหรอกจ้ะ แม่แค่สมมุติเท่านั้นเอง...โดเรียสสัญญากับแม่ได้ไหม?’

‘พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันสัญญา’

‘แม่เรื่องว่าโดเรียสจะต้องรักษาสัญญา ซีเซล เฮเดรสก็ช่วยโดเรียสด้วยนะจ๊ะ’ เอ่ยกับโอรส พลางปรายตามาทางเด็กทั้งสองที่คอยตามเจ้าชายน้อย ที่นั่งอยู่หน้าแท่น

‘พระเจ้าค่ะ’ เด็กน้อยทั้งสองคลิ้มสดใสให้แก่จักรพรรดินีแห่งคาคูด้าด้วยความไร้เดียงสา มิได้สังเกตว่าดวงหน้าหม่นเศร้าซึ่งจับจ้องร่างเล็กที่หลับใหลอย่างเหนื่อยอ่อนนั้น สะท้อนความนัยบางอย่างออกมา

‘ซีเซล เฮเดรส ฝากดูแลโดเรียสด้วยนะ โดเรียสยังเด็ก ขอให้คิดว่าเป็นน้อง คอยเป็นกำลังใจให้เขาด้วย โดเรียสเกิดมาอาภัพนัก’ ถ้อยคำแฝงความนัย แต่ใบหน้าที่แย้มยิ้มอ่อนโยนนั้นปกปิดได้มิด จนเด็กน้อยทั้งคู่ไม่รู้สึกเอะใจเลยแม้แต่น้อย

โดเรียสต้องอยู่อย่างเข้มแข็ง...ลูกคือโอรสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกชายของแม่ เป็นโอรสที่ถูกเลือกแล้ว...ลูกจงเอาชนะชะตากรรมของตัวเอง แม่คงอยู่เคียงข้างเจ้าไม่ได้แล้ว

ดวงเนตรงามดูเด็ดเดี่ยวเชื่อมั่น แสดงถึงการตัดสินใจเด็ดขาด แววตานั้นแน่วแน่จนดูดั่งมิใช่ดวงตาของอิสตรี

“โดเรียส...” เสียงท่านจ้าวลูซิเฟอร์เรียกสติกลับคืน “พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้อง...”

“ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ” เสียงถูกปรับให้เป็นปกติ เพียงยิ้มน้อยๆ

ยังไม่ทันที่ท่านจ้าวลูซิเฟอร์จะเอ่ยกระไร พระนางมาลาวีก็โพล่งขึ้น

“นี่น่ะหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ลือชื่อว่างดงามนักหนา...” นางเน้นน้ำเสียงดูแคลน “แต่มาระยะหลังเขาว่ากันว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นพิภพที่ไม่ยอมมีวิวัฒนาการ ไม่ว่าพิภพที่รายรอบจะล้ำหน้าไปไหนๆ เขามียานอวกาศใช้ในการเดินทางช่วยอำนวยความสะดวก...ส่วนที่นี่ยังใช้สัตว์พาหนะพวกม้า พวกนก คงจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จริงๆ กระมัง พวกเหล่าเทพคงจะกลัวเสียงเครื่องยนต์”

วาจากระด้างพรั่งพรู หวังให้ถ้อยคำนั้นกรีดใจของเจ้าบ้าน หากกลับส่งผลตรงกันข้าม โดเรียสดูไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อยนิด

ท่านจ้าวลูซิเฟอร์เพิกเฉยต่อถ้อยคำของพระนาง เอ่ยแสดงความชื่นชม ให้เกียรติและยกย่องผู้เป็นเจ้าบ้าน

“พี่ต้องรบกวนเจ้าอีกแล้ว”

โดเรียสยิ้มให้อ่อนโยน พลางเอ่ยเสียงก้องแต่อบอุ่นยิ่งนักกับเชษฐา

“คาคูด้ายินดีต้อนรับพระเจ้าค่ะ”











 

Create Date : 14 ตุลาคม 2552
0 comments
Last Update : 14 ตุลาคม 2552 12:33:05 น.
Counter : 679 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.