<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
16 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

รัตนมณีแห่งดวงดาว : บทที่ 16


greenteagreentea


16.-


แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบเถาเฟื่องฟ้าส้มแสดที่เลื้อยขึ้นเป็นซุ้มสูงบานสะพรั่งสว่างไสว ตัดกับสีขาวของสะพานซึ่งทอดตัวจากริมตลิ่งไปยังพลับพรากลางตระพัง ผิวน้ำใสกลางบึงสะท้อนแสงระยับระยับ ดั่งล้อลำแสงสีทองยามบ่ายแก่ๆ ลมเย็นพัดอ้อยอิ่งอยู่รายรอบ

ร่างบางยืนอยู่กลางสะพาน ก้มหน้าต่ำ ทอดมองกลีบกุหลาบสีขาวนวลที่ปลิวลงสู่ผิวน้ำกลีบแล้วกลีบเล่า...มือเรียวเด็ดทิ้งอย่างเลื่อนลอยสับสน จึงไม่ทันสังเกตว่าใครคนหนึ่งมายืนอยู่เบื้องหลังแล้วครู่ใหญ่

“เปอร์ซิโฟเน่...” เสียงเบาหวิวที่คุ้นหูดี

“โดเรียส” ร่างบางหันมาทางต้นเสียง ใบหน้าแฝงรอยหม่นหมอง ดวงตาที่เคยสุกสกาวกลับเศร้าสร้อย

“เจ้าคงไม่สบายใจเรื่องเมื่อตอนกลางวัน...พี่ขอโทษ” เอ่ยเสียงเป็นกังวลก้าวเข้าใกล้จนร่างบางสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ

“อย่ารับสั่งเช่นนั้นเลยเพคะ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะหม่อมฉัน...” พึมพำแผ่ว ปลายเสียงเริ่มสั่นเครือ ก่อนจะทอดตาแลไปไกลพยายามกลั้นหยาดน้ำตาไม่ให้รินไหล

“แสดงว่าเจ้าโกรธพี่...” ถ้อยถามแฝงคำง้องอน

“ไม่เพคะ...หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์โกรธพระองค์ หม่อมฉันไม่เคยทำอะไรให้พระองค์เลย รังแต่สร้างความเดือดร้อนให้...ตลอดมา” เสียงตอบสะท้อนความอัดอั้นในใจ เบือนหน้าหนีไม่อยากให้เห็นหยาดน้ำตาที่รินไหล

“พี่ไม่เคยใส่ใจเรื่องเก่าๆ พี่รู้แต่ว่าเวลานี้พี่มีเจ้าอยู่ด้วย สำหรับพี่แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจเรื่องที่ผ่านมาหรอกเปอร์ซิโฟเน่”

ท่านจ้าวอ่อนโยนจนหัวใจดวงน้อยหวั่นไหว อยากจะเชื่อเช่นนั้น แต่ยิ่งรู้สึกละอายใจนัก ทั้งที่พระองค์ใจดีกับนางเช่นนี้ แต่นางกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อพระองค์เลย

“แล้วเสร็จแม่ยัง...” เบือนหน้ากลับมาสบเนตรคม “หม่อมฉันขอประทานอภัยแทนเสด็จแม่ที่ทำให้ทรงลำบากพระทัยครั้งแล้วครั้งเล่า หม่อมฉัน...”

เอ่ยต่ออีกไม่ได้ เหมือนมีก้อนแข็งๆ จุกแน่นในลำคอ น้ำตารินไหลอาบแก้มนวล เปอร์ซิโฟเน่หลับตาลงชั่วขณะ ก่อนจะสบเนตรคมอีกครั้ง

“พี่เข้าใจ...” โดเรียสัมผัสถึงหัวใจของคนเบื้องพักตร์ เอ่ยไม่ไม่พร่ำเพรื่อ หากแต่หนักแน่น ครอบคลุมทุกเรื่องราวในใจ ก่อนจะรั้งร่างบางสู่อ้อมแขนอบอุ่น

ไม่ต้องมีวจีใดๆ มาเอ่ยอ้าง ไม่ต้องการถ้อยคำบอกรัก ขอเพียงโดเรียสเข้าใจ

ทั้งสองร่างเหมือนสิ่งล้ำค่าที่คู่ควร ภาพที่ปรากฏดั่งลายเส้นอันวิจิตรในกรอบไม้เกะสลัก คงไม่มีใครเหมาะสมเทียบเท่า...ทั้งๆ ที่รู้และเข้าใจ ทำไมน้ำตายังรินไหล เคยคิดว่าถ้ารักแล้วไม่จำเป็นต้องได้รักตอบ ขอเพียงได้อยู่ใกล้ก็เพียงพอ แต่ไยเพลานี้หัวใจเหมือนโดนเข็มนับพันทิ่มแทง เจ็บปวดจนอยากตัดใจดวงนี้ทิ้งไปนัก

แสงทิวาสาดกระทบร่างบางที่ซุกตัวใต้พุ่มไทรเตี้ยๆ ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาหนาแน่น ภายในขอบเขตของซุ้มเฟื่องฟ้าริมน้ำ

ภาพนั้นบาดลึกลงในใจ ร่างบางสั่นเทาด้วยแรงสะอื้น พยายามสะกดเสียงร่ำไห้ มือปิดปากกั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอด นกน้อยชิบิเฝ้าคลอเคลียมิยอมห่าง

“เรื่องของกาเซียร์ ที่ทอดทิ้งนงไม่ได้ นางจะไม่เหลือใครเลย...พี่ต้องรับผิดชอบ นงเคยช่วยพี่ไว้ อีกทั้งนางก็เจอเรื่องร้ายๆ เพราะเกี่ยวข้องกับพี่ สิ่งที่นางต้องเสียสละเพื่อพี่มันมากจน...” หยุดไว้เพียงเท่านั้น ดั่งไม่อยากเอ่ยถึงมันอีก แต่ไม่มีทางรู้ว่าถ้อยคำนั้นกรีดลึกลงบนดวงใจของร่างที่ซุกอยู่ใกล้ๆ ให้เจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด

“เปอร์ซิโฟเน่ พี่อยากให้เจ้าเข้าใจ” กล่าวดั่งจะอ้อนวอนให้หญิงคนรักเชื่อคำ

“หม่อมฉันเข้าใจ...แต่เสด็จแม่คงไม่ เสด็จแม่เป็นเช่นไร พระองค์น่าจะทรงเข้าพระทัยดีแล้วไม่ใช่หรือเพคะ” เอ่ยอย่างอ่อนใจกับความดื้อดึงของพระมารดาที่โดเรียสเองก็รู้แจ้งถึงเรื่องนี้ดี

“พี่ขอเวลา...เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

“โดเรียส...” เปอร์ซิโฟเน่ลังเลใจนัก “ทรงรู้สึกเช่นไรกับกาเซียร์ ทรงรักหรือแค่ทรงสงสาร...รับสั่งกับหม่อมฉันให้แน่ใจได้ไหมเพคะ”

“เปอร์ซิโฟเน่...” จดจ้องใบหน้านางอันเป็นที่รัก ดวงตาที่คุ้นเคยและเฝ้าคอย แต่ไยยังรู้สึกขาด...

เราเป็นอะไรไป ทำไมใจมันประหวั่นพิกล เรากลัวที่จะเอ่ยคำรักแก่เปอร์ซิโฟเน่อย่างนั้นหรือ ทำไมต้องกลัวด้วย กาเซียร์...กาเซียร์พี่จะทำอย่างไรดี พี่กำลังกลัวอะไร...กาเซียร์ พี่เป็นอะไรไป ทำไมพี่รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงร้องไห้...เสียงเหมือนเจ้าร้องไห้ หรือเจ้าร้องไห้เพราะสงสารพี่ เจ้ากำลังร้องไห้เพื่อพี่อยู่ใช่ไหม...คนดี?

“โดเรียส” เสียงเรียกอ่อนโยน ทำให้สติที่สับสนกลับคืน

ผู้หญิงที่เราเฝ้ารอ เวลานี้อยู่ตรงหน้า แค่เอื้อมก็คว้าไว้ได้ และนางกำลังถามว่าเรายังรักนาง ยังต้องการนาง หรือว่าเรามีใจให้หญิงอื่น...เราก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ยังจะมัวมาคิดอะไรอยู่อีกล่ะ ตอบไปเลยสิโดเรียส...

เวลาผ่านไปเนินนาน ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำจับจิตที่เจ้าหญิงเฝ้าคอย และยังมีใจดวงน้อยอีกดวงที่เฝ้ารอคำตอนนั้นเช่นกัน แม้พอจะเดาได้ว่าคำนั้นจะทำร้ายตัวเองเพียงใด

“ชีวิตพี่ต้องการเพียงเจ้า ความรักพี่วางไว้ที่เปอร์ซิโฟเน่แต่เพียงผู้เดียว”

คำรักดังเพียงแผ่ว ไฉนจึงก้องอยู่ในโสตเยี่ยงนี้ อยากปล่อยโฮให้ลั่น อยากระบายความเจ็บปวดในใจ แต้องทนซุกร่างให้เงียบที่สุด

ชีวิตพี่ต้องการเพียงเจ้า ความรักพี่วางไว้ที่เปอร์ซิโฟเน่เพียงผู้เดียว...ถ้อยคำที่ทิ่มแทงเจ็บจนชาไปทั่วสรรพางค์กาย น้ำตารินไหลไม่มีท่าทีว่าจะแห้งหาย ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว

นานเท่าไหร่ที่ไม่รับรู้รอบกาย กินเวลาเท่าไหร่ที่ดวงจิตเลื่อนลอย คืนสติอีกทีก็พบว่านั่งอยู่เพียงลำพังบนพื้นหญ้าขจี พุ่มไทรไหวตามแรงสะอื้นไห้

“กาเซียร์อย่าร้อง..นิ่งซิ...นิ่งซิ” สั่งตัวเอง แต่ไม่อาจบังคับน้ำตาไม่ให้รินไหลได้ ซุกหน้าหมองกับเข่าที่เพลานี้ชุ่มไปด้วยน้ำตา

“ทำไม...ทำไมกาเซียร์ต้องเป็นตัวปัญหาอยู่เรื่อย น่าจะตายๆ ไปเลย อยู่มาจนป่านนี้เพื่ออะไร เพื่อทำให้คนอื่นต้องทนทุกข์หรือไง จะทำยังไงดี...จะทำยังไงดี!”

“ไม่อยากเจอเจสเซอร์อีกแล้ว ไม่อยากเป็นตัวปัญหาอีกแล้ว ไม่ต้องการให้รับผิดชอบ...ที่ทำดีกับกาเซียร์เพียงแค่นี้เองหรือ เพื่อต้องการแทนคุณ ต้องการชดใช้ความผิด แล้วเจสเซอร์ผิดอะไร กาเซียร์ไม่ได้ต้องการอย่างนี้นะ”

เจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นเช่นนี้ เพราะอะไร?

“เจสเซอร์ไม่ต้องการกาเซียร์แล้ว ไม่รักกาเซียร์แล้ว ไม่เป็นที่ต้องการแล้ว...ตอนนี้กาเซียร์เป็นได้แค่ตัวปัญหา...กาเซียร์ต้องโดนเจสเซอร์เกลียดแน่เลย...ต้องโดนเกลียดแล้ว เสียงสะอื้นไห้ดั่งดวงจิตจะลาญแหลกเสียตรงนั้น ความหวังสุดท้ายมลายหายไปสิ้น...แล้วจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร...



ภายในห้องบรรทมตำหนักใน อาบูจาเอ็ดอานู นียาเสียงดังออกไปถึงด้านนอก

“พวกเจ้าปล่อยให้ทูลกระหม่อมเสด็จองค์เดียวได้อย่างไร ถ้าทรงได้รับอันตรายขึ้นมา พวกเจ้ามีอีกสิบห้าก็ไม่...” เสียงเอ็ดตะโรหยุดลง เมื่อประตูด้านหน้าถูกผลักให้เปิดกว้าง

“อาบูจา เสียงดังไปถึงข้างนอกเลย” เอ่ยเนือยๆ แต่น้ำเสียงห้วนผิดวิสัยนัก

“ก็แม่พวกนี้ปล่อยให้ประทับอยู่องค์เดียว” พระพี่เลี้ยงร่างอ้วนตอบเสียงอ่อยอย่างเห็นได้ชัด

“กาเซียร์ให้พี่ๆ ไปหาชิบิให้...ถ้าจะดุก็ดุกาเซียร์สิ” เอ่ยเสียงยังห้วน พร้อมกับตรงไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง เหนื่อยอ่อนราวกับว่าหัวใจได้สลายไปแล้วเอก่อนหน้านี้ ความปวดร้าวยังคงแผ่ซ่านเกาะกินใจดวงน้อย ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะลืมตา นางเฝ้าคิด ถ้าหลับไปเลยทั้งอย่างนี้ก็คงจะดี

“ตะ...ตายแล้ว! ทูนหัว ทำไมวรองค์เปื้อนขนาดนี้เพคะ มีทั้งหญ้า ทั้งใบไม้ ทิ้งเศษดิน...โธ่! นี่มันอะไรกัน!”

จำต้องลืมตาขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เพราะเสียงโวยวายของอาบูจา

“...ก็ชิบิซน บินไปทั่วเลย กาเซียร์ตามจับ ตัวก็เปื้อนเป็นธรรมดา อาบูจาอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่สิคะ”

“ตายแล้ว! ตายแน่! ถ้าทรงเป็นอะไรขึ้นมาท่านจ้าวเอาตาย! ทำไมไม่รักษาองค์เองเลยเพคะ” อาบูจาโวยวายเสียงเครียด

“ถ้ากาเซียร์ตายไปเลยก็คงจะดี...” พึมพำกับตัวเองโดยที่อาบูจาไม่ทันได้ยิน แต่อาบู นียา รับรู้บางอย่างจากแววเนตรหม่นเศร้า

“น่าตีนัก...ทูลกระหม่อมนะทูลกระหม่อม ทรงคิดอะไรอยู่กันแน่เพคะ” นางยังคงเอะอะ เหมือนกำลังเอ็ดเด็กเล็กๆ แต่ดูเหมือนจะทำอะไรเด็กดื้อคนนี้ไม่ได้ ได้แต่ทำงอนตุปัดตุป่องระคนน้อยใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองห่วงแสนห่วงแต่ทูลกระหม่อมน้อยกลับไม่ใส่ใจองค์เองเลย

“...กาเซียร์ขอโทษ ทีหลังจะไม่ทำแล้ว...อาบูจาอย่าโกรธกาเซียร์เลยนะคะ” เสียงใสออดอ้อน มือที่เลื่อนแตะไหล่อวบอิ่ม ทำให้เจ้าตัวใจอ่อนลงได้ในทันที

“จริงๆ นะเพคะ จะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วนะเพคะ”

ยิ้มรับอ่อนโยน พลางปรายไปทางอานู นียา ที่นั่งถัดจากอาบูจาไปอีกหน่อย บอกบางอย่างกับทั้งคู่ด้วยดวงเนตรหม่นเศร้า อาบูจานึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันได้ซักไซ้ใดๆ

“เดี๋ยวกาเซียร์จะอาบน้ำ แล้วก็นอนเลยนะจ๊ะ” เอ่ยเมื่อเบือนพักตร์กลับมาทางอาบูจา ก่อนจะพยุงตัวขึ้น ตรงไปทางห้องสรง

“ไม่ได้นะเพคะ...ต้องเสวยก่อน แล้วค่อยบรรทม นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว ไม่งั้นหม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ” น้ำเสียงย้ำหนักแน่น

“ก็ได้...ทานก็ได้” จำต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้ เพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะต่อล้อต่อเถียงหรือแข็งขืนอาบูจาแล้วในเวลานี้



วันคืนผันผ่าน...ภายใต้สถานการณ์ที่เริ่มคลี่คลาย

โดเรียสกับเปอร์ซิโฟเน่เข้าใจกันและกัน ความรักที่เฝ้าถวิลหาได้รับการชดเชย ส่วนเรื่องที่พระนางมาลาวีเสนอเมื่อคราวก่อน ท่านจ้าวโดเรียสไม่ได้ปฏิบัติตาม ทว่ายอมโอนอ่อนให้โดยการไม่เสด็จตำหนักใน แม้จะไม่เอ่ยตรงๆ แต่นั่นก็ยืนยันชัดเจนว่าคงที่พระองค์เลือกคือเปอร์ซิโฟเน่

บริเวณพลับพลาอุทยานตำหนักใน อานู นียา คร่ำเคร่งกับการจัดดอกไม้ใส่แจกัน พี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่ข้างๆ กาเซียร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ทอดมองดอกไม้นานาพรรณที่ชื่นชอบ สีหน้าอิดโรยด้วยตรอมใจกับสิ่งที่ได้รับรู้

“ดอกนี้สวยนะเพคะ สีก็สด ก้านก็แข็ง บานเต็มที่...เป็นสาวเต็มตัว” อานูเอ่ยพร้อมกับยกดอกกุหลาบสีแดงสด กลีบบานเต็มที่ อวดความสวยสดอยู่ในตัวส่งให้ถึงหัตถ์

“ดอกนี้สวยยกว่าเพคะ ดอกแรกแย้มเป็นสาวน้อยแสนสวย ดอกที่อานูถวายบานเต็มที่แล้ว อีกประเดี๋ยวก็แห้งเหี่ยวเพคะ” นียาแนะให้ทูลกระหม่อมน้อยมองกุหลาบดอกแรกแย้มในมืออย่างชื่นชม

“หม่อมฉันว่าทั้งสองดอกสวยพอกันแหล่ะเพคะ...แต่ดอกนี้สวยกว่า ดอกตูมแต่ก็พร้อมจะเบ่งบานในวันข้างหน้า เหมือนทูนหัวของอาบูจาเลยเพคะ”

ดวงเนตรงามจับจ้องดอกไม้สีสด กลีบดอกหนาสมบูรณ์ ถ้ายังไม่ถูกตัดจากต้น อีกไม่นานก็คงจะกลายเป็นดอกแรกแย้มเปรียบดั่งสาวน้อย แล้วค่อยๆ โตเป็นสาวสง่างามเหมือนกุหลาบดอกแรก แต่นางเป็นเพียงดอกตูมที่ถูกตัดออกจากต้น คงไม่มีโอกาสเบ่งบานอวดความงาม...อีกไม่นานก็คงเฉาตาย

“ทูลกระหม่อม” พระพี่เลี้ยงสังเกตเห็นน้ำตาที่หยดลงบนนิ้วที่อยู่หน้าตัก

“เอ๋...สงสัยฝุ่นจะปลิวเข้าตา” แม้เสียงจะฟังแล้วปกติ แต่ทั้งสามก็เข้าใจดีว่าผู้เป็นนายกล้ำกลืนเช่นไร ไยคนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างพวกนางจะไม่รับรู้ โดยเฉพาะอานู นียา ทั้งสองรู้ดีว่าทูลกระหม่อมไปพบเจอสิ่งใดมาบ้าง

เรื่องระหว่างท่านจ้าวโดเรียสกับเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ดูจะดีวันดีคืน ท่านจ้าวเองก็ไม่ยอมเสด็จมาที่ตำหนักในเลย เรียวปากบางซึ่งเม้มสนิทนั้นคงกำลังเก็บความหม่นเศร้าไว้ในอก ด้วยไม่ประสงค์ให้พวกนางต้องเป็นทุกข์ตามไปด้วย นี่แหล่ะคือทูนหัวของพวกนาง แต่ถ้าทรงร้องไห้ระบายความหม่นเศร้าในหัวใจออกมาก็คงดีกว่า ทั้งสามไม่อาจทำอะไรได้ดีไปกว่าคอยอยู่ใกล้ คอยเป็นกำลังใจให้ เพราะคนที่ทูลกระหม่อมน้อยต้องการกลับทรงทอดทิ้ง...

“ทำอะไรกันอยู่เอ่ย” ทูลกระหม่อมเงยพักตร์ขึ้นมอง ถ้อยทักทายสดใสเมื่อครู่ มีต้นเสียงอยู่ตรงทางขึ้นด้านหน้าพลับพลา

ร่างบางสะโอดสะองเป็นหญิงสาวแสนสวย เค้าหน้าละม้ายเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ที่นางเคยแอบมองก่อนหน้า ใบหน้างามดั่งบรรจงปั้นนั้นส่งยิ้มอ่อนโยนผูกมิตรมาให้เจ้าบ้าน

“ราชินีเอสทีเซียร์...ถวายพระพรเพคะ” พระพี่เลี้ยงก้มตัวลงกราบ รวมทั้งอานู นียา ทูลกระหม่อมทำตัวไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่มีแขกมายังตำหนักในนี้ นางลุกจากที่นั่งและทรุดกายลงที่พื้นจะกราบอย่างที่อาบูจาทำ

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ลุกขึ้นเร็ว”

แม้จะมีเสียงทัดทาน แต่ก็ไม่อาจแน่ใจ จึงเบือนหน้าไปทางอาบูจาขอคำแนะนำ

“ขอบคุณ...เอ่อ...ขอบพระทัยเพคะ” เมื่ออาบูจาพยักพเยิดให้ จึงยอมลุกขึ้นตามแรงพยุงจากนิ้วเรียวงามที่แตะท่อนแขนกลมกลึง

“กาเซียร์ใช่ไหม” เสียงถามอ่อนโยน ยิ้มใสใสแสดงความเป็นมิตร “พี่เป็นชายาของท่านจ้าวลูซิเฟอร์ ทรงเป็นพระเชษฐาของท่านจ้าวโดเรียส พี่มีศักดิ์เป็นพี่สาวของกาเซียร์นะจ๊ะ” แนะนำตนเองช้าและชัดเจน ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ หลุดจากปากอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นหลุบต่ำ เอสทีเซียร์จึงเพียงยิ้มนิดๆ

“พูดกับพี่เหมือนกับที่กาเซียร์เคยพูดก็ได้จ้ะ”

“พระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นพระภคินีของท่านจ้าวโดเรียส แต่อย่าทรงลดองค์มาเป็นพี่สาวของหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันไม่อาจเอื้อมถึงเพียงนั้น” เสียงตอบไม่ได้ประชดประชัน แต่เอ่ยด้วยใจจริง

“กาเซียร์! ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะจ๊ะ...เจ้าเป็นชายาของท่านจ้าวโดเรียสก็ต้องเป็นน้องสาวของพี่ด้วย” เอสทีเซียร์จ้องดวงตานิลระยับที่น่าจะสุกสกาวด้วยไร้เดียงสา ทว่าเวลานี้กลับดูหม่นเศร้า

“หม่อมฉันไม่ใช่พระชายา...หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวท่านจ้าวโดเรียส เป็นเพียงกาฝากที่คอยเกาะกินพระทัยต่างหากล่ะเพคะ” พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่ท้ายเสียงกลับแผ่วลงอย่างรับรู้ได้ หากยังคงยิ้มแย้ม ทั้งที่เรียวปากเริ่มสั่นระริกด้วยกลั้นอารมณ์ข่มขืนไว้

“กาเซียร์...” เอสทีเซียร์ไม่อาจเอ่ยปลอบใดๆ ได้ ไม่รู้จะใช้ถ้อยคำใดจึงจะดี ได้แต่เบือนหน้าไปทางอาบูจาดั่งต้องการปรึกษา พระพี่เลี้ยงทำได้เพียงสั่นศีรษะอย่างอ่อนใจ หากกาเซียร์ดูจะเข้าใจความรู้สึกขององค์ราชินี จึงฝืนยิ้มทั้งน้ำตาริน

“พระองค์กำลังสงสารหม่อมฉันอยู่ใช่ไหมเพคะ” ความขื่นขมกลั่นออกมาเป็นถ้อยคำ “หม่อมฉันไม่ต้องการให้ใครมาทำดีด้วยเพียงสงสารหรือเวทนา เพราะมันอาจจะทำให้เจ็บทั้งผู้ให้และผู้รับ แค่ท่านจ้าวองค์เดียวก็ต้องเดือดร้อนเพราะหม่อมฉันมามากพอแล้ว...อาจจะรวมถึงเจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่ด้วย” เสียงขาดไปเพราะแรงสะอื้น จำต้องหยุดถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะพยายามรวบรวมแรงเอ่ยต่อได้

“การคงอยู่ของหม่อมฉันสร้างแต่ความวุ่นวายใจให้คนอื่น หม่อมฉันไม่ได้ทูลเพราะเย่อหยิ่งถือตน หรือต้องการประชดประชัน แต่ทูลเพราะตัวเอง การอยู่ในสภาพนี้มันทรมานใจกันทุกคน หม่อมฉันไม่ต้องการอยู่ในสภาพอย่างที่วันนี้เลยเพคะ” หยาดน้ำตารินไหลไม่หยุด เมื่อได้ระบายความในใจหมดสิ้น

เอสทีเซียร์เข้าใจดีที่สุด ตระหนักดีว่าคนที่ต้องอยู่อย่างกาเซียร์รู้สึกเช่นไร มันเหมือนน้ำท้วมปาก จะพูดจะเรียกร้องใดๆ ก็ทำไม่ได้ ทรมานสิ้นดี แล้วนางจะทนอยู่ได้นานเพียงใด

“กาเซียร์ พี่เข้าใจความรู้สึกของน้องดี...แต่ทุกอย่างอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ทุกคนอาจอยู่ด้วยกันได้”

“อยู่ด้วยกันได้...พระองค์น่าจะทรงเข้าพระทัยเรื่องนี้ดีกว่าหม่อมฉัน”

ถ้อยคำนั้นไม่ได้ต้องการต่อว่า...แต่ทำเอาราชินีเอ่ยอะไรไม่ออก เจ็บลึกในใจ ปัญหาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่กาเซียร์ แต่อยู่ที่ฝ่ายนางมากกว่า แล้วกาเซียร์รู้อะไรมาบ้างจึงพูดออกมาเช่นนี้ ไหนท่านจ้าวโดเรียสว่านางไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่ท่านจ้าวโดเรียสกระทำในเวลานี้ดีแน่หรือ ปล่อยกาเซียร์ไว้อย่างนี้ดีแน่หรือ?

“กาเซียร์ฟังพี่นะจ๊ะ...พี่ไม่รู้ว่าน้องรู้อะไรมาบ้าง แต่ท่านจ้าวโดเรียสเคยรับสั่งหนักหนาว่า จะไม่ทรงยอมให้กาเซียร์ไปจากที่นี่” คำอธิบายหวังปลอบใจ...แต่กลับยิ่งกรีดปากแผลให้เปิดกว้างกว่าเดิม

นางยิ้มนิดๆ ดั่งต้องการประชดตนเอง หรือไม่ก็เพราะไม่รู้จะทำหน้าเช่นไรจึงจะเหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้ “นั่นมันคือความสงสาร ความเวทนาไม่ใช่หรือเพคะ ยิ่งได้รับความสงสารมากเท่าไหร่ หม่อมฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่ารังเกียจมากขึ้นเท่านั้น” ยิ่งเอ่ยยิ่งปวดร้าว

‘เรื่องของกาเซียร์ พี่ทอดทิ้งนางไม่ได้...นางจะไม่เหลือใครเลย พี่ต้องรับผิดชอบ นางเคยช่วยพี่ไว้ อีกทั้งนางก็เจอเรื่องร้ายๆ เพราะเกี่ยวข้องกับพี่ สิ่งที่นางต้องเสียสละเพื่อพี่มันมากมายจน...’ เสียงนั้นยังฝังลึกอยู่ในใจ เจ็บปวดยิ่งนัก

“กาเซียร์...แล้วน้องจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ พี่คิดว่าน้องคงไม่...” ผู้ถามใจหาย หนักใจกับความรู้สึกของคนตรงหน้ายิ่งนัก

“คิดสั้นหรือเพคะ ถ้าหม่อมฉันทำเช่นนั้นคนที่เจ็บปวดที่สุดก็จะเป็นท่านจ้าวโดเรียส หม่อมฉันจะมีชีวิตอยู่...” เสียงตอนท้ายหายไป น้ำใสรินไหลเป็นทาง แต่ก็พยายามหักห้าม ด้วยไม่ต้องการถูกมองอย่างเวทนาไปมากกว่านี้

เอสทีเซียร์รู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะกล่าวใดๆ คนที่สามารถปลอบและให้คำตอบสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของกาเซียร์ได้คงมีแต่ท่านจ้าวโดเรียส

“กาเซียร์...ไม่ว่าน้องจะใช่พระชายาของท่านจ้าวโดเรียสหรือไม่ แต่กาเซียร์ก็คือน้องสาวของพี่ จำไว้นะจ๊ะ” ถ้อยยืนยันอ่อนโยนแผ่วเบา แต่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้จิตใจที่มืดมนเริ่มมองเห็นแสงสว่าง แม้จะเพียงเลือนราง...หากสามารถชี้ทางได้ว่าแสงสว่างที่พยายามแสวงหา อยู่ทิศทางใด

แม้ต้องคลำหาก็ยังดีกว่าต้องยืนอยู่กลางหุบเหวที่มืดสนิทอย่างก่อนหน้านี้ นางคิดว่าเป็นเช่นนั้น



ร่างบางภายใต้ชุดนอนยาวสีน้ำเงินลายดอกดวงเล็กๆ ยืนให้อาหารชิบิอยู่เงียบๆ ในห้องนอน อาการนิ่งเงียบจนผิดปกตินั้นพลอยทำให้ข้ารองบาททั้งสามที่นั่งอยู่ติดประตูบานใหญ่พากันทอดตามองอย่างหวั่นใจ กระซิบกระซาบปรึกษาหารือ เพราะตั้งแต่ราชินีกลับไป ทูลกระหม่อมน้อยก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย...นอกจากนิ่งเงียบ แต่คนทั้งสามคงไม่รู้ว่าทูนหัวของพวกนางแอบสังเกตท่าทีของคนสนิทต่างวัยบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็แสร้งทำเป็นเฉย จนในที่สุดอาบูจายอมเป็นหน่วยกล้าตาย คลานเข่าเข้ามานั่งเอี้ยมเฟี้ยมใกล้ๆ

“ทะ...ทูนหัวเพคะ” น้ำเสียงเรียกเบาหวิวกล้าๆ กลัวๆ

ร่างบางยังแสร้งทำเป็นเฉยไม่สนใจ...อิริยาบถเช่นนั้นสร้างแรงกดดันให้พี่เลี้ยงเกินคาด นางหันรีหันขวางหาแนวร่วม แต่ดูเหมือนสองสาวจะส่ายหน้าปฏิเสธ อาบูจาในเวลานี้คงแทบอยากกระโดดกัดคอสองสาว เพราะก่อนหน้านั้นตกลงกันไว้ว่า ให้นางมาเป็นทัพหน้าแล้วทั้งสองจะตามมา แต่กลับโดนหักหลังเสียนี่...มันน่านัก!

“อาบูจา เป็นอะไรจ๊ะ? ดูทำหน้าเข้า” ถามปนหัวเราะ ขันท่าทางของพระพี่เลี้ยงร่างอ้วน

เมื่อนั้นแหล่ะสถานการณ์จึงคลายความตึงเครียดลง ทั้งหมดกล้าพอที่จะเข้ามานั่งอยู่เบื้องพักตร์ สีหน้าทุกคนดีขึ้น เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่ใดใสของทูลกระหม่อมน้อยอย่างเก่าก่อน

“กาเซียร์ไม่เป็นไรแล้ว หลงกลุ้มอยู่ตั้งนาน ต่อไปนี้นะ กาเซียร์จะทำตัวให้เหมือนเดิม...ไม่สิ กาเซียร์จะต้องเข้มแข็ง ต้องดูแลตัวเองให้ได้ จะทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครเขาคอยห่วง...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กาเซียร์ไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีอาบูจา พี่อานู พี่นียา ซีเซล เฮเดรส...ใช่ชิบิด้วยจ้ะ...แล้วตอนนี้ยังได้พี่สาวมาอีกคน สวยก็สวย ใจดีก็ใจดี”

“เพคะ” ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน แต่ไยชื่อที่เอ่ยหาได้มีท่านจ้าวโดเรียสด้วยไม่

“กาเซียร์จะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ทำตัวเป็นภาระของใครอีกแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาเป็นกังวล กาเซียร์จะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ คอยดูก็แล้วกัน”

ใคร...ที่ว่านั้นคงจะหมายถึงท่านจ้าวโดเรียส...อาบูจาทำหน้างง แต่เสียงที่ฟังดูสดใสมีชีวิตชีวาก็ทำให้นางคลายใจได้มาก เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก รอยยิ้มสดใสที่ไม่ได้เห็นมานาน คงตั้งแต่เจ้าหญิงเปอร์ซิโฟเน่มาเยือน อาบูจารู้สึกโล่งใจอย่างที่สุด แต่นึกแปลกใจที่ผู้เป็นนายเอ่ยว่า จะเป็นตัวของตัวเอง...กับ...คอยดูก็แล้วกัน

ดวงเนตรนิลระยับนั่นบ่งชัดว่าคิดอะไรไว้ในใจ...แต่จะเป็นอะไรกันนะ?





greenteagreentea





 

Create Date : 16 ตุลาคม 2552
2 comments
Last Update : 16 ตุลาคม 2552 21:27:56 น.
Counter : 597 Pageviews.

 

ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ แต่หาตามร้านหนังสือไม่มีเลย ไม่ทราบว่าต้องไปหาที่ร้านไหน อยากเก็บไว้เป็นของตัวเองค่ะ

 

โดย: เชียร์ IP: 203.172.201.112 13 กรกฎาคม 2553 13:33:19 น.  

 

คุณเชียร์หนังสืออาจหายากหน่อยแล้วค่ะ เพราะตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 49 ต้องลองสั่งตามเวปสำนักพิมพ์ หรือไม่ก็ตามร้านหนังสือ สั่งให้เขาหาให้น่ะค่ะ ส่วนคนเขียนตอนนี้ก็มีติดตัวอยู่เล่มเดียวเองค่ะ ไม่งั้นจะแบ่งให้ ดีใจที่มีคนบอกว่าชอบ และอยากเก็บไว้ค่ะ :D

 

โดย: adel_ew 14 กรกฎาคม 2553 11:05:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.