ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
.♣..♥ ภาค สอง ## บท ๖-๘ ...♥ ♣.

" " ที่ดินผืนนั้น " " - บทที่ หก

หัวหกก้นขวิด



หลังจากที่หวนคิดถึงความเซ็งของตัวเอง และต้องกลับไป
เรียนแบบไม่ค่อยเข้าเรียนตามสะดวกที่คณะบัญชี อย่างเดิม ทำวีรกรรม
สอบตกวิชาคำนวณหรือสถิติอะไรสักวิชา ถึงแก่ตกชั้น ไปอยู่กับรุ่นน้อง
ที่เขาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาเป็นหน่วยกิตแล้ว...และ ในที่สุด
ข้าพเจ้าก็สลัดทิ้งการศึกษาที่จำใจเรียนไปสี่ปีอย่างนั้น..

ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ อันเป็นปีที่เพื่อนรุ่นเดียวกันที่
เข้าไปชุดแรก ออกไปรับปริญญาทำงานนั้น ข้าพเจ้าต้องไปฝึกงาน
ภาควิชาบริหารอุตสาหกรรมเดินทาง หรือเรียกกันว่า ภาควิชาโรงแรม
ณ โรงแรมชั้นหนึ่งที่ถนนสีลม แต่งานที่ฝึกนั้นน่าเบื่อหน่ายเสียนี่กระไร
ข้าพเจ้าต้องทนอยู่แต่หน้า เคาน์เตอร์ Front Office คอยรับคอยส่ง
กุญแจห้องให้ฝรั่ง ครั้งหนึ่งถูกฝรั่งเอากุญแจห้องปาหัวเข้าให้ หาว่า
ซื่อบื้อหยิบกุญแจห้องผิด ข้าพเจ้าในฐานะ เด็กฝึกงาน ซึ่งติดป้าย
ไว้ที่ อกว่า Trainee คิดแล้วคิดอีก ว่าจะฝึกงานบ้า ๆ บอ ๆ นั่นไป
ทำไม ข้าพเจ้าได้ทิ้งเกียรติยศศักดิ์ศรีตัวเองทำเพื่ออะไร เพื่อประชด
ชีวิตมาถึงสี่ปี เป็นครั้งสุดท้ายที่รู้ว่าจะไม่ทนเพื่อใครอีกแล้ว จึงแจ้ง
แก่ทางโรงแรม นั้นว่า ข้าพเจ้าขอหยุดการฝึกงานไม่ฝึกจนจบ
รู้ว่าตัวเองไม่ชอบวิชาที่เรียนทั้งนั้น และ อยากทำงาน ด้านการเขียน
ข่าว ทำข่าว หรือ ขีดเขียน- งานอดิเรกคือเขียนหนังสือลง นิตยสาร
หลายเล่มในวาระนั้น- ข้าพเจ้าก็ขอข้ามไปฝึกงานกับหนังสือ พิมพ์
ฝรั่งเล่มหนึ่งที่ถนนเดโช ใกล้ ๆ โรงแรมที่ข้าพเจ้าไปฝึกงาน
แทน สรุปว่าข้าพเจ้าไม่ยอมฝึกงานให้จบ

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%




Create Date : 20 มีนาคม 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 18:22:23 น. 5 comments
Counter : 377 Pageviews.  
 
 
 
 
พี่ทิกิคะ
ดีใจที่ได้อ่านบล๊อกของพี่วันนี้ หลายตอน ต้ารู้สึกกลืนน้ำลายเอื๊อกเพื่อที่จะกลั้นน้ำตา ... ช่างเหมือนเราบ้างเป็นบางส่วนอะไรเช่นนี้

ดีใจจริงๆ ที่ได้อ่านค่ะ เฮ้อ... ว่าแต่ คิดถึง หนังสือ ลลนา อย่างจับใจ
 
 

โดย: Tante Ta วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:15:25:11 น.  

 
 
 
สวัสดค่ะ คุณทิกิ
ยีนส์แวะมาเยี่ยมตามที่ได้สัญญาเอาไว้ค่ะ
ต้องขอโทษที่มาช้าหน่อยค่ะ
แต่แวะมาแน่นอนค่ะ

เรื่องราวที่ดินยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ
หากมีเวลาว่างจะแวะมาอ่านนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้คุณทิกิเสมอนะคะ
เพราะยีนส์ก็เคยมีปัญหาที่ดินเช่นกันค่ะ

ขอให้คุณทิกิและครอบครัวมีความสุขมาก ๆ นะคะ

Happy Easter ค่ะ
 
 

โดย: roslita วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:9:40:04 น.  

 
 
 
ขอบคุณ...คุณทิกิมากมาย
ที่เข้าไปร่วมแสดงความยินดีในบล็อกค่ะ

 
 

โดย: สเลเต วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:11:22:09 น.  

 
 
 
บทที่ หกหัวหกก้นขวิด (ต่อ )

คุณแม่ยังคิดว่า ข้าพเจ้าไปฝึกงานที่ โรงแรม นั้นเสร็จแล้ว
โดยที่คุณแม่กับข้าพเจ้าทะเลาะกันอย่างแรงในช่วงนั้น ว่ารู้สึกอาย
ที่ลูกสาวกลับบ้านดึก ฝึกงานอย่างไร ฯลฯ ท่านลุแก่โทสะตบหน้า
ข้าพเจ้าอยางแรงหนึ่งที และ ออกปากขับไล่ข้าพเจ้าออกจากบ้าน
ในกรมฯ ในวันนั้น โดยใช้คำเดิม ๆ ของแม่ ท้าทายความสามารถ
ของข้าพเจ้า อย่างที่ว่า
"แกมีปัญญาหาเงินเรียนเองได้ก็ไปเลย "
ความอดทนของเราทั้งคู่หมดลงด้วยกันในวันนั้น (ถึงแม้
คุณแม่จะปฏิเสธในระยะหลัง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ท่านก็ปฏิเสธว่าไม่
ได้ตบหน้าข้าพเจ้า และ ไม่ได้ไล่ออกจากบ้าน - ในใจท่านคง
ประชดประช้นเอาชนะข้าพเจ้าอย่างที่เคยเป็นมาตลอด) ข้าพเจ้า
สุดจะทนกับความเหนื่อยยากแสนเข็ญที่ต้องไปฝึกงานถึงสีลมและ
กลับมาบ้านปากเกร็ด ก็ยังถูกคุณแม่อ้าง "คนอื่นเขาจะคิดอย่างไร? "
อยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้าก็เดินขึ้นไปชั้นบนบ้าน หอบผ้าผ่อนออกจาก
บ้านแม่ ตรงดิ่งไป หาเพื่อนร่วมคณะซึ่งไปฝึกงานโรงแรมร่วมกัน
อยู่ในตอนนั้น โดยเธอเช่าตึกแถวตรงข้ามคณะ ซึ่งทำเป็นหอ
เอกชน ฯ ข้าพเจ้าเข้าไปแบ่งห้องคนละครึ่งกับเธอแค่แมวดิ้นตาย
มีเตียงเล็ก ๆ โต๊ะเล็กๆ และ ตู้เสื้อผ้าพลาสติกอยู่ใบท้ายเตียง พอกัน
ทีกับสภาพลูกสาวคนดีคนงามของคุณแม่....และหายตัวไปจาก
ชีวิตแม่ไม่กลับไปบ้านแม่อีกนาน

จนได้เวลาจะเปิดเรียนใหม่ในปีนั้น คุณแม่ก็ให้คนขับรถคุณ
พ่อ นำเงินใส่ซองมาให้ข้าพเจ้าเพื่อเป็น ค่าเล่าเรียนเทอมใหม่ และ
คุณแม่ก็ให้เงินค่า ใช้ชีวิตชาวหอพักอิสระ นั้นมาด้วย..ข้าพเจ้ามอง
เงินในมือ ไม่อยากรับ แต่คนขับรถคุณพ่อ ก็เคี่ยวเข็ญให้รับว่า คุณ
แม่จะเสียใจมาก หากข้าพเจ้าไม่รับ... แต่ ข้าพเจ้าไม่ได้นำเงินนั้น
ไปลงทะเบียนเรียนดอก วีรกรรมครั้งสุดท้ายในการเรียนให้แม่น้ำตา
ตกที่ไม่อยากจะเขียนถึงเลย คือ

"ลาออกไปทำงาน"

นั่นคือทางชีวิตของข้าพเจ้า...ทางที่ข้าพเจ้าเลือกเอง
ทางที่ข้าพเจ้าอยากจะเรียกตัวเองว่า นักธุรกิจหญิง นักทำงานคนมี
ความคิด ของตัวเอง...พอเสียทีกับชีวิตใต้อุ้งเท้าแม่ !!

ถ้าคิดในแง่ของแม่ ข้าพเจ้าคงเป็นลูกอกตัญญูอย่างยิ่ง
แต่ในแง่ของข้าพเจ้าแล้ว ไม่ใช่ ..ข้าพเจ้าถูกแม่บังคับมาทั้งชีวิต
จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขอครั้งนี้ที่ข้าพเจ้าเลือกเอง คือการได้
ไปทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องให้แม่บ่น แม่ว่า ว่าใช้เงินของแม่
ทำให้แม่ทุกข์ลำบากใจ...สักครั้ง กับการเปรียบเทียบตัวเองและ
ลูกคนอื่นของคุณพ่อ ว่า ท่านออกก๊วนกอล์ฟ สัปดาห์ละสองหน
หากไม่หอบลูกชายคนเล็ก ก็คนโตไปด้วยกัน ค่าใช้จ่ายนั้น..คุณ
แม่เคยคิดบ้างไหมว่า หากคุณแม่พูดกับคุณพ่อให้เพิ่มเงินให้ข้าพเจ้า
ใช้เพียงพอ โดยการหยุดไปออกรอบตีกอล์ฟ เรื่องไม่จำเป็น (แต่
จำเป็นยิ่งสำหรับคุณพ่อ และลูกชายนักกอล์ฟของท่าน ) ข้าพเจ้า
คงจะไม่น้อยใจขนาดนั้น ...แต่ข้าพเจ้าฮึดสู้เสียแล้ว และ โบกมือ
อำลาชีวิตนิสิตนับแต่วันนั้น

: tiki_ทิกิ - [ 18 มี.ค. 51 22:38:51 ]

@@@@@@ @@@@

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

บทที่ หก (ต่อ )

หัวหกก้นขวิด
ชีวิตหกผกผัน


เป็นสิ่งที่ภูมิใจมาก ที่ได้ไปทำงานแล้ว...บริษัทโฆษณา
แถบถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นั้น รับข้าพเจ้าเข้าไปทำงานในตำแหน่ง
ค้อปี้ไร้ท์เตอร์ คือนักเขียนบทโฆษณา

อัตราเงินเดือน ๑๕๐๐ บาท ท่านอย่าหัวเราะเยาะ เชียวนะ
เพราะ สมัยนั้น ข้าราชการชั้นตรี ยังสตาร์ทด้วยไม่ถึง ๑๐๐๐ บาท
และ วันนั้น ข้าวก็ยังจานละ สองสามบาทอยู่..ค่ารถเมล์ ก็เพิ่มเป็น
สัก หกสลึง หรือ บาทห้าสิบแล้วต่อช่วง ข้าพเจ้าเอาสามสิบวัน
หาร ๑๕๐๐ บาท แปลว่า ข้าพเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยเงินวันละ
๕๐ บาท

เพื่อให้ ทางชีวิตการงานข้าพเจ้าประสบผลสำเร็จ พอได้
งานที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่นั้น ข้าพเจ้าก็ไปหาหอฯ แถวเอกมัยอยู่
ได้หอหนึ่ง ในนั้นมีคนทำงานบริษัทฯต่าง ๆและ นักศึกษาปริญญา
โท ก็มี อยู่หลายคน

เพื่อให้ชีวิตรอดมีกินพอประทังชีพ ข้าพเจ้าก็ซี้อเตาไฟฟ้า
หัวขดได้เตาหนึ่งพร้อมกับ หม้อตุ๋นข้าวได้ใบหนึ่งเป็นสองชั้น
เวลาทำต้องใส่น้ำไปชั้นล่าง มีหูยาว ๆอันเดียวทั้งสองชั้น ชั้นบน
ใส่ข้าวสารกับน้ำพอท่วมข้าวลงไป ชั้นล่างก็เป็นที่ใส่น้ำให้เต็ม
ตั้งไปบนเตาไฟฟ้าดังกล่าว จนเดือด และ ซื้อไข่ไก่ มาต้มไป
พร้อมกับน้ำที่ต้มข้าวด้านล่าง ซื้อ ปลากระป่อง และ ผักกาด
กระป่องไว้เป็นอาหารประจำทุกมื้อที่กลับไปหอ ประมาณว่า
มื้อหนึ่งไม่ถึงสิบบาทสมัยนั้น ไข่ไก่ก็ฟองละไม่ถึงบาท ผัก
กาดกระป๋อง และปลากระป๋อง ก็บาทกว่าเองเท่านั้นค่ะ
เช้าก็ออกจากหอ ขึ้นรถเมล์ไปนิดหนึ่งไปถึงบริษัทฯ
กลางวันก็หาข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวแถวนั้นกิน เย็นก็กลับรถเมล์ถึง
หอฯ และ ทำอาหารดังที่ว่าไว้ คือ หุงข้าวตุ่นชั้นบน ชั่นล่าง
ต้มไข่ เปิดปลากระป๋อง นั่นเป็นอาหารสามัญประจำตัวของ
ข้าพเจ้า

เสื้อผ้านั้น ความที่ข้าพเจ้าเป็นนักเย็บผ้า จึงสามารถ
ตัดเย็บชุดสูทให้ตัวเองบ้าง ชุดแซค บ้าง ชุดกระโปรง กับเสื้อ
ยืดและเสื้อกั๊ก ให้ตัวเองหลายชุด เรื่องเสื้อผ้านั้นข้าพเจ้าสามารถ
มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ เหมือนสมัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่

เงินเดือนแค่นั้นกระติ๊ดเดียว ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอยู่หอพักฯ
มือก่ายหน้าผาก แต่นัยน์ตาไม่ได้แห้งผาก เพราะข้าพเจ้ามีทาง
ชีวิตรออยู่ข้างหน้า อยู่แล้วในหัวใจ

พี่ชายคนโต ซึ่งห่วงใยข้าพเจ้ามาก ก็พยายาม มารับ
ข้าพเจ้าไปค้างบ้านเขากับพี่สะไภ้ ที่แถวถนนเทพารักษ์ ในช่วง
เย็นวันศุกร์ และ พามาส่งในเช้าว้นจันทร์ บางครั้งเสาร์อาทิตย์
ข้าพเจ้าก็ไปเยี่ยมเยียนคุณอา ซึ่งเป็นทหารเรือ ที่สัตหีบ และ
มีชีวิตอย่างอิสระเสรีไม่มีกฎข้อบังคับของคุณแม่ที่เป็นไม้เบื่อ
ไม้เมากับข้าพเจ้าอย่างแรง

: tiki_ทิกิ - [ 18 มี.ค. 51 22:41:55 ]

@@@@ @@@@

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

บทที่ หก (ต่อ )

หัวหกก้นขวิด
ชีวิตหกผกผัน


จะว่าไป ช่วงที่ข้าพเจ้าปฏิวัติตัวเองไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติ
สัญญาณของแม่ต่อไป ก็นับว่าดีเลิศในการงาน แต่ตกต่ำในภาพ
ลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง หากหวนคิดไปถึง เด็กหอฯ ที่อยู่คนเดียว
ใช้ชีวิตอิสระ มีงานทำ ขึ้นรถเมล์บ้าง ตุ๊ก ๆ บ้าง บางครั้งก็แท็กซี่
แต่สำหรับคนภายนอกเขาคงมองข้าพเจ้านั้นกระจอกพิกลอยู่
ทว่า สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ด้วยความทิฎฐิมานะยึดมั่นในความเป็น
ตัวของตัวเองสูงลิ่วนั้น ข้าพเจ้าถือว่า ที่กำลังเอาชนะคะคานกัน
อยู่นั้น คือ คุณแม่..!! และ ข้าพเจ้าถือว่าชนะ เพราะการมีงานทำ
อย่างดีเด่นนั้น...หากใช้ภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าคงเป็น "The
amazing Gypsy Copywriter " ในวันนั้น...

: tiki_ทิกิ - [ 18 มี.ค. 51 22:45:00 ]
: tiki_ทิกิ วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:23:03:04 น.


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%


บทที่เจ็ด
ก้าวสู่ชีวิตทำงานมือโปร


จน ปีถัดมา ข้าพเจ้าก็ไปสมัครงานที่บริษัทฯเอกชน
อีกบริษัทฯ หนึ่ง เพื่อยกระดับเงินเดือนของข้าพเจ้าขึ้นที่เดือน
ละ ๓๐๐๐ บาท อัตรานี้ เทียบเท่ากับ บัณฑิตที่จบปริญญาโท
ในปีนั้น...เปลี่ยนงานอีกรอบ คราวนี้ เข้าบริษัท ฝรั่งที่นับว่าเป็น
ยักษ์ใหญ่ในการโฆษณา ที่ถนนเพลินจิต เงินเดือนข้าพเจ้าปีน
จาก ๕๐๐๐ บาท ขึ้นไปที่ ๖๐๐๐ ถึง ๗๕๐๐ บาทในปีนั้น


ในปี พุทธศักราช ๒๕๑๘-๒๕๑๙ อันเป็นปีที่ข้าพเจ้า
เปลี่ยนงานไปมา คือ ลาออกไปทำกับอีกบริษัทฯหนึ่ง ที่ ถนน
คอนแวนต์ และ ถูกเจ้านายที่เพลินจิตสั่งเลขาตามตัวกลับมา
หนหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ลาออกอีก เพื่อจะไปเรียนต่อที่คณะ
วารสารศาสตร์ธรรมศาสตร์ ซึ่งแต่แรก มิได้คิดจะออก เพราะ
เลือกสอบเข้า ภาคค่ำไว้ แต่กรรมที่จะไม่ได้เรียนคือต้องไป
เรียนภาคกลางวัน แล้วกดดันในชีวิตมาก ที่ต้องกลับไปอาศัย
คุณแม่ใช้เงินคุณแม่ไปเรียน กำลังคิดมากอยู่ช่วงนั้น คุณ
แม่ได้ย้ายออกจากบ้านในกรมฯ แล้ว คุณพ่อลาออกได้บำเหน็จ
มาก้อนใหญ่ คุณแม่ไปเลือกซื้อที่ดินติดกับบ้านพี่ชายในหมู่บ้าน
เอกชนแห่งหนึ่ง และ กำลังรอการก่อสร้างอยู่ ท่านจึงไปเช่า
บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งของเพื่อนคุณพ่อ และ ข้าพเจ้าก็ไปอยู่
บ้านหลังนั้น เดินทางไปเรียน ที่ มธ. อยู่ และ ไปอาศัยบ้าน
ญาติพี่น้องคุณแม่ที่คลองประปาสามเสน ไปเรียนช่วงนั้น จน
ถึงวันตัดสินชีวิต คือ มหาวิทยาลัยมีเดินขบวนประท้วงเกิด
การนองเลือด ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ นั้น ข้าพเจ้า ก็ จบชีวิต
นักศึกษาอีกรอบ

วันรุ่งขึ้นยกหูโทรศัพท์ โทรฯ ไปหาเจ้านายที่เพลินจิต
ท่านก็บอกคำเดียวว่า " มาเลย เงินเดือน ๗๕๐๐ " --- นั่นมัน
ราคาจบด็อคเตอร์ในปีนั้นนะคะ แล้วข้าพเจ้าจะเรียนไปทำไม
กับภาวะต้องอาศัยชาวบ้านชาวช่องอยู่อีก ..ไม่เอาแล้วเรียนหนัง
มีแต่ป้ญหา ข้าพเจ้าไม่เรียนก็ทำงานได้ เงินเดือนมากกว่าพี่น้อง
ทุกคนในบ้าน มากกว่าสองเท่าสามเท่าเสียด้วยซ้ำ วันรุ่งขึ้น
ข้าพเจ้าก็ได้กลับไปทำงานใหม่อีกครั้ง..ณ บริษัทฯเก่าที่ลาออกไป

ช่วงนั้น ข้าพเจ้าย้ายที่พักไปเป็นหอพักแบบบ้านรวม
แบ่งห้องให้เช่า ที่ซอยสุขุมวิท ๔๓ พอย้ายไปทำงานที่บริษัทฯ
ที่ถนนคอนแวนต์ ก็ไปเช่าห้องชุดราคาเดือนละ ๕๐๐๐ บาท
เป็นอพาร์ตเมนท์อย่างหรูที่ ถนนคอนแวนต์ แล้วก็ไปเช่าห้อง
ชุดอย่างหรูแถบถนนพหลโยธิน ราคาเท่ากัน แต่แล้วก็กลับไป
เป็นอพาร์ตเมนท์ เล็ก ๆ ห้องหนึ่งเดือนละสามพันบาทในซอย
สุขุมวิท ๔๑ ที่นับเป็นแหล่งพักพิงนอกอกแม่ครั้งสุดท้าย..ก่อน
จะไป ๆ มา ๆ อยู่กับคุณแม่ที่บ้านใหม่ที่คุณแม่สร้างเสร็จและ สร้าง
ห้องให้ข้าพเจ้าห้องหนึ่งที่นั่น และ ...กลับไปอยู่กับคุณแม่
ช่วงปี ๒๕๒๑ ถึง ๒๕๒๓ อีกครั้ง

คราวนั้นเงินเดือนพอมีมากขึ้น น้องชายก็แนะนำให้
ข้าพเจ้าไปซื้อรถยนต์ใช้เอง อย่าเดินทางด้วยรถเมล์หรือ รถแท็กซี่
อีก ข้าพเจ้าเลือกซื้อรถคันแรก เป็นรถมือสองอเมริกันคันยาว
ยี่ห้อ ปอนติแอก-Pontiag รุ่น แคททาลีน่า-Catalena ให้พี่ชาย
มาขับออกจากอู่ให้ มีเรื่องตลกว่า เขาทำรถตายบนสะพานปิ่น
เกล้า มีคนมาช่วยแก้ไขรถ เรียกค่าซ่อม๔๐๐ บาท ตอนนั้นนับว่า
แพงมาก เทียบค่าเงินสมัยนี้ ก็ไม่ต่ำกว่า สองพันบาทแน่ เขาก็
ตาเหลือก ต่อรองค่าซ่อม เจ้าช่างนักฉวยโอกาสนั้นมองพี่ชาย
ข้าพเจ้าหัวจรดเท้าแล้วกล่าวว่า
" ขี่รถคันยาวเป็นวา บอกไม่มีเงินได้ไง "
พี่ชายก็ต่อรองให้ช่างนั้นไป สัก สองร้อยบาท แล้วรีบ
โทรฯ หาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเลยฉุกคิด คำนวณทั้งค่าน้ำมัน ทั้ง
ค่าโสหุ้ยแล้ว ก็ไปที่อู่ขอเปลี่ยนเป็นรถโฮลเด้นสีทอง มันก็
ดูมีอาการไม่ค่อยดีอีก จึงเปลี่ยนเป็นเฟี้ยต-Fiat รุ่น Sport Baby
แทน ขับไปขับมาไม่เท่าไหร่ก็ถูกรถเมล์ชน ไปเสียเวลาซ่อม
ทำสี ข้าพเจ้าจึงไปเปลี่ยนเป็น Fiat อีกแล้ว แต่เป็นรุ่น 124
ซึ่งทำประวัติการณ์ " เข็นทุกครั้ง " หรือ "ต่อสาย(ไฟ)ตรงแล้วติด"
ให้ข้าพเจ้าใช้ไปอีกหลายปี


นับเป็นรถมือสองหลายคันที่ใช้มา จนในที่สุด เมื่อคุณ
พ่อข้าพเจ้า ซึ่งลาออกจากงานราชการเหมือนกัน ได้ย้ายสถาน
ที่ทำงานไปอยู่ รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ขอใช้สวัสดิการ
ของที่ทำงานท่าน ซื้อรถเก๋ง Toyota ใหม่เอี่ยมป้ายแดงออก
จากอู่ โดยให้ รถFiat นั้นแก่ท่านแทน แล้วข้าพเจ้าก็ผ่อนรถ
Toyota อยู่พัก และ ขายคืนให้คุณพ่อ และ ขายรถ Fiat ด้วย
กลับไปใช้รถเมล์ รถตุ๊ก ๆ รถแท็กซี่ ในเวลาแค่สามสี่ปี ต่อมา


ถ้าพูดถึง ช่วงปีนับแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๗ ที่ลาออก
จากมหาวิทยาลัย มาทำงาน จนถึง ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ นั้น แค่
หกปี นับจากเดินออกจากมหาวิทยาลัยมาทำงาน พบอุปสรรค
ทุลักทุเลของชีวิตอย่างเขียนไม่ถูกจริง ๆ มันเป็นเวลาที่ชีวิตหก
ผกผัน จนแทบจะบรรยายไม่ถูก และ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้มาใน
ช่วงนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าพเจ้าล้วนทำเอง สร้างเอง
เลือกเอง เป็นไปเองตามกรรมตามวิถีชีวิตของข้าพเจ้า และ ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากได้มานานชั่วชีวิต...
คือ "โฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง"
ซึ่ง ได้มาและ นำไป จำนอง และ ขายฝาก ไว้กับหลายแห่ง
หลายครั้ง ในช่วงนั้น...มันมีที่มา....!
ปมเล็ก ๆ ในใจของข้าพเจ้า ที่ต้องการ บ้านและที่ดิน
ของตัวเอง กลายเป็นปมใหญ่มหาศาลของชีวิต เป็นปมที่คว่ำ
ข้าพเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า...และ จะค่อย ๆ เล่าไปอย่างละเอียด
อย่างเกี่ยวเนื่อง เหมือนกับห่วงโซ่ของโครเชต์ที่ร้อยเรียงต่อติด
ไปอย่างตัดไม่ขาด.......

: tiki_ทิกิ - [ 18 มี.ค. 51 22:47:13 ]

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ภาคต่อไปของข้าพเจ้านั้น เขียนเสร็จไปส่วนหนึ่งเมื่อคืนนี้ แต่นั่งอ่านแล้ว
ชั่งใจอยู่ว่า จะลงดี หรือไม่ลงดี แต่หากไม่ลง ก็เหมือนมองไม่เห็นปัญหา
และสัจธรรมแห่งการ ดิ้นรนที่จะมีอิสระเสรีภาพ ของตน

ข้าพเจ้าย่อมมีสิทธิ์ในชีวิตของตนที่ดำเนินทิศทางอย่างที่ตัวเอง
บังคับได้ ชีวิตมนุษย์ย่อมเหมือนปลาที่ต้องพยายามกระเสือกกระสน
เพื่อหาบ่อน้ำเลี้ยงชีวิต มุมมองของคุณแม่ ท่านก็รู้จักแต่ "วิชายัญชี"
แบบที่ท่านเรียนมา เหมือนคนรุ่นป้า รุ่นแม่ของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้ารู้จัก
ส่วนใหญ่ ก็มักเรียน วิชาบัญชี หรือ ครูอาจารย์ หรือ แพทย์พยาบาล
การที่จะมองเห็นสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตกับศิลปะนั้น หายากนัก หาก
ใครมีความแตกต่างจากบุคคลอื่น เป็นปัจเจกบุคคลโดดเด่น คนนั้นก็มัก
จะถูกหาว่า "บ้า" "บ๊อง " " เพี้ยน " " สติแตก " ฯลฯ

แต่กับคนอย่างข้าพเจ้านั้น คนละสายพันธุ์ทางความคิดกับคุณแม่
และ ญาติโกโหติกาคุณแม่แทบจะ ๑๐๐ % มีบางครั้งที่ได้ยินเพื่อนคุณแม่
ท่านบ่นกับพวกข้าพเจ้า ว่า
" ป้าอยากเอาเรามาเลี้ยงเองเสียจริง แม่เรามันเลี้ยงลูกไม่เป็น
เลี้ยงลูกผู้หญิงไม่เป็น ไอ้ลูกป้ารึ ม้นก็ไม่ฉลาดเฉลียวอย่างเรา น่าเสียดาย
นะ หากป้าเลี้ยง เจ้าคงจะไม่เป็นอย่างนี้ดอก.."

บันทึกไว้ ณ เวลา 12:38 นาฬิกา พระอังคาร ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ เรือนนนทบุรี

: tiki_ทิกิ - [ 19 มี.ค. 51 12:37:38 ]


%%%%%%%%%%%%%%%%%%

เชิญตอบข้อความได้ที่นี่ค่ะ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tiki&month=28-03-2008&group=1&gblog=16
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:22:19:23 น.  

 
 
 

สิบเอ็ดโมงยี่สิบห้านาที วันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

หลวงพ่อกำลังฉันเพล อาหารที่เรานำมาถวายในเช้าวันนี้คือ บะหมี่เป็ด
เกี๊ยวน้ำ และ ข้าวหน้าเป็ด เอ็มเค ร้านทำเป็ดอร่อย วันนี้เป็นวันที่คุณที่บ้าน
นัดไว้ว่าจะทำบุญครบ ๕๐ วัน ให้คุณแม่ของเขา หรือคือ คุณย่าของลูกชาย...
"หลวงพ่อดูสิคะ ที่ดินของเรา จนป่านนี้ ๒๙ ปีแล้วนะคะ ยังเข้าไป
ใช้ที่ใช้ทางเราไม่ได้เลยค่ะ "
ข้าพเจ้ายื่นโทรศัพท์มือถือให้ท่านดูภาพตรงหน้าจอ ให้ท่านกดลง
ดูภาพไปเรื่อย ๆ ท่านหัวเราะ ก็เหมือนที่ข้าพเจ้าก็หัวเราะกับท่าน เช่นกัน
"ดีที่มันเป็นที่นะ มันเลยยังอยู่ หากเป็นอย่างอื่นก็หมดไปด้วยแล้วซี
ปีนี้ เธอไม่ต้องคิดร่ำคิดรวยอะไรนะ สร้างบุญบารมีของเธอไปก็พอ "
ที่อะไรหนอ ที่เราซื้อมาตั้ง ๒๙ ปีแล้ว แต่ไม่อาจทำประโยชน์อะไรใน
ที่นั้นได้ เลย....
แล้วภาพปัจจุบัน ก็ถูกแทนที่ด้วยภาพ เมื่อสามสิบปีที่แล้วแทน

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
บทที่แปด
โดดเดี่ยว รัก และร้าง.. (ต่อ)


เหตุของความประมาทในครั้งนั้น ได้ทำให้ชีวิตข้าพเจ้าแปรผัน
แต่ ก็เป็นเวลาที่ข้าพเจ้า กำลังหา "บ้าน" เพื่อจะซื้ออยู่อาศัยเอง ในช่วงนั้น
ข้าพเจ้าได้ไปวางเงินจองซื้อบ้านไว้ ที่ถนนพัฒนาการหนึ่งแห่ง ซึ่งเป็นบ้าน
ใกล้บ้านคุณอาและอยู่ในโซนติดต่อกันสุขุมวิท ด้วยถนนเพชรบุรีตัดใหม่
กำลังมีความหวังในชีวิตว่าตัวเองจะมีบ้านอยู่ของตัวเองสักหลัง จะไม่เช่า
อพาร์ตเม้นท์อีกแล้ว

ยามว่างของข้าพเจ้า มักจะไปที่ร้าน Thai House สุขุมวิท เข้าไป
ซื้อหาเฟอร์นิเจอร์ไม้สักเก่า เวลาว่าง ก็จะเปิดประตูห้อง ยกออกไปหน้าห้อง
นำมาเช็ดล้าง ทำความสะอาด ขัดจนดูผุดผ่อง รอจนแห้งแล้วก็ยกกลับมา
แต่งห้องไว้อีก ฝันว่าวันหนึ่งคงจะได้ยกเข้าบ้านใหม่ของข้าพเจ้า
เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนเก่านั้น นำกุมารปูนพลาสเตอร์น้อยมาให้ตัวหนึ่ง
ข้าพเจ้าวางไว้บนโต๊ะไม่สักเก่าตัวนั้น

และ คืนหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ฝัน เห็นกุมารีน้อยหัวจุก ในชุดผ้านุ่งโจง
กระเบน มาหาข้าพเจ้า เสียงเรียก "แม่จ๋า .." นั้นยังกังวานอยู่ในโสตประสาท
แม้เมื่อตื่นขึ้นมา

แต่แล้ว ...บางอย่างก็เกิดขึ้นกับชีวิตข้าพเจ้า 'เขา'คนนั้น ผู้ก้าว
เข้ามาในชีวิต ผู้มีอิทธิพลรุนแรงจนโชคชะตาแปรผัน ราวกับที่ท่านหมอดู
อาจารย์ ส. ท่านทำนายทายทักไว้ ข้าพเจ้าหมดแรงหมดกำลังใจที่จะ
ซื้อบ้านต่อไป ปล่อยให้เจ้าของโครงการณ์ยึดเงินดาวน์ไป เพราะมอง
อนาคตไม่เห็นเลย ว่าจะทำงานทำการต่อไปได้อย่างไร จากสิ่งที่กำลัง
เกิดขึ้นในชีวิตวันนั้น

ดูเหมือนเขากับ
ข้าพเจ้าอึดอัดกันอย่างยิ่ง .......

..... ข้าพเจ้านั้น 'ไล่เปิดเขาไปจากชีวิต ' ครั้งนี้เป็น
ครั้งสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องตัดสินใจ ย้ายกลับไปอยู่บ้านกับคุณแม่
และ คุณพ่อ..ในแวดวงของพี่ชาย น้องชาย และ หยุดชีวิตที่อพาร์ตเม้นท์
ไว้เพียงเท่านั้น ขอให้มันเป็นเพียงภาพความหลังที่แม้จะผุดกลับมา แม้จะ
ทำให้หวนหาอาลัย แต่ก็ไม่อยากจะคิดถึงมัน ข้าพเจ้าอยากจะฝังวันแห่ง
ความรัก ความอาทรอันรวดเร็วปานจรวดนั้นลง ข้าพเจ้ารู้ว่าตัวเองประมาท
และพลาดพลั้ง แต่ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบชีวิตตัวเองต่อไป

หลายเดือนในช่วงต้น ๆ ข้าพเจ้า
ยังมีภาพหลอนของเขา และจมดิ่งอยู่ในความทุกข์เศร้า จนแม้แต่นาย
แพทย์ ที่เข้ามาตรวจอาการของข้าพเจ้า และ จัดวิตามินให้กิน ยัง
ดุว่าข้าพเจ้าที่ไม่บำรุงรักษาต้วเอง ...ก็ในความสิ้นหวังอย่างนั้น ข้าพเจ้า
จะเอาพลังใจที่ไหนมาสู้ชีวิต

ชีวิตสอนบทเรียนให้ข้าพเจ้าอีกบทว่า การดับความทุกข์ให้แก่
ตนเอง คือต้องยอมรับว่า ในอดีตชาติของเรานั้น คงได้เคยทำกรรมแก่
ผู้คนเขาไว้มาก หากชาติที่เคยเกิดเป็นชาย คงได้ ทิ้งร้างหญิงไว้
เป็นม่ายลูกติดไว้มาก ชาตินี้ข้าพเจ้าจึงได้เสวยกรรมอย่างทันตาเห็น

แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่พลังต่อสู้นั้นกลับคืนมา ข้าพเจ้าบอกคืน
ห้องแก่ผู้ดูแลอพาร์ตเม้นท์ เก็บข้าวของทุกชิ้นออกจากห้องพัก ขน
ของขึ้นรถ และข้าพเจ้าก็ย้ายกลับบ้านแม่ ในขณะที่ ขับรถไปทำงาน
ที่บริษัทฯเป็นปกติ เหมือนที่เคยเป็น

หลายคนถามถึง'เขา' เขาคือใคร ทำงานที่ไหน ฯลฯ ข้าพเจ้า
บอกให้ทุกคนทราบว่าเขาคือใครและทำงานที่ใด แต่เขากับข้าพเจ้า
นั้น เดินกันไปเป็นเส้นขนานไม่มีวันที่จะมาแตะกันอีกแล้ว
: tiki_ทิกิ - [ 19 มี.ค. 51 14:04:55 ]

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
บทที่แปด
โดดเดี่ยว รัก และร้าง.. (ต่อ)


พุทธศักราช ๒๕๒๒ อีกหนึ่งชีวิต ...เพิ่งเกิดมา.
เด็กน้อยน่ารักของขวัญชีวิตของข้าพเจ้าเกิดที่โรงพยาบาลพหลโยธิน
ซอยราชครู.. กระเช้าดอกไม้ขนาดใหญ่ หลายกระเช้า ส่งมาจากบริษัทฯ
วางไว้ที่หัวเตียง เพื่อน ๆหลายคนมาเยี่ยม

ลูกสาวน้อยผิวขาวผ่องอม
ชมพูแสนสวยของข้าพเจ้าเกิดมาแล้วและข้าพเจ้าจะเลี้ยงเขาให้ดี
ให้น่ารัก ให้ดีกว่าข้าพเจ้าหลายเท่า

ถัดไปจากนั้น คือหน้าที่ของ ทนาย ที่จะส่งเอกสารใบแจ้งเกิด
ต่าง ๆ ไปยังบ้านของเขาทั้งที่กรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด ใบตอบรับ
ลายเซ็นของเขาทุกใบ รวมทั้งเอกสารลายมือที่เขาเขียนไว้ให้ข้าพเจ้า
ก่อนหน้า รวมอยู่ในแฟ้มประวัติการเกิดของลูกสาวทุกอย่าง ข้าพเจ้า
ได้ ทะนุถนอมลูกน้อยในครรภ์มาตลอด ๙ เดือน ทั้งไปทำบุญทำทาน
ให้ลูกได้เกิดมาตลอด แค่นี้ที่ต้องการ ชีวิตของข้าพเจ้า มี' เพื่อนน้อย '
แล้ว ไม่ได้ว้าเหว่ อ้างว้าง เหมือนที่เคยเป็นมา

ภาพที่ข้าพเจ้ารำลึกไว้ ถ่ายเก็บไว้ คือภาพวันที่นำ ลูกสาวน้อย
กลับจากโรงพยาบาลเข้าบ้านคุณแม่ คุณพ่อซึ่งขณะนั้นทำงานต่าง
จังหวัด กลับมารออยู่ที่บ้าน ท่านนั่งอุ้มหลานสาวผิวขาวผ่องตัวสีชมพู
ของท่านไว้บนตัก ท่านนั่งอุ้มอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง ข้าพเจ้าหยิบ
กล้องถ่ายบันทึกภาพนั้นไว้ และเป็นความสุข ทุกครั้งที่เห็น ภาพคุณพ่อ
และ คุณแม่ กำลังเชยชมลูกสาวแสนสวยของข้าพเจ้า

คุณแม่ขอให้ลูกใช้ นามสกุลของเรา แต่ข้าพเจ้าแย้งและยืนยัน
ว่าเธอมีสิทธิ์ใช้นามสกุลพ่อของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

ข้าพเจ้าอุ้มเจ้าตัวน้อยสีขาวอมชมพูที่กำลัง
ยิ้มแฉ่งเบิกบาน เป็นขวัญใจคุณตาคุณยายไว้ในอ้อมกอด
"ลูกจะโตอย่างมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าแม่รักเขา ห่วงใยเขา
และ ดูแลเขาตลอดไป "
มือเล็ก ๆ นั้น โอบรอบคอข้าพเจ้าไว้ ผิวนุ่มละเอียดขาวนั้น
ผุดผ่องนัก เธอเป็นของขวัญแก่ชีวิตของข้าพเจ้าจริง ๆ
( จบบทที่ แปด )

: tiki_ทิกิ - [ 19 มี.ค. 51 14:09:59 ]


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




เชิญตอบข้อความได้ที่นี่ค่ะ

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=28-03-2008&group=7&gblog=6
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:38:48 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com