ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
..♥ ภาคส อง, บท ๙-๑๑ ...♥ ♣.

" " ที่ดินผืนนั้น " " - ภาค สอง
หมายเหตุ
* โรงพยาบาลพหลโยธิน ซอยราชครู..
บัดนี้กลายเป็นศูนย์ธุรกิจขนาดย่อม เข้าซอยราชครูไปสักสามสิบเมตร ประมาณนั้น...


บางเรื่องของชีวิต ที่เราไม่อยากจะเขียนถึง แต่ก็จำเป็น
เพราะมันโยงใยเกี่ยวกับที่ดินผืนดังกล่าว.. บางอย่างที่เหมือนไม่สลักสำคัญ
แต่มันรื้อขึ้นมาก็กลายเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน..
ยอมรับว่า ม้นเป็นเรื่องยาว ที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะเขียนได้มาก่อน
เพราะไม่มีสมาธิพอนะคะ

แต่วันนี้ มันเกิดขึ้นแล้วที่นี่ ที่หน้ากระทู้พันทิปนี้ค่ะ
จะยากเย็นก็ตรงที่ต้องพยายามเขียนมิให้กระทบกระเทือนผู้ใดทั้งสิ้น
หรือ ต้องกระเทือนน้อยที่สุด เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถย้อน
กลับไปแก้ได้ ได้แต่ มองเหมือนฉากละครฉากหนึ่ง ซึ่งกำลังผ่านไป

..... ????

......ข้าพเจ้าทิ้งคำถามไว้ ท้ายบทแปด ของ ภาคที่หนึ่ง
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6423525/W6423525.html

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~





Create Date : 26 มีนาคม 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 18:22:42 น. 4 comments
Counter : 394 Pageviews.  
 
 
 
 
" " ที่ดินผืนนั้น " " - ภาค สอง
บทที่ เก้า

ที่แปลงนั้น ..กับธุรกิจใหม่

สามเดือนหลังจากนั้น
ข้าพเจ้าก็เปิดธุรกิจของตนเอง และ เป็นเวลาที่เพื่อนหญิงคนสำคัญ
ซึ่งเคยทำงานอยู่บริษัทโฆษณาที่เดียวกับข้าพเจ้า ณ ถนนคอนแวนต์
ได้มาเป็นหุ้นส่วนด้วย

คุณแม่ของเพื่อนเป็นคนค้าขาย ทำเงินจากการให้กู้ ช่วงนั้นท่านได้
รับที่ดินที่หลุดการขายฝากมาหนึ่งโฉนด ข้าพเจ้ากำลังตรวจดูหลัก
ฐานการจดทะเบียนห้างฯ กับเพื่อนอยู่ คุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนก็
ถือโฉนดแผ่นนั้นเดินมาให้ข้าพเจ้าดู

"ราคาไม่เท่าไหร่หรอกที่หลุดมาเนี่ย.." คุณแม่คุณติ๋มเล่าให้ฟัง
อย่างอารมณ์ดี ขณะเล่นกับลูกสาวข้าพเจ้าที่นอนดิ้นอยู่ในตะกร้า
ข้าพเจ้ามองหน้าคุณแม่เพื่อนแล้ว เอ่ยปากขอออกไป
"คุณแม่จะขายให้หนูได้ไหมคะ แล้วหนูจะเอาที่เข้าแบงก์
ระหว่างนี้จ่ายผ่อนคุณแม่ไปก่อนนะคะ "

ข้าพเจ้าหยิบแหวนเพชรเม็ดใหญ่ในกระเป๋าออกมา น้ำเพชรแวววับ
เม็ดละกะรัตกว่าซึ่งข้าพเจ้าซื้อให้ตัวเองก่อนหน้านั้น ส่งประกาย
กลอกกลิ้งอย่างงามยิ่ง ..ข้าพเจ้าวางมันลงบนโต๊ะ
" คุณแม่คะ ราคามันคงไม่ต่ำกว่าแปดหมื่นแล้วนะคะ หนูขอวาง
เป็นดาวน์ให้คุณแม่ไปก่อน คิดเป็นสี่หมื่นห้าพันบาทเท่าที่หนูซื้อมา
ตอนนี้หนูไม่มีเงินสดเลย..แต่ถ้าคุณแม่ไปโอนให้หนูเลยหนูจะเอา
โฉนดไปขอกู้แบงก์ค่ะ "" หนูอยากซื้อที่นี้ไว้ เผื่อให้ลูกสาวหนูได้
ดีใจว่า อย่างน้อย ชีวิตนี้จะมี'ที่อยู่ ' ค่ะ ไม่ต้องเร่ร่อนไปโน่นนี่
เหมือนแม่เขา "

ชีวิตของข้าพเจ้าที่โยกย้ายไปมาเป็นประจำ จนได้ฉายาว่า
GypsyCopy Writer นั้น
เพื่อนฝูงในวงการงานรู้ดียิ่งกว่ารู้..และข้าพเจ้าก็มีปมใหญ่ปมนี้ที่
แกะไม่ได้สักที
ไม่มีที่ไหนในโลกนี้จะทำให้ข้าพเจ้า รู้สึกว่า เป็น 'บ้าน'เลยสักครั้ง
ไม่ว่าบ้านนั้นจะเป็นบ้านคุณแม่ มันก็ไม่ใช่ บ้านของข้าพเจ้า
บ้านนั้นอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน

คุณพ่อ คุณแม่ของคุณติ๋ม นัดแนะพาข้าพเจ้าไปดูที่ ข้าพเจ้าขับรถ
ไปรับท่านทั้งสอง เดินทางจาก ตลาดคลองเตย ตรงไปยังเส้นทาง
จังหวัดนนทบุรี และเลี้ยวเข้าซอย ' แผ่นดินทอง ' เข้าไปจนถึง ซอย
แผ่นดินทอง๒๔ ในวันนั้น ถนนยังเป็นลูกรัง และ ทางก็ขรุขระมาก
จนถึงบึงใหญ่ราวทะเลสาบ เย็นชื่นใจมาก เราทั้งหมด กระโดดไป
ตามทางยกสูงขึ้นมาเป็นดินคลุกหินบดข้างบึงจนถึงที่แปลงนั้น

ต้นมะพร้าวสองต้นเป็นตำแหน่งที่วางไว้ ที่ถึงจะต่ำหน่อย แต่ก็ยัง
โล่ง เย็นชื่นด้วยน้ำจากบึงใหญ่ ข้าพเจ้าเดินไปมารอบที่นั้น เกิด
ความรักและความภาคภูมิใจ บอกกับตัวเองว่า 'ที่นี่แหละ วันหนึ่งฉัน
จะปลูกบ้านให้ลูกเราอยู่กันที่นี่ ' และ นั่นเป็นครั้งแรก ที่ความรู้สึกที่
ว่า ตนเองมีที่ดินแล้วได้ให้ความภาคภูมิใจอย่างยิ่งใหญ่แก่ชีวิต...

คุณพ่อของเพื่อนท่านยินดีจะไปทำการโอนล่วงหน้าที่ดินดังกล่าวให้
ในชื่อข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าทำสัญญาไว้กับท่านว่าจะ ผ่อนจ่ายเงินที่
เหลือให้เป็นรายเดือนต่อไป เพราะตอนนั้น คุณติ๋มและ ข้าพเจ้าได้
สัญญากันว่าจะทำงานร่วมกัน เงินที่จะต้องลงใช้ในการทำงานคง
ต้องใช้มากอยู่ คงไม่มีเงินก้อนมาชำระให้ท่าน ซึ่งท่านก็ยินดีช่วย
ข้าพเจ้าเต็มที่

เมื่อที่โอนมาในชื่อข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ติดต่อธนาคารแถวสี่แยก
บ้านคุณแม่ พาเจ้าหน้าที่ไปดูที่ดิน จำได้ว่า ธนาคารให้เงินมา
แปดหมื่นบาทซึ่งยังไม่ถึงครึ่งของราคาที่ตกลงซื้อขายกันเลย แต่
ข้าพเจ้าก็ ค่อยนำเงินนั้นทะยอยผ่อนไป ให้ท่านตามที่ท่านทำสัญญา
ตกลงไว้ให้แก่ข้าพเจ้า

วันแรกที่โฉนดอยู่ในมือ และ ถ่ายเอกสารมาทั้งหมด ทั้งโฉนดรวม
ที่ดิน ซึ่งบอกไว้ว่า ตรงไหนเป็นถนนเข้าที่ ข้าพเจ้าพลิกมันไปมาดู
ด้วยความปลื้มปิติ มีความรู้สึกเหมือนมีที่พึ่งแห่งชีวิตในตอนนั้น
ข้าพเจ้าคงจะได้เข้าไปมีสิทธิ์ปลูกบ้านสักวันหนึ่งดังฝันไว้..

นาน ๆ ครั้ง ข้าพเจ้าเดินเข้าไปดูที่ดินของตนเอง ช่วงหน้าน้ำปีนั้น
น้ำมาก ท่วมหน้าดินไปเกือบมองไม่เห็นทางเข้า ทุกครั้งที่เข้าไป
ข้าพเจ้านั่งมอง แล้วคิดคำนวณว่า ต้องใช้เงินมากไหม ถึงจะมาปลูก
สร้างบ้านในที่นั้นได้ แต่เมื่อไหร่ล่ะ...เมื่อไหร่

: tiki_ทิกิ - [ 19 มี.ค. 51 23:26:33 ]

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

บทที่เก้า
ที่แปลงนั้น ..กับธุรกิจใหม่ (ต่อ)

วันที่หวนคืน

ช่วงนั้นวันใดที่ข้าพเจ้ามีภาระหน้าที่ต้องออกจากบ้าน ข้าพเจ้า
นำลูกสาวน้อยใส่ตะกร้าหวายขนาดใหญ่ให้เธอนั่งไปด้วยในรถ
ลูกสาวคนเดียวตัวน้อย เธอไปเก็บเงินลูกค้ากับข้าพเจ้ามาแต่
เล็กแต่น้อย เธอเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทุกคนจะทักทายเธอและ
เธอก็จะยิ้ม ร่าเริงกับทุกคน ในช่วงทารกของเธอ เธอน่ารักมาก
บางขณะที่ขับรถไป เธอนั่งอยู่ในที่นั่งของเด็กด้านข้าง สักพัก
เธอก็ เคลื่อนตัวออกมาเสมือนว้าเหว่นักโผมากอดคอข้าพเจ้า
ที่กำลังขับรถอยู่ ..ความรู้สึกที่มือน้อย ๆ เล็ก ๆ นั้นเกาะกุมอยู่
บนคอข้าพเจ้า
ชีวิตเล็ก ๆ นั้น หวังพึ่งพิงข้าพเจ้าแต่ผู้เดียว

ชีวิตที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างไร้ทิศทางของข้าพเจ้าค่อย ๆ คลายลง
ที่เหลืออยู่คือความกระตือรือร้น ที่จะทำงานเพื่อที่จะได้เงินมา
เลี้ยงดูลูกน้อยและ ช่วยค่าใช้จ่ายที่บ้าน คุณแม่ ปลายเตียงของ
ข้าพเจ้าเป็นที่ทำงานคือเครื่องมืออัดเสียงทั้งหมด เพื่อจะส่งเทป
ไปยังสถานีวิทยุ หลายสถานีที่ข้าพเจ้าได้ชั่วโมงออกอากาศ

ข้าพเจ้าทำธุรกิจโดยมีคุณติ่ม เป็นหุ้นส่วนอยู่ได้สักปีกว่า
จ่ายเงินให้ธนาคารค่าที่ดินแปลงนั้นทุกเดือน พอ ๆ กับที่ยังต้อง
ส่งเงินทีละก้อนให้แก่คุณแม่คุณติ๋มเพื่อนรักทุกเดือนด้วยเช่นกัน
อีกทั้งเงินค่าสถานีวิทยุ ที่จะต้องจ่ายล่วงหน้าทุกเดือนก่อนเข้า
รายการ ค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการสถานีอีกมาก

ลูกค้ารายใหญ่รายสำคัญของข้าพเจ้าก็มาจากลูกค้าของบริษัท
โฆษณาที่ข้าพเจ้าเคยทำด้วยทั้งนั้น ยกเว้นอีกรายที่เป็นเพื่อนของ
ห้วหน้ากลุ่มงานโฆษณาของข้าพเจ้า ที่เป็นเจ้าของห้างใหญ๋
ณ ถนนวิทยุ ซึ่งยอมลงทุน จ่ายค่าเวลาวิทยุเต็มชั่วโมงให้ข้าพเจ้า
มาก่อนเพื่อให้ข้าพเจ้าไปหาสปอนเซอร์ร่วมในรายการอีกครึ่ง
ชั่วโมง และ นำเงินส่วนที่ได้มาคืนให้เขาครึ่งชั่วโมง นั้น ข้าพเจ้า
ยังรำลึกถึงอีกหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักและ น้บถือซึ่งได้ให้การ
ช่วยเหลือ นำโฆษณามาให้รายการจนเต็มทุกรายการ

ปี พ.ศ.๒๕๒๓ ทั้งปีผ่านไป ถึงกลางปี พ.ศ.๒๕๒๔ แต่แล้ว....
การเงินก็ติดขัดอย่างยิ่ง เพราะเงินที่ลงทุนไปนั้น กว่าข้าพเจ้าจะ
เบิกออกจากบริษัทฯ โฆษณาแต่ละแห่งได้ เกินสองเดือนไปแล้ว
ถึงสามเดือน- สี่เดือน ก็ยังมี
ข้าพเจ้าหมุนเงินจนตัวหมุนติ้ว เท่าไหร่ที่ทุ่มลงไปก็ไม่พอค่า
ดอกเบี้ยตอนนั้น ติดลบอยู่กว่าห้าแสนแล้ว.. กู้ยืมนอกระบบมา
เพื่อให้ทำงานผ่านไปได้ ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าเข้าไปเก็บเงินลูกค้า
ที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งที่ถนนวิทยุ ครีเอทีฟว์ไดเรคเตอร์ฝรั่ง
ได้เห็นข้าพเจ้า และ ทราบว่าข้าพเจ้าเคยทำงานด้านครีเอทีฟว์
มาก่อน จึงได้ติดต่อให้ข้าพเจ้ากลับไปทำงานในอัตรา หมื่นกว่า
บาทเท่าที่ข้าพเจ้าเคยได้รับ สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ตอนที่หมุนเงิน
ไม่ท้น เงินหมื่นกว่าบาทนั้น เหมือนฟางชิ้นหนึ่งซึ่งลอยมาใน
มหาสมุทรที่ข้าพเจ้ากำลังว่ายอยู่อย่างไม่เห็นฝั่ง ข้าพเจ้าต้อง
กลับไป ทำงาน เพื่อจะได้มีเงินเดือนหมื่นกว่าบาทหาเลี้ยงตัวเอง

และในที่สุด รายการวิทยุ ทุกรายการก็ต้องปิดตัวลง ตามที่ม้น
ต้องเป็นไป

คนที่มาขอให้ข้าพเจ้าปิดรายการทั้งหมด ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
คุณแม่ของข้าพเจ้าเอง ท่านลงทุนนั่งกราบที่พื้น บอกให้ข้าพเจ้า
เลิกทำ ว่าตอนนี้ลูกเป็นหนี้แค่ครึ่งล้านนี้ แต่หากทำต่อไป มันจะ
เป็นล้านและ หลายล้าน ขอให้หยุดลงทุนทำรายการวิทยุเสีย
ก่อนที่จะหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง..

แต่ก็มีบางอย่างที่ผุดขึ้นมาระหว่างปีนั้น...เสียงของข้าพเจ้าที่ออก
อากาศไป ช่วงกลางวันอาจไม่มีอิทธิพลอันใด แต่ รายการเพลง
ยามดึกณ สถานีทหารแห่งหนึ่งนั้น ..ได้นำจดหมายและไปรษณีย-
บัตรส่งไปหาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นมีจดหมายฉบับเล็ก ๆ
ฉบับหนึ่ง มีลายมือตัวเล็ก ๆ ตรงและประณีต ซึ่ง ทักทายกับ
ข้าพเจ้าว่า เป็นใครคนหนึ่งที่เคยรู้จัก และ เมื่อได้ยินเสียง อัน
คุ้นเคยของข้าพเจ้า และ ได้ยินชื่อ ก็ต้องรีบเขียนไปหา...เมื่อ
มองไปที่ชื่อข้างล่างนั้น ปิดเทปสีเงินเอาไว้ และมีถ้อยคำเขียน
ล้อเลียนไว้ว่า
" หากอยากรู้ว่าใครก็ต้องเปิดดูนะ "

ข้าพเจ้าเปิดดู พอเห็นชื่อก็ยิ้มขำ นอกจากชื่อ ก็เหมือน ๆ ผู้ฟัง
ทั่วไปซึ่ง เขียน เบอร์โทรศัพท์มาด้วย.. และ ข้าพเจ้าก็คงจะโทรฯ
ไปทักทายเขาอย่างไม่ได้เห็นเป็นการพิเศษอันใด ..ก็เหมือน ๆ
ผู้ฟังอื่น ๆ ที่ให้เบอร์มา แต่ครั้งนี้ เป็นการเปิดทางชีวิตสู่เส้นทาง
หนึ่ง อีกเส้นทางที่พันธนาการร้อยรัดข้าพเจ้าไปอีกนาน

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังขับรถโตโยต้าคันที่ข้าพเจ้าใช้
สวัสดิการคุณพ่อซื้อมาอย่างที่เขียนไว้ตอนก่อน ขับไปตามถนน
งามวงศ์วาน ใกล้สี่แยกพงศ์เพชร ในวันนั้นยังไม่มีสะพานลอย
อย่างวันนี้ ...รถแลนเซอร์สีเงินไฟซีคันหนึ่ง ก็โฉบตัดหน้า พร้อม
ทั้งบีบแตรให้ข้าพเจ้า ลูกสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้ากับข้าพเจ้าหันหน้า
ไปดูนิดหนึ่ง พร้อมกับข้าพเจ้าที่หันไปเห็น ยิ้มกว้างขวางที่ส่งมา
ให้ เขาละเจ้าของจดหมายฉบับนั้น มาพบกันบนท้องถนนโดย
บังเอิญ
เจ้าของรถ ไขกระจกลง และ โบกมือให้ข้าพเจ้าอย่างร่าเริง

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

จากนั้น เขาก็ได้ขอนัดเจอกันครั้งหนึ่ง ไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของ
ตัวเองข้าพเจ้าในชุดเสื้อยืดตัว กางเกงขาสั้น อย่างที่ทำงาน อัด
เสียงอยู่กับบ้านตามธรรมดาของข้าพเจ้า แวะไปพบครั้งหนึ่ง ที่
โรงแรมโกลเด้นดราก้อน ถนนงามวงศ์วาน และเขาก็ตามมาที่บ้าน
เพื่อจะมาเห็น"ห้องทำงานปลายเตียง " ที่บ้านคุณแม่ของข้าพเจ้า
ลูกสาวน้อยนอนหลับในเตียงคอกเด็ก อยู่ข้างเตียง

ข้าพเจ้าไม่เคยมีฟอร์มอะไรกับใครเขาเลย อย่างไรก็อย่างนั้น
ต่อให้พระอาจารย์ทั้งหลายจะ สอนสั่งแล้วสั่งอีก ว่า หากจะ
นัดพบเจอกับใคร ให้นัดที่ " ดุสิตธานี " ข้าพเจ้าก็ไม่เคยจดจำ...
และภาพลักษณ์ของข้าพเจ้า คงทำให้ ผู้ใหญ่ของเขาสะดุดหู
สะดุดใจ และเริ่มติดตามดูความเป็นไปอย่างเงียบ ๆ เพราะ เมื่อ
เขากลับบ้านจนดึกครั้งใด เขาจะเปิดเสียงรายการวิทยุของ
ข้าพเจ้าฟังทันที นั้นคือผลพวงของรายการวิทยุวันนั้น ที่ต่อเนื่อง
มาถึงวันนี้ !

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

: tiki_ทิกิ - [ 19 มี.ค. 51 23:27:20 ]

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:13:32:11 น.  

 
 
 

บทที่เก้า
ที่แปลงนั้น ..กับธุรกิจใหม่ (ต่อ)

มาเร็ว ไปเร็ว

ปีกว่าสองปีเท่านั้น...ข้าพเจ้าก็ต้องหวนกลับไปทำงานเดิม ๆ ที่
ถนัดอีกครั้ง คราวนี้ ออกจากบริษัทโฆษณา ณ ถนนวิทยุ กลับ
ไปอยู่บริษัทเริ่มแรกที่ถนนเพชรบุรีอีกครั้ง...ไปทำงานในฐานะ
ผู้เชี่ยวชาญ มีสัญญากันทุกหกเดือน เพราะเขาถือว่า ข้าพเจ้า
เงินเดือนสูงเกือบสองหมื่นแล้ว แถมมีหลายครั้งที่ การประชุม
งานช่วงเย็นนั้น จะมีต้วน้อยของข้าพเจ้า ไปนอนดูดขวดนม รอ
ข้าพเจ้าอยู่ด้วย...!!

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ ข้าพเจ้าเปลี่ยนรถใหม่ คือ จากรถโตโยต้ามา
กลายเป็นรถเฟี้ยต 124 สีฟ้าดังเดิม พอข้าพเจ้าย้ายบริษัทฯ อีกครั้ง
เพื่อกลับเข้าเป็นพนักงานประจำ ด้วยอัตรา เกือบสองหมื่น ครั้งนี้
ข้าพเจ้าได้กลับเข้าไปทำงานที่ถนนคอนแวนต์ รอบสองเต็มตัว
การไปครั้งนี้ข้าพเจ้าขายรถแล้ว และ ย้ายไปอยู่กับพี่ชาย ทาง
ฝั่งธน และ ย้ายไปอยู่กับน้องชายที่พหลโยธิน เป้าหมายคือ เลี้ยง
ลูกสาวตัวน้อยนี้ให้ดีที่สุด ให้รอดให้ได้..แม้จะยากแสนสาหัส...
กับหนี้ก้อนใหญ่ที่โหมกระหน่ำด้วยดอกเบี้ยนอกระบบที่ข้าพเจ้า
ไปพัวพันตัวเองไว้ ระหว่างวิ่งหาเงินทุนซื้อเวลาวิทยุนั้น

และ ที่ดำเนินอยู่ข้างใต้การเลี้ยงดูและทำงานนั้น คือการนำโฉนด
ที่ดินซอยแผ่นดินทองไปทำขายฝากไว้กับนายทุนนอกระบบ เป็น
สิ่งเดียวในชีวิตที่ข้าพเจ้ายึดไว้ไม่เคยปล่อยให้หลุดหายไป ไม่ว่า
จะเมื่อใด ต้องใช้เวลานานกว่าสี่ปี กว่าข้าพเจ้าจะ ปลดหนี้ก้อน
นั้นลง ม้นหมายถึงต้องกินอยู่อย่างประหยัดและ แทบจะไม่ได้ใช้
เงินอะไรเท่าไหร่ ขอเพียงให้หนี้ก้อนนั้นปลดลงขอเพียงให้โฉนด
ลอยคืนออกมา นั้นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าหวัง

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ภาคที่หนึ่ง เชิญอ่านได้ที่นี่ค่ะ

//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6423525/W6423525.html

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=20-03-2008&group=7&gblog=3

: tiki_ทิกิ (tiki_ทิกิ ) วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:3:45:31 น.

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ข้าพเจ้ากำลังพยายามนึกว่า เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตแต่ละช่วง
ไว้ที่ไหนบ้าง
เท่าที่จำได้ก่อน

... "ชั่วโมงละแปดร้อยเพื่อประชาชน ๐--- นี้เป็นเรื่องสั้น
เกี่ยวกับการจัดรายการวิทยุ ที่จะเจ๊งในช่วงนั้น
ใน หนังสือ ผู้หญิง จะเป็น ผู้หญิง 24
หรือเปล่า จำไม่ได้ เพราะย้ายบ้านไปมา เรื่องที่เขียนไว้ หนังสือ
ที่เก็บไว้ ก็กระจัดกระจาย
หายไป

*** " ...." เป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับวันเกิดตัวเองอายุ ๑๘ ปี นามปากกา
น่าจะเป็น'เดซี่ ประเทศไทย'
เขียนลง หนังสือศรีสัปดาห์

... " จิรา ตั๊กแตน และรายงานที่ยังไม่เสร็จ .. เรื่องสั้นเขียนไว้ที่
ลลนา จะเป็นนามปากกา
' เดซี่ ประเทศไทย' หรือไม่ ก็นึกไม่ออกค่ะ

...." นังผู้หญิงแพศยา "...นี้น่าจะเป็นหนังสือ Man ในนามปากกา
' เพลิน' * ไม่แน่ใจ
: tiki_ทิกิ วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:3:48:26 น.

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%


บทที่ ๑๐
แล้วแต่ชะตาฟ้าดิน


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

เมื่อตอนที่ลูกเพิ่งเกิด ในช่วงเดือนกว่าสองเดือน ข้าพเจ้า
พาเธอไปให้พระอาจารย์ที่วัดชนะสงคราม ท่านช่วยตัดผมไฟให้
พระอาจารย์ ส. ท่านเอ็นดูเมตตาลูกสาว และ ช่วยตัดผมให้ทั้งหัว
ลูกเลยในเวลานั้นได้คุณแม่ หรือคุณยายของลูก ช่วยดูแลให้เสมอ
และ ได้ จ้างคนรับใช้ที่เรียกว่า "เชี่ยวชาญการเลี้ยงเด็ก " มาคน
หนึ่ง แต่พอสามเดือนเธอก็กลับไปบ้านที่ปักษ์ใต้ จึงต้องไปหา
มาใหม่อีกคนเป็นคนสูงอายุแล้ว บ้านคุณแม่จะอยู่ติดกับบ้านพี่ชาย
ใหญ่ ด้านหลัง เป็นที่รกร้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยต้นหญ้า ต้นกก
บ้านคุณแม่ท่านทำหลังคาคลุมด้านหลังต่อเป็นทางเดินกันฝน
ออกไปอีก

ข้าพเจ้ากลับไปบ้านแต่ละวัน ก็พบว่า "โถยาดอง ที่ดองยาจีน"
ไว้นั้นพร่องไปเร็วเหลือเกิน ช่วงป้าคนนี้มาอยู่ แต่ก็ไม่ได้ระแวง
ว่าเป็นความผิดปกติอันใด จะเห็นแต่ท่าทางสะอาดสะอ้าน ที่
พยายามแสดงให้เห็น ก็วางใจว่า ลูกคงอยู่ในมือคนดีแล้ว
ข้าพเจ้าก็ทำงานทำการต่อไปอย่างไม่ห่วงอะไรนัก

ลูกกำลังอ้วนท้วนขาวผ่องน่ารักนักในช่วงเดือนต้น ๆ คุณแม่
จะให้หลานสาวมานอนบนที่นอนเล็ก ซึ่งปูไว้กับพื้นกลางบ้าน
เปิดประตูหน้าต่างไว้ทุกบาน มีพัดลมเปิดไว้ให้เธอ และมีมุ้ง
ประทุนครอบที่นอนที่เธอนอนอีกที แม้ว่าทั้งบ้านจะติดมุ้งลวด
ไว้ก็ตาม

@@@@ @@@@

แต่วันหนึ่ง ข้าพเจ้านึกเฉลียวใจกลับถึงบ้านแต่วัน
กลับถึงบ้านก็พบว่า คุณป้าคนดีคนนี้ นอนกลิ้งโค่โล่ ตาแดงก่ำ
อยู่ หลังบ้านตรงเตามีรอยไฟไหม้อยู่ที่ผนังเหนือเตาแก๊ส
จึงไปสอบถาม หลานสาวพี่สะไภ้บ้านติดกัน เด็กก็รายงานว่า
ป้ามาจุดไฟ ทอดปลาไว้ แล้วไปนอนหลับ ไฟก็ลุกโชติช่วงขึ้น
พอดีเด็กวิ่งมาแถวนั้นจะมาเอาของอะไรท้ายบ้าน เห็นแสงไฟลุก
ก็คว้าผ้ามาดับไฟที่กำลังลุกกระทะ ปิดแก๊สได้ทันควัน เด็กราย
งานว่า ปกติยายป้านี้ชอบออกนอกบ้านไปทุกวัน ไปกรึ๊บ ไปก๊ง
เหล้าขาว ร้านแถวบ้านปล่อยลูกข้าพเจ้านอนแอ้งแม้งอยู่อย่าง
นั้น พอใกล้เวลาข้าพเจ้าจะกลับมาจึงจะมาทำท่าดูแลลูกสาวราว
กับเป็นผู้ดิบผู้ดี ให้ข้าพเจ้าดู

ข้าพเจ้าไม่พูดอะไรมาก ปลุกแม่คนสองหน้านั้นลุกขึ้น
เชิญออกไปค่ำนั้นทันที มิใยที่ป้าคนดีแกจะ อ้อนวอนว่าค่ำแล้ว
จะไปไหนได้ ข้าพเจ้าก็สวมวิญญาณโหด สวนกลับไปว่า ไม่เอา
ความแจ้งความตำรวจว่าจะทำบ้านฉันไหม้ และ จะเผาสดย่างสด
ลูกฉัน ที่แค่ให้ออกนี่ก็เป็นบุญแล้ว

จากนั้น ก็ได้เด็กอีกคน มาแทน ถึงจะเป็นเด็กต่างจังหวัด
ทำอะไรไม่ค่อยเป็นนักเหมือนสองคนก่อน แต่ก็ดูท่าทางซื่อดี
สั่งสอนอบรมให้ทำอะไรก็พอทำได้ แต่เด็กพวกนี้ อยู่ไป
ไม่นาน ก็มีหนุ่มมารุมจีบกันทั้งนั้น


ก่อนหน้าเหตุการณ์ไฟลุกไหม้กระทะไม่นาน ข้าพเจ้า
อยู่ที่บ้านกำลังทำงานอยู่ ได้เห็นควันไฟลอยมาจากหลังบ้าน
ก็โผล่หน้าไปดู ใจหายวาบเพราะ ไฟมันลุกไหม้หญ้าคา หญ้า
ท่วมทุ่งนั้นมา จนเกือบจะถึงหลังคาบ้าน รีบโทรศัพท์ไปบอก
191 ให้ทราบ ไม่นานก็เห็นรถดับเพลิง มาคันหนึ่ง ข้าพเจ้าไป
ยืนใจหายอยู่ด้านข้างบ้าน เพราะเปลวไฟนั้นมาชิดรั้วแล้ว แต่
แปลกที่ ไฟนั้นอ้อมขึ้นไปบนหลังคาไปจ่ออยู่ข้างบนเหมือน
หัวงูใส่ตรงหลังคาหลังบ้าน แล้วก็ค่อย ๆ หดความสูงลง และ
ค่อย ๆ เตี้ยลงบ้านรอดไฟป่าหญ้าคา หญ้าแห้งหลังบ้านไปได้
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
พอหายตกอกตกใจในสองเหตุการณ์ ที่เกิดไล่เรี่ยกัน
ไม่นาน ข้าพเจ้าก็โทรศัพท์ไปหาเพื่อนบริษัทเก่าที่ เพลินจิต
คุยให้ฟัง เพื่อนก็ตกใจแทน ได้แนะนำให้ไปปรึกษา คุณนักดู
หมอดูคนหนึ่ง ชื่อขึ้นต้นด้วย พ. พาน นามสกุล ต.เต่า อยู่แถว
ถนนสี่แยกที่มีกล้วยแขกขายกันเยอะ ๆ ข้าพเจ้าขับรถเข้าเมือง
ไปหาที่จอดใกล้ห้องแถวที่ปิดประตูไว้หมด เดินอ้อมไปทางหัว
มุมสี่แยกแล้วแจ้งความประสงค์ ว่าจะมาหาคุณ พ. อาซิ้มหน้า
ร้านก็พาไปนั่งรอและได้เข้าพบ การพบนั้นก็แปลกอยู่อย่าง ที่
ระหว่างพูดกันนั้นมีหญิงสาวอีกคน ตาบอด นั่งอยู่ข้าง ๆ คอยฟัง
คำระหว่างพูดกันและ คอยพยักหน้า หรือ ทำกิริยาให้ คุณ พ.
เข้าใจ คำตอบที่จะให้มา สรุปว่า เธอให้ข้าพเจ้า เอาลูกไปยกให้
ใครแก้เคล็ดเสีย เพราะลูกสาวนั้น ดวงชะตาสูงกว่าข้าพเจ้ามาก
นัก ให้เลี้ยงให้ดี มิฉะนั้นจะเลี้ยงยากมาก ข้าพเจ้าถามว่า
" หากยกให้แล้วเขาเอาไปเลยจะทำอย่างไร"
เธอก็แนะนำว่า
"ก็ไปทำพิธีเขียนชื่อนามสกุล ไปยกให้พระพรหมที่หน้าเอราวัณ
ก็น่าจะดีค่ะ "
จากนั้นก็พูดต่อไปอีกว่า
"โตขึ้นให้ระวังช่วงอายุ สิบห้า ถึง สิบเจ็ด ให้ระวัง
เพื่อนจะพาไป ให้หันเหความสนใจไปในการส่งเสริมการเรียน
แล้วต่อไปจะได้ดี จะได้เรียนจนถึงขั้นด๊อคเตอร์ได้ และ ต่อไป
จะเป็นที่พึ่งของแม่ได้ดี "
เมื่อถามถึงบิดา เธอตอบว่า
" ลูกจะไม่สนใจกับพ่อเขาเลยค่ะ เขาจะไปได้ดีด้วย
ตัวเขาเอง คุณไม่ต้องกังวลใจ "
เธอ อึกอักอยู่ชั่วขณะ เมื่อพูดต่อมาว่า
" ถ้าคุณไม่มีสามีใหม่ อยู่กันสองคนแม่ลูกก็จะดีมาก
เลยนะคะ ลูกและคุณจะมีความสุขมากกว่าไปแต่งงานใหม่ "

: tiki_ทิกิ - [ 20 มี.ค. 51 19:47:08 ]

: tiki_ทิกิ วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:21:04:53 น.

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


บทที่ ๑๐ (ต่อ )
แล้วแต่ชะตาฟ้าดิน
มาเลย มาให้พอ..


ระหว่างที่ไปติดต่องานแถวถนนวิทยุ ข้าพเจ้าก็เลย
ไปแวะโรงแรมเอราวัณ และ ลงไปจุดธูปไหว้พระพรหม ฯ เอ่ย
ปากยกลูกสาว ถวายเป็นลูกท่าน และ ขอพรให้ช่วยคุ้มครอง
ดูแลเธอให้ดีเพราะเป็นที่รักของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง

สำหรับเรื่องพระพรหมนั้น มีเรื่องที่เกี่ยวข้องอีกหลาย
เรื่อง ซึ่งลืมเล่าไปว่า ตอนที่ไปทำ หนังสือดวงชะตา แจกฟรี
ให้บริษัทเก่า กับ หมอดู อาจารย์ ส. ซอยโปโล นั้น ท่านได้
แนะนำให้ข้าพเจ้าแก้เคล็ดเหมือนกัน ให้คาถา " ไหว้พระพรหม"
มา ๑ บท และ สั่งไว้ว่าให้ จุดธูปทุกวัน พฤหัส ให้ไปไหว้กลาง
แจ้' และ ว่าคาถานั้น รวมทั้งถ้อยคำสองสามประโยคมาด้วย และ
สั่งให้ทำเป็นประจำ จะแก้เคล็ดเรื่องดวงมีคู่ไม่ดี เรื่องนี้ ข้าพเจ้า
จะเล่าโดยละเอียดต่อไปในภายหน้า

เวลาผ่านไปไม่นาน ข้าพเจ้าเมื่อกำลังทำรายการ
วิทยุลูกอายุได้สักหกเจ็ดเดือนแล้ว คุณแม่มีเรื่องอารมณ์เสีย
กับข้าพเจ้าหลายประการ และ เริ่มหัวเสียกับการกลับดึกกลับดื่น
ที่ข้าพเจ้าไปจัดรายการสดที่สถานีในบางคืน หรือ บางวัน ก็นำ
เทปรายการไปส่งใกล้เวลา เที่ยงคืน จัดรายการไปจนตีหนึ่ง
ขับรถกลับเอาเกือบตีสาม ต้องผ่านคลองประปาที่ยังไม่มีกำแพง
กั้นคลองอย่างปัจจุบัน บางคืน จะขับลงคลองเพราะหลับใน ก็
หลายครั้ง เวลาเลี้ยวจากถนนลาดยาง ดี ๆ มาตามถนนขรุขระ
เหมือนโลกพระจันทร์จะเข้าบ้าน ก็ต้อง เปิดไซเรนในรถเป็นระยะ
ระยะ ..เพื่อกันใครมาดักปล้นดักจี้


ทว่าความหวาดระแวงของคุณแม่ ทำให้ข้าพเจ้าเครียดแทบเป็นบ้า

คุณแม่ท่านหวั่นว่าข้าพเจ้าจะไปมีแฟนใหม่กับคนโน้น
คนนี้ อยู่อย่างนั้น และหงุดหงิดที่ข้าพเจ้ายังไม่กลับบ้าน ่ส่วน
ข้าพเจ้าก็ถูกทางสถานีบ่นหลายเพลาเรื่องระบบเสียงในเทป คือ
เสียงพูดกับเสียงเพลงดังไม่เท่ากัน ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยงทุก
ครั้งที่เปลี่ยนระดับเสียงโฆษณา ฯลฯ ทำไป ทำมา ทำให้เกิด
การทะเลาะกันกับคุณแม่ไปอีก แม้จะแก้ไขด้วยการไปอัด
เทปตามห้องอัดเสียงก็ยังจัดเวลาไม่ทัน ต้องไปเปลี่ยนเทป
ให้เขาถึงสามสถานีซึ่งอยู่กันคนละแห่ง

เหตุการณ์เป็นไปอย่างนี้ อยู่สักพัก พอเห็นว่าถ้าไม่
ไปใช้บริการอัดเทปข้างนอก ก็ไปจัดสดก็ได้ พอขายรถไป
การเดินทางก็ลำบากแล้ว หนทางข้างหน้า จะต้องไปหางาน
ใหม่อีก จึงถึงเวลาก้าวออกจากบ้านอีกครั้ง น้อยใจคุณแม่
ก็น้อยใจ โกรธก็โกรธ เสียใจก็เสียใจ หัวใจมันแห้งผาก ขณะ
หอบลูกไปตอนกลางคืน นั่งรถเมล์ไปจนถึงบ้านพี่ชายที่ฝั่งธน
ไปพักอาศัยอยู่ได้สักสองสามสัปดาห์ ก็ ย้ายไปอยู่กับน้องชาย
ที่พหลโยธิน

การกลับเข้าไปอยู่ที่บริษัทโฆษณาเก่าที่เพชรบุรีตัด
ใหม่ในวาระที่กล่าว...เป็นครั้งที่สอง ลูกสาวตัวน้อย ได้ผ่าน
ไปสู่อายุเกือบห้าเดือนแล้ว

ช่วงที่ข้าพเจ้าไปอาศัยที่พักของน้องชายที่พหลโยธิน
อยู่ ที่พักนั้นเวลาที่ทำงานยุ่งเหยิงอยู่บริษัทฯนางสาวรับใช้ ผู้มา
อยู่ตั้งแต่อาศัยกันอยู่ที่บ้านคุณแม่ นับเป็นคนที่สามที่จ้างไว้ตั้งแต่
ลูกเกิดมาก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ที่พักน้อง

ต่อมาอีกประมาณหกเดือน หัวหน้ากลุ่ม ณ บริษัทเก่าที่
ถนนคอนแวนต์ ก็ติดต่อให้ข้าพเจ้ากลับไปทำงาน โดยให้
อัตราเงินเดือนสูงกว่าที่เก่าพอสมควร และ ให้บรรจุเป็นหัวหน้า
กลุ่มงาน เป็นพนักงานประจำ ได้สิทธิและ การประกันชีวิต การ
ประกันสุขภาพทุกอย่างอย่างดี ข้าพเจ้าตอบตกลงและย้ายไปที่
ทำการใหม่ในเวลาต่อมา

พอถึงเดือนพฤศจิกายน นับอายุลูกได้ ขวบกับอีกสอง
เดือนเป็นช่วงเวลาลอยกระทง นางสาวรับใช้ก็มีนัดกับหนุ่ม
ว่าจะไปลอยกระทงทั้งคืน แล้วก็หายไป ไม่กลับมา เช้าตื่นขึ้นมา
ข้าพเจ้านั่งหน้าบูดอยู่ที่ที่พัก รู้สึกเหมือนไฟลนร้อนไปทั้งตัว
คนรู้จักกันคนหนึ่ง แนะนำให้นำลูกไปฝากแม่บ้านตำรวจที่แฝลต
ข้าง ๆ ข้าพเจ้าไปฝากไว้ได้วันสองวัน ก็ยิ่งให้ร้อนใจกว่าเดิม
เมื่อไปเห็นสภาพของการอยู่ของลูกในห้องที่รกรุงรัง หน้าบ้าน
เต็มไปด้วยแม่บ้านที่นั่งบ่นว่าส่งเสียงวุ่นวายอยู่ ข้าพเจ้าใจหาย
อุ้มเธอขึ้นรถตุ๊ก ๆ ข้ามฝั่งถนนพหลโยธิน ไปตามป้ายโฆษณา
ที่ชี้ไปทางโรงเรียนอนุบาล นำตัวน้อยของข้าพเจ้าไปพบกับ
ผู้อำนวยการโรงเรียน
สุภาพสตรีท่านนั้นมองลูกสาวแล้วถามถึงอายุ พอรู้ว่า
แค่ขวบกับอีกสองเดือน ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ข้าพเจ้าได้พยายาม
พูดให้ทราบว่า ลูกสาวตัวน้อยนั้น สามารถ บอกการขับถ่ายได้
ด้วยสัญญาณ " อุ อุ " ทุกครั้ง และมีความ สามารถ ถือช้อน
ส้อม และใช้ตักข้าว ตักกับได้ ตามที่เราฝึกกันมา สามารถบอก
ได้ว่า "หม่ำ หม่ำ " เวลาหิวข้าว

ข้าพเจ้าอธิษฐานจิตอย่างวุ่นวายใจ ปาฏิหาริย์ก็เกิด
ขึ้น ผู้อำนวยการยอมรับเป็นพิเศษเป็นครั้งแรก ให้ข้าพเจ้าจ่ายเงิน
ล่วงหน้าไว้สำหรับค่าอาหารการกิน ตามขั้นตอนการสมัคร ข้าพเจ้า
ตกลงจะมารับเธอตอนเย็น แต่การทำงานโฆษณา โดยเฉพาะใน
แผนกสร้างสรรค์ครีเอทีฟว์ หากงานยุ่งจัด ๆ ยังไม่เสร็จก็ต้องทำ
ต่อเนื่องไปจนกว่าจะจบเรื่องได้ ค่ำบ้าง ดึกบ้าง

บางครั้งก็ต้องฝากท่านผู้อำนวยการ ซึ่งท่านเป็นภรรยานาย
ทหารในกรมมหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ ลูกข้าพเจ้าจึงได้สิทธิ์นอก
อาณาเขต เข้าไปเป็นเสมือนลูกสาวคนเล็กของครอบครัวท่าน ท่าน
ก็รักและเมตตาและสงสารลูกน้อยของข้าพเจ้าถึงแก่เอ่ยปากขอ
จะเอาไปเป็นลูก ด้วยความรักและสงสารอย่างจริงใจ แต่ข้าพเจ้า
ก็ไม่อาจให้ได้ ลูกก็มีความสุขและสดชื่นมาก เพราะมีพี่ ๆ ผู้หญิง
ลูกสาวท่านถึงสามคน คอยดูแลเล่นกัน บางคืนเลยสี่ทุ่มไปแล้ว
ข้าพเจ้าเข้าไปรับไม่ได้ ท่านก็ให้นอนกับลูก ๆ ท่าน ดูแลอย่างดี
จนเช้าอีกวันข้าพเจ้าเข้าไปหา หรือ บางที ก็ฝากไว้จนเย็นอีกวัน
ถึงจะไปรับที่โรงเรียน การณ์เป็นไปอย่างนี้เกือบปี

นึกถึงความทุลักทุเลแล้วเหนื่อยใจไม่หาย ช่วงที่ขาย
รถไปแล้วไม่มีรถใช้ ก็เหมือนขาดขา แต่เพื่อประหยัดค่าผ่อน ค่า
น้ำมัน ค่าซ่อมแล้วข้าพเจ้าต้องยอม เรียกตุ๊ก ตุ๊ก หรือแท็กซี่ และ
ใช้บริการรถประจำทาง ข้าพเจ้ายอมรับความผันผวนของชีวิต ที่
เกิดขึ้นทั้งหมด ก็เนื่องมาจากการใจใหญ่ทำการใหญ่ไม่เตรียม
พร้อมรับกับมัน แต่อะไรเพื่อลูกแล้ว อะไรก็ทำได้ ยอมได้ทั้งนั้น

มีบางวันที่ข้าพเจ้าหมดแรง นอนไปบนพื้นห้องที่พัก
ของน้องชายนั้นและสติหลุด ตะโกนถามหาเจ้ากรรมนายเวร ทั้ง
หลายว่า อยู่กันที่ไหนมาเลยมาหาข้าพเจ้าให้หมดเลย ท้าทาย
ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างนั้น ..คิดดูแล้วน่าสมเพช
ช่างเป็นไปได้ ..!!

: tiki_ทิกิ - [ 20 มี.ค. 51 20:05:26 ]
: tiki_ทิกิ วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:21:05:38 น.


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:13:34:15 น.  

 
 
 
ภาค สอง
บทที่ ๑๑
ฝึกตัวเองใหม่.




ยิ่งนึกกลับไป ยิ่งให้สงสารลูกขึ้นทีนั้น แค่ไม่กี่เดือนที่
ลูกเกิดมาข้าพเจ้าย้ายไปย้ายมาเข้าไปสามสี่บ้านแล้ว.. แต่จะให้
กลับไปอยู่บ้านคุณแม่ในช่วงนั้น ก็คงยังทำใจไม่ได้ เพราะที่ทำงาน
อยู่ถึงถนนคอนแวนต์สีลม


ปีพุท่ธศักราช ๒๕๒๔ ค่าของเงินวันนั้น กำลังปรับลงไป
กว่าเดิม ยกตัวอย่างค่าทองคำ ที่เมื่อช่วงปี ๒๕๑๗ ยังอยู่บาทละ
พันกว่าบาท ในปี ๒๕๒๔ ขึ้นไปเป็นบาทละกว่าสี่พันบาทแล้ว
โดยที่ในสองสามปีก่อนหน้าเคยขึ้นไปแตะ บาทละ เจ็ดพันกว่า
อยู่ครั้งหนึ่งและตกกลับมาอยู่ระดับไม่ถึงห้าพัน

ปีนั้น ชีวิตค่อนข้างดีขึ้นหน่อย หลังจากหดความทะเยอ
ทะยานของตัวเองลงให้เหลือระดับธรรมดาสามัญ แต่กระนั้นก็ดี
การอยู่ในวงการโฆษณา ซึ่งเขามองข้าพเจ้าที่ นามสกุล อันพ้อง
พานกับท่านเจ้าหน้าที่มีอำนาจรัฐ ผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของคุณพ่อ
ก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องประคองตัวเองให้ดูมีสถานะภาพทางสังคมดี
ไว้เสมอ

บันทัดนี้ ต้องขอบคุณความคิดและหนังสือ ของท่านอาจารย์
(ด๊อกเตอร์.......)ผู้เป็นที่เคารพของคุณแม่ เมื่อท่านให้ข้าพเจ้า
ไปเยี่ยมเยียน ท่านอาจารย์ฯ เพื่อปรึกษาเรื่องเงินทองกันนั้น
ท่านด๊อคเตอร์ท่านนั้นได้มอบหนังสือซึ่งท่านเขียนพิมพ์ขาย
เล่มหนึ่งให้ หนังสือนั้นสอนให้แบ่งเงินออกเป็นส่วนจำเป็น
ต้องใช้ แยกใส่ซองไว้ เหลือให้นำจำนวนวันหารและ ใช้ให้
พอในแต่ละวันให้ได้ เพื่อให้รู้จักใช้เท่าที่มี และ ให้รู้จักบังคับ
ตัวเองไม่ให้ใช้อะไรเกินตัว

ข้าพเจ้าฝึกทำไม่ยากอะไร เพราะมีซองต่าง ๆ ไว้ใช้อยู่มาก
จึงทำตามแบบที่หนังสือสอนข้าพเจ้า อย่างพอเงินเดือนออก
มาหมื่นกว่าบาทเกือบสองหมื่น ข้าพเจ้าก็เขียนไว้บนซองว่า
ต้วเองต้องใช้อะไรบ้างเช่น ต้องผ่อนที่ดิน เดือนละเท่าไหร่
ต้องผ่อนหนี้ที่โน่นที่นี่เท่าไหร่ เหลืออยู่เท่าไหร่ เอาสามสิบ
หาร บางเดือนเหลือวันละสามสิบบาท ก็ต้องใช้ให้ได้สามสิบ
บาทในแต่ละวันให้ได้ ซึ่งค่อนข้างยากมาก เพราะข้าพเจ้า
เป็นคนมีนิสัยใช้เงินมือเติบมาตลอด
ดีอยู่อย่างที่ลูกยังเล็กนัก แต่ก็มีค่าต้องไปเนอร์สเซอรี่
โรงเรียนอนุบาล เมื่อเทียบส่วนกับค่าใช้จ่ายอื่นก็ยังน้อยอยู่
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้เรียนจนจบปริญญาตรีอย่างที่ควรจะเป็น
แต่เงินเดือนของข้าพเจ้าก็สูงกว่าเพื่อนและ พี่น้องทั้งหมดใน
ระยะนั้นทว่า หากเทียบกับเจ้านายเดิม ซึ่งย้ายมาจากบริษัท
เดิมที่ข้าพเจ้าเคยทำงานด้วยที่เพลินจิต และมาอยู่ที่บริษัทฯ
ที่ถนนคอนแวนต์นี้ ก็นับว่าท่านสูงมาก เพราะเลขาแอบบอก
ให้ทราบว่า เงินเดือนท่านอยู่ที่สามสี่แสนบาท พร้อมด้วยรถ
ประจำตำแหน่ง คนขับรถ ค่าน้ำมัน และ ค่าเช่าบ้าน (รายได้ )
ให้อีกทุกเดือน ซึ่งในวงการโฆษณาเขา "ซื้อตัว" กันแบบนั้น
ข้าพเจ้าทราบดีว่าท่านอยู่ระดับกรรมการบริหารบริษัทฯ เทียบ
กับแค่หัวหน้ากลุ่ม ธรรมดา ๆ อย่างข้าพเจ้า มันคนละชั้นกัน
แต่ข้าพเจ้าก็พอใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ และ ภูมิใจที่สามารถ
หาเลี้ยงตัวเองได้ แม้นว่าจะมีหนี้สินเรื่องทำงานห้าแสนบาท
ติดมาด้วย แต่ทำไปสักเกือบปี ก็หดหนี้ลงไปหลายหมื่นบาท
แล้ว พวกเจ้าหนี้ท่านจะชื่นชมความซื่อตรงที่ข้าพเจ้าส่งเงิน
ให้ตรงเวลาทุกเดือน เพราะเจ้าหนี้หลายท่านส่วนใหญ่ก็เป็น
เพื่อนฝูงคุณแม่ ซึ่งท่านเมตตาให้ข้าพเจ้ายืม อย่างคนอื่น
ท่านอาจจะคิดดอกเบี้ยร้อยละห้า( ต่อเดือน ) แต่ข้าพเจ้ามี
ที่ดินไปจดขายฝากไว้ ท่านคิดเพียงร้อยละสามต่อเดือน
และต่อมา ก็ลดให้จนเหลือไม่ถึงสองบาทในระยะหลังที่
ข้าพเจ้าไปต่อสัญญากู้กับท่านช่วงเวลาดังกล่าว ได้ฝึก
อารมณ์ข้าพเจ้าเอง ให้มีความเยือกเย็นลงอีกนิด และมี
ความสุข มีความเคารพตัวเองเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการ
มีการงานค่อนข้างมั่นคง เมื่อเทียบเวลาย้อนไปก่อนหน้า
เพื่อนฝูงหลายคน ที่เคยคิดจะดูถูกดูแคลน ก็เริ้มให้ความ
นับถือ ยิ่งญาติพี่น้องแล้วไม่ต้องพูดถึง ความที่เคยมอง
ข้าพเจ้าอย่างดูหมิ่นเย้ยหยัน ก็ถึงแก่นิ่งอึ้งกันไปเป็นแถว
เวลาที่ไป(สอดรู้สอดเห็น)สอบถามเรื่องเงินดาวเงินเดือน
ของข้าพเจ้ากับคุณแม่ หรือกับพี่ชาย น้องชาย
: tiki_ทิกิ - [ 21 มี.ค. 51 04:51:36 ]

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

- ภาค สอง
บทที่ ๑๑
ฝึกตัวเองใหม่. (ต่อ)


ครั้งหนึ่ง คนขับรถของคุณพ่อ เคยมาเจอข้าพเจ้าโดยไม่ได้
นัดหมาย คนขับรถ ตกใจที่เงินเดือนของข้าพเจ้าเดือนเดียว
มากกว่าที่เขาทำทั้งปี ข้าพเจ้าเอง ก็ลืมเลือนค่าของเงินไป
เหมือนกัน ยังไปคิดว่าตัวเองแย่ แย่ พอได้ยินคนขับรถคุณ
พ่อ พูดเปรียบเทียบให้เห็น ยังรู้สึกละอายแก่ใจ ว่าเราดีกว่า
เขาตั้งเยอะ ยังมานั่งก่นว่าตัวเองอยู่ได้ มีบุญเท่าไหร่แล้วที่
มีงานทำ ไม่ใช่ไปนั่งแบมือขอชาวบ้าน อย่างที่เคยเป็น
ที่แท้คิดไป กลับเพิ่งรู้ค่าของการตั้งเป้าหมายในชีวิตให้
ทำงานหนักไว้เสมอ ว่าผลที่ได้รับคือจำนวนเงินรายได้ก้อน
ใหญ่ทุกเดือน ถือว่าตนเองมีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น
กว่าสม้ยเมื่อออกจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ

เดิมข้าพเจ้าคิดจะนำลูกไปเรียนที่ โรงเรียนคอนแวนต์ที่
ตั้งอยู่ข้างตึกที่ทำงาน วันหนึ่งขณะลงไปซื้อรองเท้าผ้าใบ
ยี่ห้อดันล็อปที่อยู่ที่หน้าตึกริมถนน ได้ยิน เสียงเด็กนักเรียน
โรงเรียนคอนแวนต์ลูกคนมีเงินที่กำลังรอผู้ปกครองมารับ
แถวริมถนนคุยกันเสียงดัง ว่า รองเท้าเธอคู่ละสามพันบาท
ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ชอบขึ้นมาในใจว่า พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้
ทำไมเลี้ยงลูกให้เสียคน ต่อไปจะไม่รู้ค่าของเงินเลย
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปซื้อรองเท้าคู่ละสามร้อยก็นับว่าแพงมาก
แล้วสำหรับข้าพเจ้าในวันนั้น แต่ก็เช่นกัน สม้ยเรียน
มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าก็เคยตัดรองเท้าคู่ละเป็นพันเหมือน
กัน แต่ก็เวลาที่ได้เงินจากการทำงานนอกเวลาเรียนของ
ข้าพเจ้า เช่นเป็นครูสอนพิเศษให้ลูกเพื่อนคุณแม่ในกรมฯ
ตอนเย็น หรือไปเฝ้าร้านของขวัญ Mini Meni ที่สยามสแควร์
หรือไปฝึกงานตอนซัมเมอร์ที่บริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่งแถว
สะพานหัวช้าง ฯ หรือ เขียนเรื่องส่งหนังสือแล้วได้เงิน เวลา
เหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงจะ' มอบรางวัล ' ให้ตัวเอง พอได้ยิน
อย่างนั้น เริ่มนั่งคิดกังวลว่าต่อไปจะให้ลูกเรียนที่ไหนดี
อยากให้ลูก " ติดดิน " รู้จักความจริงของชีวิต หากไป
เรียนโรงเรียนคอนแวนต์ จะต้องกลายเป็นเด็กหัวสูง จะใช้
แต่ของแพง ๆ ใช้ของธรรมดาสามัญไม่เป็น
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
การมีลูกทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนนิสัยไปอย่างมาก ข้าพเจ้า
มิเคยอายที่ตัวเองมีลูกเลย กลับยิ่งภาคภูมิใจมาก ที่ตัวเอง
ดูมีค่ามากขึ้นและอาจเพราะลูกสาวนั้นยิ่งโตก็ยิ่งฉลาดเฉลียว
น่ารักน่าเอ็นดู และ พลอยเผื่อแผ่รัศมีมาให้ข้าพเจ้าด้วยก็เป็นฃได้
: tiki_ทิกิ - [ 21 มี.ค. 51 04:52:39 ]


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

- ภาค สอง
บทที่ ๑๑
ฝึกตัวเองใหม่. (ต่อ)

การทำงานในบริษัทฯ ต้องออกไปงานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ หลาย
สถานที่ อย่างที่ทราบกันแล้วว่า ข้าพเจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเองเป็น ก็ยัง
ทำเช่นนั้นอยู่ ยังสามารถตัดเสื้อคลุม เสื้อแส็คไว้ไปทำงาน ด้วย
ผ้าฝ้ายสวยงาม ข้าพเจ้าชอบไปซื้อที่ ร้านศิลปาชีพแถวโรงแรม
โอเรียนเต็ล หรือไปหาตามห้างต่าง ๆ แถวนั้น ไปทำงานก็ยังถือ
ตัวเองเป็น "สาวโสด" เวลาไปงานเลี้ยงต่าง ๆ ยังคบกับเพื่อนชาย
หลายคนที่เข้ามาพูดคุยไปเที่ยวฟังเพลงตามผับ บ้างในบางครั้ง

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:13:37:11 น.  

 
 
 
ในวันหยุดวันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าหยุดอยู่บ้านกับลูก ช่วงนั้นเด็กคน
เลี้ยงคนเก่าที่ว่าลากลับไปปักษ์ใต้ยังอยู่กับข้าพเจ้าที่ที่พักน้องชาย

นึกถึงเพื่อนเก่าคนที่เคยเขียนจดหมายไปหาที่สถานีวิทยุขึ้นมา
และ เพราะครั้งหนึ่งที่เคยพบกัน เขาเคยปรึกษาเรื่องว่ากลับจาก
ต่างประเทศมาแล้วยังไม่ได้งานทำ ต่อมาก็ว่าได้งานแล้วทาง
สุขุมวิท จำได้ว่า เขาทำงานวันเสาร์ครึ่งวัน ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์
ไปสอบถามว่า ทำงานแล้วดีไหม เป็นอย่างไร เขาก็ถามว่าวัน
หยุดนี้จะไปไหน จึงบอกเขาไปว่า อยากพาลูกไปดูภาพเขียน
ที่ศิลปากร และ อยากไปตลาดนัดสนามหลวง ด้วย ว่าจะไปซื้อ
' กะปิ ' เพราะไม่ได้กินข้าวคลุกกะปิมานาน

นิคกี้ ก็ดีใจมากที่ข้าพเจ้าอยากจะไปโน่นนี่ในวันเสาร์นั้น
เขารีบขับรถมาที่ที่พักซึ่งไม่เคยทราบมาก่อนว่าข้าพเจ้าย้าย
ไปอยู่ที่นั่นนานแล้ว ลูกสาวนั่งตักแม่ไปข้างหน้า กับ " อานิค"
ส่วนเด็กคนเลี้ยงนั้นตื่นเต้นดีใจที่ได้นั่งรถเพื่อน "คุณผู้หญิง "
ออกไปด้วยกัน และเธอก็ไม่เคยได้ไปสนามหลวงมาก่อน

ข้าพเจ้าเดินอุ้มลูกไปสักพัก นิคกี้ก็ขออุ้มน้องแซนดี้บ้าง
ส่วนคนเลี้ยงนั้น ดีใจร้องอุ้ยว้าย โน่นนี่ก็ดีค่ะ คุณผู้หญิงขา
ไปตลอดทางข้าพเจ้าได้กะปิ กับเครื่องทำข้าวคลุกกะปิ
สมใจ ก็ถือถุงนั้นเดินแกว่งไปจนถึงทางเข้ามหาวิทยาลัย
ศิลปากร ไปหยุดยืนมองพระพิฆเณศวร์ที่หน้ามหาวิทยาลัย
แล้วก็เล่าให้ฟังกันว่า แต่ก่อนเราประสาวัยรุ่นไป"แซว"
ท่านไว้กันอย่างไร เลยซวยนะ เข้ามหาวิทยาลัยท่านไม่ได้

จากนั้นก็เดินไปยัง โถงแสดงงานศิลป์ด้านหลัง จำไม่ได้
แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร พาลูกเดินชมศิลปะ และ เป็นสิ่งซึ่ง
นิคกี้เรียนมาด้วยเขาจึงรู้สึกยินดีที่ได้ไป ต่างคนต่างมอง
ภาพต่าง ๆ อย่างซาบซึ้ง ส่วนลูกนั้น ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร
มาก แต่ตัวอ้วน ๆ ผิวขาวหอมแป้งเด็กของเธอก็ประทับใจ
นิคกี้ขนาดหนักอย่างที่เขาเคยได้สัมผัสความรู้สึกรักเด็ก
ลูกของเพื่อนสมัยเรียนที่ต่างประเทศเหมือนกัน

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



บทที่ ๑๒
ฟ้าสร้างทางชีวิต...


จนเย็น เราก็กลับไปที่พัก ข้าพเจ้าให้เด็กรับใช้ หุงข้าว
แล้วก็ลงมือ ผัดหมูหวาน ทำข้าวคลุกกะปิ และ ชวนนิคกี้
นั่งกินข้าวเย็นกันอย่างง่าย ๆ ตามประสาเพื่อนเก่า


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
@@@@@@ @@@@@@



เชิญกดตรงนี้ ตอบข้อความ
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=28-03-2008&group=7&gblog=6




 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:13:39:31 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com