Group Blog
 
All blogs
 

ด้วยรักและคิดถึง อ่านอีกครั้ง..จากอีกครั้ง ..ด้วยรักและคิดถึง

เพราะความคิดถึงทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง

จับปากกาขึ้นมาละเลงเรื่องราวความรักของเขา

ความรักที่ไม่รู้ตัวเองว่าเกิดขึ้นเมื่อไร

และเพราะอะไร 'ศัตรู' ตัวเล็กร้าย

จึงกลายมาเป็นคนรัก

...

คำโปรยปกใน

คุณที่ติดตามอ่าน  ทานตะวันสีทอง  คงจำได้ว่า พระเอกของเรื่องตัวนิดเดียว แบบผู้ชายไทยแท้ สูงแค่ห้าฟุตสองรึสาม แต่ก็มีรักแท้ในหัวใจที่คุณประทับใจมาแล้ว ใช่ค่ะ 'คุณหมอติโรธ' และคุณคงจะจำได้ถึงหลานชายสุดหล่อแสนทะเล้น ป.ส.ญ. ของคุณหมอคนนี้ได้ 'คุณพฤช' ได้รับคำสั่ง (ลับเฉพาะ) จากบรรดาเพื่อนหมอติโรธ ให้เขียนเรื่องราวที่คุณหมอไม่ยอมเปิดเผยใน ทานตะวันสีทอง ลงในเรื่อง 'ด้วยรักและคิดถึง' นี้  โทษฐานที่แอบเอาความลับของเพื่อนๆ ไปเขียนขาย

แต่.. เรื่องอะไรก็ไม่สนุกเท่าความรักของคุณเบิ้มเอง ก็คุณเบิ้มไปหลงรัก 'คู่กัด' ของตัวเองเข้า  เธอคือ 'นับดาว' หญิงสาวตัวเล็กที่ชอบใส่ส้นตึก (รองเท้า) กับนุ่งยีนส์คอตก เขาทั้งสองเจอกันเพราะกรณีพิพาทระหว่างรองเท้าส้นตึกของคุณนับดาวและสเก๊ตบอร์ดของคุณพฤช ตำนานคู่กัดจึงเกิดขึ้น   

จากวันนั้นถึงวันนี้ ความผูกพันในฐานะที่เป็นคู่กัด ทำให้ทั้งสองสนิทสนมจนเติบโตกลายเป็น ความรัก.. ความเข้าใจ และความคิดถึงที่จะขาดจากกันไม่ได้


หากถามถึงงานชอบชิ้นเอกจากอีกหนึ่งนักเขียนในดวงใจนาม  'โสภาค สุวรรณ' อาจจะมีความชอบต่างไปจากคนอื่นอยู่สักหน่อย คือ ไม่ใช่เรื่องรักโรแมนติกฮิตๆ อย่าง 'ฟ้าจรดทราย' แต่เป็นรักละมุนไม่หวานข้นไม่อ่อนจางอย่าง 'ด้วยรักและคิดถึง' ที่บางคนก็ชอบ บางคนก็ติว่าอาการ ป.ส.ล. (ประสาทเล็ก) ป.ส.ญ. (ประสาทใหญ่) และ ป.ส.ด. (ประสาทแด..ก) มันออกเลอะเทอะลอยทะเลมากไปหน่อย ส่วนตัวแม้จะมึนกับอาการประสาทเหล่านี้มิใช่น้อย แต่โดยรวมแล้วดันเป็นนิยายที่รักไม่น้อยไปกว่าเรื่องไหนๆ ที่เคยรัก  

และเวลาเขียนถึงเรื่องที่รักที่ชอบก็อดไม่ได้ที่จะสปอยล์ 

เรื่องราวของ "คุณพฤช" หรือมีชื่อเล่นง่ายๆ กันเองว่า "เบิ้ม" หลานชายจอมทะเล้นของ "คุณหมอติโรธ" หรื "คุณช้าง" พระเอกเรื่อง "ทานตะวันสีทอง"  ซึ่งเป็นตัวละครหนึ่งที่มีบทบาทอยู่ในนิยายเรื่องนี้ด้วยกันกับนางเอกของเขา "คุณแก้ว" ที่ได้กลายมาเป็นอาสะใภ้ของเบิ้มแล้วในเรื่องนี้ 

"คุณเบิ้ม" คือชื่อที่คนเรียกคุณพฤชกันโดยทั่วไป ส่วน "ไอ้เบิ้ม" นั้น เป็นคำนำหน้าใช้เฉพาะคนสนิทบางคนที่คุณเบิ้มเล่นหัวลามขี้กลาก เช่น คุณช้าง ไอ้หั่งจู เพื่อนรักที่เมืองไทย ... ส่วนบรรดาอาๆ เพื่อนขุนช้างอย่างหมอท้อ หมอแหวน จะเรียกกึ่งรักกึ่งเอ็นดูกึ่งหมั่นไส้ในความบ้าบอว่า "เจ้าเบิ้ม"

ถ้าจะขอคำหนึ่งคำสั้นๆ สำหรับคุณเบิ้ม  ไม่มีคำไหนสมควรจะใช้มากไปกว่า "ไอ้บ้า!" ที่ความหมายกินขอบเขตครอบคลุมถึง ความทะลึ่งทะเล้น พิลึกกึกกือ เพี้ยน เฮี้ยน พิศดาร  ป.ส.ญ. ถึงขั้นอ่านแล้วชวน ป.ส.ด. ลงตับ ด้วยสำนวนพูดจาภาษาพึลึกพิลั่น เรื่อยเจื้อย ไร้สาระ  แหกคอกลงคู น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งไม่เห็น ไหนจะตำรามหาโหร ดูดวง  ตำรับตำรา คาถา สมุนไพร เรื่องพระอาจารย์ฤาษีเฝ้าถ้ำตะพึดเอย นกถึดทือเอย  ฯลฯ ช่างบ้าบอ บ้าบวม ไร้สาระสิ้นดี  แล้วไหนจะความสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรงรับจำนำ เพราะชอบแลกดุ่ม  ซื้อดะ ชนิดที่ว่า มีเท่าไหร่ ฉ.ห.ว.ว. (ฉิ บ หา ย วาย วอด) ให้สมกับที่หมอดูทักว่าถือกำเนิดในฤกษ์ถุงเงินรั่ว แล้วยังครึ้มกับการ ส.ป.ช.(สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต)  ไม่ว่าจะกัญชา ยาเสพติด หรือเซ็กส์อิสระ คุณเบิ้มเป็นเคยลองเคยรู้ แก่ประสบการณ์มาหมดแล้วมิให้เสียโอกาสที่ได้มาร่ำมาเรียนไกลถึงประเทศเสรีอย่างอเมริกา 

แล้ว .. มีดีบ้างมั้ยเนี่ย..พระเอก ?

คำตอบของคำถามนี้แหละค่ะ คือสาเหตุที่ทำให้ชอบ "คุณพฤช" หรือ คุณเบิ้ม ไม่น้อยหน้าไปกว่าพระเอกนิยายเรื่องโปรดคนไหน เพราะชอบสไตล์นี้มากเป็นการส่วนตัว สไตล์ซับซ้อนนิดหน่อย ด้วย "เปลือกนอก" และ "เนื้อใน"

ในความบ้าบอ ป.ส.ญ. เป็นล้นพ้น มี "เนื้อแท้" ของคุณเบิ้ม และมี "เนื้อหา" ของเรื่องราวที่เป็นสาระ  ในความบ้าบวมร้อยประโยค ถึงจะพบสิ่งเหล่านี้ ซ่อนอยู่ แทรกอยู่ ไม่กี่ประโยค แต่มันก็สำคัญพอจะสร้างความรู้สึกด้วยรักและนับถือที่มีต่อตัวละครนี้ได้

เหมือนกับ "นับดาว" นางเอกของเรื่องไง ที่แรกๆ ก็ไม่ชอบคุณเบิ้มเอาซะเลย ตอนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ไปพักใหญ่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกันกับนับดาว  เอ่อ...  พระเอกเค้า .. เพ้อเจ้อบ้าบออะไรกันเนี่ย ? แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ ในเปลือกนอกมีเนื้อใน มีบางอย่างที่น่าสนใจอยู่ในความคิดอ่านและการกระทำของคุณเบิ้ม  มันแทรกอยู่นิด ซ่อนอยู่หน่อย จนทำให้ต้องสนใจอ่านไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่คุณเบิ้มได้พบกับคุณนับดาวก่อตัวเป็นความรักความผูกพันที่ร้อยเรียงเรื่องราว (บ้าๆ) ไปจนจบ นิยายเรื่องนี้ที่ไม่ได้หวานไม่ได้แหววอะไรเลย ก็สามารถขึ้นแท่นเป็นนิยายเรื่องโปรดในดวงใจ คิดถึงเมื่อไหร่ก็หยิบมาอ่านได้ไม่มีเบื่อ

"คุณเบิ้ม"  เป็นลูกชายโทนของพ่อแม่ เติบโตมาด้วยความรักความอบอุ่น ครอบครัวรายล้อมด้วยญาติสนิทมิตรสหาย พ่อแม่มีเบิ้มตอนอายุมาก เมื่อเบิ้มเริ่มโตเป็นหนุ่มพ่อที่เป็นนายแพทย์ก็ถึงวัยเกษียณแล้วแต่ยังทำคลีนิคพอมีรายได้เลี้ยงตัวและส่งเสียลูกชายมาเรียนอเมริกา  เบิ้มเรียนปริญญาตรีทางด้านเคมี หรือทางสายนี้อาจเรียกได้อีกอย่างว่าเป็น นักเรียนเตรียมแพทย์ เขาอยากเป็นหมอเหมือนพ่อ และน้า-หมอติโรธ ผู้เป็นทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ เป็นผู้คอยควบคุมความประพฤติ (ที่ไม่ค่อยได้ผล) และควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นด่านอรหันต์ที่เบิ้มยากจะฟันฝ่าเพื่อล้วงเอาเงินออกมาใช้ได้  จะขอเพิ่ม ขอเบิกล่วงหน้าล้วนยากเย็น และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขอถือบัญชีเงินฝากที่พ่อโอนมาให้ด้วยตนเอง

เบิกเงินจากคุณช้างโดยไม่มีใบเสร็จหรือเหตุผลอันจำเป็นและสมควร นอกจากจะไม่มีทางได้เงิน ยังจะโดนสวดเสียยับ  ความจริงแล้วตัวเบิ้มเองก็เป็นคนรู้คิดว่าครอบครัวไม่ใช่เศรษฐีร่ำรวย พ่อต้องทำงานหนักเพื่อส่งเสียค่ากินอยู่เล่าเรียน แต่เบิ้มดันมีนิสัยสุรุ่ยสุร่ายจ่ายดะ หนึ่งในอาการประสาทใหญ่ของเบิ้มคือต้องเปลี่ยน ต้องซ่อม ต้องซื้อ ต้องแลก ต้องจำนำ ถ้าไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เบิ้มจะลงแดง มันไม่ใช่อาการที่จะบำบัดได้ง่ายๆ  เมื่อไม่มีเงินจะใช้จ่ายระบายความเครียดดังว่า เบิ้มก็ต้องหาเงิน และหาเก่งเสียด้วย  เป็นนักเรียนเตรียมแพทย์เรียนเคมี แต่เบิ้มมีหัวด้านช่าง กลไก อิเล็คทรอนิกส์ จนใครๆ ว่าน่าจะไปเป็นเอนจิเนียร์ การดัดแปลง การซ่อมแซม เป็นหนึ่งในทางทำมาหาเงินของเบิ้ม ไม่นับรวมที่ทำงานพิเศษต่างๆ ใครๆ ก็รู้ว่าเบิ้มหาเงินได้ แต่เบิ้มไม่เคยมีเงินเหลือ หาได้เท่าไหร่ ก็ใช้ไปจนหมด ปัดตูดเกลี้ยงตลอด

คุณเบิ้ม อาจบ้าบอ ป.ส.ญ. แต่มันก็คงเป็นผลพวงมาจากการเห็นแก่ความเหนื่อยยากของพ่อแม่  ปริญญาตรีคนทั่วไปเรียนสี่ปี แต่เขาต้องการจะเรียนให้จบภายในสามปีเพื่อรบกวนพ่อแม่ให้น้อยลง จึงลงเรียนมากถึง 25 เครดิตต่อซีเมสเตอร์ เพราะเรียนมากจึงประสาทมากไงล่ะ  แต่คุณเบิ้มเค้าประสาทแค่การพูดจาเพ้อเจ้อ พิศดาร พิลึกกึกกือ แค่นั้นเองหรอกนะ เพราะในการงานเบิ้มจริงจังไม่มีเหลาะแหละ และเรื่องการเรียนเบิ้มเป็นถึงนักเรียน ออร์เนอโรล ที่มีเกรดเฉลี่ย 3.8 อัพ

ถึงจะมีอาการ ป.ส.ญ. ที่เลื่องลือ แต่ในหมู่นักเรียนไทยโดยทั่วไปต่างรู้ดีว่า คุณเบิ้มมีความบ้าที่ทำคนส่ายหัวระอาเพราะพูดจาบ้าบอฟังไม่เป็นสาระก็จริง แต่เขาก็มีความดีที่คนนิยมคบหาและให้ความนับถือ  (respect) เขาจึงเคยเป็นถึงประธานนักเรียนไทย มีเพื่อนฝูงคนไทยที่สนิทสนมกัน  เพราะความมีน้ำใจไมตรี ใครเดือดร้อนไม่นิ่งดูดาย หากเพื่อน หรือรุ่นพี่นักเรียนไทยคนไหนต้องการความช่วยเหลือ คุณเบิ้มเป็นที่พึ่งพาได้

 แต่ใครๆ ที่รู้ว่าเบิ้มดีนั้นไม่นับรวม "เธอ" ผู้มาใหม่

"คุณนับดาว" ผู้มีบุคลิกและลักษณะนิสัยตรงกันข้ามกับเบิ้มทุกประการ เรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวในทุกๆ ด้าน เล่าอย่างนี้ คงพอนึกภาพออกนะคะ พระเอกตัวสูง เพื่อนฝูงมาก พูดมาก ป.ส.ญ.มาก ฟุ่มเฟือยมากอ่ะค่ะ ส่วนนางเอกตัวเล็กบาง พูดน้อย เก็บตัว เงียบขรึม จริงจังกับชีวิต เป็นสุดยอดประหยัดมัธยัสธ์และอดออม ที่สำคัญคือ นับดาวเป็นเด็กบ้านแตกพ่อแม่หย่าร้าง พ่อแต่งงานมีครอบครัวใหม่ แม่ก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ นับดาวจึงกลายเป็นส่วนเกินของทั้งสองฝ่ายและเติบโตขึ้นมาในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งของอเมริกา และเมื่อถึงวัยเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็กลายเป็นเด็ก รันอเวย์ฟรอมโฮม จากครอบครัวฝ่ายแม่มาเรียนไกลถึงรัฐนี้ (ที่ๆ มีคนบ้าอย่างคุณเบิ้มอยู่อาศัย) เธออยู่เงียบๆ อย่างเก็บตัวและไม่ค่อยนิยมคบใครสักเท่าไหร่นอกจากพี่นิด สาวใหญ่ใจดีที่เป็นรูมเมท

เบิ้ม เป็นคนเปิดเผยเป็นกันเอง เข้ากับผู้คนง่ายดาย และโดยเฉพาะถ้าคนที่ว่าเป็น "ผู้หญิง"  แต่ไม่รู้เป็นอะไรกับนักเรียนใหม่คนนี้ ที่เบิ้มจำเพาะต้องมารู้สึกขวางหูขวางตาตั้งแต่แรกเห็น และเป็นครั้งแรกด้วยเหมือนกันที่เบิ้มจะเคยไม่ถูกเส้นกับมนุษย์ผู้หญิงน่ะนะ รู้สึกเหมือนว่าเกลียดยัยนี่เข้าไส้ ..  นักเรียนใหม่ก็ใช่จะชอบรุ่นพี่คนนี้เหมือนกัน แต่ถึงจะไม่ชอบหน้ากันยังไง ก็มีเหตุต้องพบปะ เพระเบิ้มรักและนับถือ "พี่นิด" ขนิษฐา นักเรียนไทยรุ่นพี่ที่เบิ้มรักเหมือนพี่สาวและมักมาอาศัยฝากท้องกับอาหารไทยๆ ฝีมือพี่นิด แก้เบื่ออาหารฝรั่งอยู่บ่อยๆ  แล้วยายนับดาวนับเดือนก็ดันมาเป็นรูมเมทของพี่นิด แล้วอยู่กันไปไม่กี่วันพี่นิดก็หลงรักน้องสาวคนใหม่นักหนา ก็ยากนักล่ะที่จะไม่เจอกัน

"สงครามขี้ฟัน" จึงถือกำเนิด!!


สารพัดนึกเลยละ ที่เบิ้มจะเรียกคุณนับดาว (แต่ไม่ได้เรียกให้ได้ยินกับหูนักหรอกนะ) นักเดินยอดตึก ยายม้าหางลา ยายหน้าขิง (หน้าหงิกงอเป็นก่อขิง) สงสัยยายนี่เกิดมายิ้มไม่เป็น ชื่อพิลึก ยายดาวนำ ดำนา ยายม้าหางลากระจุย ยายแม่มดดราปุนเซล ยายขี้เหนียว จอมหนึงหนืด  ยายมหาหนืดแห่งหลอเร้ง หนึงยิ่งกว่าตังเมหลอด ..ฯลฯ

สารเพเหมือนกัน ที่นับดาวจะด่าคุณเบิ้มทั้งต่อหน้าตรงๆ และที่ส่งเสียงอุบอิบลอยมาให้ได้ยิน เวียร์โด(ไอ้บ๊อง)  เครซี่ (ไอ้บ้า) สตูปิดเหนิด นาร์ซีสซัส (ไอ้บ้าหลงเงา)  สน็อป (ไอ้ขี้มูก) เพอร์เซิน พินเฮด (ไอ้หัวเข็มหมุด) เวียร์เนิด บาโลนี่ แรทส์  ฯลฯ เบิ้มบรรยายว่าเป็นภาษาสแลงด่าของเด็กๆ ทะเลาะกันที่ไม่ถึงขั้นหยาบคายน่ะค่ะ

คนอื่นว่าคุณนับดาว ผิวสวย หน้าตาสะอาดสะสวย ถึงจะตัวเล็กแต่รูปร่างก็สมส่วนน่าเอ็นดู๊ แต่สำหรับเจ้าเบิ้ม ยายดาวนำ-ดำนา นอกจากตัวจะสุดเตี้ย  รูปร่างยังผอมบางเป็นกระดาษว่าว หน้าก็งอเป็นม้าหมากรุกตลอดปีตลอดชาติ แล้วยังน้ำเสียงมะนาวหน้าแล้งตลอดเวนั่นอีกล่ะ (ไม่รู้น่ารักตรงไหน )

คนอื่นพอรู้ว่าเบิ้มมีทั้งบ้าทั้งดีอยู่ในตัว แต่กับยายคนนี้ไม่รู้เป็นไรเบิ้มอยากบ้าให้เห็นอย่างเดียว บ้าสุดๆ ให้นางกรี๊ด ไม่มีอะไรจะสนุกเท่าการได้ยั่วโมโหให้ยายหางลาโกรธแทบดิ้นและเปล่งคำเจริญพร(ด่า) ส่งมาให้  และด้วยความสนิทนับถือที่มีต่อกันกับนักเรียนไทยรุ่นพี่ "อาจารย์ทวีพันธ์" ทำให้เบิ้มผู้ไม่นิ่งดูดายขัดคำขอร้องไม่ได้จนต้องกลายมาเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้อาจารย์ได้สมรักสมหมาย นี่เป็นงาน "ช่วยเหลือ" ที่แม้จะมีสัญญิงสัญญาเป็นรางวัลใหญ่ล่อใจ แต่มันไม่ใช่งานง่ายเลย อาจารย์นะอาจารย์จะชอบผู้หญิงทั้งที ทำไมต้องมาเป็นคนนี้ 'ยายท่อนซุง'  (ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากหมายเลขที่ท่านจีบ)

อ่านถึงตรงนี้คุณอาจนึกถึงพลอตทั่วๆ ไป ที่พระนางเป็นคู่กัดกัน แต่เรารู้สึกว่าเขาและเธอมีความแตกต่าง คือไม่ได้กัดกันแบบตะพึดตะพือน่ารำคาญ แค่ไม่ถูกชะตา รู้สึกขวางๆ กันอย่างน่ารัก เป็นว่าคนหนึ่งช่างยั่วด้วยอาการ ป.ส.ญ. คนหนึ่งก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากแว้ดเอาบ้างหรือไม่ก็อุบอิบด่าลอยมา  ทั้งสองคนต่างสนิทคบหากับ พี่นิด ที่เป็นคนกลาง ผู้มักได้ฟังแต่ชื่อ "คุณเบิ้ม" ออกจากปากของนับดาว  เหมือนไม่ชอบหน้า แต่เธอช่างจดช่างจำใส่ใจสารพัดเรื่องพิลึกกึกกือของคุณเบิ้มที่คอยยั่วคอยกลั่นแกล้งให้โกรธ ส่วนคุณเบิ้มก็แปลก ปกติเข้ากับคนง่ายจะตายไป เป็นอะไรต้องมานึกสนุกกับการกลั่นแกล้งแต่นับดาว  เอ..มันแหม่งๆ นะ

นับดาว ก็เหมือนเราคนอ่าน ที่ค่อยๆ ซึมซับเนื้อแท้ใจจริงของคุณเบิ้ม แม้จะคึกคะนองโลดโผน แต่ก็ไม่โง่พอจะทำลายตัวเองให้เสียคน  ในภาษาบ้าบอที่พรรณาถึงครอบครัวญาติพี่น้องด้วยโวหารพิลึกพิศดารแค่ไหน คนฟังจะรู้สึกได้ถึงความรักและการมีชีวิตสนุกสนานอย่างคนมีความสุข ถึงคุณช้างจะคอยด่าว่า โมโหโทโส แกว่งเท้าไล่เตะไอ้เบิ้มยังไง นั่นคือความรัก ความห่วงใยที่มีต่อหลานชาย เช่นเดียวกับบรรดาอาๆ เพื่อนฝูงของคุณช้าง ที่การจดหมาย การฝากข่าวฝากถ้อยคำถึง "เจ้าเบิ้ม" คือความสนิทสนมรักใคร่เอ็นดูกันมา แม้ว่าเจ้าเบิ้มมันจะประสาทมากไปสักหน่อย ก็ไม่มีใครห่วงว่าเบิ้มจะเสียคนนัก ห่วงแต่ว่ามันจะ ป.ส.ด. จนต้องสั่งจับจองเตียงในโรงพยาบาลเอาไว้ให้ล่วงหน้าเข้าจริงๆ

ในการดำเนินเรื่องที่เต็มไปด้วยความ ป.ส.ญ.ของคุณเบิ้ม มีสาระแง่คิดที่ผู้เขียนได้สอดแทรกอยู่เป็นระยะเกี่ยวกับทัศนคติ ค่านิยม ในเรื่องของการศึกษา ที่แม้ตัวละครในเรื่องนี้จะไปเรียนต่างแดนแต่ก็แสดงมุมมองชัดเจนในเรื่องคุณค่าของคน ที่ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรียนอยู่ในหรือต่างประเทศ เรียนอะไร เรียนสถาบันไหน ระดับการศึกษา หรือผลการเรียน การอาชีพที่ชีวิตมีโอกาสได้ทำ ไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าใครอยู่เหนือใคร  

ตัวละครนำอย่างเบิ้ม คือคนที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในวัยที่ยังพอมีเวลามีโอกาสที่จะสนุกสนานกับชีวิต แต่เบิ้มไม่ได้หลงมัวเมา ไม่อกตัญญูต่อบุพการีผู้แก่เฒ่าลงทุกวัน ตรงกันข้ามเบิ้มเป็นลูกผู้ชายหัวใจนักสู้ มุมานะการเรียน สนุกกับการใช้เงินก็รู้จักหาเงินช่วยเหลือตนเอง ปากกัดตีนถีบ เรียนเหนื่อยสายตัวแทบขาด อาการ บ้าบอประสาทใหญ่ที่ต้องจับจ่ายใช้สอยจึงเป็นทางออกที่จะช่วยให้เบิ้มไม่ ประสาทแด๊กขึ้นสมอง  ส่วนตัวละครหลักอีกคน..นับดาว แม้จะเป็นนักสู้ดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง แต่เป็นคนละแง่กับเบิ้มที่ต้องการช่วยลดภาระทางบ้านไม่ให้พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานหนักมากเกินไป  แต่นับดาวดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองเป็นเพราะความโกรธเกลียดที่ฝังลึกในหัวใจของ "เด็กมีปัญหา" จึงปฏิเสธครอบครัวทุกอย่างจากครอบครัวที่เหินห่าง  อยากหลบหนี อยากตัดขาดความสัมพันธ์ไปมีชีวิตโดดเดี่ยวตามลำพัง 

สุดท้ายก็คือคนใจดี ที่ไม่นิ่งดูดายอย่าง เบิ้ม-ป.ส.ญ. นั่นเอง ที่ทำให้หัวใจที่เหน็บหนาวของคุณนับดาวอบอุ่นขึ้น แล้วก็เป็นคุณเบิ้มอีกเช่นกัน ..ที่จะช่วยชี้นำและปลอบประโลมให้เธอแง้มหัวใจใส่ความรัก ให้ตระหนักถึงพระคุณของบุพการีผู้ให้กำเนิด ถึงไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นมามากนักแต่ก็ยังได้ชื่อว่าเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมามีชีวิตอย่างนี้ได้  แล้วคนเป็นลูกจะโกรธจะเย็นชาโกรธเคืองต่อพ่อแม่ไปทั้งชีวิตได้ยังไง 

เวลาคุณรักใครฉาบฉวย จะพูดว่าผมรักคุณสักกี่พันก็ไม่รู้สึกยากเย็นเข็ญใจ

เท่ากะเวลาที่คุณรักใครชอบใครเพียงคนเดียวอย่างจริงจัง

เมื่อรู้ใจตัวเองแน่ชัดว่า ที่สนุก..สุขใจล้นเหลือกับการตั้งหน้าตั้งตากลั่นแกล้งให้คุณนับดาวโกรธปรี๊ดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นเพราะอะไร   อะไรๆ ที่ขวางหูขวางตา แน่หรือ?  ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวแต่ใจสู้เป็นบ้า ความขยันตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตมือไม้ไม่เคยหยุดนิ่ง ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ลึกลงไปในหัวใจของเบิ้มที่มีต่อนับดาวคือความชื่นชม ยิ่งรู้จัก ยิ่งนึกรัก นึกสงสาร  แม้อาการ ป.ส.ญ. จะไม่อาจลดละเลิกให้หายขาดไปทันใจเพื่อลบล้างภาพเดิมๆ ที่อุตริสร้างภาพให้เห็นเสียมากมาย  แต่เบิ้มก็ตั้งใจวางรากลงตอม่อ เพียรก่อเสา สร้างสะพานหัวใจขึ้นทีละเล็กละน้อย  ความสัมพันธ์ของเบิ้มกับนับดาวจึงค่อยๆ ผูกพันกันไปอย่างเป็นธรรมชาติ  ไม่ใช่ นึกจะด่ากันก็ด่า นึกจะดีกันก็ดี  .. เพราะเรื่องนี้..เนียนกว่านั้นมากนัก

เบิ้มเป็นเบิ้ม ป.ส.ญ. ที่ดูเหมือนวันๆ ดีแต่ทะลึ่ง ไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่นับดาว ..ที่เฝ้าดูและคบหา'เวียร์โด'คนนี้มาหลายปีย่อมได้รู้เห็นและมั่นใจว่าดูไม่ผิด 

"ผมไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียดและนึกตำหนิ

 ถ้าผมหาทางอื่นไม่ได้นอกจากทางนั้น ผมไม่เลือกเสียดีกว่า"

คือคำตอบของเบิ้ม .. ที่ทำให้นับดาวได้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้มีดีเกินกว่าที่เธอเคยคิดอีกมากนัก

อุปสรรค ที่ผ่านเข้ามาทำลายความฝัน ความตั้งใจที่พากเพียรบากบั่นมาตลอดเพื่อหวังจะมีอนาคตเป็นนายแพทย์เหมือนพ่อเหมือนคุณช้าง  ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ที่ทำให้นับดาวได้ซาบซึ้งในความเป็น สุภาพบุรุษลูกผู้ชายของคุณเบิ้ม   'โอกาส' ที่นับดาวไม่แคร์ ขอเพียงคุณเบิ้มเอื้อมมือคว้าและก้าวเดินต่อไปนบนเส้นทางที่ใฝ่ฝัน แต่คุณเบิ้มที่รักคุณนับดาว 'แคร์' 

"ผมทำไม่ได้น่ะซีฮะ มันหยาบเกินไป ..."

ถึงเรื่องนี้ไม่มีฉากอะไรจะหวานแหวว อุปสรรค ทางเลือก การตัดสินใจ ที่มีความรักเป็นเครื่องฉุดรั้งให้คิดให้เลือกในหนทางที่ซื่อตรง ที่ถูกต้อง ไม่ใช่เลือกเอาทางลัดที่ล่อใจเพียงเพราะมันง่ายกว่า แม้ใครอื่นทั่วไปจะทำกัน เพราะมันเป็นช่องโหว่ของโอกาสที่ทำได้โดยไม่ผิด แต่สำหรับเบิ้ม..มันผิด..และเขาจะไม่ทำ 

"ถ้าผมต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความไม่ถูกต้อง อะไรๆ ก็คงจะไม่ถูกตลอดไป

ผมไม่ต้องการจะให้พ่อทำงานจนตัวตายเพื่อตัวเองจะได้ความฝันที่สมบูรณ์ก็จริง

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะหยุดกระเสือกกระสนเพียงเท่านี้"

 'ความรัก' และ 'คำรัก' ของนับดาวกับเบิ้มจึงเป็นเหมือนเพื่อนแท้ เรียบง่าย แต่งดงาม  

เบิ้ม ป.ส.ญ. ที่พูดจาแต่เรื่องพิลึกน่าปวดหัวมาตลอด แต่เบิ้มในแบบนั้นก็สามารถเรียกน้ำตาให้เอ่อคลอได้ เพราะคำพูดของพ่อที่โทรศัพท์ทางไกลมาจากเมืองไทยมาถึงลูกชาย

"ขุนช้างโทร.. มาถึงพ่อ เรื่องทั้งหลายแหล่ ทำไมเบิ้มไม่บอกพ่อสักคำ

ว่าต้องใช้เงินมากมายเพื่อเข้าไปรเวทสคูลทางเม็ดดิซิน" 

.......

"ผมไม่อยากรับปริญญาแพทย์ศาสตร์ตอนพ่อหมดแรง เพราะทำงานหนักเพื่อผมน่ะฮะ

โธ่ พ่อฮะ..คนที่นี่เค้าก็ช่วยตัวเองกันทั้งนั้น ผมเป็นลูกผู้ชาย ไม่สู้แล้วจะเป็นผู้ชายไปทำไม"

ใช่แล้ว .. ถ้าไม่สู้จะเป็นลูกผู้ชายไปทำไม เพราะคุณเบิ้มสู้ และดิ้นรนอย่างมีศักดิ์ศรี ความแมนนี้จึงช่วยกลบคุณสมบัติ บ้าบอ ป.ส.ญ. ให้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไร้ความหมาย ความดีของเบิ้มต่างหากที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ต่อให้เส้นทางที่เลือกเดินจะต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคจนเลือดตากระเด็น เบิ้มจะไม่มีวันย่อท้อ  เพราะเบิ้มจะมีนับดาวคอยอยู่เคียงข้างและร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน

ด้วยเหตุนั้น อาการ ป.ส.ญ. และความบ้อบอทุกชนิดของเบิ้มจึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง ถึงเวลาต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อจะรับผิดชอบตัวเองและคุณนับดาว เด็กรันอเวย์ฟรอมโฮมที่เบิ้มจะเป็นบ้านเป็นครอบครัวอบอุ่นให้เธอได้พักพิง

ความรัก ... ความคิดถึง ...

ความอาทร ... ความห่วงใย

ให้ความอบอุ่นกับชีวิตที่เหน็บหนาวได้เสมอ

เห็นมั้ยละคะ พระเอกนิยายสุดปลื้มแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นพระเอกจากนักเขียนท่านไหน ก็จะตบเท้ามากันด้วยแนวนี้  พระเอกผู้มีอารมณ์ขัน นิสัยใจดี อบอุ่นน่ารัก พักพิงได้ ไม่ว่าจะ "กรณ์ เชิญอิสราชัย" จาก ใต้เงาตะวัน ของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม หรือ "สารวัตรหิรัณย์" จากฟ้ากระจ่างดาวของกิ่งฉัตรที่เพิ่งเขียนถึงไปไม่กี่วัน  แม้จะแตกต่างในรายละเอียดบุคลิก ก็ลงเอยอย่างเดียวกัน คือ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ เป็นความอบอุ่นและเป็นแสงสว่างนำทาง .. นี่ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายจากคนเป็นพระเอกเลยนะ อิอิ


พอได้มาอ่านเรื่องนึง ก็นึกอยากไล่อ่านงานของ โสภาค สุวรรณ อีกหลายๆ เรื่อง 

อยากให้วันนึง มีเวลาสัก 48 ชั่วโมง  เฮ้อ ....




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 29 สิงหาคม 2557 23:38:09 น.
Counter : 2502 Pageviews.  

ฟ้ากระจ่างดาว .. อบอุ่นกระจ่างใจ

Smiley"สารวัตรหิรัณย์ ขยันยิ้ม" Smiley

คำหลังนั่นไม่ใช่นามสกุลของ "พ.ต.ต. หิรัณย์" เค้าหรอกนะคะ แต่เป็นฉายาที่นางเอกของเรา นักข่าวสาว "มีคณา"  หรือ "มี่"  ตั้งให้ในใจด้วยนึกค่อนคุณตำรวจที่ทั้งหน้าตา น้ำเสียง และหัวใจ ดูสุดแสนจะรื่นรมย์ซะเหลือเกิน ถึงได้หมั่นยิ้มสวยให้เธอเห็นมิได้ขาด เขาจึงเป็น "สารวัตรขยันยิ้ม" ที่จับกุมหัวใจคุณนักข่าวไว้ได้อยู่หมัด  แม้จะต้องฝ่าด่านอรหันต์ กับการที่เธอมีปมปัญหาภายในครอบครัวเป็นความเจ็บปวดชิงชังที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ จนทำให้เธอรู้สึกต่อต้าน เกลียดผู้ชาย   แต่ก็นะ .. เมื่อได้เจอกับผู้ชายอย่างสารวัตรขยันยิ้มน่ะ  ใครไม่ยอมเปิดหัวใจ ไม่ยอมรับรักก็บ้าเลย (เรายังรักเลย คิคิ Smiley)

เมื่อวานเขียนถึง "ใต้เงาตะวัน"  กับ "กรณ์ เชิญอิสราชัย" พระเอกที่รักมากที่สุดของ "ปิยะพร ศักดิ์เกษม" ทำให้นึกถึงนวนิยายของ "กิ่งฉัตร" ขึ้นมาบ้าง มีนวนิยายของกิ่่งฉัตรเรียงรายอยู่หลายเล่มในตู้ และแต่ละเล่มล้วนเป็นเรื่องที่สามารถหยิบขึ้นมาอ่านซ้ำได้ ซึ่งถ้าจะถามว่าชอบเรื่องไหนมากที่สุดก็คงตอบยาก  แต่ถ้าจะถามหาพระเอกในดวงใจสักคนล่ะก็ ไม่ยากจะตัดสินเลยว่าเป็นใคร  อาจมีลังเลนิดหน่อยระหว่าง นายสิงห์แห่งไร่บัวขาว-ตามรักคืนใจ กับสารวัตรหิรัณย์ - ฟ้ากระจ่างดาว แต่เมื่อได้อ่านซ้ำนวนิยายสองเรื่องนี้ในเวลาติดๆ กัน สารวัตรหิรัณย์ก็มาวิน

ตามรักคืนใจ "นายสิงห์" กับ "หนูนา" เป็นคู่พระ-นาง ที่น่ารักโรแมนติกล้นเหลือ ชอบมากมาย

ฟ้ากระจ่างดาว "สารวัตรหิรันย์" กับ "คุณมี่" อาจไม่หวาน ไม่น่ารักเท่า 

แต่เราชอบความแตกต่างที่เติมเต็ม

เขา..ไม่ขาดอะไรในชีวิต เติบโตมาจากครอบครัวที่ดีที่รักและอบอุ่น  ส่วนเธอครอบครัวมีแต่ความขาดพร่อง เต็มไปด้วยปัญหาและวิถีการดำเนินชีวิตที่น่ารังเกียจ น่าอับอาย เธอผู้มิอาจดิ้นรนไปจากบ่วงของภาระเพียงเพราะคำๆ เดียวที่เรียกว่า "ครอบครัว" แม้ในใจแท้จริงไม่เคยคิดอยากจะยอมรับเลยก็ตาม เธอเติบโตมากับครอบครัว กับสังคมเห็นแก่ตัวเล็กๆ ที่สร้างความเจ็บช้ำจนเจ็บจำว่า ผู้ชายทั้งโลกก็คงเลวเหมือนกันหมด  หรือหากโลกนี้จะมีผู้ชายดีๆ หลงเหลืออยู่บ้าง เธอก็คงเป็นคนโชคร้ายที่ไม่เคยมีโอกาสได้พบเจอ   

แต่เขาคนนี้น่ะ สารวัตรหิรัณย์เขาเข้ามาพร้อมกับความดี ความรัก และเหนือสิ่งอื่นใดคือความเข้าใจ  เขาทั้งใจดี ใจเย็น มีอารมณ์ขัน และที่สำคัญเขาเปิดเผย ตรงไปตรงมา และแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารักเธออย่างจริงใจ แม้มีคณาจะทำท่าเหมือนไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย แต่เขาก็พากเพียรและเต็มใจจะรอคอย..อย่างอดทน

คุณโชคดี ไม่ใช่โชคดีที่ป้าคุณรับคุณมาเลี้ยงอย่างเดียว แต่โชคดีที่โตขึ้นในความเชื่อและสังคมที่ไม่กดขี่หรือเอาเปรียบลูกผู้หญิงจนเกินไปนัก ไม่เหมือนแม่กับน้องและน้องสะใภ้ของคุณ พวกนั้นไม่โชคดีเท่าคุณเพราะต้องเติบโตต้องอาศัยในสังคมที่มีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องและเป็นเรื่องผิดร้ายแรงในสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนผิดนะครับ อาชีพที่ผิดไม่ใช่คนทำจะผิดบาปหรือเลวทรามไปหมด คุณเองก็ไม่จำเป็นต้องอายที่มีญาติทำงานแบบนั้น ญาติก็ญาติ ตัวคุณก็ตัวคุณ"   ...........

"คนอื่นไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับตัวคุณเลย  ผมว่าใจคุณต่างหากที่ลดทอนคุณค่าตัวคุณเองลงไป คุณกลัวไปเอง กังวัลไปเองกับปัญหาตรงนี้ คุณให้คุณค่ากับมันมาก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องนิดเดียว เล็กมากจริงๆ "   .........

..... นายตำรวจหนุ่มถอนใจยาว เห็นใจหล่อน ชักสงสารตัวเองด้วย ในชีวิตของหิรัณย์เขาไม่เคยคิดว่าการจะจีบผู้หญิงสักคนที่เขานึกชอบอย่างจริงจังจะยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้ ไม่เพียงแค่ต้องพยายามทำตัวให้อีกฝ่ายนึกรักนึกเห็นใจ ชายหนุ่มคง "ต้อง" ลบความรู้สึกที่มองเห็นแต่ความเลวร้ายของผู้ชายออกจากใจของเธอด้วย .... (ฟ้ากระจ่างดาว ๒๔๓-๒๔๔) 

ความรักความเข้าใจของสารวัตรหิรัณย์ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเธอให้เติบโตขึ้น ยอมรับความคิดของคนอื่นมากขึ้น มองเห็นความผิดพลาดของตัวเองมากขึ้น เปิดใจให้กับปัญหาต่างๆ มากขึ้น ว่าทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเอง จะเอาเพียงตัวเราใจเราเข้าไปตัดสินแทนคนอื่นไม่ได้ ค่อยๆ ซึมซับว่า คนเราไม่เหมือนกัน มาตรฐานในการดำเนินชีวิตล้วนแตกต่าง และคาดหวังให้ทุกคนเหมือนกับตัวเราหมดมันเป็นไปไม่ได้

หญิงสาวแหงนมองท้องฟ้า ด้วยความประหลาดใจ

นึกถึงคืนหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน วันที่ซมซานหนีออกมาจากบ้านแม่

นึกถึงเมื่อสองคืนก่อนที่ดาวเริ่มส่องแสงแข่งกับเดือน

สองคืนนั้นกับคืนนี้งกันลิบลับ

ต่าง .. แม้ว่าจะเป็นท้องฟ้าเดิม ดาวดวงเดิม

หากวินาทีนี้เมื่อก้าวไปกับชายหนุ่ม มีคณากลับไม่รู้สึกเจ็บปวด หวาดกลัว

หรือคุมแค้นแต่อย่างไร  ทุกย่างก้าวมีแต่ความมั่นใจและอบอุ่น

ความมั่นใจแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยรู้สึก ว่าทุกย่างก้าวต่อไปนี้

หล่อนคงไม่ต้องเดินอย่างเดียวดาย คงไม่ต้องเดินอย่างอ้างว้าง...(ฟ้ากระจ่างดาว ๔๐๔)

นั่นถือเป็นประเด็นที่ทำให้ พ.ต.ต. หิรัณย์ หรือสารวัตรขยันยิ้ม เอาชนะพระเอกคนอื่นๆ ในนวนิยายเรื่องโปรดของคุณกิ่งฉัตรได้ ถึงจะไม่น่ารักหวานแหววเท่ากับอีกหลายเรื่องก็เถอะ แถมยังใส่ดรามาสะท้อนปัญหาสังคม ทั้งการกดขี่ทางเพศ โสเภณี และยาเสพติด ความจริง นวนิยายเรื่องนี้ก็มีอายุมายาวนานมาเป็นสิบปีแล้ว ทว่าปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไป มันยังคงอยู่อย่างด้านทน..ไม่เคยตกยุคตกสมัย

ตำรวจหนุ่มสังกัดหน่วยปราบปรามยาเสพติด กับนักข่าวสาวสายงานอาชญากรรม แค่ประเด็นอาชีพของพระนางอย่างเดียวก็ทำให้พลอตมีความมน่าสนใจมากพออยู่แล้ว เมื่อได้คาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันคนละขั้วของทั้งคู่เข้ามาเสริมอีก จึงมีเสน่ห์มาก คุณตำรวจเป็นคนมองโลกในแง่ดีและเข้าใจเหตุผลในมุมมองของคนที่มีลักษณะใจกว้าง  'งาน' จึงเป็นงานที่ไม่ได้ส่งผลให้จิตใจขุ่นมัว แถมยังเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มรื่นเริงด้วยอารมณ์ขันอยู่เสมอ  ส่วนคุณนักข่าวผู้นิ่งเย็น เข้มงวด จริงจังกับชีวิต  'งาน' คือสิ่งที่เธอยึดมั่นเป็นอุดมการณ์ เพื่อหวังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขจัดปัดเป่าปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปจากสังคม แต่..เพราะมันไม่เคยหมด คนเลวๆ กับพฤติกรรมต่ำช้าที่เธอเกลียดชัง ผุดอยู่ทุกที่ทุกหัวระแหงให้เธอต้องไปทำข่าว ยิ่งพบยิ่งเจอ ยิ่งเครียด! 

อาศัยบุพเพสันนิวาสที่ทอดสะพานหน้าที่การงานมาเชื่อมกัน ตำรวจกับนักข่าวจึงได้มารู้จักพบหน้าและมีโอกาสร่วมทำ "คดี" กับ "ข่าว" ไปด้วยกัน   ซึ่งหาก โดยปกติทั่วไป คงไม่ใช่งานที่จะประสานสามัคคีกันดีนัก แต่กับคุณตำรวจท่านนี้ ท่านพร้อมยินดีเป็นแหล่งข่าว ช่วยเหลือสนับสนุนงานของนักข่าวคนสวยเต็มที่  ด้วยความเต็มอกเต็มใจยิ่ง! 

คาแรคเตอร์ของ มีคณา เป็นนางเอกในแบบที่ชอบอยู่แล้ว นิ่งๆ เรียบๆ ไม่งุ้งงิ้ง ไม่แก่น ไม่เกรียน ไม่พูดมาก แต่ก็ไม่ถึงกับจะเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ เพราะเธอมีหัวใจนักสู้ผู้ห้าวหาญ ท่ามกลางสภาพปัญหาในครอบครัวและสภาพการทำงานที่พบเจอแต่เรื่องหดหู่ แต่เธอยังคงยืนหยัดอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง  ผู้หญิงอย่างนี้คือคนที่สารวัตรหิรัณย์ภาคภูมิใจ ขอเพียงเธอจะยอมเปิดใจยอมรับที่จะเป็น "คนดีของพี่รัน"   สารวัตรจึงจีบเอ๊าจีบเอา  แบบเนียนๆ เลยนะ.. ใช้งานเป็นสะพาน ใช้งานเป็นข้ออ้าง ทำงานหลวงแข็งขันเอาจริงเอาจัง แต่สบช่องเป็นไม่ได้ต้องถือโอกาสเลี้ยวลด แซะโน่นนิด แทรกนี่หน่อย เพื่อจะปฏิการงานราษฏ์ว่าด้วยเรื่องหัวใจของสารวัตรเอง  พฤติกรรมทีเล่นทีจริง แต่จีบจริงรักจริง ด้วยท่าทีเปิดเผยจริงใจของสารวัตรหิรัณย์เนี่ย เป็นเสน่ห์ความน่ารักที่คงจะอธิบายยาก ถ้าหากบทนี้จะไม่บรรยายเอาไว้ตรงใจ      

  'เรื่องตำรวจจับผู้ร้ายใครๆ ก็ชอบ'   บอกอของหล่อนว่า หญิงสาวยอมรับตามตรงว่าหล่อนก็ชอบเหมือนกัน หากติดตรงที่ 'ตำรวจ' นี่สิที่ชวนให้อึดอัดใจพิกล แหล่งข่าวสายงานนี้แสดงความสนใจในตัวหล่อนชัด..  ชัดเกิน..

ทุกครั้งที่เกิดปัญหาอย่างนี้ มีคณาใช้วิธีนิ่ง สุภาพ แต่ห่างเหิน แสดงให้เห็นชัดว่า 'ไม่เล่นด้วย' กับสารวัตรคนนี้มีคณาก็ใช้ไม้นี้มาแล้ว แต่สังหรณ์พิกลว่ามันไม่ได้ผล

ถึงสารวัตรหิรัณย์จะแสดงชัดว่า 'สน' หากมาดเขานิ่ง ไม่รุกแบบหนุ่มเจ้าชู้ แม้จะเอางานมาเป็นสะพาน หากใช้อย่างเป็นมิตร ไม่มีทีท่าล้ำเส้น สิ่งที่ตำรวจหนุ่มทำมีความพอดี .. พอดีเกินด้วยซ้ำ กระทั่งมีคณาไม่อาจใช้ไม้เย็นชาเข้าใส่อย่างที่เคยทำกับหนุ่มอื่นได้เลย... (ฟ้ากระจ่างดาว ๑๐๗)

เขาจีบนะ  แต่ว่ามันพอดี  จึงไม่ถึงขั้นก้อร่อก้อติกจนกลายเป็นคาแรคเตอร์หนุ่มเจ้าชู้ เขามีจังหวะวางตัว ตอนไหนเล่น ตอนไหนจริง รู้จักผ่อน รู้จักดึง  บางเรื่องเห็นใจยอมปล่อยผ่าน แต่บางสถานการณ์ก็จำเป็นต้องกระทุ้ง ให้เธอได้สติและมองโลกให้กว้างอย่างเป็นกลางมากขึ้น

สรรเสริญ คุณสมบัติพระเอกสุดที่รักมาเกินพอละ  ขอเอ่ยถึงคนสำคัญอีกคนบ้าง .. "สันติ"

ก็เหมือนเรื่อง "ใต้เงาตะวัน"  ที่ชอบความสัมพันธ์ของ "ยัยก๋า" กับ "พี่กรณ์"  เรื่องนี้ "ฟ้ากระจ่างดาว" ชอบความสัมพันธ์ของ "ติ" กับ "ป้ามี่"  อิป้าใจยักษ์หนังเหนียว กับหลานชายตัวปัญหาที่ทั้งหยาบคายและร้ายกาจ แม้ว่าจะมีสัมพันธ์สายเลือด แต่มันก็เบาบาง จนแทบไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เป็นแค่หน้าที่ เป็นแค่ภาระ และแค่อยู่ด้วยกันอย่างเหินห่าง

ความเกลียดชังที่มีต่อปู่ของหลาน พ่อของหลาน เป็นอคติที่ทำให้ป้ามีทั้งดุดันเข้มงวด อย่างกับคนเจ้าระเบียบ ความคิดความเชื่อที่สันติได้รับรู้ฝังหัวมาจากปู่จากพ่อคือ อีมี่เป็นลูกอกตัญญู มีหรือสันติจะอยากเคารพและเชื่อฟัง ข้อห้ามมีไว้แหก ความรู้สึกมีไว้เก็บกด ที่แสดงออกคือความโกรธและอาการไว้ท่า ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งร้าวฉาน อันที่จริงจะว่าร้าวฉานก็ไม่ใช่ เพราะป้ากับหลานยังไม่เคยประสานเข้ากันได้แม้แต่สักที .. เกินจะเยียวยา จนเกือบจะสายไป  หากว่า .. สารวัตรหิรัณย์ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประชาชนคู่นี้  เนียนเป็นทูตสันถวไมตรี ด้วยความรักและยินดีเต็มใจเป็นอย่างสูง

เขาเป็นแบบอย่างลูกผู้ชายที่ดีให้สันติ และเป็นแบบอย่างของผู้ใหญ่ที่ดีให้ป้ามี่ -มีคณา

พัฒนาการทางความสัมพันธ์ของหลานติกับป้ามี่ จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ชอบมากใน ฟ้ากระจ่างดาว และนั่นเป็นประเด็นมีสาระที่ทั้งเศร้าทั้งซาบซึ้งมากซะด้วยนะ

กล่าวถึงละคร    ของช่องสาม ที่แสดงโดย แมท ภิรณีย์ กับ บอย ปกรณ์ และกำลังออนแอร์อยู่ขณะนี้เคยดูแค่ผ่านๆ (อะไรไม่ว่า แต่ขัดใจนักข่าวใส่กระโปรงยาวๆ อย่างแรง) ใครตามอยู่ดูแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ไว้มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ   ส่วนตัว .. เคยดู ละครของช่องเจ็ด แสดงโดย ป๋อ ณัฐวุติ สะกิดใจ  และ นุ่น วรนุช วงษ์สวรรค์ และเรื่องนี้ถือเป็นละครไทยในดวงใจเรื่องหนึ่งเลยล่ะ  เพราะดูละครแล้วชอบมาก ถึงได้ไปหานวนิยายมาอ่านและก็ชอบมากเช่นกัน อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักกับนามปากกากิ่งฉัตรเลยก็ว่าได้  

เพราะอ่านหนังสือตามหลัง จึงไม่มีอคติอะไรกับละครที่ดูก่อนหน้า แม้จะมีอะไรปรับเปลี่ยนไปหลายอย่างซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของการนำนวนิยายไปสร้างเป็นบทละคร และความที่พี่ป๋อกะพี่นุ่น เค้าเล่นไว้ดีมาก  ไม่ว่าจะครั้งนี้หรือครั้งนั้นที่ได้อ่านฟ้ากระจ่างดาว จึงไม่อาจเข็นพระนางในจินตนาการขึ้นมาแทนที่นักแสดงสองคนนี้ได้เลย ... พยายามจินฯ ยังไงก็ยังคงเป็น นุ่น กะ ป๋อ

ตอนนี้ที่ช่องสามเค้ากำลังอยู่ในเทรนด์  "บอยกะแมท" ตัวเราดันเสาะหา DVD ในเวอร์ชั่น "ป๋อกะนุ่น" มาดูซ้ำอีกรอบซะงั้น  ณ ปี ๒๐๑๓ ที่ได้ย้อนดูละครของแปดปีก่อน (๒๕๔๘)  พบว่ามีอะไรน่าส่ายหัวกับความเป็น "ละครไทย" ไม่น้อย แต่ตอนนั้นเราคงไม่ได้คิดอะไรนอกจากอินอย่างเดียว   ดูอีกครั้งก็ยังชอบคู่ "คุณมี่" กับ "สารวัตรหิรัณย์" เหมือนเดิม  ...เหมือนกันกับในหนังสือนวนิยาย  สารวัตรหิรัณย์คนเดียวก็เอาอยู่  สามารถผ่อนโทนความหมองหม่นในอารมณ์ของเนื้อหา ให้คลาย ให้ยิ้มได้สบายใจ ฉากไหนมีท่านสารวัตร ฉากนั้นเป็นได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  เมื่อคืนนี้ที่ดูอยู่จนดึก ก็นั่งยิ้มนอนยิ้ม ยิ้มไปหัวเราะไปจนเหงือกแห้ง

ผิวพรรณอันดำปื๊ดของพี่ป๋อ ... ที่แสนจะตรงกันข้ามกับความขาวตี๋ของสารวัตรหิรัณย์ในนวนิยาย ไม่ได้ลดทอนความน่ารักของสารวัตรลงไปได้เลย  ตรงกันข้าม ..บทละครที่จำเป็นต้องใส่การแสดง 'บทบาท' ขึ้นมาแทนที่ 'บทบรรยาย' ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครในหนังสือ  เมื่อบวกเข้ากับความ 'เนียน' ของพี่ป๋อเค้า จึงทั้งฮาทั้งอบอุ่นน่ารักเกินหน้าเกินตาสารวัตรหิรัณย์ในหนังสือซะอีก  นั่นจึงกลายเป็นภาพยึดติด ว่าชอบสารวัตรหิรัณย์ในแบบนี่แหละ เพราะนอกจากจะ "ขยันยิ้ม" ยังพ่วงด้วยความ "ขยันฮา"

ส่วนนุ่น วรนุชน่ะเหรอ ผลงาน ๒๑ เรื่อง ในสิบปีก่อนหน้า จากปอบผีฟ้า ผ่านดราม่าอย่าง..อีสา  รากนครา โนห์รา และลงมือทำร้ายต่อมน้ำตากันอย่างหนักในแม่อายสะอื้น จะไปครณามืออะไรนักหนากับบทนิ่งๆ ของมีคณาในฟ้ากระจ่างดาว 

แต่เอ่ยถึงชื่อละครเหล่านี้แล้ว รู้สึกเหมือนกำลังประกาศวัยให้โลกรู้ 

ยิ่งได้เห็นหน้าตาละอ่อนและขนาดตัวกะเปี๊ยกที่น่ารักมากของน้องเก้า จิรายุ ในบท "สันติ"  เทียบกับน้องเก้าในตอนนี้    โอ..แม่เจ้า.... ระดับความสูงขึ้นของน้องเก้า อย่างกะเป็นระยะความสูงวัยของตัวเราที่เดินทางผ่านกาลเวลามาแสนจะยาวนาน 

Smiley  อ่านรีวิวละคร ฟ้ากระจ่างดาว (ป๋อ - นุ่น - น้องเก้า) Smiley

เป็นการตอกย้ำกันให้ชัดๆ ไปเลย ว่าชอบนวนิยายเรื่องนี้และละครเวอร์ชั่นนี้มากจริงๆ    

ส่วนบอยกะแมท  ก็ยังไม่ทิ้งหรอกนะ เพราะชอบนักแสดงทั้งคู่ โดยเฉพาะแมทที่ชอบเป็นพิเศษ

ไว้รอให้หน้าพี่ป๋อนุ่นกับน้องเก้าเลือนๆ  ไปสักพัก คิดถึงฟ้ากระจ่างดาวอีกเมื่อไหร่  ค่อยว่ากัน    

อ้อ .. ลืมบอกไปว่า  ในนวนิยายซีรีย์ของ "สามทหารเสือสาว"  (มายาตะวัน-มนต์จันทรา-ฟ้ากระจ่างดาว) Smiley Smiley ชอบอ่านเรื่องนี้มากที่สุด ^^ 

 




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2556 19:29:06 น.
Counter : 2871 Pageviews.  

ใต้เงาตะวัน... มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้


หลังจากที่ไม่มีเรี่ยวแรงและพลังใจมากพอจะหยิบโน๊ตบุ้คขึ้นมาเปิดและเริ่มต้นทำงาน แม้ว่างานที่ควรทำก็มีอยู่ แต่ว่า หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เหมือนชีวิต (การทำงาน) มันเหนื่อยล้าเกินไป และฉัน.....ไม่ไหวแล้ววว ปล่อยวางมันเถอะ ถึงเวลาต้องผ่อนคลาย พรุ่งนี้เช้าวันจันทร์ค่อยว่ากันใหม่

และก็ไม่ผิดหวัง มันเป็นเวลาที่ได้ผ่อนคลายจริงๆ เมื่อหยิบเอานวนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาอ่าน.. อีกครั้ง  แม้จะจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นการอ่านครั้งที่เท่าไหร่ สาม หรือว่า สี่  วันเวลาที่ผ่านไปนาน ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับเนื้อเรื่องนั้นลางเลือนไปหมด  แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยลืมเลือนเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้คือ 'พระเอก'

แม้ไม่แน่ใจว่าในบรรดานวนิยายของนักเขียนในดวงใจอย่าง "ปิยะพร ศักดิ์เกษม" ชอบเรื่องไหนมากที่สุด เพราะแต่ละเรื่องก็สื่อสาระไปในประเด็นที่แตกต่างกัน  แต่ก็สามารถบอกได้อย่างหนึ่ง..อย่างมั่นใจด้วยว่า "กรณ์ เชิญอิสราชัย" คือพระเอกที่รักมากที่สุดในบรรดาพระเอกนวนิยายของคุณปิยะพร

ตั้งใจว่าจะอ่านผ่านๆ ในเวลาสั้นๆ แก้เบื่อพักนึง  แต่แล้วก็คุณกรณ์นี่แหละ ที่ทำให้ต้องเริ่มต้นอ่านใหม่ทั้งหมดไม่ขาดตกบกพร่องสักตัวอักษร ยังคงอ่านสนุก และมีอิ่มเอมมีความสุขเช่นเดิม

จากคำโปรย (ปกหลัง)

ดวงตะวัน สาดแสงอุ่นนำทาง
ลาลับพ้นขอบโค้งของท้องฟ้า
ด้วยการค่อยเคลื่อนคล้อยราโรยแสง

ดวงตะวันของ "ปารีณา"
มิได้จากไปอย่างงดงามเช่นนั้น
แต่กลับไร้สิ้นซึ่งรัศมีกระจ่าง...ตลอดกาล
ตั้งแต่ยังมิได้ทาทาบลงสู่ผืนดิน
เสมือนมีปริศนาอันมืดดำมาพาดผ่าน

คำตอบภาย "ใต้เงาตะวัน" ที่เธอเฝ้าค้นหา
กลับเป็นสิ่งคลี่คลายอีกหลายปมปัญหาอันซับซ้อน
ซึ่ง"เธอ"หรือ"ใคร"ก็มิเคยคาดฝัน


จากผู้เขียน

ทุกสิ่งในโลกล้วนมีตำหนิ ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม
ผู้คนก็เช่นกัน..สะอาด เก่งกาจ สูงส่ง งดงาม
บางครั้งก็เป็นเพียงการสร้างภาพ เพื่อลวงตาคนอื่นเท่านั้น
ทุกชีวิตล้วนมีแง่มุมและเรื่องราวลึกล้ำซับซ้อน
ซึ่งต้องเก็บงำซุกซ่อนด้วยกันทั้งสิ้น...
ก็ในเมื่อดวงตะวัน ยังมีเงามืดและจุดดับรอคอยอยู่

คนที่ไม่ยอมรับความจริงข้อนี้...
ไม่ยอมรับสรรพสิ่งเช่นที่มันเป็น ล้วนต้องเจ็บปวด

เช่นเดียวกับการไม่ยอมรับความเป็นปุถุชนของผู้อื่น
ไม่ยอมรับแม้กระทั่งความผิดพลาดของตน
กลับเฝ้าปฏิเสธและผลักไสเพียงสร้างเกราะเพื่อเก็บกั้นลวงตา
ก็เป็นความร้าวรวดอย่างยิ่งเช่นกัน

หากโลกนี้ม่ได้มีแต่ความผิดพลาดและทุกข์ตรม
มันมีความเสียสละ มิตรภาพ ความเห็นอกเห็นใจ ความรักและความสุข..
การเดินทางผ่าน คือการต้องยอมรับมันทั้งสองด้าน

..ยอมรับอย่างเต็มใจ เดินผ่านไปให้ได้อย่างกล้าหาญร่าเริง
ไม่ว่าจะเป็นด้านมืดหรือด้านสว่าง...

ด้วยความนับถือ
ปิยะพร ศักดิ์เกษม

คำนำนิยม รางวัลดีเด่น กลุ่มหนังสือนวนิยาย การประกวดหนังสือดีเด่นประจำปี พ.ศ.๒๕๔๓

เรื่องใต้เงาตะวัน เป็นนวนิยายที่นำเสนอความคิดว่า เราไม่ควรคาดหวังและยึดมั่นว่า สิ่งที่เชื่อว่าดีจะต้องสมบูรณ์ดีเลิศทุกประการ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เห็นว่าเลว ก็ใช่ว่าจะหาส่วนที่ดีมิได้เลย ดุจดวงตะวันอันยิ่งใหญ่ก็ยังมีจุดดับและเงามืด นวนิยายเรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นว่า คนดีที่ใครๆ ยกย่องอาจจะมีจุดบกพร่องซ่อนเร้นอยู่

นวนิยายเรื่อง ใต้เงาตะวัน เปิดเผยแง่มุมชีวิตด้านมืดของตัวละครที่มีภาพลักษณ์งดงาม ดำเนินเรื่องโดยผ่านการสืบค้นหาความจริงของตัวละครเอกเพื่อแก้ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความทุจริตและคลี่คลายสาเหตุการตายอย่างมีเงื่อนงำของบุพการี ความจริงที่ค้นพบนั้นทำให้ตระหนักว่า โลกย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง สรรพสิ่งในโลกไม่มีความสมบูรณ์ดีพร้อม หากมีตำหนิหรือข้อบกพร่องไม่มากก็น้อย การยอมรับความจริงของชีวิตเป็นเรื่องที่ทำให้เจ็บปวด แต่การไม่ยอมรับความจริงกลับให้ความปวดร้าวยิ่งกว่า การเผชิญหน้ากับความจริงที่ขมขื่นอย่างกล้าหาญจึงเป็นคุณสมบัติสูงส่งข้อหนึ่งของความเป็นมนุษย์ ทำให้ก้าวพ้นความลวงไปสู่ธาตุแท้ของผู้อื่นและของตนเอง

นอกจากการนำเสนอแนวคิดที่แสดงปรัชญามนุษยนิยมอย่างแยบยลแล้ว นวนิยายเรื่อง ใต้เงาตะวัน ยังมีจุดเด่นด้านวรรณศิลป์ในการวางโครงเรื่องรัดกุม เร้าความสนใจ ชวนติดตามด้วยเหตุการณ์ลึกลับซับซ้อน เปิดเผยเงื่อนงำทีละน้อย ตัวละครทุกตัวมีความเป็นมนุษย์สมจริง มีความซับซ้อน และมีมิติลึกทางอารมณ์และจิตใจ ผู้เขียนมีความสามารถในการใช้ภาษาอย่างละเมียดละไม สร้างจินตภาพและสัมผัสอารมณ์ผู้อ่านอย่างลึกซึ้ง

นวนิยายเรื่อง ใต้เงาตะวัน ของปิยะพร ศักดิ์เกษม เป็นนวนิยายที่ให้ความบันเทิงและเสนอสาระทางปัญญาไปพร้อมกัน จึงสมควรได้รับยกย่องเป็นนวนิยายดีเด่น ประจำปี ๒๕๔๓

(คณะกรรมการตัดสิน การประกวดหนังสือดีเดี่น พ.ศ. ๒๕๔๓ กลุ่มนวนิยาย)

...................

นั่นคงเป็นคำนิยมที่เพียงพอ สำหรับการที่ผู้เขียนบล็อกจะไม่ต้องพยายามอธิบายซ้ำอีกว่าทำไม ใต้เงาตะวัน จึงกลายเป็นอีกหนึ่งนวนิยายเรื่องโปรดในดวงใจ 

เกี่ยวกับผลงานนวนิยายของผู้เขียนท่านนี้  ความจริงแล้วก็ใช่ว่าจะสนุกไปซะทุกเรื่องนะคะ แต่ถ้าเรื่องไหนชอบก็จัดว่าชอบสุดๆ ไปเลย  ถ้าเทียบกันแล้วยังมีนวนิยายที่อ่านสนุก สดใส โรแมนติกกว่าอีกมากจากนักเขียนอีกหลายท่านถ้าหากจะมองในแง่ของการเป็นนวนิยายที่มี 'พระเอก' 'นางเอก' และ 'ความรัก'  แต่ทำไมเมื่อถามถึงนักเขียนในดวงใจ ถึงต้องเป็น "ปิยะพร ศักดิ์เกษม" นั่นคงเป็นเพราะสำนวนการเขียนที่ชื่นชอบ การบรรยายฉาก เหตุการณ์ หรือแม้แต่ความรู้สึกนึกคิดที่ใช้ภาษาได้สละสลวย ชัดเจน แม้ว่ามันจะซับซ้อนก็สามารถเข้าใจตัวละครได้ ก็ถ้าไม่ชัด ไม่เข้าใจ บางเรื่องอ่านแล้วคงไม่รู้สึกว่าความเครียดลงตับ! แทบ(อ่าน)ไม่รอด หรือบางเรื่องก็เศร้าโศกสะท้านอก แค่อ่านนวนิยายจากตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวก็สามารถสร้างความหดหู่ใจสู่ก้นบึ้งกับโศกนาฏกรรมและอารมณ์หัวใจสลาย (กับเรื่องราวในนิยายที่อินจัด) ซึ่งก่อนจะได้ประสบการณ์การอ่านแบบนั้น กิตติศัพท์เลื่องลือก็ทำให้นึกกลัวที่จะหยิบมาอ่านอยู่นานเหมือนกัน แต่เพราะ "ฝีมือ" ที่เคยฝากความชื่นชอบเอาไว้ในหลายเรื่องก็ทำให้อดใจไม่ไหวต้องลิ้มลอง ลองแล้วก็จับจิตว่า..เยี่ยม แต่จะให้หยิบมาอ่านซ้ำ ขอบอกว่าย๊ากสสส์! เพราะแค่อ่านครั้งเดียวมันก็ขมขื่นสะเทือนใจเกินจะพอ  ถ้าใครเป็นแฟนหนังสือของนักเขียนท่านนี้เหมือนกัน คงจะเข้าใจแน่แท้เลยล่ะว่า ตัวผู้เขียนบล็อก กำลังพาดพิงถึงนวนิยายเรื่องอะไรบ้าง

แต่นั่นก็เหมือนเกลียดตัวกินไข่ เพราะผลงานที่ขอไม่อ่านซ้ำเหล่านี้แหละ ก่อเกิดเป็นความลังเลอยู่ทุกครั้งเวลาที่เห็นนวนิยายของคุณปิยะพรวางอยู่บนชั้นหนังสือในร้าน กลัวเครียด กลัวเศร้า แต่อีกใจหนึ่งก็ยังอยากอิน  แล้วส่วนใหญ่ทุกครั้งที่เล็งเล่มไหน..ก็พ่ายแพ้สิน่า

เกี่ยวกับใต้เงาตะวันที่หากไม่ตัดสินรวมกับเรื่องสะเทือนใจ  เรื่องนี้ขอยกให้เป็นความชอบอันดับหนึ่งในบรรดานวนิยายของนามปากกานี้  ความโดดเด่นในใจคือแง่มุมของตัวละครทุกคน ล้วนมีความน่าสนใจ ชวนติดตามค้นหา   หา...คำตอบของจิตใจ และท่ามกลางความน่าสนใจของตัวละครเหล่านั้น คนๆ หนึ่ง โดดเด่นและเป็นที่จดจำ

ขอไม่สปอยล์เนื้อเรื่อง แต่ขอสปอยล์ถึงคนๆ นี้ สักไม่น้อย

ในขณะที่ "กานต์" พี่ชาย คือตัวแทนของความดีงามสมบูรณ์พร้อม "กรณ์" น้องชาย กลับเป็นตัวแทนของความขาดตกบกพร่อง  ตัวเกกมะเหรกเกเร ไม่เอาถ่าน เป็นตัวปัญหาที่ถูกพ่อเนรเทศไปไกลถึงต่างแดน

คนเหลวไหลไม่ได้เรื่อง! ที่นางเอกของเรา "ปารีณา" หรือ "รีณ่า" ตั้งป้อมรังเกียจเดียดฉันท์ แต่เล็กจนโตที่เคยเติบโตขึ้นมากับพี่น้องตระกูลเชิญอิสราชัยไม่ต่างกับการเป็นครอบครัวใหญ่เดียวกัน เขาเป็นคนเดียวในบรรดาพี่น้องที่เธอหลีกเลี่ยงจะคบค้า ไม่ต้องการแม้แต่จะข้องแวะเสวนาด้วย

เพราะเธอเองก็เติบโตขึ้นมาอย่างดีพร้อม ลูกสาวคนเดียวที่ได้รับความรักการเลี้ยงดูให้อยู่ในกรอบดีงามจากพ่อคนดีที่ใครๆ ก็คิดไม่ต่างกันว่าเขาเป็นคนดีสมบูรณ์แบบ คนดีพร้อมสองคน "กานต์" กับ "รีณ่า" จึงถูกหมายปองไว้ครองคู่กัน

อะไรๆ ก็คงจะลงตัวไปหมด ชีวิตในเปลือกห่อหุ้มสวยงาม ที่จะดำเนินไปตามครรลองของมัน ถ้าเพียงแต่ ดวงตะวันฉายจะไม่ลาลับไปด้วยความสกปรกเปื้อนมลทิน

โลกสวยงามที่พลิกคว่ำ การต่อสู้เรียกร้องหาความยุติธรรมที่ใครๆ พากันเมินหนี ในความโดดเดี่ยวไม่เหลือใครนั้น 'เขา' คนที่เธอรังเกียจก็ก้าวเข้ามา 

ทั้งที่ในสายตาของเธอ เขาเป็นแค่ตัวป่วนที่ไม่เคยลงรอยกับใครสักคนในบ้าน และไม่เคยมีคุณสมบัติอันใดให้เธอต้องยกย่องนับถือเหมือนพี่น้องเชิญอิสราชัยคนอื่นๆ แต่ในยามที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดสูญเสียคนที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรได้เรื่องสักอย่างกลับเป็นคนที่ปักหลักอยู่เคียงข้างเธอ ในขณะคนดีที่เธอคาดหวังกลับไม่มาให้เห็นแม้เงา ตลอดเวลาสิบห้าปีที่เติบโตขึ้นมาเธอเห็นกรณ์เป็นแค่แกะดำของครอบครัวที่ต้องวางตัวเหินห่างไม่อยากใกล้ชิดด้วย แต่ในยามโดดเดี่ยวอ้างว้างที่ได้ใกล้ชิด ได้มองเห็นตัวตนที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เห็นและรู้จักให้ชัด    เธอจึงเพิ่งได้เรียนรู้ว่า กรณ์ มีดีมากกว่าเปลือกลวงตาที่ห่อหุ้มตัวเขาอยู่มากมายนัก  เปลือกที่เธอเพิ่งได้มองทะลุลงไปอย่างเปิดใจมากขึ้น และค้นพบน้ำใจเนื้อแท้จากหัวใจดวงนั้น  แม้เป็นเพียงช่วงระยะเวลาอันสั้นแต่ความซาบซึ้งใจที่มีก็หนักแน่นและผูกพันมากพอจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักที่มั่นคง

นั่นเป็นเรื่องของนางเอกพระเอกเขา ที่แม้แต่ผู้เป็นพ่อของนางเอกก็มองเห็นอาการและคาดหวังกับอนาคตล่วงหน้าได้   "เบื้องหลังความไม่ลงรอย คือแรงดึงดูดอย่างรุนแรง"   ผู้เป็นพ่อถึงขั้นสั่งทอผ้าลูกไม้ไว้ให้ เพราะมั่นอกมั่นใจว่าลูกสาวสุดรักสุดดวงใจ จะได้แต่งงานกับใครคนหนึ่งไม่เกินต้นปีหน้า  ไม่ใช่กานต์ที่เหมาะสม เพราะเขาเชื่อว่าจะต้องเป็น...กรณ์ ผู้ไม่ลงรอย เขามักสนุกแกล้งทำตัวแย่ๆ เพื่อยั่วเย้าและตอกย้ำภาพของตัวเองในใจเธอเสมอ แต่ถึงจะเพียรกลบเกลื่อนเช่นนั้น คอยสร้างกำแพงเพื่อปกปิดความพึงพอใจในส่วนลึกสักเท่าไร มีหรือคนสูงวัยผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนจะไม่รู้  ฮิโธ่ แม้แต่เด็กน้อยอย่างยัยก๋าผู้เป็นน้องสาวยังดูออก!  

น่ารักที่สุดเลย พระเอกนางเอกน่ะ

แต่ผู้เขียนบล็อกในฐานะผู้อ่าน หลงรักพระเอกมากกว่านั้น ส่วนหนึ่งคงมาจากพื้นฐานความชอบส่วนตนที่มักถูกใจพระเอกแนวนี้   แนวตอแย ขี้เล่น ยียวน กวนประสาท แต่ถึงเวลาจริงจังก็เอาจริง และพึ่งพิงได้

กับพ่อ  "เกียรติ" ที่ตราหน้าลูกชายไม่เอาไหน เป็นตัวปัญหาที่ต้องเนรเทศไปให้พ้นจากเมืองไทย  แต่ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก มันคือความรักในรูปแบบหนึ่งที่เข้าใจกันอยู่เพียงสองคน กรณ์รู้..ว่าพ่อรักเขามาก   แม้กระทั่งคนอื่นภายนอกก็พอมองออกว่าในคำด่าเกรี้ยวกราดแท้จริงแล้วคนเป็นพ่อทั้งรักทั้งห่วงลูกชายคนเล็กมากเพียงใด   อิสระเสรีและความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่ยอมก้าวตามรอยเท้าใครนั่น บางครั้งก็ทำให้พ่อนึกหวั่นว่าสักวันหนึ่งลูกอาจจะไม่กลับมา

กับพี่ชาย "กานต์" ในภาพลักษณ์แตกต่างราวขาวกับดำ ความรักระหว่างสองพี่น้องมีความผูกพันลึกซึ้ง ภายใต้แรงกดดันบีบคั้นในกรอบมาตรฐานของครอบครัวและคนเป็นพ่อ สองพี่น้องเลือกทางที่แตกต่างกัน คนหนึ่งรักจะดิ้นรนเป็นอิสระไปในทุกทิศทางที่ตรงกันข้ามกับแรงบีบคั้น ไม่สนใจกับภาพลักษ์ใดที่จะถูกประณามว่าเป็น  แต่อีกคนพร้อมที่จะยอมรับการอยู่ในกรอบที่ถูกกำหนดให้และยึดมั่น"ภาพ" อันขาวสะอาดดีงามนั้นครอบตัวเอาไว้อย่างเหนียวแน่น และจะไม่ยอมให้มีอะไรมาสร้างรอยตำหนิหรือพรากมันจากไป

ทางเลือกที่แตกต่างนี้ ส่งผลมากมายต่อเส้นทางเดินชีวิตและความแข็งแกร่งของจิตใจ เข้มแข็งหรืออ่อนแอ  คนหนึ่งต้องระหกระเหินใช้ชีวิตลำพังอยู่ต่างแดนนับสิบปี ส่วนอีกคนต้องแบกรับภาระเป็นคนดีศรีตระกูลแบบที่ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยไปเป็นอย่างอื่นไดั  แต่ถึงเป็นเช่นนั้น สองคนพี่น้องก็รักและห่วงใยกันดี  คนหนึ่งเคยชินกับการถูกด่าถูกกล่าวหาเพราะมีภาพลักษณ์เป็นตัวปัญหาอยู่แล้ว ส่วนอีกคนการถูกตำหนิติฉินเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมให้เกิดขึ้นได้ และเพื่อภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาไว้ บางครั้งเขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากคนที่ไม่มีภาพความดีใดๆ จะต้องรักษาและยินดีจะเสียสละรับหน้าเป็นตัวก่อปัญหาแทน

กับน้องสาว ลูกพี่ลูกน้อง "กลิกา" หรือ "ก๋า" ท่ามกลางสภาพความเป็นไปของครอบครัวที่หมิ่นเหม่จะร้าวฉานและอาจลุกลามไปถึงขั้นแตกหัก  มีหลายคนให้เธอเลือกจะพึ่งพา แต่ในยามเดือดเนื้อร้อนใจ คนเดียวที่เด็กหญิงวัยสิบสี่ปีเรียกหาและไว้วางใจว่า "เข้าใจ" คือ "พี่กรณ์"

นอกจากปม การตาย ที่เป็นจุดเริ่มต้นดำเนินเรื่องค้นหาความจริงแล้ว  อีกเรื่องที่ซ้อนอยู่ในเรื่องนี้คือปัญหาครอบครัวของกลิกาที่ก็ชวนติดตามไม่แพ้กัน  จะว่าไปแล้ว ความสัมพันธ์ของ "พี่กรณ์" กับ " ยัยก๋า" ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่อาศัยในรั้วอณาเขตบ้านเดียวกันนั้น ก็แสบๆ ซนๆ น่ารักไม่แพ้คู่พระ-นาง ทุกการกระทำที่กรณ์ค่อยๆ ตะล่อมกล่อมใจไม่ให้น้องสาวเตลิดไปไหนไกลจากปัญหาที่มีอยู่   ตลอดจนการช่วยเหลือใครๆ .. ที่แม้วิธีการชี้ช่องจะลดเลี้ยว ยียวน กวนต่อมโทโสคนอยู่บ้าง  แต่มันก็ได้ผล  และนี่ก็อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พระเอก..น่ารักมาก  

ภายใต้เปลือกของคนห่ามๆ บุ่มบ่าม ปากเบา ที่เอาแต่พูดโพล่งเสียดสีผู้คนนั้น ลึกลงไปคือน้ำใจกว้างขวาง เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเอื้ออาทร เพราะเขาเติบโตอย่างคนนอกกรอบ และชีวิตในต่างแดนก็ทำให้ได้รู้จักผู้คนและมีประสบการณ์เรียนรู้มามาก เขาจึงเป็นคนที่พร้อมจะเข้าใจและยอมรับความเป็นปถุชนคนธรรมดาของใครๆ ที่มีได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย คนธรรมดาที่อาจมีความบกพร่องหรือเคยทำสิ่งผิดพลาดใดในชีวิต  ความเข้าใจ ความอบอุ่น ความมั่นคงทางจิตใจ ที่ปารีณาได้รับจากกรณ์ ทำให้ตัวเธอเองได้เรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับ ในสิ่งที่เธอไม่เคยเข้าใจและไม่คิดว่าจะยอมรับได้มาก่อน  โดยไม่รู้ตัว..คนที่สอนเธอให้มองโลกในมุมใหม่ มองผู้คนอย่างเปิดใจ ไม่ยึดติดอยู่กับเพียงความคิด ความเชื่อในมุมมองของตนเองฝ่ายเดียว   ก็คือคนที่เธอเคยเห็นว่าเขาเป็นคนไม่ได้เรื่องคนนี้เอง

ในยามเดือดร้อนของใครต่อใคร คนเหลวไหลคนนี้นี่แหละคอยปักหลักเป็นที่พึ่ง

และพึ่งได้อย่างอุ่นใจที่สุด 

นั่นเพียงพอไหม ที่จะทำให้หลงรักพระเอกเรื่องนี้หัวปักหัวปำน่ะ ยังมีอีกนะ ที่มากกว่านั้น ในช่วงท้ายๆ ของเรื่อง กรณ์เท่มากมาย กับการที่ เขายอมรับ เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจโดยดุษฏี เสียใจ แต่ไม่คร่ำครวญกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่เรียกร้องความเห็นใจ ไม่อะไรทั้งนั้น รักมากแค่ไหน เจ็บปวดและสิ้นหวังมากเพียงใด จิตใจของเขาก็ยังหนักแน่นที่จะตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ต้องเลือก และจะทำในสิ่งที่ควรทำ

"ถ้าฉันช่วยไม่ได้.." เสียงถามของชายหนุ่มเหมือนพูดกับตนเองมากกว่า หากคนตอบก็ตอบทันควัน .. ขมขื่นทว่ามั่นคง

"ฉันก็คงอยู่ในโลกใบเดิมไม่ได้เหมือนกัน" คำตอบของกานต์เหมือนเป็นสัญญาณเตือน กรณ์มองเห็นความจนตรอกจนมุมอย่างแท้จริงในคำพูดและภาษาท่าทีของอีกฝ่าย

......................

ทันทีที่สิ้นคำ ดวงตาของกรณ์ก็แลสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลสวยใส และวินาทีนั้นกลับกลายเป็นวินาทีที่เลื่อนลอยอ้อยอิ่ง ... เหมือนค้างอยู่กลางสุญญากาศ .. เหมือนกับวินาทีเดียววินาทีนี้เนิ่นนานเป็นศตวรรษ..

..มีความสิ้นหวัง จนมุมและไร้ทางเลือกอยู่เต็มเปี่ยมในดวงตาของชายหนุ่ม มันกลบฝังความคมจัด แจ่มใส เปิดเผยที่เขามีจนมัวมนไร้แวว

.. หากจะทำอย่างไรได้ .. นี่คือพี่ชายคนเดียวของเขา! ..เป็นพี่เป็นน้องกันมานานกว่ายี่สิบแปดปี! เขาไม่อาจละทิ้งกานต์ได้..

ไม่ต้องหยุดคิด ไม่ลังเลแม้เพียงเสี้ยววินาที...

.........................

นั่นน่ะ การตัดสินที่ไม่มีลังเลกับสิ่งที่รู้ตัวดีว่าจะต้องสูญเสีย..และชั่วชีวิตนี้ อาจไม่มีความหวังอีกแล้ว กับความรักที่กรณ์รู้สึกว่ามันได้กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่เขาก็ต้องเลือก 

ฉากนี้นะ ปลื้มจิตพระเอกมากๆ ลูกผู้ชายหัวใจหล่อมันต้องแบบนี้  นอกจากความช่างเย้าแหย่ที่น่ารักน่าหมั่นไส้แล้ว ความเป็นแกะดำในเปลือกไม่เอาไหน แต่เปลือกในเอาอ่าวเป็นที่พึ่งพาของใครๆ ได้ มีความรักความเข้าใจต่อผู้อื่น นี่แหละคือเหตุผล ที่ทำให้กรณ์เป็นหนึ่งในพระเอกนวนิยายในดวงใจ น่ารักที่สุดแล้วในบรรดาหนุ่ม ชื่อ ก. นามสกุลเชิญอิสราชัย ของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม ส่วนอันดับสองนั้น ยกให้ "พี่กอบ" กอบบุญ และตามมาด้วย "พี่เกื้อ" เกื้อคุณ เชิญอิสราชัย จากบ้านร้อยดอกไม้ ที่คืนนี้ขอเริ่มรำลึกถึงนวนิยายเรื่องนี้กันอีกสักรอบ

ขอบคุณนักเขียนในดวงใจ " ปิยะพร ศักดิ์เกษม "  ที่เขียนนวนิยายดีๆ มีสาระต่อจิตใจมาให้อ่าน ตราบใดที่ยังเขียน ก็จะติดตามผลงานต่อไป เรื่องเก่าไม่เคยมีจะซื้อเก็บ เรื่องใหม่ออกมาจะซื้อไว้ มีโอกาสได้รู้จักผลงานของนักเขียนไทย ฝีมือดีๆ อย่างนี้แล้ว ต้องรักต้องหนับหนุนกัน  .. ไม่เลิกรา

แต่ว่า ถ้าจะดี  ขอแฮปปี้เอนดิ้งแบบเรื่องนี้ เรื่อยๆ นะคะ 






 

Create Date : 30 มิถุนายน 2556    
Last Update : 16 สิงหาคม 2557 11:17:29 น.
Counter : 19152 Pageviews.  

อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง วันเวลาอันสวยงามและมีคุณค่าของชีวิต


พิมพ์ครั้งที่ ๔ สำนักพิมพ์ นกดวงจันทร์


"ทำไมเดี๋ยวนี้ เราหานิยายดีๆ ที่อาจแล้วรู้สึกดี หัวเราะ ร้องไห้
สุข เศร้า ซาบซึ้งไปกับเรื่องที่เราอ่านไม่ได้เลยนะ"


"มันเป็นเพราะว่า .............บลา บลา บลา ................."

"เออ คงจะจริงว่ะ เดี๋ยวนี้ฉันชักจะยอมแพ้แล้ว กี่เรื่องๆ ก็เอือมพลอต ที่พลอตพอจะให้ผ่าน แต่พออ่านข้างใน กี่เรื่องๆ ก็ผิดหวัง หรือเป็นเพราะเราอ่านนิยายมามากเกินไป จนเริ่มจะไม่อินกับอะไรเลย หรือเป็นเพราะเราชักจะแก่ จึงไม่ค่อยคุ้นชินกับพฤติกรรมของตัวละครตลอดจนสำนวนภาษาของนักเขียนรุ่นใหม่ "

เพิ่งจะถกปัญหานี้กันไปกับเพื่อนคอนิยายเมื่อตอนกลับบ้านช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพากันพูดถึงนิยายและนักเขียนสมัยนี้ บางทีเข้าร้านหนังสือด้วยกัน อ่านพลอตที่ปกหลัง หรือเปิดอ่านสำนวนนิยายด้านใน บางทีก็พากันขำก็มี ไม่ใช่ว่าดูถูกนิยายหรือนักเขียนหรอกนะคะ ขอออกตัวไว้ก่อน อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่เรารู้สึกขำเพราะคิดว่านี่คงจะไม่เหมาะกับเราจริงๆ ทั้งที่นักเขียนบางท่านก็ชื่อดังมีผลงานละลานตาวางอยู่โดดเด่นในร้าน ถูกนำมาสร้างเป็นละครก็หลายเรื่อง

แต่ตัวเราเองพอผ่านยุค ป้าทม (ทมยันตี,โรสราเรน,กนกเลขา, ลักษณวดี, ) โสภาค สุวรรณ , กฤษณา อโศกสิน , วราภา , กิ่งฉัตร , ว.วินิจฉัยกุล , ปิยพร ศักดิ์เกษม , ประภัสสร เสวิกุล, ช่อลัดดา ฯลฯ พอผ่านพ้นยุคนักเขียนเหล่านี้แล้ว ก็ชักจะทดท้อว่าต่อไปจะพึ่งพานิยายของใครได้ยามอยากอ่านนิยายทีดีๆ เพราะนักเขียนรุ่นใหม่ๆ ที่ถูกใจยังหาไม่เจอเลยสักคน หรือจะต้องเปลี่ยนแนวหันไปอ่านวรรณกรรมแปลแทน เพราะส่วนใหญ่เรื่องที่ถูกนำมาแปลมักจะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับที่ผ่านการคัดสรรเลือกมาแปลในขั้นหนึ่งแล้ว แต่อ่านแล้วจะดีจริงหรือไม่ ค่าความเสี่ยงผิดหวังก็น่าจะพอลุ้น

แต่ตอนนี้ ความคิดนั้น เปลี่ยนไปแล้ว

ไม่ใช่ไม่มีนักเขียนถูกใจให้เราได้ค้นพบหรอก ความจริงคือ
เป็นเพราะเราเองไม่ได้ค้นหาให้มากพอเพื่อจะพบนักเขียนที่ถูกใจ

หลังจากได้อ่านเรื่องนี้ กำลังใจที่จะค้นหาต่อไป มีมาเป็นกอง ขอบคุณนักเขียน"อภิชาติ เพชรลีลา” กับหนังสือ “อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง” ที่กลายเป็น “นักเขียนถูกใจ” ได้ทันที หลังจากได้อ่านผลงานของเขาเรื่องนี้เป็นครั้งแรก

จากมองผ่านๆ ตามสันปกหนังสือที่ถูกอัดเรียงแน่นเอี๊ยดรวมอยู่กับหนังสือเล่มอื่นๆ บนชั้น สายตาพลันแลเห็นคำ “ลมหนาว” จึงหยิบขึ้นมาดู ปกสวย รูปเล่มสวย ลองเปิดดูด้านใน ภาพประกอบสวย บทนำถูกร้องเรียงภาษาไว้อย่างสวย และสำนวนเล่าเรื่องก็ดูท่าจะสวยตามด้วย

และเมื่อซื้อกลับบ้าน พลิกอ่านทีละหน้าผ่านอักษรแต่ละตัวแต่ละถ้อยคำ
ถือเป็นหนังสือที่คุ้มค่าแก่การอ่านจริงๆ


อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง

เรื่องราวของเพื่อน ๖ คน ธันวา กลาง ชาน ด้วง โอ๊ก และโส่ย – ผู้หญิงเพียงคนเดียวภายในกลุ่ม

ต่างจากบ้านมาเพื่อมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เหล่านักศึกษาผู้ตามหาฝัน

บ้างมีความฝันอันแน่วแน่และออกแรงไล่ล่ามัน
บ้างความฝันยังเลือนลางแต่ก็ค่อยคลำหาทางไป
บ้าง..ยังไม่รู้แม้กระทั่งฝันที่ต้องการแท้จริงนั้นคืออะไร

บางคนฝันอยู่ไกล ต้องกล้า ต้องก้าวออกไป เพื่อสักวันจะคว้ามันให้ได้
บางคนยอมรับความเป็นจริง หยุดฝันไว้แค่นี้ และมองหาทางอื่น
แต่บางคนก็ท้อแท้ ทอดทิ้งฝัน และ “พ่ายแพ้” อย่างยับเยิน

มาพบ มารู้จัก และใช้เวลาช่วงหนึ่งของชีวิตอยู่ด้วยกัน ณ มหาวิทยาลัย หอพัก บ้านเชิงดอย และเมืองเชียงใหม่ ชีวิตนักศึกษาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ร่วมสุข ร่วมทุกข์ สัมผัสลมร้อน ฝนเย็น ลมหนาว และไออุ่น ด้วยกัน เป็นเหมือนดั่ง “บ้าน” และ “ครอบครัว” เป็นช่วงวันเวลาอันสวยงามและความทรงจำที่มีคุณค่า เพราะความทรงจำเหล่านั้นคือ มิตรภาพ เพื่อน ความผูกพัน และความรัก

รับน้องที่สถานีรถไฟ เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ก้มหน้าลงไป
พร้อมกันนี้ก็ได้รับเกียรติต้อนรับเข้าสู่ระบบ 'โซตัส' อย่างเป็นทางการ
รุ่นพี่ รุ่นน้อง ห้องเชียร์ บทสรุปของก้อนหินและยอดหญ้า
ประเพณีรับน้องขึ้นดอย เล่าเรียน เที่ยวเตร่ เหล่หญิง และมีแฟน
ชีวิตเด็กหอ เด็กตกหอ “บ้าน” และ เพื่อนใหม่
เมื่อลมหนาวพัดมา เมื่อลมฤดูร้อนโผนผ่าน เมื่องานเทศกาลหมุนเวียน
มหา'ลัยชีวิต ที่ทำให้ฝันเริ่มชัดเจน
และนักศึกษาเอกวิชาชีวิตก็เริ่มตัดสินใจเลือกทางเดิน

เพื่อน เพื่อนหรือ( ? ) หรือ ความรัก

ยามเมื่อลมพัดหวน รักแรกในความทรงจำ หรือ รักหลังในความจริงใจ

ความรักติดตรึงใจช่างโง่เขลา สายน้ำวัยเยาว์ไหลไปแล้ว...ลับลา

สำนวนภาษานุ่มนวล สร้างศิลป์จากความทรงจำด้วยภาพสีน้ำมันพิมพ์กระดาษแข็งคั่นตอน
อีกทั้งยังน้อมนำแต่ละบทตอนด้วยร้อยแก้วกึ่งกวีที่สวยงาม

นั่นแหละ หนังสือเล่มนี้

ที่นี่สถานีปลายทาง สถานีความฝันที่ความทรงจำยังหลั่งไหล

…. หอมดอกกุหลาบสีเหลืองแต้มปลายจมูก เราเป็นเด็กปีหนึ่ง ห้ามพูดห้ามเถียงอะไรทั้งนั้น มัวนั่งจับเจ่าอยู่ไยเล่า สะพายเป้แบกความฝัน แล้วออกเดินทาง ตามธารของสายน้ำวัยเยาว์ ฉันจะติดตามเธอไปยังสวรรค์ที่อยู่ห่างไกล ... หอมลมหนาว หอมช่างหอม คว้าเอาไว้ได้แล้ว อยู่ในอ้อมแขนฉันนี่เอง เสื้อกันหนาวสีฟ้า เธอ เธอ เธอ เธอช่างสวยและสวย ... ภูเขามีหมอกบดบังอยู่ทุกฤดู มันเศร้าและคลุ้มคลั่ง มาเถอะมา ออกมาสัมผัสกับแดดลมฤดูร้อน ให้ฝ้าหม่นหมองจางจากเธอไป ...แว่วเสียงสะล้อผู้ใดลอยลมมา ...หวูด ...หวูด มากับเสียงหวูดรถไฟ ขอบคุณเสียงดนตรีไพเราะ กับเสียงของเจ้านอกหุบเขา ทำให้การเดินทางไกลไม่เงียบเหงา ... ช่วยเก็บเรื่องราวดีๆ เหล่านี้ไว้ได้ไหม เก็บไว้ในภาพถ่าย เก็บไว้ในใจ ในนัยน์ตาที่เหมือนกับผืนผ้าใบสีขาวของเธอ ตั้งต้นการเดินทาง ณ ริมขอบฟ้า ยังมีเรื่องน่าประทับใจ บนโลกนี้มากมายนัก ...นอกจากฉัน มีใครเคยบอกเธอไหมว่า ดวงดาวคู่นี้คือฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาอันกระหายการสร้างสรรค์ ดวงตาของดวงดาว ดวงตาของฉัน เธอผู้ซึ่งงดงามเหมือนดวงดาว ...

...ชึ่งชั่ก ... ชึ่งชั่ก ....ร้อน ... ร้อน พยับแดดเรงระยับ เสียงล้อรถไฟบดรางยังคงดังกึกก้อง รางรพไฟสายยาวทอดไปสู่ปลายางที่บ้านเดิม ตื่นขึ้นสิ เธอได้ยินเสียงเพลงคุ้นเคยลอยมากับลมบ้างไหม ลอยมาจาก ‘รังรัก’ ในหมู่บ้านเชิงเขา บทเพลง ‘โกอิ้ง โอม’ ของนอฟ์ฟเลอร์ ฟังท่วงทำนองร่าเริงแสนกระตือรือร้นของมันสิ ช่างเหมือนบทเพลงในใจ เกสรบอบบางของความฝันลอยไปไกล แต่ความฝันนั้นยังอยู่กับเธอ ลืมตาตื่นขึ้นมาสิ

... เก๊ง ๆ ... เก๊งๆ ... เก๊งๆ เสียงลั่นระฆังดังใกล้เข้ามาแล้ว ที่นี่ ... คือบ้านเดิมของผองเพื่อน ขณะนี้ขบวนความฝันถึงสถานีปลายทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านผู้โดยสารซึ่งโดยสารมากับขบวนความฝันเที่ยวขึ้น ก่อนจะลืมตาตื่น โปรดสำรวจสัมภาระความฝันของท่านให้เรียบร้อย มันตกหล่นไปที่ใดบ้างหนอ ...
(อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง หน้า ๒๘๐-๒๘๑)

“อภิชาติ เพชรลีลา” ชื่อนี้จะจดจำไว้ ต้องได้มีอ่านผลงานของเขาอีกแน่นอน

อ่านแล้วทำให้รู้สึกรักเชียงใหม่ แม้ไม่ใช่คนเชียงใหม่

อ่านแล้วคิดถึงมหาวิทยาลัยแม้ไม่ใช่อดีตเด็ก มช.

อ่านแล้วคิดถึงช่วงชีวิตที่เป็นนักศึกษา คิดถึงครูอาจารย์

คิดถึงโซตัส คิดถึงรุ่นพี่ คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงรุ่นน้อง

แม้ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปโซตัสจะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือรังแกที่ป่าเถื่อนอย่างไร
แต่สำหรับฉันในวันนั้นถึงวันนี้ ขอบคุณโซตัสที่ทำให้ต้องก้มหน้าลงไป
เพื่อจะได้เงยขึ้นมาใหม่ทั้งน้ำตาของความภาคภูมิ

คิดถึงวิ่งประเพณี ระยะทางสุดโหด แต่ตราตรึงประทับใจ

ขอบคุณชาวบ้าน กับน้ำท่าอาหารที่เรียงรายตลอดสองข้างทางรอต้อนรับ

ขอบคุณรุ่นพี่ที่วิ่งไปกับพวกเรา ฉันยังจำความหมายของรางวัล “เสื้อสามารถ” ตลอดมา

คิดถึงเตียงสองชั้น ใต้ถุนหอพัก ทีวีรวม ร้านข้าวข้างหอ บ่อปลา สนามหญ้า ป่าดอย

คิดถึงมอเตอร์ไซด์ขี่โต้ลมปุเลงๆ คิดถึงรถแดงสองแถวเฮโลเข้าเมือง

คิดถึงศาลเจ้าแม่ที่เซ่นบนบาน คิดถึงงานเทศกาล งานเลี้ยง
งานบุญประเพณี ตลาดนัด หนังกลางแปลง งานแข่งกีฬา

คิดถึงสันเขื่อน คิดถึงอ่างเดือนเขื่อนดาว คืนหนาวหนึ่งกับฝนดาวตก

คิดถึงบ้านหลังนั้นของพวกเรา คิดถึงโต๊ะสารพัดใช้งานตัวนั้น
โขกหมากรุก เล่นบิงโก เล่นไพ่ (ตาละสองบาท)
กินข้าว ดูทีวี ทำรายงาน ลอกการบ้าน
สุมหัวทำข้อสอบเทคโฮมโต้รุ่งเช้านั้น

คิดถึงวันลอกสระจับปลาดุก คิดถึงปาร์ตี้ใต้หอ
คิดถึงเสียงเพลงและกองไฟที่ก่อผิงไล่ความหนาว

คิดถึงร้านนมอุ่น คิดถึงเปลวไฟย่างหมูกระทะ
คิดถึงผักบุ้ง คิดถึงท้องทุ่งนา คิดถึงเมนู “มาม่าสาบาน”

คิดถึง คิดถึง คิดถึง

อ่านหนังสือเรื่องนี้แล้ว ต้องโพสต์ภาพหนังสือขึ้นเฟซบุ้ค
แล้วพิมพ์ความในใจใส่ลงไปแทนเสียงที่อยากร้องดังๆ

" เฮ้ย เพื่อน ๆ ฉันคิดถึงพวกแกว่ะ"

นี่แหละ .. ที่หนังสือเรื่องนี้กระตุ้นใจให้คิดถึง
ความงดงามของความทรงจำ ช่วงเวลาสนุกสนานที่สุดในชีวิต




 

Create Date : 25 เมษายน 2556    
Last Update : 26 เมษายน 2556 1:24:29 น.
Counter : 3559 Pageviews.  

คุณชายตัวร้ายกับหัวใจดวงเดิม



"คุณชายตัวร้ายกับหัวใจดวงเดิม"

ปกติจะไม่สนใจนิยายปกการ์ตูนเลยนะคะ

แต่พอดีอ่านปกหลังแล้วมันชวนให้นึกถึง พระเอกนางเอกเรื่อง Hot Shot
รูปแบบนิยายของเกาหลีกับไต้หวันนี่ก็คล้ายๆ กันนะคะ
ประมาณว่า พระเอก หล่อขั้นเทพ รวยล้นเหลือ ทายาทตระกูลมหาเศรษฐี
ที่ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจทำนองนั้น (เว่อร์จริงๆ)

เรื่องนี้ พระเอกก็ฐานะอย่างว่าคือ 'คุณชาย' ส่วนนางเอก เด็กหญิงบ้านตรงข้ามที่นอกจากฐานะจะต่างกันลิบลิ่วแล้วคุณสมบัติเฉพาะตัวของพระเอกนางเอกยังต่างกันราวฟ้ากับเหว

พระเอกรวย สูง หล่อเทพ ฉลาด เก่งดนตรี เด่นกีฬา การเรียนเป็นเลิศ

นางเอกเตี้ย ไม่สวย ทึ่ม ดนตรีไม่เป็น กีฬาเห่ย การเรียนห่วยแตก.เฉิ่มเบ๊อะอีกต่างหาก.



แต่ว่าสองคนก็เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก เป็นคู่หูแบบผู้บงการกับลูกไล่
นางเอกไม่ได้เต็มใจจะคอยติดสอยห้อยตามพระเอกเป็นเงาตามตัว
ให้คอยใช้สอยหรอกนะ แต่เพราะโดนพระเอกบังคับขู่เข็ญลากไปด้วย
ใครๆจึงมองว่าเป็นความสัมพันธ์ของคนรับใช้กับคุณชาย แต่แค่นี้นางเอก
ก็ยังถูกเขม่นจากสาวๆ ในโรงเรียนว่ายัยเห่ยนี่เป็นใครมาจากไหนถึงมา
ตีเสมอพระเอกอยู่ได้

เรื่องนี้ชอบตรงที่ พระเอก ดุโคตร... และนางเอกก็กลัวพระเอกจนหัวหด
ไม่กล้าแม้แต่จะหือ...นอกจาก ก้มหน้า คอตก เดินตามต้อยๆ อย่างจำใจ
น้อมรับคำสั่ง คือทำอะไรก็ได้อย่าขัดใจให้พระเอกโกรธเป็นใช้ได้
ครอบครัวนางเอกก็เห็นพระเอกเป็นเทพบุตรลงมาโปรด เป็นบุญเหลือล้น
ของนางเอกที่พระเอกลดตัวมาเป็นเพื่อน ไม่มีใครเข้าข้างนางเอก
เพราะไปซูฮกพระเอกแสนดี(ด้วยการสร้างภาพ) ของพระเอกกันหมด
ตลกดีค่ะ

"แทนที่จะมัวไปสนใจเสียงนกเสียงกา สู้เอาเวลานอนน้ำลายยืดของเธอน่ะ
มาใช้วางแผนชีวิตตัวเองดูดีกว่า ฉันเห็นเวลาง่วงเธอก็ฟุบลงไปนอน
ท้องว่างเข้าหน่อยก็เดินพล่านหาของกิน ทำตัวยังงี้...
แล้วฉันจะไปแยกออกได้ยังไงว่าไหนหมาไหนคน"

"ฉันว่าเธอน่าจะทำตัวให้มันเป็นผู้เป็นคนกว่านี้นะ"

ตอนอบรมนางเอก

"นี่ ยัยขี้เหร่ เธอรนหาที่ตายใช่มั้ย?" ตอนมีคนฟ้องว่านางเอกให้ท่าผู้ชาย

"ลองก้าวลงจากรถสิ เธอตายแน่" ตอนกดหัวนางเอกดันใส่เข้าไปในรถ..เหมือนหนังการ์ตูนเลย

"ลองถอดดูสิ เธอถอดมันวันไหน วันนั้นก็เตรียมจัดงานศพตัวเองได้เลย" ตอนใส่แหวน หวานมะ?

นอกจากจะเป็นพระเอกแนวอย่างงั้นแล้ว
ยังออกแนวผู้หญิงข้าใครอย่าแตะอีกด้วย คือ..ถึงเธอจะไม่เอาไหน ก็ไม่คิดจะยกให้ใคร เพราะกั๊กหัวใจให้ไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
ชอบความรักของพระเอกมากเลย เพราะถึงจะมีแฟนคลับกรี๊ดเต็มโรงเรียน
คนสวยระดับดาวเด่นมาชอบ ก็ไม่เคยให้ความสนใจหวั่นไหว
ไม่เคยแยแสเสียงนินทาสายตาใครถึงความไม่คู่ควรด้วยประการทั้งปวง

เรื่องที่จะอยู่ในความสนใจมีเพียง การเคี่ยวเข็ญนางเอกเรื่องการเรียน
คอยคอนโทรลให้อยู่ในสายตา ควบคุมดูแลทุกฝีก้าว
เพราะถือคติเผลอไม่ได้ ลองปล่อยนางเอกให้ห่างตัวสักพักเมื่อไร
มักจะมีผู้ชายที่มีความละเอียดอ่อนสูง(เช่นตัวเอง)มองเห็นความน่ารัก
ของนางเอกหลงเข้ามาข้องแวะให้หงุดหงิดใจและต้องลงไม้ลงมือแบบลากเข้ามุมตึก

น่าสนใจมั้ยล่ะคะ ?




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2552 1:04:50 น.
Counter : 1817 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.