Group Blog
 
All blogs
 
เสือเพลินกรง นวนิยายเพื่อชีวิตที่ติดบาร์โค้ด โดย ผาด พาสิกรณ์

 

 

 สำนักพิมพ์ คเณศบุรี พิมพ์ครั้งแรก กรกฏาคม ๒๕๕๒

ผาด พาสิกรณ์

เป็นนักเขียน "ตัวจริง" คนหนึ่งในวันนี้

และผมเชื่อว่าในอนาคต

ความเป็นตัวจริงของเขา

จะสำแดงออกมาชัดแจ้งขึ้น

จนยุคสมัยไม่สามารถผ่านเลยเขาไปได้โดยเฉยเมย

-ชาติ กอบจิตติ-

กล่าวถึง ผาด พาสิกรณ์ ทายาทของนักเขียนที่เป็นตำนานเพราะนวนิยายของท่านเป็นตำนาน  'เพชรพระอุมา' ความเชื่อมือที่ไม่เกี่ยวอะไรกันสักนิดกับการเป็นสายเลือดของ 'พนมเทียน' นั้น มีมากเสียจนไม่ต้องสนใจพลอตเรื่องก็ได้ เขียนมาเถอะ เป็นเรื่องอะไรก็จะอ่าน  เพราะเชื่อกันมาแล้วจากผลงานเรื่องแปลที่กรีดเซาะอารมณ์อย่าง The Kite Runner  (เด็กเก็บว่าว) รวมเรื่องสั้น สำเนียงของเวลา นวนิยาย ณ กาลครั้งหนึ่ง,  ฝัน..ที่แยกราชประสงค์  และ นางแมวยาง  

เสือเพลินกรง  ที่ครั้งหนึ่งเคยอ่านช่วงเริ่มแรกในนิตยาสารขวัญเรือน แต่ไม่ได้ตามอีกเพราะคิดว่าจะรอรวมเล่มทีเดียว ตอนนั้นมีอยู่ถ้อยความหนึ่งที่แทงใจดำ ให้จดจำไว้ว่านวนิยายเรื่องนี้..ต้องอ่าน

.. ระยะเวลาสี่ปีที่นี่ สอนผมให้รู้ว่า คนสมัยใหม่ ไม่มีใครเขาพูดอะไรกันตามใจตามความรู้สึกกันแล้ว เราเรียนที่จะเคลือบคำ แล้วพลิกพลิ้วไปรอบๆ ความจริง และความดีดดิ้นที่ว่านี่แหละ มันเป็นคุณสมบัติสำคัญที่เขาเรียกกันว่า 'มือโปร'

ก่อนอื่นเลย ขอบอกว่า ชอบการออกแบบปกมากค่ะ สวยเก๋ในความเรียบง่ายสะอาดตา

เสือเพลินกรง ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่าคงต้องมีความแปลกแหกคอกไปจากกรอบของความเป็นนวนินายทั่วๆ ไปคือ มี พระเอก นางเอก และเรื่องราวของความรัก  แต่หากอยากจะจัดวางว่ามันเป็นนวนิยายในกรอบนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน

พระเอกคือ 'อาซ่า' หรือ ธีรวัฒน์ นักโฆษณาฝีมือฉมัง วัยใกล้ ๔๐ ปี

นางเอกคือ 'แลร่า' ภัทรดา ลูกสาวเพื่อนซี้ของธีรวัฒน์ สาวน้อยแรกรุ่นอายุ ม.ปลาย ก็ราวๆ ๑๗ ปี

ถ้าเรากำลังมองหานวนิยายรักซาบซึ้ง แบบความรักหนุ่มสาว มันก็จบกัน วัยของพระเอกนางเอกทำพลอตไม่ชวนอินเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราต้องการได้อะไรบางอย่างที่แปลกออกไปจากแนวรักเดิมๆ ของพระเอกนางเอกหนุ่มสาว  ผาด พาสิกรณ์ ให้คุณได้ในความแปลกที่ไม่ได้ขาด 'ความรัก' 

บนป้ายหน้ากรง  ผาด พาสิกรณ์ เล่าถึงคำเตือนสติจากนักเขียนสองท่าน ที่ได้ขอคำปรึกษาเมื่อครั้งได้รับการติตต่อจาก บก.นิตยาสารขวัญเรือน ให้เป็นนักเขียนประจำ จุดเริ่มต้นของชีวิตนักประพันธ์แท้จริงตามความคิดของคุณผาด ที่บอกว่า มันมีเสน่ห์ ท้าทาย แต่ขณะเดียวกันก็น่าสะพึงกลัว นักเขียนสองท่าน หนึ่งคือ ชาติ กอบจิตติ และอีกหนึ่งที่ถึงแม้ไม่เอ่ยนามแต่ก็คงเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร   ผู้ให้คำปรึกษาทั้งสอง ให้ความเห็นที่แตกต่าง แต่ใจความก็บรรจบพบกันตามที่คุณผาดเล่าถึง    เขียนในสิ่งที่เราอยากเขียน อย่าเขียนตามใคร อย่าเขียนเพื่อเอาใจใคร  ชอบนะคะคำนี้ เพราะเราจะได้มีนักเล่าเรื่องหลายๆ แบบ   

ในแบบของ เสือเพลินกรง  จึงเจนจัด คมคาย คงความเป็น ผาด พาสิกรณ์ ที่ได้ยินมาว่ามีสไตล์ฉูดฉาด และผาดโผน ให้ต้องอยากลองขวนขวายหามาอ่าน   หนังสือเล่มนี้ไม่ได้วางอยู่หน้าร้านให้เห็น โชคดีจังที่มันยังเหลืออยู่ในคลังของซีเอ็ด แม้สภาพจะมอมไปสักเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาเพระาว่าค่าของหนังสือไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ของรูปเล่ม

เป็นเรื่องเล่าจาก "ผม" (ซ่า-ธีรวัฒน์) 

- โลกสีเทาของผู้ใหญ่  ในตัวตนด้านหนึ่งของนาม รฐา ประกาศิต ธีรวัฒน์ ธัชระวี วิชญรัตน์ อัษฏาวุธ ชื่อที่บังเอิญคล้องจองกันอย่าน่าขัน ให้คุณครูในวัยเด็กได้เรียงร้อยเรียกขานเหล่าลิงทะโทนจอมซ่าผู้ร่วมขบวนการก่อวีกรรมกรรมแสบด้วยกัน

- โลกสีขาวของเด็ก ในอีกตัวตนด้านหนึ่ง ของ หมอผี กำนัน นาซ่า แจ่มใส  ก่องพลอย เวตาล  เหน่านี้ไม่ใช่ชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ แต่เป็นชื่อประจำตัวที่เรียกกันในหมู่เพื่อน ตามบุคลิก เรื่องราว ความเป็นมา ที่แน่นอนล่ะว่า มันต้องมาจากความตลกขบขันของเรื่องล้อเลียน 

การบอกเล่าชีวิตในโรงเรียนประจำ และที่มาของ 'ชื่อ' แต่ละคน อาจทำให้รู้สึกอืด หรือเข้าสู่ปมของเรื่องช้าไปบ้าง แต่ถ้ามองอีกมุม มันก็เป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ในวัยเด็กที่คบหากันจนเติบโตมาครึ่งชีวิต และช่วยให้เราอินกับความเป็นเพื่อนของหนุ่มใหญ่กลุ่มนี้ได้ดีทีเดียว

ในโลกของผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวให้ดูแล มีหน้าที่การงานให้รับผิดชอบทำมาหาเงิน มันคงต้องอาศัยอะไรหลายอย่างลูกล่อลูกชน ผลประโยชน์เก็บเกี่ยว และหนทางหลบหลีกเอาตัวรอด ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน กับการจะคงอยู่ในสังคม ย่อมจำเป็นต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังของหน้ากาก แต่ในโลกของเด็กมันต่างออกไป นั่นคือความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนแท้ของ ไอ้ซ่า ไอ้กำนัน ไอ้หมอ ไอ้เว ไอ้ก่อง ไอ้แจ่ม  ความจริงใจใสซื่อ ความรักความผูกพันมันใสสะอาด  ถึงแม้จะไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมเปื้อนฝุ่นของพวกเขาที่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว

ไอ้ซ่า - หนุ่มนักโฆษณามือฉมัง  เวตาล - นักกฏหมายทนายจอมซัก กำนัน - เซลล์ขายตรงผู้มากเรื่อง และบุคลิกโดดเด่นหนึ่งประการคือติดพูดคำว่า "แหนะ" หมอผี - เจ้าของอาบอบนวดผู้เชื่อในทฤษฎีน้ำครึ่งอ่าง (ฟองอีกครึ่งหนึ่ง) และเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชามารมากที่สุด  ก่องพลอย ... (ขอละเอาไว้ให้อ่านเอง จะได้มีอารมณ์ขำขัน) 

แจ่มใส คือเพื่อนผู้มีชีวิตโลดโผนที่สุด มันเริ่มจากข่าวอาชญากรรมพาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์  ข่าว ความเป็นไปได้ ความไม่ชอบมาพากล เพื่อนเท่านั้นที่จะรู้จักเพื่อนด้วยกันดี และคอยติดตามข่าวคราวชีวิตของกัน  ฮีโร่ปริศนา หรือ อาชญากรตัวร้าย ที่หายตัวไป  หรือคนหนึ่งคนเช่นคนอย่างแจ่มใส สามารถจะเป็นได้ ทั้งฮีโร่และอาชญากร  ความซับซ้อนซ่อนงื่อนของของเหตุการณ์มืดในคืนนั้น ทำให้แจ่มใส ต้องนำลูกสาวมาฝากไว้ให้ใครสักคนช่วยดูแล

เพื่อนมีอยู่ตั้งหลายคน ทว่าแจ่มใสกลับเลือกที่จะฝากฝัง 'แลร่า' (ภัทรดา) ลูกสาวคนเดียวที่โตเป็นสาวแล้ว ไว้กับ 'ไอ้ซ่า' หนุ่มโสดนักโฆษณา แทนที่จะเป็นเพื่อนคนอื่นที่มีลูกเมียและการเป็นผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวดูจะมีความเหมาะสมมากกว่า  ทำไมต้องเป็น ไอ้ซ่า ผู้ชายหนุ่มโสดที่ไม่เคยเป็นพ่อคน และคงไม่มีปัญญาจะเลี้ยงเด็กเป็น

การมี "แลร่า" ค่อยๆ ทำให้ "อาซ่า" ได้เรียนรู้อะไรหลายสิ่ง  ที่ไม่เคยรู้ ได้คิดทบทวนอะไรบางอย่างที่เคยรู้ แต่เพิกเฉยที่จะใส่ใจ   เกิดขึ้นมาซึ่งความผูกพันที่ทำให้ตรึงใจกับคำที่ว่า  ลูกเพื่อน กลายสู่เพื่อน ความรัก กลายสู่รัก

กิลเบิร์ต เจ้านายของธีรวัฒน์  ได้กล่าวคำหนึ่งไว้ในเรื่อง  ".. นายเป็นคนประเภทที่ ... เขาเรียกว่าอะไรนะ... ไต่ไปบนเส้นแบ่งของความถูกผิดได้เก่งที่สุด"   ใช่แล้ว คำนี้  ไต่ไปบนเส้นแบ่ง.. มันคือวิธีการที่ใช้วิพากษ์..พาดพิง แวดวงสื่อ และโฆษณาที่บางทีก็มีเอี่ยวกับเรื่องของสังคมการเมืองอยู่ด้วยเหมือนกัน  ความรู้สึกของอาซ่ากับแลร่าก็คล้ายคลึงกันลักษณะนี้ ไต่ไปบนเส้นแบ่งระหว่างความหมิ่นเหม่ล่อแหลมกับความบริสุทธิ์ใจที่ดีงาม (รู้สึกอย่างนั้นนะ) ที่จะเชื่อว่าความรักนั้นได้ถูกกลั่นกรองไปสู่ รักที่อิสระไร้กรอบกรงใดๆ กางกั้น เป็นสันติแห่งใจ คงจะต้องอาศัยความเป็นนักเขียนขั้น 'มือโปร' ที่ไม่ได้วัดกันที่ปริมาณหนังสือในท้องตลาด แต่ว่ากันด้วยคุณภาพที่ซื้อใจคนอ่าน และคุณผาดเขาทำให้เราเชื่อ

ความสัมพันธ์ของอาซ่ากับแลร่าทำให้ใจแอบมีระทึก แต่ขณะเดียวกันมันก็อ่อนโยนและอบอุ่น ไม่มากไม่น้อย ถูกจริต ปลื้มจิต  จนอยากจะสมัครเป็นสมาชิกประจำนิตยาสารขวัญเรือน เพื่อตามอ่านผลงานเรื่องต่อไปของคุณผาดอีก เพราะเป็นแนวการเขียนที่่ส่วนตัวคิดว่ามันค่อนข้างหาได้ยากในนวนิยายไทย มันเหมือนเป็นอะไรบางอย่างที่เรามักจะเลือกหามันมาอ่านจากพวกหนังสือแปล ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของความรักหนุ่มสาวเสมอไป  

เรื่องราวของไอ้แจ่ม ถือเป็นปมดำเนินเรื่อง และเป็นตัวกลางเชื่อมโยงให้เพื่อนๆ ได้พบปะสุมหัวกัน เพื่อจะปรึกษาหารือ และช่วยกันแก้ปัญหากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ชวนสงสัยให้เฝ้าติดตามแม้จะต้องผ่านเรื่องราวในแวดวงการทำงานของไอ้ซ่าไปทีละหลายๆ หน้า กว่าเรื่องของไอ้แจ่มจะคืบ  

ฮีโร่ปริศนา , อาชญากรผู้หายตัวไป, ศพนิรนามเผานั่งยาง

และ หนังสือ The old man and the sea

Credit Picture : //illustrationartgallery.com ,Artist: Henry Seabright

เราถูกหล่อหลอมกันมาอย่างนี้ ชีวิตนักเรียนประจำ ที่ไม่มีพ่อแม่มาคอยเอาใจใส่ดูแล ตั้งแต่เช้าจดเย็นก็เห็นกันอยู่แค่นี้ คำว่าเพื่อน มันจึงไม่ใช่ศัพท์ที่ครองความหมายให้ต้องคิดอีกต่อไป มันคือความเข้าใจในค่าแห่งคำ  และค่าของมันก็ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่า ทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่า 'ทั้งหมด' นั้น จะหมายถึงอะไรก็ตามที

ถ้อยความดังกล่าวข้างต้น เป็นหนึ่งในหลายๆ 'ใจความ' ที่ ผาด พาสิกรณ์ สร้างความรู้สึก 'กินใจ' ให้เกิดขึ้นจากการอ่านนวนิยายเรื่องนี้  จริงสินะ ความหมายของคำว่าเพื่อน ถ้าจะให้อธิบายออกมาเป็นคำพูดมันอาจฟังเหมือนทำง่าย แต่เอาเข้าจริงมันก็ยากนะ ว่ามั้ย เพราะมันเป็นนามธรรม มันคือ ความเข้าใจในค่าแห่งคำ ที่ยากจะหาคำใดมาจำกัดความหมายได้ครอบคลุม

"เพราะถ้าให้กูเลือก กูขอเลือกเป็นฝ่ายถูกไอ้แจ่มหลอก แล้วเก็บชีวิตมันไว้ให้กูได้ตามไปตบกระโหลกมันในอนาคต ดีกว่าให้มันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ได้หลอกลวงใคร นอนกองเป็นกระดูกอยู่ตรงนั้น รอให้พวกเราไปเก็บมาทำพิธี"

"กูอาจไม่รู้นะว่าเดี๋ยวนี้ ไอ้แจ่มเป็นใครกันแน่  จะเป็นพระเอกอย่างที่หนังสือพิมพ์ว่า หรือเป็นผู้ร้ายอย่างที่มึงเล่า  เป็นคนฉ้อฉลแยบยลเที่ยวกุเรื่องมาหลอกลวงชาวบ้าน อันรวมถึงเพื่อนๆ อย่างพวกเรานี่ด้วย กูรู้อยู่อย่างเดียวว่า มันเป็นเพื่อนกู เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่พลาดพลั้งได้เหมือนกัน และขณะนี้ อาจจะกลายเป็นกระดูกกองหนึ่งไปแล้ว ในขณะที่มึงมัวมานั่งระแวงว่า ไอ้แจ่มจะสร้างฉากตบตาหลอกกัน จริงๆ แล้วมันอาจไม่เคยทำ  ไม่ได้เคยเป็น และไม่ใช่คนทีมึงสุ่มทายไปต่างๆ นานาก็ได้"

"มึงไม่กลัวบ้างหรือว่า ขณะที่มึงกำลังนั่งแดกเหล้าอยู่กับกูน่ะ ไอ้เหี้ยแจ่มมันอาจจะตายห่าไปแล้ว ชีวิตของมันอาจจะจบสิ้นไปโดยที่ไม่เคยได้ทำเรื่องบาดหมางใจใดๆ ให้มึงต้องเสียใจเลย นอกจากหายหัวไปเพราะเหตุผลส่วนตัว แต่มึงสิ เพื่อนมันคนหนึ่งแท้ๆ แทนที่จะคิดถึงความดีของมัน กลับมานั่งคลางแคลงใจกับเรื่องส้นตีนอะไรก็ไม่รู้ คิดเสียใหม่เถอะวะ คิดว่าเพื่อนมึงน่ะตายห่าไปแล้ว พยายามลืมเรื่องจุ๊กๆจิ๊กๆ ของมึงซะ"

แจ่มใส อาจเป็นเหมือนบุคคลผู้สาปสูญ แต่แจ่มใสกลับไม่ไร้บทบาท ตรงกันข้าม เขาเป็นแจ่มใสผู้มีตัวตนชัดเจนอยู่ในเรื่อง  ตัวตนของแจ่มใสที่สื่อผ่านคำครุ่นคิดคำนึงถึง ผ่านคำบอกเล่า  ผ่านการกระทำของผองเพื่อน และรวมถึงตัวลูกสาวของแจ่มใสเอง- แลร่า  เขาเป็นคนเช่นไร เคยผ่านอะไรมาบ้าง แม้ในสถานะอาชญากร ที่สุ่มเสี่ยงอันตราย เพื่อนของไอ้แจ่ม ที่แม้จะไม่รู้อะไรเลยว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ไอ้แจ่มอยู่ที่ไหน เป็นหรือตาย และมันต้องการจะทำอะไร ใครจะไปตรัสรู้ความตั้งใจ ห่-าเหว ของมันได้ แต่เพราะเพื่อนๆ รู้จัก "ไอ้แจ่ม" พวกเขาจะรวมหัวกันและช่วยกันคลำหาหนทาง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ไปจนกว่าจะพบเจอ นั่นเป็นจุดที่ทำให้เรื่องนี้สำหรับเรามันซึ้งมาก โดยที่ภาษาพูดจาระหว่างเพื่อน มึง-กู เหี้-ย ห่-า   ไม่ได้ลดทอนความซึ้งของมันเลย เพราะความซึ้งมันคือนัยยะแห่งใจไม่ใช่คำพูด

สำนวนการเล่าเรื่อง อย่างที่บอกว่ามันเจนจัด มันดึงดูดในถ้อยคำและใจความ ชอบจริงจังกับสำนวนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยของคุณผาดเขาน่ะ  อ่านแล้วเพลินดี

มิตร ศัตรู กบฏ หรือ รัฐประหาร ความแตกต่าง มันอยู่ที่ใครแย่งธงได้ในท้ายที่สุด  เดี๋ยวหวยผิดกฏหมาย, เดี๋ยวหวย ถูกกฏหมาย, เดี๋ยวหวยผิดกฏหมาย และคงจะกลับมาถูกกฏหมายอีกในที่สุด แต่ที่น่าขำก็คือ หวยไม่เคยหายไปจากคนไทย ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฏหมาย ไม่ต่างอะไรกับ กระหรี่ กัญชา และกีฬาชนไก่

บาป บุญ ผิดถูก กระทั่งผมเองแก่มาจนครึ่งชีวิต ก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร นับประสาอะไรกับเด็กๆ ในรุ่นของแลร่า ใครจะบอกเธอได้ว่านี่ผิด นั่นถูก เพราะกับนายกรัฐมนตรี ผู้ถืออาญาสิทธิ์ชี้นิ้วปกครองเองก็เถอะ ทำธงหลุดมือ ก็กลายเป็นทรราชแผ่นดินได้เช่นกัน จากถูกทุกข้อ กลายสู่ ผิดทุกข้อ

.............

ระหว่างเด็กเรียนดีที่รู้รักในกฏระเบียบ กับเด็กเกๆ อย่างเรา มันมักจะมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางเสมอ เราต่างมีมุมมอง และความเข้าใจโลกรอบๆ ตัวที่แผกกันออกไป .. คงจะคล้ายกับที่พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมฝ่ายเราจึงดักดานนัก สอบกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็เพียรตกมันอย่างสม่ำเสมอ ไม่สำคัญว่าครูจะย้ำแล้วย้ำอีก ว่าสอบบทไหน เนื้อหาสำคัญอยู่ตอนใด บรรทัดใด เมื่อสอบเสร็จ ทั้งสองฝ่ายก็จะมานั่งอออยู่หน้าห้อง โดยฝ่ายเราจะมาสุ่มถามไถ่ไปตามข้อต่างๆ เพื่อลุ้นว่า วิชานี้เราน่าจะผ่านหรือไม่ และยิ้มรับคะแนนประเมินอันต่ำต้อยด้วยความภาคภูมิใจ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเขาจะนั่งแว่นเงาวับไต่สวนกันอยู่ยังอีกปีกหนึ่ง บนคะแนนประเมินปริ่มร้อย แต่กลับกลุ้มใจ ส่ายหัวเสียดายเพียงเศษคะแนนที่พลั้งพลาด ด้วยเพราะจำเลข พ.ศ.สลับ หรืออะไรก็ตามที่ไร้สาระสักอย่างราวเป็นเรื่องคอขาดบาดใหญ่ ..ไฟไหม้บ้าน

แหม .. โดนใจอย่างแรง อยากบอกว่าจากประสบการณ์ผ่านวัยเรียนมา มันจริงที่สุด  การจิกกัด สื่อโฆษณา อาจไม่ถึงขั้นดุเดือดเลือดพล่าน  แต่การ 'ไต่ไปบนเส้นแบ่ง' ก็เปรียบได้ว่าโดยรวมแล้วมันก็สร้างความถลอกปอกเปิกให้ได้แสบๆ คันๆ ให้ได้สะใจพอประมาณ หลายบทหลายตอนในเรื่องนี้นอกจากมันจะกินใจ บางทีมันก็ตลกร้าย ขอหยิบยกที่ตัวเองอ่านแล้วก็ให้นึกขำมาสักหน่อย

...คือ ถ้าจะให้ยอมรับตามตรง ผมว่าแลร่าพูดถูก อย่างน้อยก็ถูกตามบทบัญญัติของสังคมนี้ อันว่าหุ่นอย่างเธอ ที่มีโค้งเว้า ดูมีน้ำมีนวลดิบดีอยู่แล้วนั้น มันล้นเกินไป ไม่ใช่หุ่นอันเป็นที่นิยมของสมัยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่หุ่นอันเป็นที่ต้องการของคนไทยในสายงานโฆษณาอย่างผม ที่ฝากชีวิตแขวนไว้กับเวลาเพียงไม่กี่นาที รอจังหวะจะเข้าสะกดจิตผู้คนให้เป๋เข้าหาอะไรก็ตามที่เสนอขายอยู่ ดังนั้น เมื่อกระแส ของสังคม ชอบ แบน ยาว ขาว เกาหลี ผมก็จำเป็นต้องตอบโจทย์นั้นโดยการขนเอาสาวๆ ที่มีลักษณะดังกล่าวมาเกลี้ยกล่อมสังคมอีกที

กรรมจึงมาตกลงบนคนที่ไม่มีภาพลักษณ์ตามบทบัญญัติที่ว่านี้ ต่างพากันวิตกจริตคิดว่าตนกลายเป็นพวกผิดปกติ อ้วน คล้ำ ดำ ไทย ต้องพากันตะเกียกตะกายไปปรับแปลงรูปโฉมของตนให้สอดคล้องกับสมัย 

โดยส่วนตัวผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี

อย่าว่าแต่แลร่าเลย ให้เจนนิเฟอร์ โลเปซ เองก็เถอะ หากเกิดเป็นสาวไทยล่ะก็ ผมว่าป่านนี้เธอคงได้ตำส้มตำขายอยู่ที่ปั๊มไหนไกลๆ กรุงเทพฯ สักแห่ง เหตุอันเนื่องมาจากหุ่นสมส่วน ผิวมีสีสัน และหน้าตาสวยคม ไม่หมวยบาง และขาวพอ ที่จะได้แม้เพียงโอกาส, โอกาสเล็กๆ ที่จะก้าวขึ้นมาถ่ายแบบโฆษณา เพื่อไต่เต้าต่อไปสู่ดารา, สู่นักร้องเป็นเจ้าของไลน์เสื้อผ้าและน้ำหอม ที่แตกแบรนด์เล็กแบรนด์น้อยออกมาสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนจำนวนนับพัน ภายใต้ร่มหลักคาของชื่อเธอ

นี่กระมัง บทพิสูนน์ที่ว่า ในหมู่ลิง กล้วย มีค่าเหนือแก้วจริงๆ

และคุณเชื่อไหม ผมนี่แหละ คือลิงตัวใหญ่ ที่คอยปลุกปั่นกระแสให้ลิงฝูงนี้ดักดานอยู่กับกล้วยเหี่ยวๆ แบนๆ ผมสังหรณ์ใจเหลือเกินว่า หากเจนนิเฟอร์ โลเปซ เกิดเป็นคนไทยขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ ผมก็คงจะไม่แคล้วเป็นไอ้กร๊วกตัวนั้น ที่ปฏิเสธงานถ่ายโฆษณาของเธอเป็นคนสุดท้าย  สาเหตุอันทำให้เธอสิ้นหวัง กำลังใจ หันเหเข้าหาครกกับสาก ก้มหน้าตำส้มตำเลี้ยงชีพไปอย่างอับเฉา จนแห้งเหี่ยวตายไปในที่สุด 

แต่นั่น มันไม่ใช่เรื่องของผม อย่างน้อย มันก็ไม่เคยใช่เรื่องของผม แต่จู่ๆ วันนี้ ไอ้แจ่มเพื่อนรัก ได้ยกปัญหานั้นมาวางไว้กลางบ้านของผมแล้ว....

มีตอนหนึ่งที่ชอบมากเป็นพิเศษ กับความคมคายในหัวใจของเนื้อหาที่เรารู้สึกได้เอง มันแตกต่างจากการถูกยัดเยียดให้รู้สึก  ผาด พาสิกรณ์ เป็นนักเขียนอีกคนหนึ่งที่รู้สึกชื่นชมในแง่ของสำนวนภาษาที่ใช้ถ่ายทอด ความแยบยลที่อาจไม่ได้แสดงอยู่ในประโยคคำคมสั้นๆ เสมอไป แต่มันอยู่ในใจความ  ที่ได้สื่อผ่านเรื่องราวในแต่ละตอน

"นี่ไอ้ซ่า กูถามมึงจริงๆ เหอะวะ แหนะ คือกูชักห่วง มึงคิดยังไงวะ ถึงได้ปล่อยเด็กออกไปคนเดียว ค่ำๆ มืดๆ อย่างงั้นน่ะ?"

กังวานเสียงของกำนันที่ขรึมเครียดไปในสาย ย้ำผมให้ยิ่งตระหนักได้ว่า สิ่งที่ผมกระทำ หรือไม่กระทำลงไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกินสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ นี่ขนาดกำนันยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดว่า  ไอ้แจ่มกำลังหนีอะไร หรือหนีพวกไหนอยู่ มันยังมีกังวลถึงเพียงนี้

"กูบอกมึงตามตรงนะไอ้นัน" ผมตั้งสติ แล้วค่อยธิบายถึงเหตุ เหตุที่ผมเองก็อยากอธิบายออกมาชัดๆ เหมือนกันว่า ทำไมเมื่อคืน มันจึงมีรากฐานอยู่บนความถูกต้องดีงาม

"เด็กคนนี้มันเป็นสาวแล้ว กูไม่ได้หมายถึงสาวแบบเด็กสาวนะโว้ย คือมันเป็นสาว ผู้หญิงสาวน่ะ มึงเข้าใจไหม?" ผมพูดในหวังที่ว่าคำจำกัดความชุ่ยๆ ของผมจะทำให้กำนันเห็นภาพ

"อืม แล้วไง?"

"มึงลองคิดดูนะ ว่าบ้านกูน่ะ ผู้หญิงก็ไม่มี มีแต่กูเป็นผู้ชายคนเดียว สมมติว่าเด็กมันไม่ไว้ใจกูล่ะ ใช่มั้ย? ผู้หญิงคนไหนๆ ก็มีสิทธิ์กลัวกันได้ทั้งนั้น จะให้กูใช้อำนาจของผู้ใหญ่ไปบังคับเด็กให้เชื่อฟัง แล้วเก็บมันไว้เสียที่นั่น มันก็ไม่ถูกนะโว้ย"

"แหนะ แต่พ่อมันฝากมึงไว้นะไอ้ซ่า มึงลองคิดดูสิ ว่าถ้ามึงมีลูกสาว แล้วต้องเอาไปฝากเพื่อนเลี้ยง แล้วเพื่อนเสือกปล่อยปละละเลย ให้เด็กออกไปแท่ดๆ อยู่ข้างนอกน่ะ มึงจะสบายใจหรือเปล่า?"

"คงไม่" ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก

"ก็แหนะ"

"แต่แล้วหัวอกเด็กมันล่ะ"  ผมแย้ง ยังไม่ยอมล่าถอยเสียทีเดียว ด้วยเชื่อว่า ความคิดและความต้องการของเด็กก็มีน้ำหนักไม่แพ้ผู้ใหญ่เช่นกัน  "ถ้ามันไม่ไว้ใจกู ซึ่งจะว่าไปแล่ว มันมีสิทธิ์ที่จะไม่ไว้ใจเพื่อนพ่อคนไหนก็ได้ทั้งนั้น กระทั่งไอ้พวกมีเมียแล้วอย่างมึงเองก็เหอะ เด็กมันย่อมมีสิทธิ์ที่จะหาทางหลีกเลี่ยงและปกป้องตัวเองไม่ใช่หรือ?"

"อ้าว แล้วมึงตั้งใจจะไปปล้ำมันหรือเปล่าวะ?"

คำถามตรงๆ ของกำนันทำผมอยากด่ามันออกมาแรงๆ สาบานได้ว่าผมไม่เคยโฉบเฉี่ยวจินตนาการเข้าไปเลียบเคียงในความหมายของคำคำนี้เลย แต่ในขณะเดียวกัน ผมไม่สามารถจะพูดได้เต็มปากว่าแลร่าไม่ได้ทำผมใจหวิวไหวบ้างบางขณะ ซึ่งผมคิดว่า มันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย และนั่นเอง คือเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ เมื่อเธอเอ่ยปากว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลของเธอคืออะไร และดูเหมือนผมไม่แน่ใจเหตุผลของตัวเองเช่นกัน

"มึงถามกูอย่างงี้ได้ไงวะ ไอ้กำนัน"

"ก็แหนะ มึงก็ไม่ได้หมายใจจะเผด็จศึกลูกเพื่อน ซึ่งไม่ต้องบอกกูก็รู้ แต่ที่กูถาม เพราะกูอยากจะสอนมึงให้รู้ว่า นี่แหนะคือหน้าที่ของผู้ใหญ่  มึงต้องรู้สิวะไอ้ซ่า ว่าอย่างน้อย มึงคือคนคนหนึ่งที่จะไม่ทำให้ชีวิตของอีหนูมันมีอันตราย บ้านของมึงจึงเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับมัน ไม่ว่ามันจะคิด  จะเห็นเป็นตรงกันข้ามยังไงก็ตามแต่ มึงรู้คำตอบดีอยู่ เพราะฉะนั้นมึงต้องคิด ต้องตัดสินใจแทนมันไปก่อน แหนะ เขาถึงเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ ตามนิยาม, ผู้ใหญ่ที่สามารถปกป้องดูแลเด็กได้  แหนะ ขืนมึงปล่อยให้เด็กคิดเองทำเองตามความพอใจของมัน มันมิต้องร้องจะแดกช็อกโกแลตแทนข้าวทุกมื้อรึ .. นี่..มึงยังกูหรือรึเปล่าฮึไอ้ซ่า?"

ฟัง ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่ ที่เงียบสนิทเพราะนึกไม่ถึงว่าคนอย่างกำนันจะมีคำชี้แจงง่ายๆ มาอธิบายอะไรที่ซับซ้อนให้ผมเข้าใจภายในไม่กี่ประโยค อุปมาเถื่อนของกำนัน ทำผมตาสว่างขึ้นมาทันที จริงของมัน ผมเป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยผมต้องรู้ว่า แลร่าจะปลอดภัยที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ในความควบคุมดูแลของผม ไม่ใช่ปล่อยให้เธอล่องลอยออกไปเกะกะอยู่นอกบ้าน แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อบัดนี้ผมตระหนักดีแล้วว่า สิ่งที่ถูกที่ควรคืออะไร ปัญหาจึงมาตกอยู่บน วิธีการ ..ผมจะเกลี้ยกล่อมแลร่าอย่างไร

 

Credit Picture : //taktloss.deviantart.com/art/Panthera-tigris-altaica-129719165

เป็นหนังสือที่ชอบทีไร จัดยาวทุกที  ทั้งที่ยกมามากอย่างนี้ก็ยังไม่อิ่มใจ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ เพราะถ้าจะยกที่ชอบมาทั้งหมด ซื้อหนังสือแจกไปเลยคงจะดีกว่า Smiley  แล้วยังอุตส่าห์แอบหวังว่าที่เล่ามา คงจะเป็นการสปอล์ยไม่มากเกินไปนัก (ออกตัวตอนนี้ ช้าไปมั้ย?)  ยังไม่ได้ไปแตะประเด็นชื่อเรื่อง "เสือเพลินกรง"  เลยนะ  'เสือ'   'เพลิน'  และ 'กรง' ที่เชื่อว่าตัวเองเข้าใจ แต่ไม่อาจหาญจะตีแผ่ความคิด 'เข้าใจ' ของตัวเอง  มันเหมือนเป็นอะไรบางอย่างที่ต้องสัมผัสและอินเอาเอง จึงอยากแนะนำให้คุณลองอ่านและลองค้นหาคำตอบ เช่นเดียวกับคำว่า นวนิยายเพื่อชีวิตที่ติดบาร์โค้ด  คงต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณเองว่าจะให้ความหมายของมันในแบบไหน มันแค่ความหมายง่ายๆ ตรงตัว หรือมีความนัยแอบแฝง ส่วนจะเป็นความเข้าใจตรงกันกับเจตนาสื่อสารของคุณผาดหรือไม่ ใครจะไปรู้ได้

คงเหมือนคำว่าเพื่อน ที่เป็นความหมายในค่าแห่งคำไง 

เสือเพลินกรง ก็อาจเป็นความหมายในค่าแห่งการอ่าน ..ที่หากใครอยากรู้ ก็ต้องอ่านด้วยตนเอง

ชอบการตั้งชื่อตอนทั้ง  ๓๓ ตอน เพราะมันเป็นการตั้งชื่อที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ชื่อเรื่อง ไม่เชื่อ เจอนวนิยายเรื่องนี้ที่ไหนลองเปิดอ่านสารบัญดูได้  (ถ้าหนังสือมันเปิดปกได้น่ะนะ) 

ลำพังพลอตดี สำนวนเด่น คาแรคเตอร์ตัวละครโดนใจอยู่คนสองคน อาจไม่เพียงพอสำหรับจะใช้ขับเคลื่อนการอ่านนวนิยายเรื่องยาวที่มีความหนาถึง ๗๓๔ หน้า แต่เสือเพลินกรงมีสิ่งที่ช่วยให้อ่านต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน อ่านรวดเดียว วันเดียวจบ  สิ่งนั้นก็คือ ตัวละครทุกคน ถูกนำเสนออย่างเป็นตัวของตัวเอง มีคาแรคเตอร์ค่อนข้างชัด ซึ่งนอกจากเพื่อนในกลุ่มทั้งหก ไอ้ซ่า ไอ้แจ่ม ไอ้หมอ ไอ้กำนัน ไอ้ก่อง ไอ้เว  ยังมีตัวละครสำคัญอื่นอย่าง  แลร่า ที่อาซ่าบอกว่ามันไม่ใช่สาวแบบเด็กสาว แต่มันเป็นผู้หญิงสาว  ซึ่งความเป็นจริง (ในนิยาย) เธอก็ยังเป็นเพียงสาวน้อยวัย ม.ปลาย ที่แบกบุคลิกความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เกินกว่าเด็กสาวในวัยเดียวกัน อันมีผลมาจากวิถีการเติบโตมาอย่างคนไร้แม่ และมีพ่อเป็นคนอย่างแจ่มใส และเชื้อพ่อกับเชื้อแม่ก็แรงพอจะส่งผลต่อรูปร่างหน้าตาที่ทำให้แลร่า 'สวย' จนดูเป็นสาวกว่าเด็กสาววัยเดียวกัน  กิลเบิร์ต เจ้านายผู้เฉลียวฉลาด (แกมโกง) ที่แม้จะไก่เห็นตีนงู งูเห็นตีนไก่ แต่ธีรวัฒน์ก็จะต้องระแวดระวัง คิดตลบทบซ้อนเพื่อจะฉลาดให้ 'ทันกัน' ในทุกย่างก้าว จึงถูกใจในทฤษฏีการจับไม้สั้นไม้ยาวที่ใช้บรรยายเปรียบเทียบรูปแบบความสัมพันธ์ที่กินกันยากของเจ้านาย-ลูกน้องคู่นี้มาก   คุณอัจฉรา-ทิชากร เลขานุการคู่บุญของธีรวัฒน์ที่หลงรักบุคลิกชวนเยือกและชวนยิ้มของเธอเป็นพิเศษ   เคดี้-ลูกน้องในทีมที่พูดไทยไม่ชัด ชอบในความร่าเริงทะเล้นของเธอ  คุณภาวิณี-คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวของร้อยแก้วผู้เป็นเพื่อนสนิทของแลร่า คุณเล็ก-เนตรนภา ลูกค้าคนสำคัญของธีรวัฒน์ที่กำลังพยายามจะไต่อยู่บนเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับคนพิเศษ  พิสิษฐ์-เพื่อนนักเรียนไทยเพียงคนเดียวที่อยู่ร่วมรัฐร่วมสถาบันกับไอ้แจ่ม นักเรียนแลกเปลี่ยนบุคลิกเด็กเรียนที่ไอ้ซ่าเปรียบเปรยว่ามักจะมีรูปร่างหน้าตาเป็น "หลอดทดลอง" เหมือนๆ กัน หลังจากได้พบไอ้แจ่ม เส้นทางชีวิตของพิสิษฐ์ก็มีอันหักเหไปได้อย่างน่าซาบซึ้งเกินคาด   แม้แต่เจ้า สาณิต-สุนัขของแลร่า ก็ยังมีคาแรคเตอร์ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่น่ารักของมันเลย

อยากรู้จังว่าผู้อ่านท่านอื่นคิดอย่างไรกับตอนจบของเรื่องนี้ เพราะส่วนตัวแล้วชอบมาก คิดว่านี่เป็นการจบแบบ so cool (เจ๋งดีค่ะ)  มีหนึ่งคมความคิดที่โปรยไว้ก่อนเข้าสู่เนื้อเรื่องหน้าแรกและแค่อ่านผ่านตาไปเฉยๆ โดยไม่รู้สึกอะไร  อ่านเรื่องจบแล้ว จึงเพิ่งเข้าใจว่ามันคม 'กริบ' และแฝงอารมณ์ขันแบบตลกร้ายอย่างไรเมื่อได้วกกลับมาอ่านอีกครั้ง

"We are what we pretend to be, so we must be careful about what we pretend to be." (Kurt Vonnegut)

"หนูไม่ใช่ไอ้มดแดง อย่าโดดลงมาลูก" --หนูทิม นิยมนา (พี่เลี้ยงของผม)

และสุดท้าย ก่อนจบบล็อกยาวๆ บล็อกนี้ ขอฝากไว้ซึ่งคำคมของไอ้แจ่ม ลูกผู้ชายที่ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เลือกกระทำ

"ชีวิตมีไว้ให้ใช้เว้ยไอ้ซ่า อย่ามัวมานั่งคิดหาวิธีใช้อยู่"

 แหนะ (เลียนแบบกำนัน) ใช้ชีวิตของคุณซะ อย่ามัวแต่เพลินกรง

 

 

 




Create Date : 23 กันยายน 2556
Last Update : 26 กันยายน 2556 13:02:45 น. 1 comments
Counter : 2730 Pageviews.

 
เรื่องนี้นานมาหลายปีแล้วเหมือนกัน
จำได้ว่าชอบตัวละคร แจ่มใสมาก ...ส่วนพระเอกนี่เฉย ๆ

ก็เป็นอะไรที่แปลกดี นะคะ สำหรับนิยายเล่มนี้ แต่ในบางมุมมอง ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบมาบ้าง เราว่าบางความคิดของผู้เขียนเหมือนยังไม่เปิดกว้างเท่าไรค่ะ


โดย: Serverlus วันที่: 24 กันยายน 2556 เวลา:8:35:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.