Group Blog
 
All blogs
 
พรมแดน - อัสสะลามุอะลัยกุม ขอสันติจงมีแก่ท่าน_ วสิษฐ เดชกุญชร

พรมแดน : วิสิษฐ เดชกุญชร
พิมพ์ครั้งที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗    สำนักพิมพ์มติชน


เส้นแบ่งทุกสิ่งในโลกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
และเราไม่เคยมองเห็นมัน คืออคติในหัวใจ

“เราอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า พรมแดน เป็นอาณาเขตที่มนุษย์สมมติขึ้นเพื่อความสะดวกในการปกครอง  สมมตินี้แบ่งเราออกเป็นประเทศไทย เป็นมาเลเซีย เป็นอินโดนีเซีย และอื่นๆ  ถ้าเราหลงสมมติ เราก็อาจจะลืมว่าแท้จริงเราเป็นมนุษย์ที่รู้จักรัก รู้จักเมตตาและกรุณา แล้วเราก็อาจจะรังแกกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากันเหมือนสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าเราไม่หลงสมมติ เราก็จะไม่ตกเป็นทาสของพรมแดน และจะสามารถคงความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้ ‘ขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญในธรรม’ คือคำสอนของรอซูล หรือศาสนาทูต และคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของทั้งสองท่านนั้น สอดคล้อง ไม่ขัดแย้งกันและจะทำให้ท่านสามารถข้ามสมมติคือพรมแดนไปได้ ไม่ถูกพรมแดนแบ่งเราออกจากกัน”



อิสลาม พุทธ  ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ความรักของพุทธกับมุสลิม

นี่คือ "พลอตในฝัน" ที่รอมานาน

หลายปีผ่านมาที่เหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้น  ในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุขและรับรู้เรื่องเหล่านั้นจากเพียงข่าวทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ มันเหมือนเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการรับรู้ที่ไม่ได้ช่วยทำให้เข้าใจอะไรมากนัก ความต่างศาสนา ความต้องการแบ่งแยกดินแดน มีประวัติศาตร์ รากเหง้าความเป็นมาอย่างไร  ทำไมต้องเข่นฆ่ากันถึงขั้นนั้น ไม่เลือกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้เป็นคนศาสนาเดียวกัน  ความโหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ ท่ามกลางความไม่สงบ ณ ปลายด้ามขวาน   เจ้าหน้าที่ต้องทำงานแบบไหน ประชาชนในพื้นที่เขาใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร ด้วยความรู้สึกแบบไหน  เราอยากจะรู้มากจริงๆ  และคิดว่าคงจะดี ถ้าจะมีใครจะหยิบยกเรื่องราวเหล่านี้มาเขียนในรูปแบบนิยาย 



รอพลอตในฝัน  รออย่างอดสงสัยไม่ได้ว่า ใครกันหนอ จะหาญกล้านำปัญหาความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเป็นฉากในการเขียนนิยายเรื่องยาว ที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยมีมาให้อ่าน  เพราะมันยากเกินไปหรือเปล่า คงต้องเป็นฝีมือระดับชั้นครู แล้วชั้นครูคนไหนกันล่ะที่จะสนใจเขียนเรื่องเปราะบางอันสุ่มเสี่ยงกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้ขึ้นมา 

จึงไม่ได้คาดหวังอะไรนักกับสิ่งที่เรียกว่า "พลอตในฝัน"  เพราะการจะเขียนถึงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องพาดพิง "ศาสนา" ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน..มีความอ่อนไหวสูงต่อความรู้สึกของผู้คน   เหล่านี้คือศรัทธา หลักธรรมคำสอนแบบพุทธ  เหล่านี้คือศรัทธา คือบทบัญญัติ หลักคำสอนของอิสลาม  มันคงเป็นเรื่องยากจะเขียนจริงๆ แต่ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร นอกจากจะเขียนเรื่องศาสนาได้อย่างดีงามแล้ว ยังได้แสดงความคิดเห็นต่อนโยบายการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล  การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ  บทบาทการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน  การเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา ที่ได้ถ่ายทอดผ่านมุมมองความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร   จากที่เคยแค่หวังว่าจะมีนิยายรักที่มีพระเอกเป็นเจ้าหน้าที่มีอุดมการณ์ เสียสละอุทิศตนอย่างกล้าหาญเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาของประเทศ  ก็คงจะเพียงพอ ไม่ขอโลภมาก  แต่พรมแดนกลับให้มากกว่าที่หวังมากนัก 

เคยคิดว่าเมื่อเป็นพลอตในฝันย่อมยากจะเป็นความจริง ...

ดังนั้น พอได้เห็นหนังสือเล่มหนาปึ๊กสะดุดตา  "พรมแดน-วสิษฐ เดชกุญชร" 

พลิกอ่านหลังปกเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเรื่องความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

เท่านั้นแหละค่ะ แทบจะมือไม้สั่นควักหนังสือออกมาจากชั้นวางขายด้วยความตื่นเต้น

พลอตในฝัน จากนามผู้แต่ง วสิษฐ เดชกุญชร  

ไม่จำเป็นต้องมีความลังเลแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเรื่องของความหนา ๘๖๓ หน้า หรือราคา ๔๗๐ บาท เพราะในวินาทีนั้นรู้สึกเลยว่ากำลังหยิบงานวรรณกรรมมีค่ามาไว้ในมือ 

ว่าแต่นิยายเรื่องนี้พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ แล้วเราไปอยู่ที่ไหนมาไม่เคยเห็นเลยล่ะหนอ ..Smiley




แนะนำตัวละครคร่าวๆ 

ร้อยตำรวจเอก (ร.ต.อ.) ตารณ ยังชีพชอบ  หรือ "โทน" บุตรชายเพียงคนเดียวของพ่อแม่ พลเอกตามพ์ ยังชีพชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก  กับ พ.อ. (พิเศษ) แพทย์หญิง รมณีย์ ยังชีพชอบ  เรียกว่าพระเอกมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีมาก การศึกษาก็ดีเพราะเป็นนักเรียนโควต้าของกรมตำรวจ จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วยปริญญารัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) รับราชการและได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา จบปริญญาโทด้าน Criminal justice ก่อนกลับมารับราชการต่อ   การเป็นลูกคนใหญ่คนโตนั้นมีทั้งคุณและโทษ สำหรับตารณที่ไม่เคยปรารถนาจะใช้ประโยชน์ใดจากยศตำแหน่งของผู้เป็นพ่อมาส่งเสริมความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน   แต่ถึงจะไม่ใช้ หากทำความดีความชอบอะไรแล้วได้รับความก้าวหน้า ก็คงจะหนีไม่พ้นคำครหา

พลเอกตามพ์ พ่อของตารณ ได้ชื่อว่า "แข็งยิ่งกว่าเหล็ก ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด  " และมักจะมีส่วนแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์การเมืองที่เกี่ยวข้องกับการทหารให้สำเร็จด้วยดีเสมอ  พลเอกตามพ์เป็นที่ยกย่องนับถืออย่างสูงและกว้างขวางในวงการทหารนานาชาติ  แต่ไม่อาจจะขึ้นไปสู่ตำแหน่ง ผบ.ทบ. เพราะความแข็ง ความตรงที่ว่านี่แหละที่ทำให้เขา เป็นหมาหัวเน่าของรุ่น หรือจะว่าเป็นหมาหัวเน่าของ ท.บ. ก็ว่าได้  แม้แต่การขึ้นไปสู่ตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ทบ  ก็ไม่ได้เป็นที่ปรารถนาของผู้บังคับบัญชา มิได้เป็นที่คาดหมายของสื่อ แต่เป็นความต้องการโดยเฉพาะของนายกรัฐมนตรี  

พ.อ.พ.ญ. รมณีย์  หัวอกคนเป็นแม่ ย่อมรักและห่วงใยลูก คอยตักเตือนให้สติแต่ก็ไม่ก้าวก่าย ให้อิสระ และเคารพในการตัดสินใจของลูก  ไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกของตนต้องไปใช้ชีวิตปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงอันตราย แต่แม่ที่รักและเข้าใจ ก็ไม่อาจบังคับห้ามปรามได้ หากเป็นความต้องการของลูก  ได้แต่เฝ้าห่วงใยและรอคอยอยู่เบื้องหลัง

การสูญเสียคนรัก "วิมพ์วิภา"  จากเหตุการณ์สึนามิถล่มที่พังงา ทำให้ตารณทุกข์ระทมด้วยความเสียใจ ดื่มหนักด้วยหวังจะถ่วงทุกข์ลงในแก้วเหล้า ตกอยู่ในสภาวะหมดอาลัยตายอยากในชีวิตและงานราชการ    ซ้ำเติมด้วยข่าวการเสียชีวิตของ นาบดาบตำรวจประหาณ หริป้อง จากการปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองครูและนักเรียนที่ภาคใต้  นายดาบคนนี้เคยเป็นครูฝึกพลร่มของตารณ  และยังรู้จักมักคุ้นกันดีกับครอบครัว การเสียชีวิตของคนที่มีความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้น เป็นความเศร้าสลดที่แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นลึกและรุนแรง

"สมเด็จจิตรลดา" พระที่ในหลวงพระราชทสยให้นายดาบตำรวจประหาณ ได้ถูกส่งมอบให้กับตารณตามคำสั่งเสียของเขา  ราวกับเป็นการส่งมอบปณิธาน "ทำงานเพื่อชาติ"   เพราะหลังจากนั้นไม่นานตารณที่เคยเห็นสถานการณ์ภาคใต้เป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก กลับกลายเป็นเห็นความสำคัญขึ้นมา และเกิดความรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ 



ตารณ ทำเรื่องขอย้ายตัวเองไปยังนราธิวาส เพื่อสังกัดกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๔๔๖   ตำแหน่งที่เพิ่งว่างลงเมื่อ ผู้บังคับการกองร้อย  ร.ต.อ. นายหนึ่งพึ่งได้ย้ายออก ทั้งที่ไม่มีเหตุอันสมควรให้ย้าย  แต่การอนุโลมให้ย้ายอย่างไม่งามนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยเส้นสายของอิทธิพล 

กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๔๔๖ เป็นกองร้อยต้นสังกัดของนายดาบตำรวจประหาณ หริป้อง ครูฝึกผู้มอบสมบัติล้ำค่าในชีวิตให้กับเขา  "สมเด็จจิตรลดา" ที่ได้รับพระราชทานมาจากในหลวง

การมีคนอาสาย้ายไปยังพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยสมัครใจนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บังคับบัญชาจะอยากปฏิเสธ  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผลีผลามอนุมัติให้  เพราะตารณคนนี้เป็นลูกชายคนเดียวของ ผู้ช่วยผบ.ทบ. เชียวนะ  พ่อของเขาจะว่าอย่างไร ถ้าส่งลูกชายคนเดียวถูกส่งไปยังพื้นที่เสี่ยงตาย



แต่สุดท้ายตารณก็ได้ไปรายงานตัวต่อผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค ๔ จังหวัดสงขลา และรายงานต่อไปยังผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๔๔ จังหวัดยะลา ที่ๆ เขาได้พบกับ "รองผู้กำกับการฯ" คนนั้นเป็นครั้งแรก  

ผิวดำเหมือนมีเชื้อนิโกร ร่างสูง แต่ผอมเหมือนคนอมโรค ริมฝีปากซีด ได้กลิ่นทั้งบุหรี่และเหล้า กับดวงตาคู่นั้นที่สะดุดตาและสะดุดใจ มันอาจมีสีแดงเนื่องมาจากฤทธิ์สุราเมมัย แต่มันคมและมีประกายกล้าเหมือนตาเหยี่ยว 

"เหตุผลของคุณที่สมัครใจมาเป็นผู้บังคับการกองร้อยที่ ๔๔๖ จะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ผมจะบอกให้ว่าถ้าคุณตั้งใจมาทำงาน ถ้าคุณตั้งใจจะโชว์ฝีมือ  คุณจะเจองานที่หนักที่สุดในชีวิตของคุณ หนักจนคุณอาจจะเอาชีวิตไม่รอด"

"แต่ถ้าคุณไม่คิดจะอวดฝีมือ ไม่คิดว่าราชการเป็นเรื่องสลักสำคัญแก่ชีวิตคุ หรือชีวิตคนอื่น ถ้าคุณคิดว่าความสุขส่วนตัวของคุณสำคัญที่สุด เหนือความสุขของสัตว์อื่น แล้วคุณใช้ฝีตีนแทนฝีมือ ผมจะบอกให้ว่างานของคุณจะเบาอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากคุณจะปลอดภัยและเอาชีวิตรอดได้แล้ว คุณยังอาจจะก้าวหน้าในราชการ และร่ำรวยกลับไปในระดับเศรษฐีเสียด้วย"

"ผมไม่ได้มาเพื่อความสุขส่วนตัว" ตารณรู้ว่าเสียของเขากระด้างโดยไม่ได้ตั้งใจ "และผมไม่เคยคิดจะเป็นเศรษฐี" 

"ถ้ายังงั้นคุณมาทำไม?"  ตาเหยี่ยวคู่นั้นจับจ้องตาของตารณ เหมือนมองดูเหยื่อ 




พันตำรวจตรี (พ.ต.ท.)  เลอมาน ไตรพิทย์พิชาน รองผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนค่ายพญาลิไท กองกำกับการที่ 44  จังหวัดยะลา   เป็นบุตรของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่เกิดในเมืองไทยแต่ไปโตเมืองนอก ตอนเรียนอยู่ในระดับไฮสกูล พ่อของเขาเสียชีวิตลง เลอมานจึงไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย และไม่ได้ตามแม่ของเขากลับมาเมืองไทย แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ เป็นกุ๊ยอยู่ระยะนึง ก่อนที่จะได้พบกับแรงบันดาลใจบางอย่างที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับมาเมืองไทย สมัครเป็นตำรวจ ได้บรรจุยศเป็นตำรวจในตำแหน่งลูกแถวอัที่ต่ำที่สุดในทำเนียบราชการตำรวจ  กว่าตำรวจไร้ปริญญาคนนี้จะขยับมาอยู่ในยศ พ.ต.ท. และตำแหน่งรองกำกับการฯ นั้น เขาต้องผ่านความทุกข์ใจขมขื่น และเต็มไปด้วยความผิดหวัง (ดราม่าเลยล่ะ)

อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าเลอมานจะไม่ขยับในหน้าที่ราชการมากไปกว่านั้น  ด้วยเขาเป็นคนลึกลับ มีภาพลักษณ์เหมือนเพลบอยที่ตำรวจด้วยกันไม่ค่อยเลื่อมใส ถูกใครๆ  เหยียดหยามว่าเป็นตำรวจขี้เมาหยำเป   จะมีใครสักคนที่รู้จักเลอมานจริงๆ ว่าเนื้อในของคนตัวดำคนนี้ดั่งพระสังฆ์รูปทอง ความเจนจัด รอบรู้ ฉลาดแหลมคม ควรจะมีค่าสุดประเมินต่อกรมตำรวจ แต่กลับไม่มีใครมองเห็น และแม้จะดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด แต่เลอมานคนนี้ฟังเพลงคลาสสิค พกหนังสือ "คู่มือมนุษย์" ของท่านพุทธทาสติดตัว ใช้ธรรมะปฏิบัติให้มีสติและเยือกเย็นอยู่เสมอ 

ด้วยลักษณะความขัดแย้งดังกล่าวในตัวของเลอมาน เขาจึงเป็นตัวละครที่ ชอบมากที่สุด 



ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ราชิดา มาลิกมูล อาจารย์สอนด้านสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี  ดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบอร์กลีย์ เติบโตมาจากครอบครัวมุสลิมที่เคร่งครัด มีความรู้เรื่องศาสนาอิสลามเป็นอย่างดี และเคยไปเรียนที่ซาอุดิอาราเบีย การศึกษาคัมภีร์กุรอาน ศึกษาด้านศาสนาจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้อาจารย์ราชิดามีความเข้าใจในปัญหาที่กำลังเกิดกับมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอยู่ในกลุ่มที่อยากจะเห็นความสงบกลับคืนมา   ราชิดาเป็นอาจารย์ที่มีความสามารถ ความรู้และความเข้าใจในด้านศาสนาของเธอ มีประโยชน์อย่างมากในการเผยแพร่อิสลามอันแตกต่างไปจากแนวคิดของกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ







"ไม่ว่างานของคุณจะมากหรือหนักแค่ไหนก็ตาม ผมอยากให้คุณศึกษาเรื่องศาสนาอิสลามอย่างจริงจัง ......"

"อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากให้คุณทำ และทำทันทีเหมือนกัน คือเรียนภาษามลายู......."

"คุณต้องเรียนศาสนาอิสลาม และเรียนภาษามลายู ไม่ใช่แต่คุณเท่านั้น กองร้อยของคุณ โดยเฉพาะหมวดที่มาจากภาคอีสานก็ต้องเรียนด้วย ถ้ามิฉะนั้นคุณจะรบกับสงครามครั้งนี้อย่างคนตาบอด มองไม่เห็นข้าศึก หรือเห็นก็นึกว่าไม่ใช่ข้าศึก ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ คุณจะเห็นมิตรที่เป็นมุสลิมเป็นศัตรูไปหมดด้วย" 

จากที่เคยพบกันครั้งแรก ท่าทีของราชิดาเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตารณก็ตัดสินใจที่จะเชิญเธอมาเป็นอาจารย์ในโครงการอบรมให้ความรู้เรื่องศาสนาอิสลามแก่ตำรวจในกองร้อยของเขา   

สำหรับกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ การแสดงความมิตรกับเจ้าหน้าที่และเผยแพร่ศาสนาอิสลามที่ขัดต่อความเชื่อของกลุ่มขบวนการฯ ถือเป็นการฝืนพระบัญชาของอัลลอฮ. และสนับสนุนการรุกรานของศัตรูนอกศาสนาที่เธอจะต้องได้รับการลงโทษ 



การข่มขู่คุกคามทำให้ ราชิดาไม่มีทางเลือกมากนัก การเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีความรู้ความสามารถ เป็นได้ทั้งแนวร่วมสำคัญและศัตรูสำคัญ   ขึ้นอยู่กับการเลือกว่าจะสนับสนุนเข้าร่วมเป็นสมาชิก  หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อต้าน ทางหนึ่งคือการให้ความร่วมมือต่อขบวนการที่เข่นฆ่าชีวิตผู้คน  อีกทางหนึ่งนั้นคืออันตรายถึงชีวิตของตัวเธอเอง ครอบครัวและคนรอบข้าง  และเธอต้องการทางออก

พระภวัต    พระสงฆ์หนุ่มจาก กทม. ท่านผู้สมัครใจย้ายไปจำวัดอยู่ที่สำนักสงฆ์สันติวนาราม อ.จะแนะ จ. นราธิวาส หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดป่าจะแนะ  วัดนี้เคยมีพระอยู่สองรูป แต่เพิ่งกลายเป็นวัดเปล่าไร้เงาผ้าเหลืองพระ  เพราะพระรูปหนึ่งถูกยิงถึงมรณภาพ พระอีกรูปก็ทิ้งวัดหนีไปอยู่ที่อื่น (จะอยู่ต่อไปไย) 

"แล้วท่านจะไปทำไมล่ะครับ มันอันตรายไม่ใช่หรือ"

"เพราะเมื่อเป็นวัด ก็ควรจะมีพระอยู่"

คำตอบสั้นๆ แต่กินความหมายลึกล้ำ กว้างขวาง ทำไมวัดจึงควรจะมีพระอยู่ ?  
บทบาทของพระภวัตที่มีทั้งหมดในนวนิยายเรื่องนี้  คือ คำตอบ 

โต๊ะครูยาซิม ศาสนาอิสลามไม่มีพระ แต่มี "โต๊ะครู" ผู้รอบรู้คัมภีร์กุรอานและสอนศาสนาอิสลาม มิตรภาพความสัมพันธ์ของโต๊ะครูยาซิม และพระภวัต เป็นเรื่องน่าประทับใจอย่างหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ 




ร้อยตำรวจตรี ( ร.ต.) อมาตย์ ปิณฑ์หัตถสรรค์ มุสลิมหนุ่มจากจังหวัดอ่างทอง จบนิติศาสตร์ แต่สมัครมาเป็นตำรวจ และยังสมัครใจย้ายมาเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  เขาเป็นมุสลิมที่ศรัทธาและเคร่งครัดต่อการปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม  แต่เขาเป็นตำรวจที่ต้องทำหน้าที่จับกุมและปราบปราม ซึ่งคนที่เขาและพวกตำรวจจับกุมและปราบปรามส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เขาจึงถูกหมายหัว ...ในฐานะศัตรูของมุสลิม 

นายพลตำรวจโทอังกศ อาโลกฤทธิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๙  ทั้งยังเป็นรองผู้อำนวยการ ของ กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กอ.สสส.จชต ) และเป็นผู้บังคับศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้า (ผบ.ศปก.ตร.สน.)  โดยตำแหน่งหน้าที่นี้ เขาจึงเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของฝ่ายตำรวจในการ "เสริมสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้"   บทบาทในนิยายมีไม่มาก แต่เท่าที่มีก็แสดงถึงอุปนิสัยใจคอของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ 




พรมแดน เป็นนิยายสะท้อนปัญหาบ้านเมืองที่มีสาระจริงจัง  อ่านเพียงไม่กี่หน้าก็รู้เลยว่าไม่จำเป็นจะต้องคาดหวังเรื่องของความรักหนุ่มสาวเอาสนุกดราม่าโรแมนติกก็ได้  แต่เรื่องของความรัก ... ก็มี   และมีเกินกว่าจะคาดหวังเสียด้วยซ้ำ อาจจะรู้สึกว่าน้อย เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ทำให้พระเอกนางเอกไม่ค่อยได้พบกัน แต่อุปสรรคที่เป็นประเด็นความรักของคนต่างศาสนา พุทธ กับ มุสลิม ก็มีน้ำหนักมากพอจนไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าเป็นนิยายที่ความรักไม่เน้น  เพราะความรักของราชิดากับตารณ ถือเป็นส่วนที่สำคัญของนิยายเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

"ราชิดา เวลานี้ผมรู้อย่างเดียว คือรู้ว่าผมรักราชิดา รักอย่างที่ผู้ชายรักผู้หญิง ในความรักแบบนี้ เราต้องแต่งงานกัน อยู่ร่วมกัน ร่วมชีวิต ร่วมสุขและร่วมทุกข์ ผมพร้อมที่จะประกาศหรือแสดงตัวเป็นมุสลิม เพื่อให้เราได้แต่งงานและอยู่ด้วยกัน ผมไม่สนใจว่าใครๆ แม้แต่คุณพ่อและคุณแม่ของผมจะนึกว่ายังไง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพราะการแต่งงานของเรา หรือเพราะการเปลี่ยนศาสนาของผม ผมพร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อบัญญัติหรือหลักของศาสนาอิสลาม ไม่ว่ามันจะเข้มงวดดุเดือด และจะทำให้พฤติกรรมของผมเปลี่ยนแปลงไปยังไง ผมจะเลิกกินหมู ผมจะลุกขึ้นทำละหมาดกับคุณวันละห้าครั้ง ผมยินดีจะอดข้าวอดน้ำตลอดเดือนรอมฎอน และผมเต็มใจแม้แต่ที่จะไปทำฮัจญ์ที่เมือมักกะฮ. ขอเพียงอย่างเดียว ขอให้เรา  ขอให้ราชิดากับผม ได้มีชีวิตอยู่ด้วยกัน เป็นคู่ผัวตัวกันโดยถูกต้อง"

"ตารณคะ คุณกำลังหล่อยอารมณ์ครอบงำคุณ ราชิดาคิดว่า คุณยังไม่ได้คิดหรือพิจารณาเหตุผลตามที่ราชิดาบอกเลยว่าถ้าเราแต่งงานกัน จะโดยตารณเปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลม หรือโดยราชิดาทิ้งอิสลามก็ตาม ปัญหาที่จะตามมาจะร้ายแรงและสลับซับซ้อนเพียงแค่ไหน ตารณอย่าเพิ่งตัดสินใจอะไรในขณะนี้ได้ไหมคะ"



ปัญหาที่จะตามมานั้น ได้ถูกทำให้เห็นภาพเลย .. การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเปลี่ยนศาสนาของตน ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย  โดยเฉพาะถ้าเรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนความเชื่อความศรัทธาในหัวใจที่จะมีผลต่อวิถีปฏิบัติและการดำเนินชีวิต ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนที่สักแต่ว่าเปลี่ยน 

เพิ่งสร้างว่านิยายเรื่องนี้ ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ใช้ชื่อว่า  ปิตุภูมิ (Fatherland) เห็นการแคสติ้งนักแสดงแล้วปลื้มใจมาก  เวียร์ -ศุกลวัฒน์ ดูดีมากในชุดตำรวจตระเวนชายแดน ใหม่-ดาวิกา ก็เหมาะมาก สวยมากภายใต้ผ้าคลุมศรีษะแบบสาวมุสลิม และที่ปลื้มใจสุดๆ คือ อนันดา เอเวอริ่งแฮม ในบทบาทของตัวละครที่เราชอบมากที่สุดในเรื่อง เสียดายแต่ว่า ไม่มีโอกาสได้ดู เพราะหนังเรื่องนี้จะไม่ได้ฉายในประเทศไทย ผู้กำกับต้อมยุทธเลิศ ประกาศการไม่ฉายไปตั้งแต่ปี ๑๕๕๖ แล้วค่ะ แต่เราเพิ่งรู้เรื่องกับเขานี่แหละ ดังนั้นจึงพยายามหาภาพที่หาได้จาก google มาเก็บไว้เป็นที่ระลึก




พล.ต.อ. วสิษฐ ให้สัมภาษณ์ในรายการคิดหว่างบรรทัด  ๑๘ มกราคม ๒๕๕๘

..........การที่เราจะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่งนั้น  สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกในการเขียนคือวินัย การรับผิดชอบต่องานของตนที่ได้รับมอบหมายและทำมันออกมาให้ดีที่สุด การจะเขียนหนังสือได้จะต้องมีความรู้ในด้านการใช้ภาษาอย่างสมบูรณ์ที่สุด การหาข้อมูลที่ละเอียดถูกต้องชัดเจน  ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำให้นวนิยายเล่มนั้นให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  ข้อมูลที่จะนำมาเขียนนั้นหากไม่ตรวจเช็คให้ดีซะก่อน ก็อาจเป็นภัยต่อตนเองได้เช่นกัน เพราะผลเสียที่ตามมานอกจากข้อมูลนั้นจะผิดพลาดแล้ว  ตัวผู้เขียนเองก็จะเสียภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือไปด้วย  


 สำหรับนวนิยายเรื่องพรมแดน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร บอกว่า เมื่อเขียนจบแล้วจะต้องทบทวนใหม่ทุกครั้ง เพื่อหาข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้  โดยนวนิยายพรมแดนนี้อจะสื่อ เรื่องราวสะท้อนของปัญหาชายแดนภาคใต้ที่มีการขัดแย้งกัน การสมมติตัวละครขึ้นมาเพื่อจะบ่งบอกให้เห็นถึงพรมแดนความแตกต่างกัน  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธหรือว่าอิสลามก็สามารถเข้าใจและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้

เมื่อถามถึงเสียงตอบรับจากผู้อ่าน มีการโต้แย้งกลับมาหรือไม่ พล.ต.อ.วสิษฐ ตอบด้วยเสียงหนักแน่นว่า ไม่มีใครโต้แย้งว่ามีข้อมูลใดที่ผิดพลาด มีคำชื่นชม ความพอใจ และยังบอกว่า บางข้อมูลที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ในเล่มนี้ มุสลิมเองยังไม่รู้ก็มี ซึ่งขณะเขียนเรื่องนี้ ยอมรับว่า ต้องหาข้อมูลโดยละเอียด ต้องอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน และพูดคุยกับเพื่อนๆ มุสลิม

 “หลายคนจะถามมาว่า ตัวละคร ทั้ง อ.ราชิดา และ นายตำรวจในเรื่องมีตัวจริงหรือไม่ ผมก็บอกว่าไม่มีหรอก แต่ก็มีบ้างที่นำเอานิสัยใจคอมาจากคนโน้นคนนี้ มา” พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว พลางหัวเราะ

นอกจากนี้ นวนิยาย พรมแดน ยังได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ กำกับโดย คุณต้อม-ยุทธเลิศ สร้างจนเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ออกฉาย เพราะเจ้าของภาพยนตร์เกรงจะกระทบกระเทือน แต่ พล.ต.อ.วสิษฐ ยืนยันว่า ในฐานะที่เป็นคนเขียนนวนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่า จะไม่กระทบกระเทือน แต่จะเป็นคุณกับทุกฝ่าย สร้างความเข้าใจได้ ..........

และ พล.ต.อ.วสิษฐ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดตามว่า อยากให้ทำความเข้าใจในปัญหาชายแดนภาคใต้ ว่าพฤติการณ์ของผู้ก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุทุกวันนั้นไม่ใช่มุสลิม เป็นพฤติการณ์ของคนนอกศาสนา หรือคนที่อาศัยชื่อศาสนามาเฉยๆ เพราะหาใครศึกษาจริงๆ จะรู้ว่า ศาสนาอิสลามไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่เป็นประโยชน์เช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ หากเราไม่เข้าใจก็จะเกิดการปรักปรำแบบเหมา ส่วนตัวหวังว่าเรื่อง พรมแดน จะทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ... (ที่มา: บทความ พรมแดน นวนิยายจากปลายปากกา พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร โดยจักรพันธุ์ พุ่มศรี mcot-web.mcot.net )


"พรมแดน"  อ่านแล้วเกิดความเชื่อเลยว่า คนที่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ ส่วนใหญ่น่าจะรู้สึกยอมรับต่อหนทางการข้ามผ่านพรมแดนความขัดแย้ง  รู้สึกว่ายังมีความหวังว่าสันติสุขจะคืนกลับมาในสักวันหนึ่ง เรื่องจริงๆ เป็นอย่างไร เป็นเรื่องการเมือง อิทธิพลผลประโยชน์อื่นใดของใคร แอบแฝงอยู่ในเบื้องลึกอันสลับซับซ้อนเราคงไม่อาจจะรู้ได้  แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะรู้ คือ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นมุสลิม 

นอกจากจะทำให้รู้เกี่ยวกับอิสลามขึ้นมากแล้ว ยังทำให้ตัวเราตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของศาสนาของเราเอง ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจคือ เราเข้าใจศาสนาพุทธ และเราเป็นชาวพุทธจริงๆ แล้วหรือยัง

ส่วนตัวแล้วคิดว่า ควรอย่างยิ่งที่นิยายเรื่องนี้จะเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเยาวชน  เราไม่ได้มองว่านิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องของปัญหาภาคใต้เท่านั้น  แต่มองว่าเป็นเรื่องของการเคารพในความแตกต่าง ในที่นี้คือความต่างศาสนา  แต่หากจะประยุกต์ "ความรักความเมตตา" ไปถึงความแตกต่างอื่นๆ ก็คงจะคล้ายคลึงกัน ทำความเข้าใจคนอื่นที่ต่างจากเรา ยอมรับและเคารพในความเป็นเขา แล้วในท่ามกลางความแตกต่าง คนเราก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข  

"อัลลอฮุอักบัรฺ อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺทรงยิ่งใหญ่ ) 

 ลาอิลาฮะอิลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) "

"อรหังสัมมาสัมพุทโธภควา (พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง)

พุทธังภควันตังอภิวาเทมิ (ข้าพเจ้าขออภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"

สิ่งที่เห็น-การแต่งกาย สิ่งที่ได้ยิน-ภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง สิ่งที่ศรัทธาพระเจ้าคนละองค์ ล้วนเป็นสิ่งสมมติที่เราสร้างขึ้นในหัวใจด้วยกันทั้งสิ้น  และสิ่งเหล่านั้นก็ถูกนำมากล่าวอ้างเป็นเหตุชนวนแห่งความขัดแย้ง และการปลิดชีวิตกันไม่เว้นแต่ละวัน 

หารู้ไม่ว่าตรงกลางฮิญาบ หากมองให้ดีจะเห็นดวงตาใสบริสุทธิ์ไม่ต่างกัน พื้นที่กลมๆ เล็กๆ นั้นอยู่นอกเหนืออาภรณ์ ภาษา หรือศาสดาองค์ใด เป็นพื้นที่แห่งเดียวของมนุษย์ที่ไม่เคยปิดบัง  ขอเพียงเราเปิดใจให้กัน เข้าใจกัน เคารพกัน ให้เกียรติในความแตกต่าง สันติสุขย่อมเบ่งบานขึ้นมาได้  (ที่มา : คำนำสำนักพิมพ์มติชน) 

พรมแดน  ... คือนิยายดีงามที่ยกขึ้นหิ้งไปแล้วเรียบร้อย  Smiley

ขอขอบพระคุณ  พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร ที่ได้เขียนนิยายดีๆ เรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสังคม

















Create Date : 22 กรกฎาคม 2558
Last Update : 22 กันยายน 2558 20:24:51 น. 5 comments
Counter : 7320 Pageviews.

 
มีอยู่ในกองดองแล้วค่ะ
ชอบอ่านงานของคุณวสิษฐ์ อยู่แล้ว


โดย: Serverlus วันที่: 22 กรกฎาคม 2558 เวลา:19:39:31 น.  

 
น่าดูมากกกกก


โดย: PZOBRIAN วันที่: 23 กรกฎาคม 2558 เวลา:11:17:11 น.  

 
ใหม่สวยมากอะ เดี๋ยวจะไปหาหนังมาดูค่ะ จดๆ


โดย: kunaom วันที่: 24 กรกฎาคม 2558 เวลา:23:32:53 น.  

 
กำลังอ่านอยู่ครับ ถึงตอนที่ 21 ละ สนุกเข้มข้นตั้งแต่หน้าแรกเลยนะผมว่า


โดย: ป้อง ข่าวสด IP: 119.46.60.202 วันที่: 30 มิถุนายน 2559 เวลา:23:02:03 น.  

 
ชอบมากค่ะ ตามอ่านหนังสือของอาจารย์วสิษฐ์เกือบทุกเล่ม สำหรับพรมแดนอ่านในมติชนแต่ไม่จบพอพบรวมเล่มก็รีบซื้อทันที อ่านด้วยความสุขและความเชื่อในความดี ตัวละครที่ข้าเจ้าชอบก็คงเหมือนทุกท่านที่อ่านชอบเลอมานกับอำมาตย์ ขอบพระคุณท่านวสิษฐ์ค่ะที่ประพันธ์หนังสือดีดีให้ได้อ่าน


โดย: ์น้อย พัฒนา IP: 118.175.218.206 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2559 เวลา:19:33:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.