เที่ยวแล้วสบายใจ...ไม่เน้นรายได้จากงานประจำ

บินไป-บินกลับ ขับรถเที่ยวเมืองกระบี่

สวัสดีค่ะ

กระบี่ อีกหนึ่งจังหวัดที่ไปบ่อย แต่ก็เที่ยวไม่ทั่วซะที ไม่รู้ทำไม เลยต้องหาเรื่องไปแล้วไปอีกกันบ่อยๆ ฮ่าฮ่า
ทริปนี้ ไม่ได้วางแผนการท่องเที่ยว ไม่ได้ตั้งโปรแกรมอะไรตายตัว เพราะจุดประสงค์หลักๆคือ อยากไปเยี่ยมเยียนเพื่อนค่ะ

เราเดินทางโดยเครื่องบิน โดยการบินไทย (ขาไปเป็นบินไทย,ขากลับเป็นไทยสไมล์) ใช้เวลาสำหรับทริปนี้ 3 วัน 2 คืน
ไปไฟลท์เช้า กับไฟลท์บ่าย ไม่ได้วางแผน ไม่ได้ติดต่อเช่ารถ ไม่ได้ซื้อทัวร์เกาะ ไปแบบเรื่อยเปื่อยมาก แต่ก็สนุกดีตามประสา

รีวิวตอนนี้จะเป็นเรื่องเที่ยวนะคะ ส่วนเรื่องที่พัก จะแยกไปรีวิวในหมด "รีวิวที่พัก" ไปชมบรรยากาศกันเลยค่ะ



เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไฟลท์เช้า ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า กลัวรถติด ขนาดออกเช้า มาถึงแถวเช็คอินก็คิวยาวเหยียดแล้วค่ะ เช็คอินเสร็จก็ลงไปทานข้าวเช้าที่ เมจิคฟู๊ดคอร์ด ชั้น 1 เหมือนทุกครั้ง ทานเสร็จมีเวลาเดินสบายๆไปรอที่เกท แบบไม่รีบร้อน รอเรียกขึ้นเครื่อง



รถจากที่พัก โรงแรมดี อันดามัน มารอรับที่สนามบินอยู่แล้วค่ะ (เราแจ้งตอนจองที่พักกับผู้จัดการ ว่าให้ส่งรถมารับที่สนามบินด้วย) ยังไม่มีเป้าหมายสำหรับวันนี้ ขอไปตั้งหลักที่ ที่พักก่อน

เนื่องจากเรามาถึงเช้า ห้องพักที่จองไว้ยังทำความสะอาดไม่เสร็จ เพราะเราจองห้องพักแบบแฟมิลี่รูมไว้ ซึ่งมีเพียงห้องเดียว ลูกค้าเก่าเพิ่งออกไป แต่ไม่ใช่ปัญหาค่ะ ระหว่างรอห้อง ก็เก็บภาพที่พัก แล้วก็หาข้อมูลเที่ยวค่ะ



สอบถามข้อมูลเรื่องรถเช่า จากท่านผู้จัดการโรงแรม และน้อง พนง. ทางน้องแนะนำบริษัทรถเช่ามาให้แห่งหนึ่ง เป็นบริษัทที่ใช้รถใหม่ ซูซูกิ สวิปท์ วันละ 1100 บาท (แต่รถไม่ว่าง) เหลือรถเก๋ง วันละ 1300 พร้อมประกันภัย เราก็ตกลงเอาเจ้านี้ค่ะ ทางบริษัทนำรถมาส่งให้ถึงที่พักเลย ปรากฏว่าพอมาถึง รถเป็นนิสสันอัลเมร่า ป้ายแดง วิ่งได้แค่สองพันกว่าโล เจ้าของเป็นแขก สิงคโปร์ค่ะ พูดอังกฤษ มาส่งมอบรถและทำสัญญาด้วยตัวเอง

หลักฐานการเช่ารถ ใช้บัตรประชาชน/พาสปอร์ต ,ใบขับขี่ ชำระเงินค่าเช่า และเงินมัดจำ 10,000 บาท แต่ ทางโรงแรมช่วยต่อรองให้เหลือค่ามัดจำ 5,000 บาท เนื่องจากบริษัทรับเงินสด แล้วเราก็ไม่ได้พกเงินสดติดตัวมามากด้วย ในรถมี GPS.ให้ด้วยนะคะ ราคาเช่านี่รวมกับ GPS.มาแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

รับรถตอน 11:45 ทำสัญญา กันเสร็จเรียบร้อยก็เที่ยงพอดี ทีแรกว่ารุ่งขึ้นจะไปเกาะ ก็เลยทำสัญญาเช่าแค่วันเดียว ตอนส่งคืนรถทางบริษัทจะมารับรถเองที่โรงแรม



ได้รถแล้ว ก็วางแผนเที่ยวค่ะ จุดแรกไปหาอะไรกินกันก่อน เพราะเที่ยงแล้ว เริ่มหิว มุ่งหน้าไปทางคลองท่อม กินขนมจีน-ไก่ทอด โกจ้อยกันดีกว่า เราเคยมาทานขนมจีนนี่สองครั้งแล้ว แต่ไม่เคยจำทางค่ะ เพราะมีคนพามา กับบันทึกพิกัดแล้วให้จีพีเอส นำทางตลอด

คนเยอะเหมือนเคย ความอร่อยคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ



ขนมจีน 3 จาน ไก่ทอด 3 ชิ้น ชาเย็น 2 น้ำเก็กฮวย 1 ผักฟรีไม่อั้น รวมค่าเสียหาย 162 บาทค่ะ



ออกจากโกจ้อย ได้รับคำแนะนำจากเสี่ยฯ สปอร์ต ใจดี กระบี่ ว่า.. ห้ามพลาด ซาลาเปา ร้านโรสเบเกอรี่ ปากทางเข้าร้านโกจ้อย จัดไปค่ะ !!

ร้านอยู่ริมถนนหลักเลย ใกล้สามแยก ใกล้ๆกันมี 7-11 เป็นสังเกตค่ะ ซาลาเปาไส้หมูแดงเค้าอร่อยจริง อะไรจริง



ท้องอิ่ม แถมสเบียงพร้อม ก็มุ่งหน้าเที่ยวกันได้แล้วค่ะ จุดหมายแรก "น้ำตกร้อน" จ่ายค่าธรรมเนียมบำรุงสถานที่ คนละ 20 บาท ค่าจอดรถอีก 20 บาท แล้วก็เดินเท้า เข้าไปชมความมหัศรรย์ของธรรมชาติกันเลย



เดินถ่ายรูป ไปตามทางเดินศึกษาธรรมชาติเรื่อยๆ ไม่ได้เตรียมตัวมาลงบ่อแช่น้ำร้อนค่ะ ซึ่งถ้าเตรียมตัวมา คงต้องเผื่อเวลาซักหน่อย เพราะพื้นที่แช่ไม่เยอะ แต่คนมาใช้บริการเยอะ ต้องรอคิวค่ะ เห็นคนเฒ่า คนแก่ มาแช่น้ำกันเยอะ เค้าว่าช่วยรักษาโรคแก้ปวดเมื่อย

(ไม่ควรแช่นานเกิน 15 นาที เพราะอาจจะอ่อนเพลีย เป็นลมได้ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำสูง)




จุดหมายต่อไป สระมรกต กลัวคนเยอะ รีบจอดตั้งแต่ลานนอกเลย ค่าจอดรถ 20 บาท ปรากฏว่า ลานข้างในก็มีที่ว่าง ฮ่า ฮ่า เดินตากแดดตัวดำเลย



ค่าธรรมเนียม บำรุงสถานที่ คนละ 20 บาทค่ะ ของที่ไม่สามารถนำเข้าไปในสระมรกตได้ ต้องฝากไว้ที่นี่นะคะ



เดินกันจนเหนื่อย ก็ถึงสระมรกต คนเยอะเป็นปกติ

คราวนี้ไม่ได้เดินไปตามทางเดินศึกษาธรรมชาติค่ะ ไม่ได้ไปชมสระแก้วด้วย เพราะเหนื่อยมากกกกกก นอนดึก ตื่นเช้า แถมอากาศร้อนสุดๆ นั่งพัก ถ่ายรูปกันแป๊บนึง ก็กลับค่ะ



ออกจากสระมรกต มุ่งหน้าเข้าเมืองค่ะ มองนาฬิกา ยังพอมีเวลาแวะวัดถ้ำเสือ เลยแวะเข้าไปไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล



ไหว้พระเสร็จ ก็พอดีเวลาวัดปิด ออกจากวัดแวะไปช๊อปปิ้งที่ เอาท์เล็ท วิลเลจ ก่อนกลับเข้าเมืองก่อน เห็นป้ายเซลล์เป็นไม่ได้



แล้วก็กลับเข้าเมืองค่ะ แวะถ่ายรูปกับสัญลักษณ์เมืองกระบี่ กันซักหน่อย ตรงจุดชมวิวเขาขนาบน้ำ กม.0







กำลังถ่ายรูป เจ้าบ้านก็โทร.มาตามค่ะ เพราะเรามีนัดทานข้าวกัน เกรงว่าเจ้าบ้านจะรอนาน เราเลยรีบกลับเข้าที่พัก ช่วงนี้เราตกลงกันว่า วันรุ่งขึ้น มีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อย จากเดิมที่ว่าจะซื้อทัวร์ไปเกาะพีพี เราเปลี่ยนแผนเป็นขอเช่ารถต่ออีกวัน แล้วขับรถเที่ยว

หลังจากเปลี่ยนใจว่า รุ่งขึ้นไม่ไปเกาะแล้ว ก็โทรบอกเจ้าบ้านว่า..
เหมือนเดิม เรามานัดทานข้าวเย็นด้วยกัน ไม่ต้องกลัวแฮ็งค์นั่งเรือไม่ได้แล้ว เพราะเราตัดสินใจไม่ไปเกาะกันแล้ว ฮ่า ฮ่า


เจ้าบ้านเสนอ ให้ไปเจอกันที่ร้านอาหารบรรยากาศดีๆ อาหารดัง ในเมือง ซึ่งก็มีอยู่หลายร้าน
แต่เราปฏิเสธ เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ..

- ร้านเหล่านั้น เราเคยไปแล้ว รู้แล้วว่ารสชาติอาหารอร่อยอย่างไร

- บ้านเราขับรถได้ทุกคน แต่ก็ดื่มหนักทุกคน ไปนั่งทานร้านไกลจากที่พัก จะมีปัญหาว่าใครจะขับรถกลับ

- เราอยากมีเวลานั่งคุยสบายๆกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานในที่ๆเป็นส่วนตัว และบรรยากาศดีๆ

สรุปได้ดังนี้ ก็เลยบอกเจ้าบ้านไปว่า เจอกันที่ร้านอาหารบนชั้น 7 ของโรงแรมดีอันดามัน นี่แหละ ไม่ออกไปไหนแล้ว เมายังไงก็คงไม่ถึงกับตกบันได ลงมาห้องพักหรอกน่า

บรรยากาศ ที่สกาย รูฟ บาร์ ชั้นบนสุดของโรงแรมดี อันดามัน ค่ะ





ทานกันไป คุยกันไป ตามประสาคนไม่ได้เจอกันมานาน ทานเสร็จแล้วก็แยกย้ายเข้านอนค่ะ



เช้า.. หลังจากทานอาหารเช้าแบบจัดเต็มที่โรงแรมเสร็จ
ก็มานั่งกางแผนที่ (มีให้หยิบฟรีที่โรงแรม) ตกลงกันว่าจะไปไหนดี

ได้ข้อสรุปว่า ไปทางอ่าวลึก ชมถ้ำลอด-ถ้าผีหัวโต ,ท่าปอม
แล้วเลาะไปชมทะเลด้านทับแขก-คลองม่วง แล้ววกมาอ่าวนางก่อนกลับเข้ามาทานมื้อเย็นในเมืองเหมือนเดิม

ไปแบบไม่ต้องมีข้อมูล เที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่กำหนดเวลาตายตัวค่ะ



กว่าจะออกจากที่พัก ก็สิบโมงกว่าเข้าไปแล้วล่ะค่ะ ให้ GPS.นำทาง จุดหมายแรกคือ ถ้ำลอด


ระหว่างทางไป สังเกตเห็นป้ายโฆษณาร้านกาแฟ-ร้านขายของที่ระลึก น่าสนใจ เลยแวะลงไปดูหน่อย
ถือโอกาสซื้อกาแฟดื่ม และเข้าห้องน้ำด้วย ปรากฏว่าได้ข้อมูลดีๆกลับมาเพียบเลยค่ะ

ที่ร้าน "รักอ่าวลึก" เป็นร้านขายของที่ระลึกฝีมือชาวบ้านอ่าวลึก และร้าน "กาแฟคุณนาย" เจ้าของเดียวกันค่ะ
ได้พบคุณพี่เจ้าของร้าน (ภรรยาท่านอดีตนายอำเภออ่าวลึก เลยใช้ชื่อร้านกาแฟ"คุณนาย) ให้ข้อมูลเรื่องการลงเรือเที่ยวถ้ำ และร้านอาหารบริเวณท่าเรือ มาเยอะเลย ขอบคุณมากๆค่ะ

ใครสนใจเสื้อยืดที่ระลึก , ผ้าโสร่ง, โปสการ์ด ของที่ระลึกต่างๆ แนะนำให้แวะเลยค่ะ



จากร้านรักอ่าวถึง ขับเข้าไปตามที่ GPS.นำทาง ไม่นานนักเราก็มาถึงบริเวณท่าเรือ ลักษณะเป็นลานจอดรถกว้างๆ มีร้านอาหารอยู่รอบๆหลายร้าน แล้วก็มีที่ทำการอุทยานฯ พอจอดรถก็มีคนเข้ามาถามแล้วล่ะค่ะ ว่าสนใจลงเรือเที่ยวถ้ำไหม

การจะไปถ้ำลอด-ถ้ำผีหัวโต ต้องลงเรือไปค่ะ เพราะเป็นถ้ำที่อยู่กลางน้ำ มีวิธีการไป 2 วิธี คือ

- พายเรือคายัค (คนละ 400 บาท)
- นั่งเรือหางยาว (ลำละ 600 บาท)

ที่ลานจอดรถ มีค่าจอดนะคะ คันละ 5 บาท

พี่คนที่เข้ามาให้ข้อมูลเรา พาเราไปลงเรือที่นี่ค่ะ ท่าเรือในร้านบังแอน (เดินเข้าไปด้านในมีแพร้านอาหาร) ไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยกลับมาชำระเงินค่ะ



เราเลือกนั่งเรือหางยาวไปค่ะ

เพราะเห็นสภาพอากาศแล้ว มันร้อนมาก ให้พายคายัคไปคงได้มีเป็นลมกลางทางแน่ๆ อีกอย่าง จะได้มีเวลาเหลือไปเที่ยวที่อื่นด้วย เพราะเรือหางยาวใช้เวลา ไป-กลับ เร็วกว่า

สวมเสื้อชูชีพให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปด้านในเลยค่ะ คนขับเรือจะนำเรือมารับเราที่แพร้านอาหาร




เรือลำนี้ค่ะ ที่จะพาเราไปชม ถ้ำลอด-ถ้ำผีหัวโต คุณลุงคนขับเรือน่ารัก ใจดี ค่ะ



ระหว่างทางที่นั่งเรือไป เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ชาวเกาหลี (มากันเป็นคู่หมดเลย) พายคายัคสวนทางมา สงสัยมีแต่คนไทยแน่ๆเลยที่นั่งเรือหางยาว ฮ่า ฮ่า

จุดแรก "ถ้ำลอด"

ระยะทางไม่ไกลมากค่ะ นั่งเรือลอดเข้าไปในถ้ำ ชมความงามของหินงอก หินย้อย ถึงปากทางแล้วก็ย้อนออกมาทางเดิม




จากถ้ำลอด นั่งเรือไปต่ออีกไปไกล ก็ถึง "ถ้ำผีหัวโต"

ที่นี่มีจุดชำระค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานค่ะ คนละ 40 บาท จ่ายครั้งเดียวเที่ยวได้ทุก อช.



ที่ถ้ำผีหัวโต มีไกด์ท้องถิ่น คอยบรรยายให้ความรู้ ประวัติความเป็นมา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

สำหรับไฮไลท์ของที่นี่ ก็คือภาพเขียนสี ลักษณะคล้ายคนสวมชุดยาวเลียนแบบสัตว์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของอ่าวลึกนั่นแหละค่ะ ใช้เวลาอยู่ที่ถ้ำนี้ประมาณ 10-15 นาที เห็นจะได้





ถ่ายรูป ชมวิวด้านบนของถ้ำ แล้วก็นั่งเรือกลับค่ะ เรือไปส่งเราที่แพอาหารที่เดิม ถ้าจะทานข้าวนี่นี่เลยก็ได้นะคะ

แต่เราเลือกที่จะเดินทางต่อดีกว่า เพราะอยากไปนั่งร้านริมชายหาดมากกว่า ร้านชมวิวป่าโกงกาง



ที่แรกตั้งใจว่าจะไปท่าปอมกันต่อ
แต่เพราะอากาศร้อน ปีนถ้ำกันจนหมดแรง เลยเปลียนใจไปหามื้อเที่ยงทานกันแถวๆชายหาด

เลยมุ่งหน้าไปทาง หาดคลองม่วง-ทับแขก ค่ะ กะว่าเจอร้านไหนน่านั่งก็จอดเลย ชายหาดบริเวณนี้ สวยงาม เงียบสงบ คนไม่พลุกพลาน ลงเล่นน้ำได้ค่ะ





เจอร้านอาหารริมทะเล อยู่ 2-3 ร้าน แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เปิด

มีร้านนี้ อยู่ตรงหัวโค้งพอดี เป็นร้านอาหารของโรงแรม จำชื่อโรงแรมไม่ได้แล้วค่ะ แต่ร้านอาหารนี้ชื่อ The Beach House นั่งรับลมทะเลได้เต็มๆ



เรื่องรสชาติ ไม่ขอวิจารณ์นะคะ แต่ราคาและปริมาณ ตามภาพเลยค่ะ



จากนั้นก็ขับรถไปที่อ่าวนาง ตั้งใจจะหาร้านนั่งเล่น เพลินๆ ปรากฏว่า..


หาที่จอดรถไม่ได้ !!!

สุดท้ายไปนั่งกินกาแฟ-ขนม กันที่สตาร์บั๊ก ฮ่า ฮ่า ไปไกลถึงกระบี่เพื่อไปนั่งรับแอร์ในสตาร์บั๊ก

อากาศร้อนมากค่ะ เลยตัดสินใจกลับไปว่ายน้ำเล่นที่โรงแรมดีกว่า เพื่อรอเวลาทานมื้อค่ำ



แล้วก็ทานข้าวมื้อค่ำที่โรงแรมเหมือนเดิมค่ะ


เช้า.. ทานมื้อเช้าเรียบร้อย ก็เอารถออกไปเติมน้ำมัน เพื่อรอส่งมอบรถคืนตอนเที่ยง
ใช้รถสองวัน หมดค่าน้ำมันไป 600 บาท รวมค่าเช่าวันละ 1300 ก็เท่ากับค่าใช้จ่ายในส่วนของรถคือ 3,200 บาท

ช่วงที่ออกไปเติมน้ำมัน แวะไหว้พระที่วัดแก้วโกรวาราม
เสร็จแล้วก็ไปหาซื้อโปสการ์ด นั่งดื่มกาแฟ แถวๆในเมืองมาแป๊บนึง











กลับมาที่พัก เช็คเอ้าท์ตอนเที่ยง แล้วก็ลงมาทานมื้อเที่ยง รอเวลาให้รถไปส่งที่สนามบิน

ช่วงเวลาที่บริษัทรถเช่ามารับรถ คุณอินดี้ เจ้าของรถเช่าเสนอตัวจะพาเราไปส่งที่สนามบิน แต่บังเอิญเราแจ้งกับทางโรงแรมไว้แล้วว่าให้ไปส่งด้วย ก็เลยปฏิเสธทางรถเช่าไปค่ะ คุณอินดี้อัธยาศรัยดีมากๆ



ทริปนี้ต้องขอขอบคุณเพื่อนเก่า ที่ไม่ยอมแก่ ที่ดูแลเราดีตลอดมา
น่ารักทั้งครอบครัวค่ะบ้านนี้ ขอบคุณพี่หนุ่ย พี่เล็ก ที่ดูแลต้อนรับค่ะ

แล้วพบกันตอนหน้านะคะ สวัสดีค่ะ



รีวิวจากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิ๊กชมได้ตามลิงค์ค่ะ

:: ตอนแรก ::

//pantip.com/topic/30428338

:: ตอนจบ ::

//pantip.com/topic/30436356




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2556   
Last Update : 5 พฤษภาคม 2556 11:22:18 น.   
Counter : 14919 Pageviews.  

ตามคนทำงานไปปั่นสองล้อเที่ยวเมืองเก่าสุโขทัย

สวัสดีค่ะ

เนื่องจากคนข้างๆมีงานสัมมนาที่จังหวัดสุโขทัย ๓ วัน อยู่ว่างๆ เลยขอตามติดรถไปด้วย โดยแบกจักรยานพับได้ ใส่ท้ายรถไปด้วย ช่วงเวลาที่เขาทำงาน เราก็ปั่นสองล้อ เที่ยวเมืองเก่าสุโขทัย ไปเรื่อยๆ เลยมีบรรยากาศมาฝาก นิดหน่อยค่ะ

เพราะเป็นผู้ติดตาม ก็เลยว่างค่ะ

แบกจักรยานพับได้ ใส่ท้ายรถไปด้วยระหว่างที่คนอื่นประชุม เราก็ปั่นจักรยานเที่ยว ระหว่างโรงแรมไพลิน ไปเมืองเก่า ระยะทางประมาณ 4-5 กม. สองข้างทางเป็นชุมชน ทางตรงตลอด ขี่ชิดไหล่ทางไว้ก็แล้วกันค่ะ

เข้าเขตเมืองเก่า จะมีศาลเจ้าพ่อ ตรงประตูกำแพงหัก แวะสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนค่ะ





ขี่ต่อไป จะเจอตลาดสด ตรงข้างวัดตระพังทอง สำหรับใครที่ไม่ได้มีจักรยานมาสามารถหาเช่าได้บริเวณนี้เลยค่ะ มีร้านจักรยานให้เช่า หลายร้านมาก ใครชอบบรรยากาศตลาดพื้นบ้าน แนะนำให้เข้าไปเดินเลือกซื้อของสด ของแห้งกันได้เลย แต่เราไม่ได้แวะ








ก่อนจะตรงเข้าไปในอุทยานประวัติศาสตร์ แวะซื้อบัตรเข้าชมก่อนค่ะ มีสำนักงานอยู่ด้านหน้า จอดรถไว้ ไม่ต้องกลัวหาย

ค่าธรรมเนียนเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์สำหรับคนไทย
ท่านละ 20 บาท ค่าธรรมเนียมนำพาหนะ(จักรยาน)เข้า 10 บาท

มีแผนที่ให้ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมีเทปบรรยายภาษาต่างชาตินั้นๆให้ค่ะ







ข้อมูล ขออนุญาตไม่นำมาลงนะคะ เพราะว่าค่อนข้างยาวมาก สามารถเซิร์ทหาได้ค่ะ ขอนำภาพรวมๆ มาลงไว้ เพราะส่วนใหญ่จะใช้เวลาเดินอ้อยอิ่ง ตากแดดตัวดำถ่ายภาพอย่างเดียวเลยค่ะ

















ใช้เวลาอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์ ประมาณ 1 ชม. ค่ะ เหลือบมองนาฬิกา ใกล้เวลาพักเที่ยง คำนวนเวลาปั่นกลับโรงแรม ไปถึงพอดี ก็เลยมุ่งหน้ากลับ

ตรงทางออก มีร้านขายของที่ระลึก ของฝากนะคะ รถทัวร์จะมาจอดรอนักท่องเที่ยวบริเวณนี้






กะเวลาได้เหมาะเหม็ง ถึงโรงแรมพอดีได้เวลาพักเที่ยง ที่โรงแรมมีอาหารเลี้ยง แต่เราอยากออกไปทานข้างนอก จะได้ดูบรรยากาศบ้านเมืองเค้าด้วย ขับตรงเข้าเมือง ไปหาร้านเอาข้างหน้า






เปิด GPS. หาคำแนะนำ หลายคนแนะนำที่ร้าน "ไม้กลางกรุง" เราก็ไปตามที่เค้าแนะ ร้านอยู่ติดถนนเลยค่ะ เป็นบ้านตึกแถวธรรมดา แต่ตกแต่งบริเวณได้ร่มรื่นมาก หาที่จอดรถยากนิดนึง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา










เป็นร้านที่ตกแต่งได้เก๋มาก แนวดิชั้นเลยค่ะ เมนูอาหาร ตามนี้เลยค่ะ




บรรยากาศในร้าน นอกจากมีอาหารแล้ว ยังมีเสื้อยืดทำมือลายสุโขทัย และผ้าทอจำหน่ายด้วยค่ะ ตามประสาคนชอบนุ่งซิ่น ใส่ผ้าไทยแบบอิชั้น ก็โดนกันไปตามระเบียบ อดใจไม่ได้จริงๆ











การจัดตกแต่งจานอาหาร ก็เก๋ไก๋ สวยงามค่ะ ชอบไอเดียเจ้าของร้านมากๆ











ทานเสร็จ ตกบ่ายเข้าประชุมต่อ แล้วก็กลับที่พักค่ะ (ที่พักจะแยกไปรีวิวในหมวด "รีวิวที่พัก" นะคะ) รุ่นน้องพาออกไปนั่งทานข้าวฟังเพลง ที่ร้านดังในเมือง "เดอะเทอเรส แอนด์ ทรี" ซึ่งตั้งอยู่ด้านในโรงแรมสวัสดิพงษ์ แนะนำว่าให้ไปตอนหัวค่ำนะคะ เพราะวงเล่นเพลงเพราะ แต่ถ้าดึก เค้าจะเชิญแขกขึ้นมาร้อง เราจะเริ่มฟังไม่ได้แระ








เช้า หลังจากทานข้าวที่บ้านหมอรีสอร์ท เสร็จแล้ว ก็เช็คเอ้าท์ ออกเดินทาง ก่อนกลับเราแวะศาลากลางจังหวัดสุโขทัย เพื่อสักการะพระแม่ย่า เพื่อเป็นสิริมงคล







เป็นอันจบ รีวิวสั้นๆ สำหรับสุโขทัยค่ะ
รายละเอียดไม่ได้ลงไว้ เพราะรีบเร่ง สัญญาณเนตไม่ค่อยดีด้วยฝนตกหนักหากมีข้อซักถามเพิ่มเติม สอบถามมาได้นะคะ ส่วนรีวิวที่พัก ขอบคุณที่แวะมาทักทาย และลงชื่อให้กำลังใจนะคะ

ลิงค์รีวิวจากบอร์ดบลูแพลนเนท ค่ะ

//pantip.com/topic/30372267




 

Create Date : 18 เมษายน 2556   
Last Update : 18 เมษายน 2556 14:21:35 น.   
Counter : 3441 Pageviews.  

ครั้งแรกที่.."เกาะตาชัย"

สวัสดีค่ะ

ทริปนี้เป็นทริปที่ 3 ของการเดินทางปี 56 นี้ค่ะ
แต่ว่าสองทริปที่ผ่านมา ไม่ได้รีวิว เนื่องจากเป็นข้อมูลและเส้นทางเดิมๆ
ส่วนของ เกาะตาชัย นี้ เป็นครั้งแรกที่เราได้ไป (ตามกระแสเค้าหน่อย)

ที่ตัดสินใจรีวิว ทั้งๆที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทำรีวิวเกาะนี้มาเยอะแยะมากมายไปหมด ก็เพราะว่า ระว่างที่หาข้อมูล จากรีวิว ส่วนใหญ่เราจะได้เห็นภาพเกาะสวยงาม ทรายขาว น้ำใส แต่ไม่ค่อยได้มีใครบอกเล่าเรื่องราว ระหว่างการเดินทางสักเท่าไหร่ (อาจจะมี คนเล่า แต่ก็น้อย เมื่อเทียบกับจำนวนรีวิวที่ได้ชม ส่วนตัวเคยเห็นรีวิวของ พี่เสี่ยเหนก ที่เล่าไว้ค่อนข้างละเอียด)

รีวิวชุดนี้ ภาพอาจจะไม่สวย เหมือนกับรีวิวอื่นๆ ที่ได้ชมนะคะ เพราะถ่ายรูปไม่เก่ง ใช้กล้องธรรมดาแต่ว่าอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ การเดินทางไปเที่ยวเกาะตาชัย ครั้งแรกให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ



ครอบครัวของเรา วางแผนจะเดินทางไปพักผ่อนที่ภูเก็ต หรือพังงา 3 วัน ทีแรกตั้งใจเลยล่ะค่ะ ว่าต้องไปเกาะตาชัย แต่หลังจากที่หาข้อมูล ซื้อทัวร์ One Day Trip จากหลายแหล่ง หลายเวป หลายเอเจนซี่ แล้วปรากฏว่าราคาค่อนข้างสูงมาก สำหรับเรา (เสนอมามีอยู่ในช่วงราคา 2700-3900 บาทเลยทีเดียว) เจอราคาแบบนี้ ก็เลยตกลงใจกันว่า ไม่ต้องไปก็ได้เน๊อะ เที่ยวอยู่ในเมืองภูเก็ต ก็แล้วกัน ฮ่า ฮ่า

และเมื่อเราไปถึง คืนแรกที่ภูเก็ต .. เรานัดเจอกับเพื่อน
เพื่อนที่ทำงานอยู่ที่ภูเก็ต แนะนำให้ไปเกาะตาชัย สักครั้งในชีวิต พอเราเล่าให้ฟังว่า ปัญหาคือ มึนงงกับราคาที่เช็คมาเหลือเกิน เพื่อนเลยอาสาว่า..วันรุ่งขึ้น จะประสานกับทัวร์ให้ แล้วจะแจ้งราคา กับยืนยันการเดินทางมาอีกที

มีความหวังแล้ว วุ้ย ฮ่า ฮ่า



วันรุ่งขึ้น ระหว่างตะเวนเที่ยวในเมืองภูเก็ต เพื่อนก็โทร.มาบอกว่า .. ประสานข้อมูลให้แล้ว ทางบริษัททัวร์ ยืนยันมาที่ราคา คนละ 2400 บาท รวมรถ รับ-ส่ง จากที่พักในภูเก็ต ถึงท่าเรือทับละมุ ท้ายเหมือง พังงา

ได้ความว่าเป็นทัวร์ของ เลิฟอันดามัน อีกซักครู่ จนท.จากทัวร์จะโทร.มานัดหมายกับเราเอง
ซึ่งไม่นานจากนั้น เราก็ได้รับโทรศัพท์นัดหมาย ว่ารถตู้จะมารับเราที่ ที่พักระหว่างเวลา 06:15- 06:30 น.
และเราสามารถไปชำระค่าบริการได้ที่ท่าเรือเลย

เช้า..
รถมารับตรงเวลา ค่ะ มีลูกค้าชาวต่างชาติที่ไปในรถคันเดียวกันนี้อีก สี่ท่าน สองท่านไปสิมิลัน อีกสองท่านไปตาชัยกับพวกเรา



นั่งหลับไปในรถ เพราะตื่นเช้ามากกกกกกก คืนก่อนหน้านี้ก็ปาร์ตี้ริมสระกับลูกสาวจนดึก
ตื่นมาก้ถึงท่าเรือพอดีค่ะ เป็นท่าเรือของทหารเรือ อยู่ในเขตอำเภอท้ายเหมือง ถามพี่โชเฟอร์เค้าว่า คือท่าเรือทับละมุ

จุดรับรอง ของบริษัทเลิฟอันดามัน จะอยู่ที่นี่ นักท่องเที่ยวทุกคน ที่จะไปทุกรูท จะมานัดหมายกันที่นี่ค่ะ



น้องๆ จนท. ดูแลต้อนรับเราอย่างดีค่ะ พอเราแจ้งชื่อ ชำระเงิน ก็จะได้ Wristband สีแดง มาใส่ข้อมือ คนละอัน สายรัดข้อมือแต่ละสี จะหมายถึงเส้นทางและเรือที่นักท่องเที่ยวจะไปค่ะ ไปเกาะตาชัย ใส่สายรัดข้อมือ สีแดง ที่ห้องรับรอง จะมีอาหารเช้าเบาๆ ให้นักท่องเที่ยวทานก่อนลงเรือ ประเภทขนมปัง แครกเกอร์ กล้วยหอม ชา กาแฟ ค่ะ นอกจากนี้ยังมียาแก้เมาเรือบริการด้วย ใครไม่แน่ใจในความแปรปรวนของคลื่นลม ขอยาทานดักไว้ได้เลยค่ะ





ทานอาหารเช้าแล้ว ก็เลือกอุปกรณ์ดำน้ำเลยค่ะ มีฟิน หน้ากาก ให้เลือกตามขนาดของเรา ระหว่างนี้จะมี จนท.คอยให้คำแนะนำเราเป็นระยะๆ กรุ๊ปของเรา (ที่ไปตาชัย) มีจำนวนน้อยกว่า กรุ๊ปที่ไปสิมิลันค่ะ ในวันนั้น

ไกด์ เข้ามาแนะนำตัวกับเรา และบอกข้อมูลเบื้องต้น ในเราทราบ โดยส่วนตัวครอบครัวเราค่อนข้างพอใจกับ จนท.ของเลิฟอันดามัน ค่ะ



พอได้เวลา ไกด์ ก็เดินนำพวกเราไปที่ท่าเรือของ เลิฟอันดามัน มีการแนะนำข้อมูลเบื้องต้น และการปฏิบัติตัวอีกครั้งเกี่ยวกับการเดินทาง ข้อควรระวัง และข้อมูลของเกาะที่เราจะไปกัน

เราไปกับ ไกด์อาร์ท ค่ะ น้องเค้าดูแลคณะดีมาก ประทับใจค่ะ





ไปเกาะตาชัย ไม่ต้องสวมรองเท้าลงเรือ !!
รองเท้าทุกคู่ จะต้องถอดไว้ที่ท่าเรือค่ะ จนท.จะดูแลรักษารองเท้าเราไว้ให้อย่างดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเอารองเท้าคู่โปรด ราคาแพงไปนะคะ



กัปตัน ประจำเรือของเราในวันนี้ คือ กัปตันบังบ่าว หรือ พี่บ่าววี ฝีมือการควบคุมเรือขั้นเทพ อัธยาศรัยก็ดี อารมณ์ดีตลอดทริปค่ะ



พี่กัปตัน ให้คำแนะนำว่า .. ระหว่างอยู่บนเรือ ขอให้นั่งอยู่กับที่ค่ะ อย่าลุกยืน เดินไปมา ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ เพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ และที่สำคัญจะยากต่อการควบคุมเรือด้วย

ในเรือมีน้ำดื่ม และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลล์ บริการไม่อั้นค่ะ หยิบทานได้เลย ใช้เวลาในการเดินทางไปถึงเกาะประมาณ 1.30 ชม. ค่ะ



ชั่วโมงกว่าๆผ่านไป เราก็เดินทางมาถึงเกาะตาชัย จุดแรก เรือจะนำอาหารและ จนท.บางส่วนลงที่เกาะก่อน ส่วนนักท่องเที่ยว เรือจะพาไปดำน้ำตื้นค่ะ

ซึ่งหากใครไม่ดำน้ำ จะขอลงพร้อมกับเสบียง และ จนท.ในรอบแรกนี้เลยก็ได้ค่ะ



จุดดำน้ำ สน๊อคเกิ้ล จะมีความลึกอยู่ที่ 4-5 เมตร ใต้น้ำมีปะการัง ปลา ดอกไม่ทะเล สวยงาม ใครไม่ได้พกกล้องถ่ายใต้น้ำมาด้วย ก็ขอให้ จนท.ของทัวร์ บันทึกภาพให้ได้เลยค่ะ เพราะเค้ามีภาพบันทึกไว้จำหน่ายให้ นักท่องเที่ยวด้วย









มีเวลาดำน้ำอยู่ที่ 40 นาที แล้วก็กลับขึ้นฝั่งกันค่ะ

เข้ามาที่ฝั่ง ก็ตามอัธยาศรัยเลย จะถ่ายรูป เล่นน้ำ ตามสบาย
ประมาณเที่ยงครึ่ง อาหารพร้อม ทีมงานจะมาเรียกไปทานข้าวค่ะ







ทรายที่นี่ ขาว และละเอียดมาก เดินนุ่มเท้าไม่ระคายเคืองเลยค่ะ





ได้เวลาทานข้าว เราก็เข้าไปสำรวจในบริเวณพื้นที่ กันค่ะ

ลักษณะจะเป็นโรงอาหาร มีจุดบริการอาหารของแต่ละบริษัท วางเป็นโซนๆ มีโต๊ะนั่งรับประทานเป็นกลุ่มๆ และที่สำคัญ มีจุดคัดแยกขยะ วางไว้ให้เห็นเด่นชัด เศษอาหาร ขยะเปียก แก้ว พลาสติก กระป๋อง แยกขยะก่อนทิ้ง





จากการเดินสำรวจ หน้าตาอาหาร ครอบครัวเราลงความเห็นตรงกันว่า.. อาหารของ Sea Star น่ากินสุด ส่วนรสชาติไม่สามารถตัดสินได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์ชิม แต่อาหารของ เลิฟอันดามัน ก็ไม่ได้แย่นะคะ รสชาติดี ปริมาณเยอะใช้ได้เลยค่ะ



ด้านหลังที่ทำการ ใกล้ๆ กับบริเวณที่เราทานข้าว เป็นแอ่งน้ำจืดค่ะ สวยเชียว ระหว่างที่ทานข้าว ไกด์ แจ้งเราว่า กิจกรรมช่วงบ่ายจะพาไปเดินป่า หาปูไก่ กัน ระหว่างนี้ใครทานข้าวเสร็จแล้วจะไปเข้าห้องน้ำ ถ่ายรูป หรือพักผ่อนก็ตามใจ ตามเวลานัดหมายให้มาพบกันที่จุดบาร์บริการอาหาร

ห้องน้ำที่นี่ สะดวก สบายดีค่ะ มีทั้งห้องสุขา และห้องอาบน้ำ แยก ชาย-หญิง



กิจกรรมเดินป่า ระยะทางประมาณ 200 เมตร
ไกด์จะให้ข้อมูล เกี่ยวกับสัตว์แต่ละประเภทที่อาศัยอยู่ในป่าช่วงบริเวณนี้
การปฏิบัติตัวของนักท่องเที่ยว ที่จะไม่ไปรบกวนเค้า และธรรมชาติของสัตว์แต่ละประเภท

ซึ่งแน่นอนว่า ไฮไลท์ ก็คือ เจ้า ปูไก่ นั่นเอง เดินเท้าเปล่า ในป่า สัมผัสธรรมชาติ สุด สุด





ปูไก่ จะอาศัยอยู่ในป่านะคะ ใครเห็นภาพโฆษณา ที่มีเจ้าปูไก่สีสวย วิ่งเล่นอยู่ที่หาดทรายขาวๆ นั่นเป็นภาพถ่ายเพื่อการโฆษณาเท่านั้นค่ะ และอย่าได้นำมันมาวางที่หาดทรายเพื่อที่จะได้ภาพสวยๆเลยค่ะ สงสารมัน



เดินออกมาจากป่า ก็ตามอัธยาศรัยเลยค่ะ เล่นน้ำ ถ่ายภาพตามสบาย รอเวลานัดหมายขึ้นเรือกลับ การมาทัวร์เกาะกับเลิฟอันดามัน นักท่องเที่ยวต้องเตรียม ผ้าเช็ดตัว เสื่อ,ผ้าปูรองนอน-นั่ง,ครีมกันแดดมาเองนะคะ อย่าลืม และ อย่าลืม เพราะสามสิ่งนี้ จำเป็นมากกับการมาเกาะ











ได้เวลาขึ้นเรือ สังเกตได้ตอนที่ จนท.เริ่ม ขนของมารอที่ชายหาด ช่วงที่เราไปน้ำลงค่ะ เพือลำอื่นๆต้องใช้เรือท้องแบบของอุทยาน ถ่ายนักท่องเที่ยวไปส่งขึ้นเรือ แต่ของเราไม่ต้อง..

กัปตันบังบ่าว ฝีมือขั้นเทพ สามารถหาร่องน้ำ นำเรือมารับเราถึงฝั่งได้ เจ๋ง สุด สุด





บนเรือขากลับ มีผลไม้ให้ทานค่ะ ไกด์บอกว่ากัปตันเป็นคนทำเอง รู้สึกว่า ขากลับ เร็วกว่าขาไปนะ นั่งหลับแป๊บเดียว ถึงฝั่งแล้วค่ะ

พอขึ้นฝั่ง ที่ท่าเรือ จะมีของที่ระลึกจำหน่าย สายรัดข้อมือ แบบที่เราใส่ ก็มีขายนะคะ ชิ้นละ 50 บาท และสำหรับใครที่สนใจจะเก็บ วิดิโอ ภาพเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่กรุ๊ปของเรามาเที่ยว ก็สามารถสั่งจองได้ ราคาชุดละ 1200 บาท ในเซตจะมี แผ่นภาพเคลื่อนไหว DVD. 1 แผ่น และภาพนิ่ง ของเกาะตาชัย ทั้งบนบกและใต้น้ำ 1 แผ่น (ภาพเหมือนที่เราเห็นอยู่ในการโฆษณาทั้งกลายนั่นแหละค่ะ) ปก DVD.จะเป็นภาพถ่ายของเราเอง



เป็นอันจบทริป ด้วยความประทับใจ ทั้งกับความสวยงามตามธรรมชาติ ของเกาะตาชัย , ความมีระเบียบวินัย ของเพื่อนร่วมทริป ,การดูแลเอาใจใส่ ความสนุกสนาน ที่ทีมงานเลิฟอันดามัน มอบให้

แต่ก็ยังมีข้อสงสัย ...
ถ้าอยากไปตาชัย อีกรอบ เราควรจะซื้อทัวร์ทางไหนดี ถึงจะได้ราคาที่เราได้ เพราะจะให้เพื่อนจองให้อีกก็เกรงใจ ฮาาา

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาทักทาย ให้กำลังใจนะคะ



รีวิวฉบับเต็ม จากพันทิปโฉมใหม่ คลิ๊กชมได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ


//pantip.com/topic/30052515




 

Create Date : 17 มกราคม 2556   
Last Update : 17 มกราคม 2556 12:55:51 น.   
Counter : 10728 Pageviews.  

วันเดียวเที่ยวเมืองน่ารัก "นครพนม"

รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12918873/E12918873.html

สวัสดีค่ะ

ยังคงออกเดินทางอยู่ตลอด แต่ไม่ค่อยได้มีเวลานำเรื่องราวมาแบ่งปันประสบการณ์กันซักเท่าไหร่ แต่สำหรับทริปนี้ .. ที่นครพนม บังเอิญว่ามีเพื่อนๆหลายคนที่ติดตามการเคลื่อนไหวผ่านทางเฟสบุค ได้ขอไว้ ว่าให้รีวิวให้ชมกันหน่อย เลยรีบดำเนินการให้ค่ะ

ทริปนี้เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจาก เราต้องไปทำบุญทอดกฐินที่วัดหนึ่งทางภาคอิสาน ก็เลยถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนรุ่นพี่ ที่ไปรับราชการอยู่ที่นครพนมด้วย ตั้งใจจะไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเหมาะๆเสียที คราวนี้ต้องไปให้ได้ ก่อนที่พี่เค้าจะย้ายเสียก่อน

ข้อมูลการเดินทางอาจจะไม่ละเอียดนักนะคะ เพราะเรามีคนพื้นที่นำทาง ก็เลยไม่ได้หาข้อมูล อาศัยนั่งรถตามเค้าไป นั่งคุยกันจนลืมสังเกตุเส้นทาง ต้องขออภัยไว้ด้วยค่ะ



การเดินทางครั้งนี้ คณะของเราเช่ารถตู้ไปกันค่ะ ผู้ร่วมเดินทาง 11 คน (รวมคนขับ) นัดหมายรวมตัวกันที่ จังหวัดพิษณุโลก แล้วใช้เส้นทางหมายเลข 12 เส้นทางพิษณุโลก-วังทอง-เขาค้อ-น้ำหนาว-ชุมแพ-กาฬสินธุ์-ภูพาน-สกลนคร-นครพนม ไปกันแบบไม่รีบร้อน แวะตลอดทาง ถึงนครพนมก็ค่ำพอดีค่ะ

เราตรงเข้าที่พักกันก่อน ที่โรงแรมวิวโขง ซึ่งข้อมูลของโรงแรมได้รีวิวไว้ที่หมวด รีวิวที่พัก นะคะ ชมวิวโขงฝั่งประเทศลาวได้จากหน้าต่างห้องพัก และร้านอาหารของโรงแรม







รีบอาบน้ำ แต่งตัว ลงไปทานข้าวเช้า จะได้มีเวลาเดินเที่ยวชมเมือง ระหว่างที่ชาวคณะคนอื่นยังไม่เสร็จธุระ

ทานข้าวอิ่ม ก่อนที่ชาวคณะจะลงมาห้องอาหาร เรามีเวลาก่อนเวลานัดหมายประมาณ 1 ชม. เลยถือโอกาสเดินชมเมือง บริเวณใกล้ๆที่พักค่ะ

โรงแรมวิวโขง อยู่ติดกับสวนสาธารณะเลยค่ะ เพราะฉะนั้นใครที่ต้องออกกำลังกายทุกวันแนะนำให้ติดรองเท้าวิ่งไปด้วยนะคะ บรรยากาศน่าวิ่งออกกำลังกายมาก

ด้านหน้าโรงแรม มีพระบิณฑบาตรผ่านด้วยค่ะ ท่านจะกลับเข้าวัดประมาณเจ็ดโมงนิดๆ เรามาดักรอได้ซักก่อนเจ็ดโมงก็ทันค่ะ



ถนนเส้นนี้ จะมีแหล่งท่องเที่ยวให้เราได้เดินเที่ยวชมไปตลอดสาย จนถึงตลาดอินโดจีน การเดินเที่ยวชมเมืองก็ทำได้ง่ายๆ เพราะจะมีป้ายบอกข้อมูลทุกจุดค่ะ

หรือถ้าจะใช้เส้นทางนี้วิ่งออกกำลังกายก็เหมาะ มากค่ะ



จะมีวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม 3 วัดที่อยู่เรียงกันในเส้นทางนี้ คือ วัดโพธ์ศรี วัดมหาธาตุ วัดกลาง แต่ละวัดมีความสำคัญยังไง จะมีป้ายบอกอยู่ที่ฝั่งถนนตรงหน้าวัดค่ะ



ป้ายแบบนี้ เหมาะมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ขี่จักรยาน หรือเดินชมเมือง เพราะจะทำให้กำหนดจุดหมายท่องเที่ยวได้ง่าย



วัดที่เป็นที่สนใจ เห็นจะเป็นวัดมหาธาตุ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระธาตุนคร พระธาตุประจำวันเกิด วันเสาร์ พระธาตุมีลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อสร้างเสร็จในวันเดือนเพ็ญของปีพ.ศ.2465 มีรูปแบบตามพระธาตุพนมองค์เดิม







เดินชมวัดเพลินๆ เหลือบมองเวลา ใกล้ได้เวลานัดหมาย เลยต้องเดินย้อนกลับไปโรงแรมที่พัก รุ่นพี่ ที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ประจำทริปมารอเราที่โรงแรมพอดี เช้คเอ้าท์เรียบร้อยเราก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

จุดหมายแรก คือวัดมหาธาตุที่เราเพิ่งแอบมาคนเดียวเมื่อซักครู่นี้นั่นแหละค่ะ พาคณะไหว้พระธาตุ วันเสารื เสร็จแล้วเราก็ออกนอกเมืองไปจากมุ่งหน้าสกลนคร เพื่อแยกไปบ้านนาจอก แวะเยี่ยมบ้านลุงโฮจิมินท์





บ้านนาจอก เป็นหมู่บ้านเล้กที่ยังคงวิถีชนบทไว้ ยังมีการทำนา ปลูผัก เลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิม ใช้แรงงานสัตว์ แทนการใช้เครื่องจักรกล ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี เราเห็นป้ายโฮมเสตย์ติดอยู่ด้วย แต่ไม่ทันได้หาข้อมูล แย่จริงๆ



ที่บ้านพักท่านโฮจิมินต์ จะมีผู้ดูแล คือเจ้าของบ้านซึ่งเป็นลูกหลานของเพื่อนบ้าน ท่านโฮจิมินต์อีกที เป็นผู้ให้ข้อมูลค่ะ

สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกตกทอด ของตระกูล ไม่ได้มีงบประมาณสนับสนุน แต่เจ้าของยินดีให้ข้อมูลและต้อนรับขับสู้ผู้มาเยือนอย่างเป็นกันเอง



บ้านของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ เป็นบ้านชั้นเดียว บริเวณหน้าบ้านมีต้นมะพร้าว บริเวณโดยรอบได้ปลูกต้นหมากและต้นไม้ไผ่เป็นอาณาเขต ในปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวยังคงรักษาสภาพเดิม แต่บ้านพักอาศัยได้ทรุดโทรมและถูกรื้อถอนเรียบร้อยแล้ว ( อยู่บริเวณบ้านนายเตียว เหงี่ยนวัน เลขที่ 48 บ้านนาจอก หมู่ที่ 5 )การมาพักอยู่บ้านนาจอกเป็นเวลา 7 ปี ของท่าน เพื่อเป็นสถานที่ติดต่อประสานงานวางแผนและเคลื่อนไหวในการต่อสู้ เพื่อปลดปล่อยชาติ ซึ่งถือ ได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญยิ่ง เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ส่งผลให้การกู้ชาติประสบผลสำเร็จ

สภาพปัจจุบัน เป็นอาคาร 3 หลัง ประกอบด้วย บ้านพักอาศัย ห้องครัว และยุ้งข้าว อยู่ในสวนร่มรื่น







ในบ้าน จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ ที่ใช้ในสมัยนั้นไว้ ในบ้าน มีห้องพัก 2 ห้อง เครื่องใช้เป็นแบบง่ายๆ มีเตียงไม้ และตู้เก็บของแบบธรรมดา













ที่ห้องครัว ด้านหลัง จะเป็นอุปการณ์การทำครัว และห้องเก็บเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ







ชมบ้านพักท่านโฮจิมินต์แล้ว เราก็เดินเข้าไปที่บริเวณบ้านพักส่วนตัวของเจ้าของผู้ดูแลที่นี่ บริเวณใต้ถุนบ้าน จัดเป็นมุมจำหน่ายสินค้าที่ระลึก รายได้ก็เพื่อนำมาบูรณะดูแลสถานที่ สินค้าที่ขายนำมาจากเวียดนามทั้งหมด



ได้ดื่มน้ำชา ใบเมี่ยง พอชื่นใจ นั่งพูดคุยเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ออกเดินทางต่อ มุ่งอำเภอธาตุพนม ใช้เวลาเดินทางจากอำเภอเมืองไปยัง วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ประมาณ 40 นาที พระธาตุพนม ตั้งอยู่ที่ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมสูง สถาปัตยกรรมมีแหล่งที่มาเดียวกับปราสาทขอม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1200-1400 ภายในบรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า (พระดูกส่วนหน้าอก)



ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 เวลา 19.30 น. พระธาตุพนมได้ล้มทลายลงทั้งองค์ เนื่องจากความเก่าแก่ขององค์พระ ประจวบกับเกิดพายุฝนตกติดต่อกันหลายวัน

ประชาชนจึงได้ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่ ตามแบบเดิมและได้บรรจุของมีค่ามากมาย โดยเฉพาะฉัตรทองคำบนยอดพระธาตุ มีน้ำหนัก 110 กิโลกรัม



จุดหมายต่อไปคือวัดพระธาตุเรณู

พระธาตุเรณู ประดิษฐานอยู่วัดพระธาตุเรณู ณ บ้านเรณูนคร องค์พระธาตุจำลองมาจากองค์พระธาตุพนมองค์เดิม แต่มีขนาดเล็กกว่า สร้างเมื่อปี พ. ศ. 2461 โดยพระอุปัชฌาย์อินภูมิโย สูง 35 เมตร กว้าง 8.37 เมตร มีซุ้มประตู 4 ด้าน ภายในเป็นโพรงบรรจุพระไตรปิฎก พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน ของมีค่า และเครื่องกกุธภัณฑ์ของพระยาและเจ้าเมือง

พระธาตุเรณู เป็นพระธาตุประจำวันเกิด ของผู้ที่เกิดวันจันทร์



ภายในโบสถ์ประดิษฐานพระองค์แสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำศิลปะแบบลาว ปางสมาธิ พระคู่บ้านของอำเภอเรณูนคร มีพุทธลักษณะสวยงามมาก





เรณูนคร เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวผู้ไทย ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นไว้เป็นอย่างดี อย่างเช่นธรรมเนียมการต้อนรับด้วยการบายศรีสู่ขวัญ การเลี้ยงอาหารแบบพาแลง การชวนดูดอุ การฟ้อนรำผู้ไทย

ในบริเวณวัด มีศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป สินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกต่างๆไว้บริการนักท่องเที่ยว ราคาถูกมากค่ะ โดยเฉพาะสินค้าประเภทผ้าขาวม้า

ตลาดอำเภอเรณูนคร น่าเดินเล่นมาก เป็นตลาดเก่าๆ อาคารแบบดั้งเดิม อาคารไม้เรียบๆง่ายๆ เสียดายที่ไม่มีเวลาลงไปเดินเล่น

เรามีนัดทานอาหารกลางวันที่ในตัวเมือง หลังจากไหว้พระธาตุเรณูแล้ว ก็ขับรถกลับเข้าเมืองกัน มาถึงประมาณ 11 โมงนิดๆ เลยแวะให้ชาวคณะจับจ่ายซื้อสินค้าที่ตลาดอินโดจีน กันก่อน ตามความเห็นส่วนตัว เราว่าสินค้าก็ธรรมดานะคะ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น



จากนั้น เราไปต่อกันที่จวนท่านผู้ว่าราชการจังหวัด(หลังเก่า) กันค่ะ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์



ภายในนอกจากมีการจัดแสดงอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ของท่านเจ้าเมืองแล้ว ยังมีห้องฉายวิดิทัศน์ ประวัติความเป็นมาและเรื่องราวของเมืองนครพนม

ด้านหลังมีจุดถ่ายภาพ และร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก,โปสการ์ด เสื้อยืด ต่างๆค่ะ



สำหรับพิพิธภัณฑ์จวนท่านผู้ว่าราชการจังหวัด จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วัน พุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09:00 - 17:00 น. (ปิดวันจันทร์-วันอังคาร) โดยไม่เสียค่าเข้าชม



มื้อกลางวัน วันนี้มีเจ้าถิ่นขออาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารกลางวัน ที่ร้าน ริเวอร์บีช ค่ะ ที่ร้านนี้ มีทั้งอาหารและที่พักบริการ อยู่ติดกับแม่น้ำโขง บรรยากาศใช้ได้เลย เนื่องจาก มีเจ้าภาพ เราไม่ได้สั่งอาหารเอง ปรากฏว่าเผ็ด(มากกกกกกกกกก) ทุกรายการค่ะ เราทานอยู่อย่างเดียวคือ "อั่วกบ" เป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ อร่อยค่ะ



ทานข้าวเสร็จ ก็ถึงเวลาแยกย้าย เพราะคณะของเราต้องเดินทางต่อไปนอนหนองคาย 1 คืน ก่อนกลับแวะไปชมสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 3 ซึ่งถือเป็นสะพานที่มีความสวยงามมาก ค่ะ

บริเวณใต้สะพาน จะมีพ่อค้า แม่ค้า นำของมาขายเป็นที่ครึกครื้น



ต้องอำลาแล้ว เมืองนครพนม ...

จบทริปการเดินทางสั้นๆ 1 วัน ที่นครพนม แต่เพียงเท่านี้
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาทักทายและลงชื่อให้กำลังใจนะคะ

เที่ยวเมืองไทย ไปได้ทุกที่ ทุกวัน จริงๆค่ะ

สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2555   
Last Update : 1 ธันวาคม 2555 13:57:44 น.   
Counter : 9595 Pageviews.  

เหนื่อยนัก อยากพักบ้าง ปลายทางทริปนี้ที่ "สมุย"

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

ตอนที่ 1
//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12634413/E12634413.html

ตอนที่ 2
//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12639444/E12639444.html

ตอนจบ
//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12649657/E12649657.html



ทริปนี้เดินทางโดยรถทัวร์ วี ไอ พี ของ บขส.ค่ะ เดินทางไป 1 คืน พักที่สมุย 2 คืน เดินทางกลับอีก 1 คืน ที่สมุยเราเลือกพักที่ Impiana Resort หาดเฉวงน้อยค่ะ รีวิวชุดนี้เก็บรายละเอียดได้ไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะขนาดว่าไปพักผ่อน ยังมีงานตามไปให้ทำตลอด ถือซะว่าเป็นการนำภาพและเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะคะ



การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้หาข้อมูลล่วงหน้า ตัดสินใจไม่นานก็จองตั๋ว เลยค่ะ เดี๋ยวนี้ตั๋วรถทัวร์ของ บขส.สามารถซื้อได้ทั่วประเทสอยู่แล้ว เปิดดูปฏิธินแล้วก็ไปซื้อตั๋วเลยค่ะ

บ้านเราอยู่ใกล้ จตุจักร มากกว่าสายใต้ ก็เลยซื้อตั๋วที่ต้นทางสถานีขนส่งกรุงเทพ (หมอชิต) ถนนกำแพงเพชร ค่ะ

ถ้าเราจองตั๋ว ไป-กลับ จะได้ลดราคา 10% ค่ะ

ราคาค่าตั๋วรถ วีไอพี กรุงเทพ-สมุย ราคาไปกลับ เท่ากับเที่ยวละ 884 บาท
ราคานี้ไม่รวมค่าตั๋วเรือเฟอรรี่ข้ามเกาะนะคะ



หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ รถสายใต้ ที่มีต้นทาง-ปลายทาง ที่หมอชิต 2 มีให้บริการหลายสายนะคะ ใครบ้านอยู่ใกล้หมอชิต เราว่าน่าสนใจทีเดียว จะได้ไม่ต้องนั่งรถไปขึ้นไกลถึงบรมราชชนนี

ระหว่างรอเวลาออกเดินทาง (18.40น.) ก็ไปหาข้าวรองท้องก่อน
เกาเหลา 40 + ข้าวเปล่า 10 ค่ะ มื้อนี้



รถจอดที่ช่อง 106 ออกตรงเวลานะคะ เต็มทุกที่นั่ง
พนง.ดูแล และบริการอย่างดี

ขึ้นรถ พนง.จะมีขนมมาให้ 1 กล่อง ในกล่องมีขนมปัง,ชา-กาแฟ และน้ำดื่ม พอเค้าแจกผ้าห่มเราก็หลับเลยค่ะ มาตื่นอีกทีตอนที่เค้าจอดให้ทานข้าวต้ม ที่ทับสะแก ประมาณห้าทุ่มกว่าๆ เกือบเที่ยงคืนเห็นจะได้

ระหว่างที่ทานข้าว พขร.จะเอารถไปเติมก๊าซค่ะ เค้าแจ้งว่าประมาณ 40 นาที รถจะกลับมารับ ปรากฏว่า คืนนั้นเรารอไปชั่วโมงกว่าค่ะ

ที่จุดพักรถ หากใครไม่ทานข้าวต้ม (ลำบากใจตรงที่ต้องร่วมวงกะคนแปลกหน้า) ก็นำตั๋วไปแลกเป็นขนมและของว่างได้ค่ะ เค้ามีร้านของฝากขายด้วย ตั๋วเรือเฟอรี่ก็มี เราเลยซื้อตั๋วจากที่นี่ไปเลย เพราะกลัวไปถึงท่าเรือแล้วจะฉุกละหุก

ราคาค่าตั๋วเรือ คนละ 150 บาทค่ะ
ที่หน้าตั๋วไม่ได้ระบุวัน/เวลา และรอบเรือ ใช้ได้ตลอด



ประมาณหกโมงเช้า ก็ถึงสุราษฎร์ค่ะ รถมาจอดเติมก๊าซอีกครั้ง ที่ปั๊ม ปตท.ดอนสัก ก่อนข้ามเรือ ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสตื่นมาล้างหน้า ล้างตา กันได้พอดี



มาถึงท่าเรือราชาเฟอรี่ ก็พอดีเรือเที่ยวเจ็ดโมงครึ่ง คนไม่เยอะ แต่รถเยอะเชียวค่ะ (เราเดินทางวันธรรมดา)

อย่างที่บอกว่าค่าตั๋วรถ ไม่รวมค่าเรือ ถ้าใครยังไม่ได้ซื้อตั๋วเรือจากจุดพักรถมาล่วงหน้าแบบเราก็สามารถมาซื้อได้ที่ท่าเรือค่ะ



อากาศดีจังค่ะ คนที่นี่บอกว่าสมุยฝนไม่ตกมานานมากแล้ว แถมตอนเช้ามีลมพัดเย็นๆด้วย อากาศดีจังค่ะ คนที่นี่บอกว่าสมุยฝนไม่ตกมานานมากแล้ว แถมตอนเช้ามีลมพัดเย็นๆด้วย เรือเยอะพอสมควร เป็นช่วงเวลาเช้าๆ ถ่ายรูปกันเพลินไปเลยค่ะ

ใช้เวลาอยู่บนเรือเฟอรี่ประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ
กิจกรรมบนเรือก็คือ... นอนหลับ แล้วก็ถ่ายรูปวิวสวยๆค่ะ



อย่างที่บอก..

ว่าทริปนี้ไม่ได้เตรียมตัวมาเลย ระหว่างอยู่บนเรือ
ก็เลยไปขอแผนที่ จากพี่ร้านขายของบนเรือ เค้ามีแผนที่ แจกฟรีให้ค่ะ

ก็มากางๆดู ว่าโรงแรมที่เราจองไว้ มันอยู่ตรงไหน ใกล้กับอะไรบ้าง
ดูไป งงไป ถามใคร ก็ไม่ค่อยจะได้ข้อมูล เพราะส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ ก็คือคนต่างถิ่นที่มาทำงาน มาเที่ยว แทบจะทั้งนั้นเลย

จะว่าไป 2 ชม. นี่ก็ไวเหมือนกันแฮะ ใกล้ถึงฝั่งแล้ว



เดินลงจากเรือ แล้วก็ไปรอขึ้นรถบนฝั่งค่ะ รถทัวร์จะเข้าไปจอดที่สถานีขนส่ง ที่หน้าทอน ค่ะ เป็นย่านชุมชนของเกาะสมุย ที่ว่าการอำเภอ และหน่วยงานราชการก็จะอยู่ย่านนี้ค่ะ



ไปถึงสถานีขนส่ง ทั้งรถแทีกซี่ รถสองแถวเยอะแยะเลยค่ะ
แต่เรายังมึนๆ งงๆ ไม่รู้จะไปทางไหนก่อนดี ก็เลยเถลไถลไปนั่งทานข้าวก่อน ทานที่ร้านค้าในขนส่ง นั่นแหละค่ะ กะว่าจะได้หาข้อมูลการเดินทางไปโรงแรม



ข้าวตามสั่งจานนี้ 40 บาทค่ะ กาแฟสด แก้วละ 30 บาท น้ำดื่มบริการฟรี



เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก เพราะที่คิดว่ารอซักพักแล้วค่อยโบกรถสองแถวไปโรงแรม มันกลายเป็นว่า สองแถวที่สมุยนี่ชั่วโมงนึง ถึงจะผ่านมาซักคัน ถ้าไม่มีเที่ยวรถทัวร์เข้า สองแถวก็ไม่มีมาเลยค่ะ

กินข้าวแล้วก้อยากจะเข้าที่พัก อาบน้ำ นอนแล้วด้วย สุดท้ายเลยต้องไปแทีกซี่ แท๊กซี่ที่นี่ไม่มีมิเตอร์นะคะ ใช้ราคาเหมาอย่างเดียว จากที่โทรไปถามที่โรงแรม (อยู่ที่หาดเฉวงน้อย) และถามจากพี่ๆแถวขนส่ง เค้าบอกราคาจะอยู่ที่ 5-600 บาทค่ะ พี่คนขับแทีกซี่คันนี้ เรียกเราที่ 500 บาท ให้ข้อมูลเรื่องแหล่งท่องเที่ยว และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เป็นประโยชน์กับนักท่องเที่ยวเยอะเลยค่ะ พี่เค้าบอกว่า ถ่าจะพักราคาประหยัดแถวๆละไม กับหาดที่เป็นหมู่บ้านชุมชนท้องถิ่น จะมีที่พักราคาไม่แพงเยอะแยะมากมายค่ะ





ประมาณ 10.30 แทีกซี่ก็พาเรามาส่งถึงที่พักค่ะ อิมเพียน่า รีสอร์ท แอนด์ สปา ที่เฉวงน้อย ซึ่งรายละเอียดของโรงแรมได้ทำรีวิวไว้แล้วในหมวด รีวิวที่พัก นะคะ



สำรวจห้องพักแล้ว ก็อาบน้ำนอนเอาแรงก่อนค่ะ นั่งรถทัวร์มาทั้งคืนไม่ได้หลับเลย ง่วงมากมาย กะว่า..เดี๋ยวตื่นมาซักบ่ายๆจะไปนั่งชิลที่บาร์ชายหาด

ตื่นมา บ่ายแก่ๆ ไปนั่งฟังดนตรีฉ่ำๆที่บาร์ริมหาด สุขมากกกกกกกก









สั่งอะไรเบาๆ มากิน เพลินๆ ราคาก็สูงพอสมควรแหละ แต่แลกกะวิวก็โออยู่



นั่งดูแล้วก็เวียนหัว นักท่องเที่ยว เดินไป เดินมา เค้าเดินกันทั้งวันอ่ะ เดินไปไหนกันนักเนี่ย



นั่งอยู่จนเย็น ก็เข้าห้องไปอาบน้ำ เตรียมออกมาทานมื้อค่ำค่ะ หนึ่งทุ่มเป็นต้นไปมีดนตรีเพราะๆให้ฟัง

อาหารที่ห้องอาหารริมชายหาด มีทั้งซีฟู๊ดบุฟเฟต์ และอาหารตามสั่ง ทุกประเภทค่ะ อาหารไทยก็มี รสชาติก็พอทานได้ แต่วันนี้เราเหนื่อยไม่อยากออกไปไหน เลยเลือกทานที่นี่ ถ้าจะทานซีฟู๊ด ปรุงสดๆ ก็มีบริการ ราคาคิดเป็นเซตค่ะ แต่เราสั่งอาหารไทยมาทาน พร้อมของหวานเป็นไอศครีม ราคาอาหารค่ำมื้อนี้ 1090 บาทค่ะ







ทานข้าวอิ่ม ก็เข้านอนค่ะ เป็นอันจบกิจกรรมในวันแรก แพลนสำหรับวันรุ่งขึ้นจะเช่ามอเตอร์ไซค์ไปไหว้พระกันค่ะ



เช้าวันรุ่งขึ้นตรงกับวันครบรอบวันเกิดเราพอดี ตื่นเช้ามาเปิดม่าน เห็นแสงวิบวับที่ทะเล แล้วอดใจไม่ไหว คว้ากล้องเดินออกไปชายหาด เพื่อเก็บภาพนี้มาฝากค่ะ



นั่งชมความสวยของพระอาทิตย์ แล้วก็โทรกลับไปบ้าน พักนึงก็กลับห้องไปอาบน้ำ เตรียมตัวออกมาทานมื้อเช้าค่ะ รูปนี้ถ่ายจากหน้าห้องพัก มองออกมาที่ทะเล



อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก้เดินไปทานข้าวที่ห้องอาหาร Sabai ริมทะเล ที่เราทานมื้อค่ำเมื่อคืนนั่นแหละ รายการอาหารหลากหลาย รสชาติอร่อยค่ะ แต่ไม่มีอาหารไทยนะคะ มีขนมจีบ-ฮะเก๋า-ซาลาเปา และข้าวต้มค่ะ

ชอบที่สุด ตรงที่เค้าจุดเตาน้ำมันอะโรม่าไว้ที่ไลน์อาหารด้วย ตักอาหารไปได้กลิ่นหอมๆไป ชื่นใจดี





ถามข้อมูลมาจากพี่คนขับแท๊กซี่เมื่อวาน และน้องๆพนง.ที่โรงแรม เรื่องร้านเช่ารถ ทุกคนบอกเหมือนกัน ว่าจากโรงแรมเดินย้อนมาตามถนนไม่ไกลก็เจอหลายร้าน เราเลยมุ่งหน้าจากที่พัก เดินไปหารถเช่ากันค่ะ

เค้าบอกว่าไม่ไกล...

เราก็เดินไปชิล ชิล ถนนมันเป็นเนินด้วย เหนื่อยแฮะ ไหนบอกไม่ไกล
ประเมิณเอาจากสายตาและความหอบ เราว่าระยะทางน่าจะเกือบกิโลนะ



ร้านแรกที่เจอ ก็แวะเลยค่ะ ไม่ต้องลังเล เพราะเหนื่อย
ร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมค่ะ ชื่อร้านยุ้ย เป็นร้านนวดด้วย ร้านกาแฟด้วย แล้วก็มีรถมอเตอร์ไซค์ให้เช่าด้วย



มีรถให้เลือกหลายรุ่นค่ะ ร้านนี้คิดค่าเช่าวันละ 200 บาท (24 ชม.) พนง.ที่ร้านบอกว่า บางร้านให้เช่าถูกกว่า 150 บาทก็มี แต่เราถูกอัธยาศรัยกับ พนง.ร้านนี้ เลยตกลงเช่าที่นี่แหละค่ะ

หลักฐาน ที่ทางร้านขอ คือใบขับขี่ และพาสปอร์ต หรือบัตรประชาชน
กรณีใช้บัตรประชาชน จะต้องมีค่ามัดจำ 1000 บาท แต่ถ้าใช้พาสปอร์ตไม่ต้องวางเงินมัดจำค่ะ



ตรวจสอบสภาพรถ เลือกรถ เขียนสัญญาแล้วก็ลุยเลยค่ะ ที่สมุย คนขี่มอเตอร์ไซค์ต้องสวมหมวกกันน็อคนะคะ ส่วนคนซ้อนไม่ได้เคร่งครัดค่ะ ทางร้านมีหมวกให้ด้วย

ปล.พนง.ที่ร้านค่ะ คนนี้ บริการดี ใครไปสมุยแนะนำเลย





มีรถแล้ว จุดแรกมุ่งหน้าไปวัดปลายแหลมค่ะ ใครไปสมุย ก็ต้องไปไหว้พระใหญ่กัน เดิมวัดนี้อยู่กลางเกาะค่ะ แต่ปัจจุบันมีถนนเข้าถึง บริเวณวัดมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใครไป ใครมา ก็ต้องแวะมากราบพระใหญ่กันค่ะ





ก่อนขึ้นไปกราบพระใหญ่ เราไปทำบุญถวายสังฆทานก่อนค่ะ แล้วก็ขึ้นไปกราบ พระพุทธสันตินนทกุล ด้านหลังองค์พระเป็นวิวทะเล สวยงามมากค่ะ เสียดายที่วัดอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เลยรกไปนิด ถ้าสร้างเสร็จคงจะดี





ไหว้พระแล้ว ก็ออกไปที่วัดแหลมสุวรรณราม เพื่อไหว้เจ้าแม่กวนอิมค่ะ ขี้เลยทางเข้าวัด เพราะไม่ทันสังเกต ต้องย้อนมาอีก วัดนี้มีพระอุโบสถ และรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม อยู่กลางน้ำ





จุดหมายต่อไป เราจะไปที่ หินตา-หินยาย แล้วก็ทานมื้อกลางวันค่ะ กางแผนที่ ที่ขอมาจากเรือ ประกอบกับเปิดโปรแกรมแผนที่ในไอโฟน ก็พอคลำๆไปได้ค่ะ

ถนนรอบเกาะจะขึ้นๆลงๆเนิน แบบลักษณะเกาะทั่วไป แต่ทางโค้งไม่ได้ลาดชั้นมาก เหมือนเกาะช้าง หรือภูเก็ตค่ะ



ผ่านเข้าไปที่เฉวง บรรยากาศก็ประมาณช่วง กะรน ป่าตอง น่ะค่ะ ห้างร้าน เยอะแยะมากมาย ผู้คนพลุกพล่าน



ผ่านร้านเช่ารถ และโรงแรมที่เราพักด้วย แต่ยังไม่จอดค่ะ เลยไปก่อน ผ่านจุดชมวิวลาดเกาะ แวะลงไปชมวิวมาหน่อยนึง



มุ่งหน้า ผ่านละไม เพื่อไปชมหินตา-หินยาย ทางเข้าเกือบจะมองไม่เห็นค่ะ เลี้ยวเข้าไปแล้ว ถนนทางเข้าแคบมากๆ สองข้างทางจะเป็นร้านขายของที่ระลึกและจุดจอดรถค่ะ มอเตอร์ไซค์เสียค่าจอดคันละ 10 บาทค่ะ







ถ่ายรูป - ซื้อกาละแม แล้วก็ไปทานข้าวค่ะ ถามใครก็มีแต่คนแนะนำร้านนี้ "เสบียงเล" อยู่ไม่ไกลจากหินตา-หินยายค่ะ ออกมาแล้วสังเกตสะพาน ลงสะพานเล็กๆก็เห็นร้านอยู่ทางซ้ายมือ ฝั่งเดียวกัน บรรยากาศดีค่ะ อยู่ติดทะเล รสชาติอาหารก็อร่อยสมคำร่ำลือ ถูกปากเราค่ะ ราคาตามบิลเลยค่ะ








ทานข้าวอิ่ม ก็กลับที่พักค่ะ เพราะแดดร้อนมาก ตั้งใจว่าจะกลับเข้ามานอนพัก,ว่ายน้ำที่โรงแรม กันเพลินๆ

ระหว่างทาง อยากหาร้านขนม-กาแฟ นั่งเล่น เจอร้านนี้ รีบจอดเลย แต่ปรากฏว่า..เค้าไม่ขายซะงั้น วันนี้ อด !!

เก็บเข้าลิสท์ไว้ คราวหน้าจะมาใหม่



นอนหลับไปหนึ่งตื่น..

อ้าวได้เวลากินอีกแล้ว เราเล็งไว้แล้ว ว่าจะไปกินร้านใกล้ๆโรงแรม อยู่ถัดไปนิดเดียวค่ะ ชื่อร้าน "บูโค่" ขาไปเราขี้รถไปค่ะ แล้วโทรบอกให้ ที่ร้านเช่าเค้าไปรับรถที่ร้าน ขากลับเราก็เดินกลับโรงแรมเพราะอยู่ใกล้ๆ วันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องห่วง



ทีแรกยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทานอะไรดี พนง.เลยแนะนำรายการนี้ค่ะ เป้นโปรโมชั่น Seafood Basket ประกอบด้วย ล๊อปสเตอร์ ,กุ้ง, หอยนางรม หรือ หอยแมงภู่นิวซีแลนด์,ปูม้า,ปลากะพง,ปลาหมึก พร้อมเครื่องดื่ม แถมข้าว จะเป็นข้าวสวยหรือข้าวผัดก็ได้ ราคาเซตนี้ 1999 บาท

อาหารเซตนี้ปรุงตามใจเราค่ะ รสชาติอร่อย ไม่ผิดหวัง เสียดายอยู่นิดเดียวก็ตรงที่ อิ่มมากกกกกกกกกกกกกก กินไม่หมดอ่ะ



ระหว่างรออาหารมีขนมขาไก่ มาให้ทานเล่นๆก่อนค่ะ ฟรี เป็นอีกหนึ่งร้านที่ ทำเลดีมากเลย





พยายามฝืนทาน (อร่อยแต่อิ่ม) แต่ก็ไม่สามารถค่ะ จนสุดท้ายต้องให้ พนง.เอาใส่กล่อง กลับมาฝาก ยาม กับ แม่บ้านที่โรงแรม

ไม่ใช่ของเหลือนะ เราแบ่งไว้แต่แรกแล้ว เพราะรู้ว่าทานไม่หมดแน่ๆ อย่างปลากะพงนึ่งซีอิ้ว เราแค่ตักซุปทาน เนื่อปลายังไม่ได้แตะเลยค่ะ ปูก็ยังเป็นตัวเต็มๆ หมึกผัดไข่เค็มก็แบ่งมาทานนิดเดียวค่ะ



เดินต๊อกๆแต๊กกลับโรงแรม ไปนั่งฟังขิมเพลินๆ ที่ห้องอาหารไทยต่อแปีบนึง นั่งแป๊บนึงก็เข้านอนค่ะ เป็นอันจบไปอีกหนึ่งวัน

วันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัวเดินทางกลับแล้วค่ะ วันสุดท้ายที่สมุย ไม่มีกิจกรรมอะไรมากค่ะ ทานข้าวเช้า เช็คเอ้าท์ ไปนั่งจิบกาแฟ ทานของว่างริมทะเลที่ร้านเดิม แล้วก็เดินทางกลับ วันนี้ลองทาน ขนมจีบ-ฮะเก๋า-ซาลาเปา อร่อยดีค่ะ
ทานมื้อเช้าเสร็จ นอนเล่นพักนึงแล้วก็เช้คเอาท์



เช็คเอ้าท์เรียบร้อย เราก็เดินไปที่ร้านเดิมค่ะ BuCo. เพราะตั้งใจไว้ว่าจะมานั่งเล่นรอเวลาก่อนขึ้นรถไปขนส่ง นั่งจิบกาแฟ ทานเค้ก รอเวลากลับบ้าน





เราตีตั๋วเที่ยวกลับไว้ สี่โมงครึ่ง กะว่านั่งเล่นชิลๆ ซัก 2 ชม.แล้วค่อยโบกสองแถวไปขนส่ง สั่งอาหารมาทานเล่นๆ อร่อยดีค่ะ



ถามจาก พนง.ว่า ค่ารถสองแถวไปขนส่ง ราคาอยู่ที่คนละเท่าไหร่ เค้าว่าประมาณ 60-80 บาทค่ะ แต่ปัญหาคือ สองแถวมีน้อย นานๆจะผ่านมาคันนึง เรานั่งอยู่สอง ชม. เห็นผ่านไปแค่คันเดียว

ลงไปเดินเล่นที่ชายหาด ตรงนี้จะติดกับ เดอะ สราญ ค่ะ หาดบริเวณนี้เป็นหิน แขกของโรงแรม เดอะ สราญ จะมานั่งอาบแดด เล่นน้ำกันที่ชายหาดหน้า บูโค่ หรือไม่ก็เดินไปแถวๆ อิมเพียน่า ที่เราพัก หรือ อิมพีเรียล ที่อยู่ถัดไปค่ะ



บ่ายโมงสี่สิบห้า เรียกเก็บตังค์ เพื่อรอโบกสองแถวไปขนส่งค่ะ ...



ปรากฏว่า รออยู่สิบนาที ไม่มีสองแถวผ่าน เลยตัดสินใจไปแท๊กซี่เหมือนเดิมค่ะ พี่คนขับเรียกราคา 600 เราต่อรองเหลือ 500 เท่ากับขามา ไปถึงสถานีขนส่งจากเฉวงน้อย ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ค่ะ

ห้องขายตั๋ว จะอยู่ที่ตึกแถวด้านหน้านะคะ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ซื้อตั๋วกลับ ไปซื้อได้ที่นี่ค่ะ (ถ้ามีที่ว่างนะ )



เก็บมาไว้เป็นข้อมูล สำหรับใครที่สนใจเวลาเดินรถ บขสงไปสมุยค่ะ เราตีตั๋วไปกลับเลยได้ลดราคา ตั๋ว VIP. เหลือ 884 บาท แล้วไปซื้อตั๋วเรือได้ที่นี่เลยค่ะ ราคา 150 บาท เท่ากับขามา



จุดขึ้นรถ จะอยู่ด้านหลัง นั่งรอเดินไป เดินมา ซื้อของฝาก แล้วก็หาอะไรรองท้องก่อนขึ้นรถ กลัวหิวค่ะ เพราะเค้าจะจอดให้ทานข้าวเย็นก็ประมาณ 2 ทุ่มนั่นแหละค่ะ ร้านเดิมที่สถานี จานละ 45 บาทค่ะ



รถ บขส.ออกตรงเวลานะคะ (ก่อนเวลาซะด้วยซ้ำ ) ประมาณ ห้าโมง เราก็ขึ้นเฟอรี่ บ๊าย..บาย สมุย แล้วจะมาอีก นะจ๊ะ



เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวได้ใกล้ชิดกันมากที่สุด เพราะช่วงอยู่บนเกาะ ต่างคน ก็ต่างมีไลฟสไตล์ อยู่บนเรือไม่มีที่ไปเลยมานั่งคุยกัน



ใครกลับเที่ยวนี้ จะมีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ตกน้ำ กลางอ่าวไทยด้วยค่ะ



สองชั่วโมงเป๊ะ เรือก็พาเรามาถึงฝั่งท่าเรือดอนสัก



ขึ้นรถ พนง.ก็เสิร์ฟของว่าง พร้อมผ้าห่มเรียบร้อยแล้วค่ะ
และเหมือนเดิม รถแวะเติมก๊าซที่ปั้ม ปตท.ดอนสัก ประมาณ สิบห้านาที ก่อนเดินทางต่อ

สามทุ่มนิดๆ รถแวะให้ทานข้าวที่ร้านวังกุ้ง สุราษฏร์ ค่ะ

ไม่อร่อยอ่ะ

ขึ้นรถ กำลังจะหลับ...

อ้าว เค้าจอดให้กินข้าวอีกแล้ว ตอน ตีหนึ่งครึ่ง
ไม่กินแล้วค่ะ กินไม่ไหว ลงไปเข้าห้องน้ำแล้วก็รอรถไปเติมก๊าซ (อีกแล้ว)
ที่ร้านนี้ ห้องน้ำสะอาดและเยอะดีค่ะ ร้านคุณต้น ทับสะแก



ตีห้าครึ่ง ก็ถึงกรุงเทพค่ะ เรียกแท๊กซี่กลับบ้านไปนอนต่อ ง่วงมากกกกก เป็นอันจบทริปสมุยอบ่างสวยงาม

สรุปความพึงพอใจ ของทริปนี้ ที่พัก ที่เที่ยว ผู้คน และการเดินทาง ถือว่าพอใจมากค่ะ ใครสนใจจะตามรอยยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ

ทริปหน้าไปไหน ถ้าไม่ยุ่งจนเกินไปจะมาเล่าสู่กันฟังเหมือนเดิมค่ะ สัญญา

ขอคุณทุกท่านที่เข้ามาทักทาย และลงชื่อให้กำลังใจนะคะ แล้วพบกันใหม่ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2555 16:45:25 น.   
Counter : 10928 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

prettyguide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ prettyguide's blog ค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอัญมณี และของดีเมืองจันท์ เชิญลงชื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ค่ะ prettyguide จะขออาสาพาเพื่อนๆเที่ยวเมืองจันท์ให้ครบทุกซอกทุกมุม ใครอยากไปไหน หรืออยากได้ข้อมูลของจันทบุรี ก็บอกมาได้เลยค่ะ

================================

ภาพถ่ายทั้งหมด
ภายใน blog นี้สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัิญญัติสิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาิิต
New Comments
[Add prettyguide's blog to your web]