เที่ยวแล้วสบายใจ...ไม่เน้นรายได้จากงานประจำ

เที่ยวในหน้าที่ครั้งนี้ไปกัมพูชา ตอนจบ : ชมปราสาทอังกอร์ก่อนกลับไทย

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ




รีวิวฉบับเต็มจากบอร์ดบลูแพลนเนต คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11070732/E11070732.html


สำหรับตอนนี้ เป็นตอนสุดท้ายค่ะ เป็นวันสุดท้ายในกัมพูชา เราตะลุยชมปราสาทกัน 4 แห่ง ก่อนกลับเมืองไทยทางอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วค่ะ

เนื่องจากไปมานาน ข้อมูลก็ลืมๆเลือนๆไปบ้าง ขออนุญาตนำข้อมูลจากเวปฯและแปะภาพเป็นหลักนะคะ ได้โปรดอภัย



เช้าวันนี้ เราออกจากโรงแรมที่พักตั้งแต่เช้า เนื่องจากเป็นการเที่ยวปราสาททั้งวัน แล้วต้องรีบกลับเมืองไทยให้ทันก่อนด่านปิด จุดแรกต้องไปซื้อตั๋วเข้าชมก่อนค่ะ เหมือนกับการเที่ยวอุทยานแห่งชาติในบ้านเรา คือซื้อตั๋วครั้งเดียวเที่ยวได้ทุกอุทยาน แต่เนื่องจากปราสาทหินในเสียมเรียบมีหลายแห่งและแต่ละแห่งต้องใช้เวลาในการเยี่ยมชมมาก เค้าจึงมีตั๋วแบบทั้งรายวัน รายสองวัน สามวัน จนถึงรายสัปดาห์ค่ะ ของเราซื้อแบบวันเดียว ไปต่อแถวซื้อบัตร ถ่ายภาพแบบทันทีแล้วก้เข้าชมได้เลย



หน้าตาบัตร ด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบนี้ค่ะ รูปไม่ค่อยชัดนะคะ แอคชั่นกันได้เต็มที่เลยเค้าไม่ว่า



จุดแรกเราไปที่ปราสาทบันทรายศรี ค่ะ ทางเข้ามีร้านขายของที่ระลึกอยุ่เยอะเลย ระหว่างทางเข้า มีทุ่งนาสวยๆแบบนี้



ปราสาท บันทายสรี

ปราสาทบันทายสรี หรือ บันเตียเสรย ในภาษาเขมร สร้างโดย พราหมณ์ยัญชวราหะ เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 16 สมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เพื่อถวายให้แด่พระศิวะ
ปราสาทแห่งนี้ ถูกสร้างโดย คุรุ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนง จึงมีลักษณะงดงามอ่อนช้อย จนได้รัีบชื่อว่า บันเตียเสรย
ปราสาทที่อ่อนช้อยเช่นสตรี (บันเตีย=ป้อมปราสาท, เสตรย=สตรี)
ปราสาทบันทายสรี เป็นปราสาทที่สร้างโดยพราหมณ์ ดังนั้น จะเห็นว่าปราสาทแห่งนี้ต่ำกว่าปราสาทอื่น ๆ ที่สร้างโดยกษัตริย์ ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นการลบหลู่พระเกียรติของกษัตริย์นั่นเอง
จุดเด่นของบันเตียเสรย คือเป็นปราสาทแห่งเดียวสร้างด้วย "หินทรายสีชมพู" ซึ่งเป็นหินทรายที่แข็งแกร่งและงดงามที่สุด ทำให้ลวดลายต่าง ๆ ที่สลักบนเนื้้อหินจะยังคงปรากฏเด่นชัดจนปัจจุบัน
ประกอบกับสีชมพูของเนื้อหินยิ่งขับความงามของลวดลายสลักนั้นให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น
จนพอจะกล่าวได้ว่า หากไม่นับขนาดความใหญ่โตของปราสาท
ปราสาทบันทายสรี เป็นปราสาทที่งดงามที่สุดในเขมร


ข้อมูลจาก ://www.tripangkor.com/destination/banteaySrey.htm




รูปสลักโคนันทะ พาหนะของพระศิวะ ที่ปราสาท บันทายสรี



ทิ้งท้ายปราสาทบันทายสรี อีกภาพก่อนไปจุดต่อไปค่ะ



แวะช๊อปปิ้ง ตามประสานักท่องเที่ยวคนไทย ก่อนขึ้นรถกลับ ของที่ขายก็เหมือนๆกับในตลาดที่เราซื้อเมื่อคืนค่ะ ถ้าหิวบริเวณนี้ก็มีร้านอาหารบริการนะคะ



ระหว่างทางไปยังปราสาทบันทายสรี จะมีหมู่บ้านเล็กๆทำจ้ำตาลโตนดขาย แวะซื้อกันเป็นที่สนุกสนาน แต่น้ำตาลเค้าหอมจริงๆนะคะ



นอกจากน้ำตาลโตนดแล้ว ก็ยังมีเครื่องจักสาน และของที่ระลึกอื่นๆอีกด้วยค่ะ ราคาไม่แพงมาก ใครชอบทำขนมแนะนำให้ซื้อน้ำตาลมาเลยค่ะหอมหวานจริงๆ



จุดต่อไป คือปราสาทตาพรหม ส่วนตัวเราชอบปราสาทนี้มากที่สุด เพราะร่มรื่นและเขียววววววววว ฮ่า ฮ่า



ระหว่างทางเดินไปยังตัวปราสาท มีวงดนตรีคนพิการเล่นเปิดหมวกให้ฟังด้วยค่ะ



ช่วงที่ไป ทุกปราสาทอยู่ระหว่างการบูรณะ หลายๆจุดอาจจะถ่ายภาพไม่ค่อยสวยนะคะ



ปราสาท ตาพรหม

ปราสาท ตาพรหม เป็นปราสาทที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างถวายให้กับ พระมารดา เชื่อกันว่า ปราสาทตาพรหมนั้นเป็นอารามหลวงในยุคนั้นด้วย
ส่วนคำว่า ตาพรหม นั้น น่าจะมาจากชื่อของผู้เฝ้าปราสาท ในช่วงที่คณะสำรวจ ชาวฝรั่งเศสเข้ามาถึงตัวปราสาทนี้
จุดเด่นสำคัญของปราสาทตาพรหม คือรากไม้ของต้นสะปง(ไทยเรียกสมพงษ์)
ซึ่งขึ้นครอบคลุมปราสาททั่วบริเวณ บางต้นมีอายุถึง 300 ปี จนได้รับการคัดเลือกเป็น ฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Tumb Raider

ข้อมูลจาก : //www.tripangkor.com/destination/taprom.htm



ภาพสลักรูป เสต๊กโกซอร์ส ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ชนิดหนึ่งภายในปราสาทตาพรหม



นางอัปสรา ที่ว่ากันว่าสวยที่สุด แห่งปราสาทตาพรหม



ที่ปราสาทตาพรหม มีจุดถ่ายรูปสวยๆ ให้เจาะถ่ายหลายมุมค่ะ



ห้องอธิษฐาน ให้ทุบที่หน้าอกสามครั้งหลังจากอธิษฐานเค้าว่าจะได้ผลสำเร็จ



ชอบหลายมุมที่นี่มากค่ะ ถ่ายมาเยอะหน่อย



ทิ้งท้ายอีกมุม ก่อนไปทานมื้อกลางวัน



ระหว่างทางที่เดินจากตัวปราสาทมาถึงรถ แม่ค้าตัวน้อยจะคอยตามตื้อให้เราซื้อของ ลดแลกแจกแถมกันอุตลุด แต่ถ้าซื้อคนที่หนึ่ง คนที่สอง-สาม-สี่ ก็จะตามกันมาเป้นขบวน โปรดทำใจ



เราย้อนเข้าไปในตัวเมืองเสียมเรียบ เพื่อไปทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารกลางเมือง ส่วนใหญ่รายการอาหารจะเป็นประเภทปลาน้ำจืด เรื่องรสชาติ ก้ใช้ได้ แต่ไม่อร่อยเท่าอาหารบ้านเราหรอกค่ะ



อาหารเยอะมาก เหลือทุกจาน



ทานกลางวันเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาทบายน นครธม ค่ะ ที่นี่เราต้องเปลี่ยนรถ เป็นรถตู้ของอุทยาน รถของเราไม่สามารถขับเข้าไปได้ค่ะ



ปราสาท บายน

ปราสาท บายน เป็นศูนย์กลางของเมืองนครธม สร้างขึ้นโดย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตัวปราสาทนั้น เปรียบเสมือนเป็นเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตามความเชื่อดั้งเดิม
มีการสันนิษฐานว่าชื่อ "บายน" นั้นน่าจะมาจากคำว่า "ไพรชยนต์" ซึ่งเป็นที่ประทับ ของพระอินทร์ บางกระแสก็ว่า น่าจะมาจากคำว่า "บรรยงค์" อันหมายถึง พระที่นั่งใน พระมหาราชวัง

ข้อมูลจาก : //www.tripangkor.com/destination/bayon.htm



ใบหน้าขนาดใหญ่ที่ปรากฏบนพระปรางค์ของปราสาทบายนนั้น มีจำนวนถึง 54 พระพักตร์ ปัจจุบัน ยังคงเหลือเพียง 37 พระพักตร์เท่านัี้น สำหรับพระพักตร์นั้น สันนิษฐานว่าจะ เป็นพระพักตร์ของพระจ้าชัยวรมันที่ 7 บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นพระพักตร์ของ พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร ในศาสนาพุทธมหายาน ซึ่งในรัชสมัยนั้น ศาสนาพุทธนิกายมหายาน เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
ปราสาทบายน ประกอบด้วย ระเบียงคดสองชั้น ชั้นนอกนั้นผุพังเป็นบางส่วน ส่วนกำแพงของระเบียงคตชั้นนอกนั้น จะแกะสลักเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งเรื่องราวของกษัตริย์

ข้อมูลจาก : //www.tripangkor.com/destination/bayon.htm



ภาพแกะสลัก รอบๆปราสาท



เดินที่ปราสาทบายน มีสิทธิ์หลงได้ง่ายๆ เพราะมีทางเข้าไปรอบทิศ และหน้าตาทุกทิศก็เหมือนๆกันไปหมด ต้องนัดหมายกันให้ดีๆนะคะ



เวลาใกล้หมด ต้องรีบไปต่อ ที่นครวัด

ความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาท นครวัด นั้น ไม่ได้มาจากเพียงแค่ขนาดอันใหญ่โตมโหฬาร ของตัวปราสาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประวัติศาสตร์ และตำนานที่ซ่อนตัวภายในด้วย

ไปแบบรีบๆร้อนๆ แทบจะไม่ได้อะไร ต้องไปซ่อมแน่นอนค่ะที่นี่



ภาพสลักที่ระเบียงคตชั้นใน

ภาพสลักที่ระเบียงคตชั้นใน ของนครวัดมีความยาวกว่า 600 เมตร
ซึ่งมีภาพสลักสำคัญ ๆ ได้แก่
- ภาพสลักการกวนเกษียรสมุทร
- ภาพสลักการรบที่ทุ่งกุรุเกษตร ซึ่งเป็นการรบระหว่าง ตระกูลเการพ และปาณฑพ จาก มหากาพย์มหาภารตะยุทธ
- ภาพสลักการต่อสู้ระหว่างเทพกับยักษ์ จาก รามายณะ
- ภาพสลักขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เมื่อยกทัพไปปราบพวกจาม ซึ่งในนั้นก็จะมีขบวนทัพของ สยามกุก หรือ ประเทศสยาม เข้าร่วมด้วยในฐานะประเทศราช
นอกจากนี้ที่ระเบียงคตชั้นในยังมีภาพสลักในศาสนาฮินดูอีกมากมาย



ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู จะสมมติให้ปราสาทเปรียบดังสวรรค์
ปรางค์ประธาน จะเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ เขาที่สูงที่สุดในสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ประทับของเทพสูงสุดคือ พระศิวะ
ส่วนพระปรางค์ ทั้งสี่ที่รายล้อมปรางค์ประธานนั้น ก็เปรียบได้กับของขุนเขา ใหญ่น้อยอันเป็นที่สถิตของเทพต่าง ๆ ตามลำดับชั้น



ที่นครวัด มีห้องอธิษฐานเช่นกันค่ะ



ต้องมีเวลาซัก สองวันเต็มๆ ถึงจะชมความงามได้ทั่วทุกมุม



อัปสรา หรือ อัปสร ในภาษาไทยนั้นถือกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทร นางอัปสราในศิลปะขอมแบบนครวัด จะมีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร กว่าศิลปะขอมแบบอื่น



เดินชมความงามยังไม่จุใจ ก็ต้องรีบกลับ เพราะกลัวไปไม่ทันด่านปิด เดี๋ยวจะกลับเมืองไทยไม่ได้

ออกจากนครวัด มุ่งหน้ามาที่จุดผ่านแดนคลองลึกทันเวลาด่านปิดพอดิบพอดีค่ะ ทริปนี้จบลงด้วยความเหนื่อย แต่ก็สนุก





เป็นอันจบทริป ชมปราสาท ที่เสียมเรียบ ขอบคุณที่ติดตามชม สวัสดีค่ะ




Create Date : 16 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2555 15:15:16 น. 0 comments
Counter : 3582 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prettyguide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ prettyguide's blog ค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอัญมณี และของดีเมืองจันท์ เชิญลงชื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ค่ะ prettyguide จะขออาสาพาเพื่อนๆเที่ยวเมืองจันท์ให้ครบทุกซอกทุกมุม ใครอยากไปไหน หรืออยากได้ข้อมูลของจันทบุรี ก็บอกมาได้เลยค่ะ

================================

ภาพถ่ายทั้งหมด
ภายใน blog นี้สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัิญญัติสิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาิิต
New Comments
[Add prettyguide's blog to your web]