เที่ยวแล้วสบายใจ...ไม่เน้นรายได้จากงานประจำ

ขับรถเที่ยวอิสานใต้ ด้วยความประทับใจ "อุบลราชธานี" : ตอนจบ

ทริปเยือนถิ่นเก่า อีสานใต้ ปลายทางที่จังหวัดอุยลราชธานี
2 วันครึ่ง 2 คืนเต็ม ค่ะ

ตอนนี้เป็นตอนจบ
หากต้องการชมตั้งแต่ตอนแรก เข้าไปย้อนรอยชมได้ที่ด้านบนนะคะ
ตอนที่สอง ซึ่งเป็นตอนจบนี้ จะเริ่มกันที่ผาแต้ม ค่ะ
ก่อนแวะไปเยี่ยมถิ่นเดิม หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอกุดข้าวปุ้น
แล้วขับรถย้อนกลับมานอนในตัวเมือง ไปเที่ยวกันต่อนะคะ

จากจุดชมวิวถ้ำนางลี้
เดินย้อนไปชมภาพเขียนสีกันต่อค่ะ มาถึงตอนนี้

เพื่อนร่วมทาง ทิ้งกันซะแล้วค่ะ
ไม่ยอมลงไปด้วยกัน บอกว่าเคยมาแล้ว ลงไปคนเดียวเหอะ

เนี่ยน้า..
ไม่ยอมออกกำลังกาย แค่นี้ก็เหนื่อยซะแล้ว ทางลงไป ค่อนข้างชันนะคะ
ขาลงไปน่ะไม่เท่าไหร่ ขาขึ้นมานี่สิ่







ทางเดินเลาะไปตามผาหิน

ด้านขวาจะชันลงไปเรื่อยๆ ทางเป็นหินทรายค่อนข้างลื่น
ถ้ามีเด็กๆมาด้วย ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะคะ ทางลาดลงบ้าง ขึ้นเนินบ้าง
ต้องระมัดระวังเรื่องของพื้นรองเท้าเป็นพิเศษ เพื่อกันอุบัติเหตุลื่นล้มค่ะ มีจุดนั่งพักเป็นระยะๆ ถ้าเหนื่อย



ถึงจุดแรกแล้วค่ะ ดูใกล้ๆ เป็นรูปปลา



เดินต่อไปค่ะ

จุดนี้จะมีน้ำไหลลงมาจากหน้าผา
ทำให้พื้นเปียก ต้องระวังนะคะ เพราะความชุ่มชื้นของน้ำตามธรรมชาติที่ไหลลงมา
ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยพืชนานาชนิดค่ะ



เดินมาถึงช่วงที่ 2 แล้วค่ะ

ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ กลุ่มที่ 2 (ผาแต้ม)
เป็นภาพเขียนสีกลุ่มที่ใหญ่อยู่ห่างจากเขียนกลุ่มผาขาม 300 เมตร ภาพเขียนสีในจุดนี้ เป็นกลุ่มภาพเขียนสีที่มีขนาดใหญ่ และ ยาวถึง 180 เมตรมีหลากหลายแบบทั้งภาพคน สัตว์ และอื่นๆ กว่า 300 ภาพ ปะปนกัน บางภาพก็ซ้อนทับกันอยู่ ภาพที่พบในจุดนี้จะมีลักษณะ สามารถแยกประเภทได้ชัดเจนใช้สีแดงเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้เทคนิคทั้งการลงสี และการทำรูปรอยลงในเนื้อหินลักษณะเด่นของกลุ่มภาพเขียนสีที่ผาแต้มนี้จะเป็นภาพของฝ่ามือมนุษย์ แบบทึบ และแบบโปร่ง ภาพสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำ ภาพเขียนที่เป็นสัตว์บก เช่น ช้าง วัว หมา และภาพเขียนสีที่เป็นสัตว์น้ำ เช่น เต่าหรือตะพาบ ปลาบึก(ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่พบในลำน้ำโขง) ลักษณะของการวาดภาพมีทั้งการวาดโครงร่าง และการระบายสีทึบ ภาพสัตว์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่นี้ควรเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้น การสร้างภาพเขียนสีสร้างโดย 2 เทคนิคใหญ่ๆ คือ 1. การลงสี (Pictograph) หรือการสร้างภาพด้วยสี ในวิธีต่างๆ เช่นวาดด้วยสีแห้ง(Drawing Withdraw Pigment) เขียนหรือ ระบายเป็นรูป (Painting) พ่นสี (Stenciling) สะบัดสี (Paint Splattering) การทาบหรือทับ (Imprinting) 2. การทำรูปรอยลงในหิน มีวิธีต่างๆ เช่นฝน จารขูดขีด แกะหรือ ตอก ฯลฯ การใช้สีที่พบจะเป็นสีแดงจะสัมพันธ์กับพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตาย เพราะตามแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในประเทศไทย มักจะพบสีแดงหรือสิ่งของ สีแดงในหลุมฝังศพงานศิลปะที่ผาแต้ม จึงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายของผู้ตายในสมัยนั้นภาพเขียนสีในอุทยานแห่งชาติ ผาแต้มที่พบและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 กลุ่มตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติชื่อว่าศิลปะถ้ำ สีที่คนในยุคโบราณมักใช้ในการวาดคือ หินเทศ ที่จริงแล้วก็คือ หินทราย ชนิดหนึ่ง มีชื่อหลักว่าหินทรายแดง จะพบได้ทั่วไปในพื้นที่ประเทศไทย และจะพบมากในพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาหินทราย หินทรายแดงจะประกอบด้วยอนุภาคดินทรายแป้งที่ความละเอียดมาก สีเทาปนแดง แร่ที่เป็นองค์ประกอบหลักคือแร่ควอตร์และแร่เหล็กที่เรียกว่า hematite คนในยุดก่อนรู้จักนำเอาหินทรายแดงมาใช้ ประโยชน์โดยเฉพาะตามแหล่งภาพเขียนสีโบราณจะพบว่ามีการนำเอาหินทรายแดงหรือหินเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบในการวาดภาพตามผนังถ้ำ ตามหน้าผา หรือวาดลงบนเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ

ที่มา : //park.dnp.go.th/visitor/scenicshow.php?id=150









สาแก่ใจแระ (ความจริงเหนื่อย) กลับดีกว่า

ไม่สามารถเดินไปจนสุดทางได้ค่ะ ยอมแพ้
เหนื่อยจริงๆ ร้อนด้วย ที่สำคัญฝนเริ่มลงเม็ดแล้วล่ะค่ะ



ระหว่างทางเดินกลับ

เห็นถุงขนมถูกทิ้งอยู่ตามหน้าผาเยอะแยะไปหมด
ไอ้เราจะปีนลงไปเก็บก็ใช่ที่ เดี๋ยวตกลงไปไม่มีใครรู้ใครเห็น

นึกสงสัยว่า เออนะช่างไม่มีวินัยกันซะเลย
พอใกล้ถึงทางขึ้น สวนกับน้องๆนักเรียนกลุ่มใหญ่ กำลังเดินลงมา
ทุกคนถือขนมติดมือกันมาทั้งนั้น ก็เลยถึงรู้ที่มา

ไอ้เราจะเข้าไปสอนไปบอกเค้า ก็กลัวเด็กมันจะย้อนเอา
แต่แค่สงสัย.. ว่าคุณครู เค้าไปไหนนะ ไม่ลงมาด้วย จะได้คอยควบคุมดูแลเด็กๆ



มาถึงบางอ้อ..อีกครั้ง

คุณครู กำลังสนุกสนานอยู่กับการถ่ายภาพหมู่ ข้างบนนี้ค่ะ
สนุกสนานกันยิ่งกว่าเด็กๆซะอีก

อืม..คุณครูขา
ไม่ลงไปดูแลเด็กๆ กันหน่อยหรือคะ
ไม่รู้ว่าได้สอน ได้บอกกันหรือเปล่าเน๊อะ เรื่องขยะอ่ะ

ไม่เอา ไม่เอา เรามาเที่ยวนะ ทำใจให้ร่าเริง
รีบไปต่อดีกว่า ฝนลงเม็ดแล้ว



เพราะฝนตก
ทำให้ที่วางแผนไว้จะไปเที่ยวน้ำตกก็เลยล้มเลิก
แก่งตะนะ ก็ไม่ได้แวะค่ะ เพราะน้ำมาก ก็มองไม่เห็นแก่ง

เราก็เลยมุ่งตรงไป กุดข้าวปุ้นกันเลย
ระหว่างทาง คุณผู้ชายจำได้คลับคล้าย คลับคลาว่าจะมีทางเลี้ยวไปตัวอำเภอได้

แวะถามน้องๆ นักศึกษาที่เดินอยู่ปากทาง
น้องบอกใช่แล้ว เข้าไปทางนี้ได้ค่ะ ไปอีกไกลเหมือนกัน พี่แวะถามชาวบ้านไปเรื่อยๆนะคะ


เลยถามน้องเค้าว่า..จะไปไหน

น้องบอกว่า...ไปหมู่บ้านในนี้

ถามต่อ... ไปด้วยกัน มั้ย

"ไปค่ะ ขอบคุณค่ะพี่ "

กระโดขึ้นท้ายรถเลยน้อง แต่รถพี่สูงอ่ะ น้องขึ้นไหวป่าววววว
55555555555555555555555555555555555555555555+



จากปากทางกับ จุดที่เราจอดแวะส่งน้องๆ
ระยะทางก็ไกลหลายกิโลอยู่นะคะ
นึกในใจ ถ้าไม่เจอเราเค้าเดินกันแบบนี้ทุกวันเลยเหรอเนี่ย ไกลมากกกกก

ถนนเป็นทางคอนกรีตเล็กๆ ผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน
แต่ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เป็นทางดินแดงแล้วล่ะค่ะ สองข้างทางเป็นนาข้าวเขียวไปหมด


ถามคุณผู้ชายว่า.. มาถูกทางแน่นะ
มันไม่น่าจะเป็นทางเชื่อมระหว่างอำเภอได้อ่ะ

คุณผู้ชายบอก..ได้ดิ่
สมัยที่เคยอยู่ที่นี่ก็เป็นแบบนี้แหละ แต่บ้านคนจะน้อยกว่านี้

ยังคงจอดถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ ทุกคนบอกขับตรงไปเรื่อยๆ ถามไปเรื่อยๆเลย เดี๋ยวก็ถึง



กลิ่นข้าวออกรวงใหม่ หอมมากค่ะ
เปิดกระจกก็ได้กลิ่นเลย ชื่นใจมากกกกกกกกกกกก

ทางเป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะฝนตกหนักมาหลายวัน

คุณผู้ชายบอก ไม่ต้องกลัวนะ รถเราขับเคลื่นสี่ล้อ



อ๋อ..
อย่างนี้ นี่เอง ตอนออกจากบ้านถึงย้ำนัก ย้ำหนา
ว่าไปอุบลฯทริปนี้ เอารถกะบะไปนะ เราก็ว่าเปลืองน้ำมันจะตาย
ทำไมไม่เอารถเก๋งไป(ฟร๊ะ)555555555555+





แวะไปถามหาชาวบ้านที่เคยทำงานด้วยกันมากับคุณผู้ชาย ปรากฏว่าล้มหาย ตายจากกันไปเกือบหมดแล้ว รุ่นพี่ ที่เคยทำงานด้วยกันก็แต่งงานแต่ง
การกับลูกสาวชาวบ้านถิ่นนี้ ลงหลักปักฐานอยู่กันที่นี่ จนกระทั่งปัจจุบันได้เป็นหัวหน้าส่วนระดับอำเภอกันไปหมดแล้ว คงเป็นเพราะไม่อยากทิ้งถิ่น ความก้าวในหน้าที่การงานก็เลยดูเหมือนจะช้ากว่าคนที่ย้ายไปเรื่อยๆ (แบบอิตาคนข้างๆอิชั้นเป็นต้น)

เมื่อจนที่ที่อยากเจอ ได้เห็นที่ที่เคยอยู่
เราก็กลับเข้ามาในเมืองค่ะ คืนนี้เราจะไปพักกันที่ อุบลบุรี รีสอร์ท รายละเอียดที่พักตามไปชมได้ที่หมวด "รีวิวที่พัก" นะคะ

เดินชมที่พักกันซักพัก เราก็ออกไปรับประทานอาหารเย็นค่ะ

ไม่ไกลจากที่พัก ขับมุ่งหน้าเข้าเมืองอุบลฯ ก่อนข้ามสะพานเสรีประชาธิปไตย เลี้ยวซ้ายลงข้างสะพาน จะมีร้านแพริมน้ำอยู่หลายเจ้าค่ะ

จะลอดใต้สะพานไปอีกฝั่ง หรือจะเลี้ยวซ้ายก็ตามสะดวก
เราเลือกเลี้ยวซ้ายไปร้านนี้ค่ะ (เลือกจากร้านที่มีรถจอด แสดงว่าน่าจะอร่อย)

ร้านพลอยไพจิตร ค่ะ

เพราะบรรยากาศแบบนี้แหละ ที่ทำให้เราตัดสินใจพักในเมืองกันอีกคืน







บรรยากาศดี อาหารอร่อย

โดยเฉพาะปลาช่อนแป๊ะซะ รสชาติเยี่ยม !!! ค่ะ



รับประทานมื้อเย็นอิ่มกำลังดี แต่ยังไม่อยากเข้านอน
แอบแว๊บบบบไปฟังเพลงที่ค๊อฟฟี่ช๊อปของโรงแรมต่อค่ะ


เช้าตื่นขึ้นมา
อาบน้ำเก็บข้าวของเตรียมเช็คเอ้าท์ แล้วก็เข้าไปทานมื้อเช้า
ห้องเดียวกับที่ฟังเพลงเมื่อคืนนั่นแหละค่ะ เช็คเอ้าท์ แล้วเราก็เข้าไปหาซื้อของฝากค่ะ

บริเวณข้างศาลากลาง หรือตรงข้ามอำเภอ นั่นแหละเพราะศาลากลาง กับที่ว่าการอำเภออยู่ติดกัน ร้านนี้คุณผู้ชายเค้าซื้อประจำ ตั้งแต่ทำงานที่นี่

ระแวกนี้ มีร้านของฝากหลายร้านค่ะ

เลือกซื้อหากันได้ตามสะดวกเลย ราคาก็ไม่แตกต่างกันหรอกค่ะ มาเมืองอุบล ต้องซื้อหมูยอ นอกจากหมูยอ ก็ต้องซื้อ แหนมเนือง,แหนมซี่โครง,กุนเชียง และที่ขาดไม่ได้ "เค็มบักนัด" รู้จักกันมั้ยเอ่ย ?????

เค้าว่าเป็นปลาร้าหมักกับสับปะรดน่ะค่ะ คงประมาณน้ำบูดู ของภาคใต้กระมัง







ซื้อของฝากเสร็จแล้วนึกขึ้นได้ "ยังไม่ได้กินก๋วยจั๊บเลย"
เพราะที่โรงแรมมีอาหารเช้า กลัวขาดทุนเลยลืมไปเสียสนิท ว่าจะมาหาก๋วยจั๊บญวนกินมื้อเช้า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

ถึงจะอิ่มแค่ไหนก็สามารถค่ะ

เดินไปแค่สอง-สามก้าว ก็ถึงแล้วร้านอาหารพื้นเมือง อยู่ใกล้ๆกันแค่นี้เอง
สั่งมาก่อนเลยค่ะ ก๋วยจั๊บกระดูกหมู หันไปเจอถาดอะไรหน้าตาแปลกๆ

เหมือนข้าวเกรียบปากหม้อก็ไม่เชิง ปอเปี๊ยะสดก็ไม่ใช่
วางไว้ใกล้ๆหมูย่าง ถามไถ่ ได้ความว่าคือ"ขนมเหนียวหน้าหมูย่าง"

ไหนลองจัดมาพิจารณาใกล้ๆ ซักที่นึงซิคะน้อง


ปรากฏว่า... อร่อยมากค่ะ
ถ้าไม่อิ่มอืดอยู่ คงได้ต่อจานที่สองเป็นแน่แท้







ยังค่ะ ยังไม่หมดเท่านี้
ขนมปังค่ะ ซื้อไว้เป็นเสบียงระหว่างเดินทาง



ออกเดินทางเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย
เราใช้เส้นทางเดิมค่ะ จากอุบลราชธานี ,วารินฯ,กันทรารมย์ ศรีสะเกษ ขุขันธ์ เข้าสาย 24 แล้วมาเลี้ยวซ้ายเข้าสายมิตรภาพ เหมือนเดิม แต่มาแยกเข้าสาย 304 ที่ปักธงชัยค่ะ เพราะขากลับเราจะไปจันทบุรี

หลายคนแนะนำให้ไปทางสระแก้ว แต่ด้วยว่าฝนตก และเกรงว่ากว่าจะถึงก็มืดค่ำ เราจึงยอมขับอ้อมไปอีกหลายกิโล เพื่อขับบนถนนสี่เลนตลอดสายดีกว่า

มาถึงวังน้ำเขียวช่วงบ่ายแก่ๆ
แวะทานมื้อบ่ายกันที่ร้านสะเต๊กต้นน้ำ ท่ามกลางสายฝนค่ะ

สั่งอาหารจานเดียวมาทานคนละจาน เครื่องดื่มคนละแก้ว แล้วก็ออกเดินทางต่อค่ะ





กลับถึงบ้าน(จันทบุรี) ตอนใกล้ค่ำพอดี
เป็นการเดินทางอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจค่ะ

ขอบคุณเจ้าบ้านเมืองอุบลราชธานี ที่ดูแลอย่างดีเยี่ยม
ทั้งๆที่เราไปเยือนแบบไม่ค่อยได้ให้เวลาตั้งตัว

ขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาทักทาย และลงชื่อให้กำลังใจนะคะ
ทริปต่อไป ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ และปลายทางจะเป็นที่ไหน

แต่สัญญาว่า จะกลับมารีวิวให้ชมกันอีกแน่นอนค่ะ



สวัสดีค่ะ



ชมรีวิวฉบับเต็มที่บอร์ดบลูแพลนเนทได้ จากลิงค์นะคะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8387478/E8387478.html


Create Date : 01 เมษายน 2553
Last Update : 1 เมษายน 2553 18:35:07 น. 5 comments
Counter : 3073 Pageviews.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

มาแก้ข่าวเรื่องเค็มบักนัดค่ะ
เค็มบักนัดแตกต่างจากน้ำบูดูมากเลยนะคะ

เค็มบักนัดเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น
ในการถนอมอาหารด้วยวิธีแปรรูปแบบดองเค็ม
เพื่อให้เก็บไว้ได้นาน
การทำเค็มบักนัด
จะใช้ส่วนเนื้อปลาเทโพ หรือปลาสวาย
ติดหนังหั่นเป็นชิ้นบางๆ คลุกเคล้ากับเกลือ
ให้เกลือซึมเข้าไปในเนื้อปลาๆ จะแข็งตัวขึ้น
ทิ้งค้างคืนอย่างน้อย 1 คืน
จากนั้นหาสับประรดสุกเนื้อหวานฉ่ำ
มาสับละเอียดใช้ทั้งน้ำและเนื้อสับประรด
แล้วนำมาคลุกกับปลาที่หมักไว้ให้ทั่วเป็นเนื้อเดียวกัน
จากนั้นนำไปบรรจุใส่ขวด
นิยมนำมาทำหลนเค็มบักนัด
หรือนำมาทานสดๆ ทานกับผักสดได้เลยค่ะ

ส่วนน้ำบูดู
เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาทะเล
นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อ
ให้สามารถเก็บไว้บริโภค ได้ยาวนาน
ชาวบ้านจึงนำปลา มาคลุกเกลือหมักไว้รับประทาน
น้ำบูดูมีลักษณะคล้ายน้ำปลา
มีน้ำข้นปานกลาง
นำมารับประทานเป็นเครื่องปรุงรส
ใช้เป็นเครื่องจิ้ม


โดย: อุ้มสี วันที่: 1 เมษายน 2553 เวลา:20:23:04 น.  

 
^
^

ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ คุณอุ้มสี


โดย: prettyguide วันที่: 1 เมษายน 2553 เวลา:20:38:45 น.  

 
แวะ มาชม ค่ะ คิดถึงอุบลจัง อยากกินหมูยอ อร่อยมาก ไปทีไรต้อง ซื้อ ..ผาแต้ม ไปหน้าหนาวอากาศดีมาก..


โดย: tifun วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:19:25:03 น.  

 
ขออนุณาตใช้ Blog ของคุณเป็นตัวอย่างในการทำกิจกรรมที่
//www.whuchannel.com นะครับ ยังไงก็มาร่วมสนุกกันได้นะครับ


โดย: whuchannel IP: 58.8.110.69 วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:15:10:07 น.  

 
คุณ whuchannel คะ

ต้องขอโทษด้วย ค่ะ
การทำบล็อคนี้ขึ้นมาก็เพื่อบันทึกเรื่องราวการเดินทาง
และเป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนๆบล็อคแก๊งค์ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการวางแผนเดินทางค่ะ มิได้มีเจตนาที่จะร่วมสนุกชิงรางวัลใดๆทั้งสิ้น

ขอสงวนสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำไปเป็นตัวอย่างในเวปของคุณนะคะ

ขอบคุณที่กรุณานำลิงค์ออกจากหน้าเวปของคุณค่ะ


โดย: prettyguide วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:15:39:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prettyguide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ prettyguide's blog ค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอัญมณี และของดีเมืองจันท์ เชิญลงชื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ค่ะ prettyguide จะขออาสาพาเพื่อนๆเที่ยวเมืองจันท์ให้ครบทุกซอกทุกมุม ใครอยากไปไหน หรืออยากได้ข้อมูลของจันทบุรี ก็บอกมาได้เลยค่ะ

================================

ภาพถ่ายทั้งหมด
ภายใน blog นี้สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัิญญัติสิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาิิต
New Comments
[Add prettyguide's blog to your web]