เที่ยวแล้วสบายใจ...ไม่เน้นรายได้จากงานประจำ

สิงคโปร์ ทัวร์เอื้องหลวง ตอนที่ 1 : เริ่มเดินทางวันที่ 1

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ

รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12287725/E12287725.html


สวัสดีค่ะ
คิดอยู่สองจิตสองใจ ว่าจะรีวิวดีไหมน้อ .. เพราะใครๆก็เคยไปกันทั้งนั้น รีวิวสิงคโปร์ก็เยอะ เราเองก็เคยรีวิวสิงคโปร์มาแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการซื้อแพคเกจ ก็เลยคิดว่านำมารีวิวก็อาจจะเป้นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังสนใจจะไปเที่ยวแบบซื้อแพคเกจแบบนี้บ้างก็เป็นไปได้ เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายมันจะสูงกว่าไปเที่ยวเอง ซื้อตั๋วเอง จะได้มีข้อมูลช่วยประกอบการตัดสินใจได้บ้าง

ไปดูที่มา ที่ไป ของทริปนี้กันเลยดีกว่าค่ะ



ที่มาที่ไปของทริปนี้ ..ก็เนื่องมาจาก วัยรุ่นที่บ้านอยากไปยูนิเวอร์แซล และถ่ายรูปกับเมอร์ไลอ้อน หาวันว่างกันอุตลุด กว่าจะลงตัว ก็เกือบเปิดเทอม ไม่มีเวลาหาข้อมูล ไม่มีเวลาไปวิ่งซื้อตั๋วจองตั๋ว ก็เลยขอใช้บริการทัวร์เอื้องหลวงซะเลยดีกว่า เปรียบเทียบราคาอาจจะแพงกว่าไปกันเอง แต่เพื่อซื้อความสะดวกก็โอเคค่ะ ที่สำคัญผู้ร่วมทริปทั้งสามคนเป็นสมาชิก รอยัลออร์คิดพลัส สะสมไมล์ได้ค่ะ


รายละเอียดแพคเกจ นี้ ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
รวม ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ชั้นประหยัด ,รถรับจากสนามบินส่งโรงแรม
ที่พัก 2 คืน ที่โรงแรมไมเคิล ในรีสอร์ตเวิลด์ เซนโตซ่า และในเมือง คือ ฟูราม่า ซิตี้ เซนเตอร์
รถรับจาก เซนโตซา มาส่งที่โรงแรมในเมือง และค่าตั๋วเข้ายูนิเวอร์แซล ค่ะ

เมล์ยืนยันจากเอื้องหลวง เพื่อนำไปแสดงเวลาเช็คอิน และเข้าที่พัก ค่ะ



เช้าวันออกเดินทาง อุตส่าห์รีบออกจากบ้าน ปรากฎว่า...

ได้รับเมล์ระหว่างอยู่บนรถ เย้ยยยยยยยยยยยย เลื่อนไปชั่วโมงนึงเลยเหรอ งี้ก็มีเวลาเที่ยวน้อยลงดิ่



ไปถึงสนามบิน เช็คอิน ข่าวดีนิดนึง จนท.บอกว่าอาจจะได้ออกตรงเวลาค่ะ
เช็คอินแล้วก็ไปหาข้าวทานที่ แมจิคฟู๊ดคอร์ท ชั้นล่าง พร้อมกับกรอกใบ ตม. ที่ทางเคาเตอร์เช็คอินให้มาเลยค่ะ

เนื่องจากเราไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย งานยุ่งมากทุกวัน จึงไม่ได้แลกเงินมา แต่ไอ้ครั้นจะไม่แลกเลยก็กลัวมีปัญหา เวลาเข้าประเทศ เพราะวัยรุ่นที่บ้านเพิ่งไปสิงคโปร์ครั้งแรก และเราก็เคยมีประสบการณ์กับ ตม.สิงคโปร์มาแล้ว เลยไปแลกเงินติดตัวนิดหน่อย แค่พอติดกระเป๋า เพราะเรทที่สนามบินจะแพงกว่า ไปแลกที่สิงคโปร์ค่ะ (วันที่เราไป เรทที่สุวรรณภูมิ 1SGD. : 25.05 บาทค่ะ) คิว ตม.ขาออกค่อนข้างยาวนะคะ เราก็เลยรีบเข้าไปรอที่เกทเลยปลอดภัยกว่า



สรุป เครื่องออกไม่ช้ากว่าเวลาเท่าไหร่ค่ะ โชคดีจัง
พอขึ้นเครื่อง พนักงานต้อนรับก็แจกหูฟังก่อนเลย จากนั้นก็ให้ใบตม.ของสิงคโปร์ให้เรากรอกค่ะ หน้าตาใบ ตม.ของสิงคโปร์เป้นแบบนี้นะคะ

ปล.แนะนำว่าให้รีบกรอกตั้งแต่อยู่บนเครื่องเลยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา เราไปเจอหลายคนเลยที่ไปนั่งกรอกที่โน่น เสียเวลาเปล่าๆค่ะ รีบผ่าน ตม. รีบนั่งรถเข้าเมืองจะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ



อาหารบนเครื่อง ..
วันนั้นเป็นข้าวพะแนงหมู-ไข่เค็ม ,กับบะหมี่ไก่ ค่ะ ขนมเป็นขนมปัง สลัด และเครื่องดื่มไม่อั้น วัยรุ่นอายุเดินเกณฑ์แล้ว เราก็เลยปล่อยให้เค้าลองทุกสูตร ให้เต็มที่ไปเลยค่ะ



ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.ค่ะ ระหว่างทางเจอสภาพอากาศแปรปรวนเป็นระยะ แต่พอเข้าน่านฟ้าสิงคโปร์ ฟ้าก้แจ่มอย่างที่เห็น

เวลาที่สิงคโปร์ เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชม. ค่ะ



ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย ไม่มีปัญหา เราก็ออกมาสอดส่ายสายตาหาคนที่จะมารับ เจอแล้ววววววววค่ะ

คุณบ๊อบ เป็นพนง.ขับรถจากอาเจนซี่ที่นี่ มีเอกสารยืนยันมาให้เราลงชื่อ แล้วก็พาเราไปขึ้นรถ ระหว่างนี้เราขอไปซื้อซิมการ์ดใส่โทรศัพท์ คุณบ๊อบก็แนะนำให้ซื้อที่เคาเตอร์ธนาคาร UOB. บูธไหนก็ได้ค่ะ เหมือนข้อมูลที่เราทราบมาจากเพื่อนๆนั่นแหละ



เราเลือกซื้อซิมการ์ดที่ใช้กับแบล็คเบอรี่ แจ้ง พนง.ว่าซื้อซิมสำหรับนักท่องเที่ยว บีบี แพคเกจ 3 วันนะคะ พนง.จะขอพาสปอร์ตเราไปบันทึกข้อมูลแล้วสมัครแพคเกจให้เลย

แพคเกจนี้ ราคา 15 เหรียญค่ะ สมัครแพคเกจบีบีแบบโหลด,แชท,3G แล้วยังโทรกลับไทย โทรในประเทสได้ด้วย เราไม่รู้ว่าอัตรามันเป็นยังไง แต่เราอัพเฟส,แชทบีบี แล้วก็โทรกลับเมืองไทย กับโทรนัดหมายกับ พนง.ที่โน่น ตลอด 3 วัน เงินก็ยังไม่หมดค่ะ

หน้าตาซิมเป็นแบบนี้นะคะ ใส่เข้าเครื่องครั้งแรกจะยังใช้ไม่ได้ ต้องปิด แล้วเปิดเครื่องใหม่ ก็จะมีข้อความยืนยันให้เราใช้งานได้เลยค่ะ





เป็นเวลาเท่าไหร่จำไม่ได้ค่ะ ลืมมองนาฬิกา พอถึงที่โรงแรมที่พักในรีสอร์ตเวิด์ลเซนโตซา คุณบ๊อบก็มอบบัตรเข้า ยูนิเวอร์แซล และบัตรเข้าชมมารีไทม? มิวเซียม ให้เรา คนละใบค่ะ (ภาพบน)

แต่บัตรนี้ไม่สามารถนำไปใช้เข้าได้นะคะ เป็นบัตรที่เราจะต้องนำไปแสดงโรงแรม เมื่อเราเช็คอิน พนง.โรงแรมจะเป็นผู้มอบบัตรเข้ายูนิเวอร์แซล และบัตรอื่นๆอีกมากมายกับเราค่ะ (ภาพล่าง)

ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ได้รีวิวในตอนส่วนของที่พัก ในหมวด รีวิวที่พัก แล้วค่ะ





เก็บของเข้าที่พัก แล้วเราก็ออกสำรวจเกาะเซนโตซา กันเลยค่ะ

ออกจากโรงแรมไมเคิล จะเจอรูปปั้นนี้ ถ้าหันหน้าเข้ารูปปั้น ขวามือคือโรงแรมไมเคิล ซ้ายคือทางไปห้างสรรพสินค้า และคาสิโน ด้านหลังรูปปั้นคือทางเดินไปลานน้ำพุแห่งความหวัง และรูปปั้นเมอร์ไลอ้อนค่ะ



รูปนี้ระหว่างทางเดินไปรูปปั้นเมอร์ไลอ้อน



ลืมบอกไป..

เรทแลกเงินเคาเตอร์ ยูโอบี ที่สนามบินคือ 1 SGD: 24.8X บาทนะคะ จำเศษไม่แม่น เพราะฉะนั้นไปแลกก้อนใหญ่ที่โน่นดีกว่าค่ะ

จากประตูออกโรงแรมเราเดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆเลยค่ะ ในเอกสารที่โรงแรมให้มามีแผนที่บนเกาะให้ เกาะไม่ได้กว้างเท่าไหร่ แต่ดูในแผนที่เหมือนว่ามันไกลมากเลยอ่ะ



จากเมอร์ไลอ้อน เลี้ยวขวาเดินขึ้นบันไดเลือนไปบนสุดเป็น Image of Singapore ค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะถ่ายรูปนั่นแหละ ไม่ได้สนใจข้อมูลอะไรเค้าเล้ยยยย บ้านนี้



จากจุดชมวิว มองไปที่รีสอร์ตเวิด์ล



บนนี้มีร้านของที่ระลึก หอคอยชมวิว กระเช้าเคเบิ้ลคาร์ ร้านสตาร์บั็ก และจุดสนใจอีกหลายแห่งค่ะ แต่ครอบครัวเราเลือกที่จะเล่น Skyline Luge Sentosa (imbiah) ซึ่งเค้าจะมีให้เลือกว่า ..

จะนั่งกระเช้า ทั้งไป และกลับ , หรือ นั่งรถเลื่อนลงไป (เหมือนกีฬาล้อเลื่อนชาวเขา หรือ เลื่อนสกี ประมาณนั้นแหละค่ะ) แล้วนั่งกระเช้ากลับ

เราเลือกนั่งกระเช้า ไป-กลับ ค่ะ จริงๆวัยรุ่นคงอยากนั่งรถเลื่อน แต่พ่อมันไม่โอเคด้วย ราคาค่าตั๋ว สามคน 37.50 SGD. ค่ะ เค้ามีโปรโมชั่นด้วย ถ้าไป 5 คน แค่ 20.80 SGD. เอง



ถ้าเราเลือกนั่งรถเข็นลง ก็ต้องลงไปทางนี้ (ภาพซ้าย) และวิธีการไหลลงมาก็เป็นแบบภาพทางขวา



เราเลือกนั่งกระเช้าทั้งขึ้นและลง วัยรุ่นร่าเริงมาก แต่ผู้ปกครองหน้าซีดจะเป็นลม นั่งกระเช้า นั่งเฮลิคอปเตอร์มานับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังไม่หายจากอาการกลัวความสูงซักที



วิวสวยมากๆค่ะ แนะนำว่าให้ชมวิวไปเพลินๆ ห้ามมองลงมาที่พื้นล่างเด็ดขาด มันเสียวมากกกกกกกกกกกกกกกก ที่เห็นคล้ายหมูบ้านประมงคือ จุดที่ใช้แสดง Songs of the Sea ค่ะ อย่าถามนะคะว่าดีไหม คุ้มไหม เพราะเราไม่ได้ดูค่ะ



ไปถึงสถานีด้านล่าง นอกจากร้านขายของที่ระลึก ก็จะมีซุ้มไอศครีม ขนมขาย ซึ่งแน่นอนว่าราคาแพงมากกกกกกกกกก เราไปเดินเล่นชายหาดกันค่ะ ทรายขาวละเอียดมาก แต่เรามาวิเคราะห์กันว่า น่าจะเป็นทรายถม ไม่น่าใช่ทรายจากหาดธรรมชาติ



เดินเล่นได้แป๊บเดียว ยังไม่ทันไปไหน พระอาทิตย์ก็ใกล้ตกแล้ว พร้อมกับเริ่มจะหิว เลยชวนกันขึ้นกระเช้ากลับค่ะ เหมือนลงมายังไม่คุ้มเลย ขากลับ เสาสูงๆด้านหลังนั่นคือ Tiger Sky Tower ค่ะ ข้อดีที่เรานั่งกระเช้าในช่วงเวลานี้ก็คือ ได้ถ่ายภาพพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากมุมสูงด้วย





เข้าร้านของที่ระลึกกันแป๊บนึง (แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเล้ยยยย) แล้วก็เดินกลับไปที่ Lake of Dreams ค่ะ แต่เราเรียก ลานน้ำพุแห่งความหวัง ขวามือคือ Michael Hotel ที่เราพัก



ทีแรกว่าจะไปดู Crane Dance แต่ผู้ปกครองเริ่มงอแงค่ะ คงเหนื่อย บอกจะนั่งดื่มเบียร์รอแถวๆนี้ ให้เราวัยรุ่นทั้งสองไปกันเอง ก็เลยเปลี่ยนแผน ปล่อยให้ผู้ปกครองนั่งดื่มไป วัยรุ่นไปซื้อขนมกินกันดีกว่า ที่ร้าน Candylicous ค่ะ เด็กๆและวัยรุ่นชอบมาถ่ายรูปกันมากกกกกกกกกกกก



ช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ในร้านแคนดี้ลิเชียส มีโปรโมชั่นไอศครีมค่ะ ซื้อ 1 ฟรี 1 เราเดินเลือกขนมอยู่ในร้าน ได้ยินพนักงานสั่นกระดิ่ง คนเริ่มกรูกันเข้ามา เลยจัดไป คนละถ้วย ที่เห็นถ้วยนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะราคา 8.30 SGD. ค่ะ ถึงจะฟรีอีกถ้วยก็ยังแอบแพงนะ แต่อร่อยค่ะ



ได้ขนมมานิดหน่อย และไอศรีมคนละถ้วย ก็ไปหาร้านนั่งฟังเพลงดื่มอะไรเย็นๆดีกว่า เลือกร้าน OSia ค่ะ ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากกระหาย และอยากนั่งฟังดนตรีเล่นสด



น้ำพุดนตรี Lake of Dreams จะเริ่มแสดงตอนสามทุ่มนะคะ ช้ากว่าที่เราเคยมาครั้งก่อน เพราะตอนนั้นยังไม่มี Crane Dance เราก็เลยนั่งดื่มกินกันไปชิลๆ ร้านอาหารเป็นแบบยุโรปค่ะ รายการอาหารแปลกประหลาดไม่ค่อยคุ้น เราก็สุ่มๆสั่งเอาจากวัตถุดิบที่เค้าบรรยายไว้ในรายการอาหาร ได้มาสองอย่างหน้าตาแบบนี้ แต่อร่อยค่ะ โดยเฉพาะขนมปังที่ทานกับเนยถั่วชีสในหลอดสวยๆนั่น จำชื่อเมนูไม่ได้ซะแล้วล่ะ



ค่าเสียหายมื้อนี้ 89.45 SGD.ค่ะ ยังไม่รวมทิป ถ้าอยู่เมืองไทยไม่ได้กินแน่แบบนี้



นั่งชมน้ำพุดนตรีจบ ก็เดินกลับไปนอนค่ะ สำหรับการแสดง Lake of Dreams เหมือนเดิมค่ะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใครไม่เคยชมย้อนกลับไปดูจากรีวิวเก่าได้ค่ะ

เข้านอนคืนนั้น กลับสบายมากค่ะ ที่นอนที่โรงแรมไมเคิลนอนสบายจริงๆ ซึ่งเราจะพาชมที่พัก Hotel Michael ในหมวด รีวิวที่พัก นะคะ

สำหรับในตอนแรกนี้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาทักทายและลงชื่อให้กำลังใจค่ะ ตอนต่อไปลงไว้แล้วเลื่อนลงไปชมได้เลยค่ะ

สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2555 13:04:00 น.   
Counter : 5328 Pageviews.  

สิงคโปร์ ทัวร์เอื้องหลวง ตอนที่ 2 : USS.-Dinner at Boat Quay

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12295804/E12295804.html

ตอนนี้ จะเล่าเรื่องวันที่ 2 ของทริปค่ะ ตามโปรแกรมวันนี้เราจะเข้า ยูนิเวอร์แซลทั้งวัน โดยรถจะมารับที่รีสอร์ทเวิด์ลเวลา 5 โมงเย็น เพื่อพาไปส่งที่ ที่พักคืนที่สองในเมือง รูปในยูนิเวอร์แซลมีไม่เยอะนะคะ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นภาพบุคคล ส่วนเครื่องเล่นเราก็ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไหร่ เรียกว่าใช้สิทธิ์ไม่คุ้มเอาซะเลย ส่วนมื้อเย็นเราเดินจากที่พักไปทานข้าวย่าน Boat Quay (โบ้ทคีย์) ค่ะ ไปชมบรรยากาศกันเลยดีกว่าค่ะ



หลังจากทานมื้อเช้าที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อย เราก็ทำการเช็คเอ้าท์แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมค่ะ ประตูเข้ายูนิเวอร์แซลจะเปิดตอน 10 โมงเช้า เดินจากที่พักไปชิลๆ ไม่ต้องรีบร้อนค่ะ เคยถ่ายรูปกะลูกโลกมาแล้ว ทริปนี้เลยไม่ได้ถ่ายเลย



เรามีแผนที่่อยู่ในมือแล้ว จากเอกสารที่โรงแรมให้มา ดูไว้เลยค่ะว่าอยากไปไหนทำอะไร คนส่วนใหญ่พอเข้ามาก็จะตื่นตาตื่นใจสนุกสนานกับการถ่ายรูปกับตัวการ์ตูน บริเวณหน้าประตูจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แนะนำว่าเดินเข้าไปข้างในก่อนดีกว่าค่ะ ไปต่อคิวเล่นเครื่องเล่นก่อน ตัวการ์ตูนหมุนเวียนออกมาให้เราถ่ายภาพตลอดทั้งวันอยู่แล้วค่ะ



ภาพนี้โซน Far Far Away หน้าปราสาทเชร็ค เป็นโรงละครหนัง 4D คิวยาวและรอนานพอสมควรค่ะ แต่ก็สนุกดี ถ้าพาเด็กๆไปด้วยต้องคอยแปลให้เค้าฟังนะคะ จะได้สนุกยิ่งขึ้น



ภาพในยูนิเวอร์แซล และรายละเอียดมีไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก้จะเป็นภาพเด็กน้อยถ่ายกับตัวการ์ตูนที่เค้าชอบนี่แหละค่ะ

กฏกติกามารยาทในการถ่ายภาพกับตัวการ์ตูน ของที่นี่นะคะ จะมี จนท.คอยบอกให้เข้าคิวตามแถว ส่วนใหญ่ นทท.เห็นตัวการ์ตูนก็ดีใจไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งโร่เข้าไปหาเค้าเลย คนอื่นเค้ากำลังต่อคิวถ่ยภาพกันอยู่อาจโดนตำหนิได้ค่ะ ที่เอาเรื่องนี้มาบอก เพราะเราเจอคนไทยหลายคนเลยที่ไม่ดู วิ่งปรู๊ดเข้าไปเกาะตัวการ์ตูน ทั้งๆที่คนอื่นเค้ารอคิวอยู่ แบบวิ่งเข้าไปในเฟรมกล้องคนอื่นเลยอ่ะ เข้าใจอารมย์อ่ะนะ แบบว่าดีใจ จนลืมดูอย่างอื่น



เราได้คูปองอาหารมูลค่า 10 SGD. มาคนละใบค่ะ แนะนำว่าให้แลกประเภทเบอร์เกอร์ในศูนย์อาหารจะคุ้มที่สุด เราไม่ค่อยหิวกัน ก็เลยไม่ได้ใช้ ใช้ไปใบเดียวแลกสแน๊กกับน้ำมา 1 ชุด จากร้านรถเข็น ไม่อร่อยและไม่คุ้มเลย



ลานตรงนี้จะมีกิจกรรม สนุกๆค่ะ เป็นการแสดงแบบสตรีทบอย ผสมคอนเสิร์ตแล้วมีเกมส์ให้ นทท.ได้เข้าไปร่วมสนุกด้วย ก็เพลินๆดีค่ะ



อยู่ในยูเวอร์แซลถึงประมาณบ่ายสองโมง ก็เริ่มเบื่อแล้วค่ะ เราว่าพวกเรามาไม่คุ้มค่าตั๋วเลย เพราะไม่ชอบเล่นเครื่องเล่นอะไรซักอย่าง หมดเวลาไปกับการถ่ายรูปและดูของที่ระลึกซะมากกว่า เดินไปเดินมา ก็เลยตัดสินใจว่าพอแระ เหนื่อย ออกไปนอกสตูดิโอกันเหอะ



ออกจากสตูดิโอ เราก็ไปชม Maritime Experiential Museum & Aquarium ค่ะ

ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ ทำได้ดีไม่น่าเบื่อเลยค่ะ มีจอฉายภาพยนตร์เล่าประวัติความเป็นมาของการเริ่มเดินทางจากเรือสำเภามาค้นพบแผ่นดินและสร้างประเทศ ในพื้นที่พิพิธภัณฑ์มีร้านอาหาร ห้องจัดกิจกรรม ร้านขายของที่ระลึก ด้วย



โซนที่สนุกและน่าสนใจอีกโซน คือ โซนประวัติความเป้นมาของแต่ละประเทศ จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้าที่นำมาทางเรือสำเภาค่ะ เกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีด้วย ที่สนุกเพราะ เค้าจะมีพาสปอร์ตให้เราไปปั๊มตราของแต่ละประเทศ เก็บมาเป็นของที่ระลึกได้





เค้าจัดนิทรรศการได้สวยงาม น่าสนใจค่ะ ที่สำคัญพิพิธภัณฑ์นี้ถ่ายรูปได้ค่ะ น่าจะถูกใจสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ มุมสวยๆเยอะเลย





เป็นการผสมผสานระหว่าง ประวัติศาสตร์และเทคโนโลยีไว้ด้วยกัน เด็กๆจะได้ไม่เบื่อ



มีเวิร์คช๊อปให้ทำด้วยค่ะ อย่างโซนนี้เป็นการสอนพับกระดาษเป็นเรือสำเภา เอากลับมาพับที่บ้านก็ได้นะคะ เด็กที่บ้านก็เอากลับมาด้วย



ชั้นล่าง เป็นการจำลองภาพตัดของเรือสำเภาค่ะ เห็นแล้วตื่นตา ตื่นใจมาก เรือใหญ่ขนาดบรรทุกสัตว์ใหญ่ๆได้เลยนะคะ (เห็นแล้วแอบบนึกถึงเรือมาดาร์กัสก้า)



แล้วก็มีประวัติการเดินเรือ จริงๆต้องมีเวลาที่นี่นานๆนะคะ ถึงจะได้ความรู้ เราแค่เดินผ่านๆแล้วก็ถ่ายรูป เพราะกลัวจะไม่ทันเวลาที่นัดรถมารับ อีกอย่างคือเริ่มเพลีย

ที่จริง..เราว่าที่นี่คล้ายๆกับ พิพิธภัณฑ์พานิชย์นาวี ที่ค่ายเนินวง จันทบุรี นะคะ เรื่องราว ข้อมูลต่างๆ ไม่แตกต่าง แต่ต่างตรงการนำเสนอและการลงทุน อย่างว่านะ ของบ้านเราเป็นของราชการแถมค่าเข้าชมก็ต่างกันตั้งหลายเท่า (บ้านเราแค่ 10 บาทเอง มาเป็นหมู่คณะได้ชมฟรีอีกตะหาก)



เดินชมพิพิธภัณฑ์จนเบื่อ แล้วก็ออกไปซื้อของที่ระลึก ก่อนไปรอรถมารับค่ะ เกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย คนมารับเปลี่ยนคน เรามารอหน้าโรงแรม คนมารับเข้าไปรับที่ในโรงแรม แล้วมันจะเจอกันมั้ยล่ะ โชคดีที่ พนง.โรงแรมจำพวกเราได้ ก็เลยพาคนขับรถออกมาหาพวกเรา แต่ก็เสียเวลาไปเกือบ 15 นาทีอ่ะ



รถมาส่งเราที่ โรงแรม Furama City Center จุดที่ตั้งตรงดาวหมายเลข1 นั่นแหละค่ะ อยู่ใจกลางเมืองย่านไชน่าทาวน์ มันก็ไม่กลางไชน่าทาวน์ซะทีเดียวนะคะ แต่เราว่ามันสะดวกดีตรงที่เดินไปไหนมาไหนได้ ค่ะ



ที่นี่เช็คอิน ยุ่งยากนิดนึงนะคะ

บอกหมายเลข VOUCHER อย่างเดียวไม่ได้ ต้องโชว์เอกสารที่ปรินท์มาแสดงด้วย (ดีนะที่เราปรินท์ติดมาด้วย) พร้อมพาสปอร์ตของทุกคน ตามรายชื่อในเวาเชอร์ และต้องจ่ายเงินประกันเท่าราคาห้องพัก เค้าว่าเป็นค่าประกันกรณีที่เรากินมินิบาร์ (แต่ในห้องไม่เห็นมีมินิบาร์เลยซักนิด) การใช้ Wifi ต้องเสียเงินค่ะ เราก็เลยไม่ขอให้เปิดใช้

เช็คอินแล้ว เก็บของเข้าห้อง(ขึ้นห้องเองไม่มี พนง.ส่งเหมือนเดิม) เราก็วางแผนเดินออกไปทานข้าว ย่าน โบ้ท คีย์ ค่ะ

โรงแรมนี้ตั้งอยู่หัวมุมถนนพอดี หน้าโรงแรมคือถนน Eu Tong Sen ค่ะ เราเรียกกันเองว่าถนนอู่ทองเซ็ง รายละเอียดของโรงแรมลงไว้ที่หมวด รีวิวที่พัก แล้วค่ะ



จริงๆเราแอบศึกษาแผนที่มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่อยากฝึกให้เด็กเค้าเรียนรู้เอง ก็เลยปล่อยให้เค้านำทางเราไปค่ะ แค่บอกเค้าว่า "พาไปกินข้าว แถวโบ้ทคีย์ หน่อยดิ่" แล้วก็ปล่อยให้เค้าเดินนำไปเองเลยค่ะ เค้าก็พาไปได้นะ ถึงจะหันมาถามความแน่ใจทุกแยกว่าไปทางนี้ถูกมั้ยคะ ก็เถอะ

ระหว่างทางที่เดินผ่าน จะมีร้านน่านั่งเป็นระยะ ค่ะ





เดินไปเรื่อยๆไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้วค่ะ Boat Quay เราว่าเมืองเค้าเล็กๆแล้วก็เดินง่าย ไม่เหม็นควันรถด้วย





ตลอดทางก็จะเป็นร้านอาหารทุกร้านค่ะ เลือกเอาเลยอยากนั่งร้านไหน ราคาและรสชาติ เราว่าไม่น่าจะแตกต่างนะ (ความเห็นส่วนตัวนะ อย่าเอาไปเป็นบรรทัดฐาน)







ส่วนใหญ่เค้ามากินปู กันมั้ง แต่บ้านเราเฉยๆกะปูอ่ะ ไม่ได้กิน



เดินเลือกไปเรื่อยๆ จนเกือบสุดถนน ถ้าไม่กินร้านนี้ก็ไม่มีให้เลือกแล้ว ฮ่า ฮ่า ก็สั่งๆมางั้น ไม่รู้จะกินอะไร อยากมานั่งเพลินๆมากกว่า (อาการเดียวกันทั้งบ้าน)



สั่งอาหารมา 4 อย่าง เราว่ารสชาติธรรมดานะ โดนหลอกให้สั่งกุ้งมังกรด้วยอ่ะ ในรูปมันจานเล้กตัวเล้กนิดเดียว ปรากฏว่าพอยกมา ตัวใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกก กินเกือบไม่หมด จะไม่กินให้หมดก็เสียดายพราะมันแพงมากกกกกกกกกก



บรรยากาศดีค่ะ ชอบ แต่มาขัดใจตรงที่ ฝรั่งโต๊ะข้างๆ มานั่งสูบบุหรี่พ่นควันใส่โต๊ะเราเต็มๆนี่แหละ (เรานั่งใต้ลมอ่ะ) แถมไม่สั่งอาหารด้วยนะ พนง.บอกเค้ามาดื่มเบียร์อย่างเดียว เดี๋ยวก็ไปแล้ว พนง.ก็พยายามเปิดพัดลมไล่ควันให้นะ แต่ไม่เป็นผลอ่ะ

ใช่ซี้..... เบียร์ขวดเดียวแต่พ่อคุณนั่งแช่ซะนานเลย สูบบุหรี่มวนต่อมวน ถ้าเป็นเมืองไทยชั้นจะวีนแล้ว ฮ่า ฮ่า (พูดไปงั้นแหละ เคยวีนใครที่ไหนล่ะ)



ยิ่งดึก คนยิ่งเยอะค่ะ มีทัวร์มาลงด้วย คนเริ่มพลุกพล่าน เราก็เลยรีบกิน รีบกลับดีกว่า



ค่าเสียหายมื้อนี้ค่ะ ถ้าอยู่เมืองไทยกินได้ทั้งอาทิตย์เลยนะเนี่ย



เดินกลับโรงแรมเหมือนเดิมค่ะ พอเดินมาถึงหัวมุมถนน North Canel ตัดกับ ถนน Merchant วัยรุ่นบอกอยากเดินห้าง ฝั่งตรงข้ามเป็นห้าง Central ค่ะ ก็เลยไปเดินเล่นซะหน่อย



เดินทะลุไปอีกด้านของห้างเซนทรัล จะเป็นด้านริมฝั่งแม่น้ำ ตรง Clarke Quay ค่ะ มีกิจกรรม ดนตรี ร้านค้าให้เดินเล่นเพลินๆด้วย



เดินทะลุไปอีกด้านของห้างเซนทรัล จะเป็นด้านริมฝั่งแม่น้ำ ตรง Clarke Quay ค่ะ มีกิจกรรม ดนตรี ร้านค้าให้เดินเล่นเพลินๆด้วย

เด็กวัยรุ่นเยอะเลย ..

เราเดินเล่นอยู่แป๊บนึง ก็เดินกลับโรงแรมค่ะ เริ่มจะง่วง





ถึงโรงแรมก็อาบน้ำ เก็บกระเป๋า เข้านอนค่ะ
โปรแกรมวันรุ่งขึ้น คือเดินเที่ยวย่ายไชน่าทาวน์และอ่าวมารีน่า ก่อนมุ่งหน้าไปสนามบิน กลับกรุงเทพในตอนเย็น ซึ่งได้รีวิวไว้แล้วเลื่อนลงไปดูในตอนถัดไปได้เลยนะคะ

ลากันไปด้วยภาพนี้นะคะ การแสดงงิ้ว ที่สวนสาธารณะ Hong Lim Park ระหว่างทางที่เราเดินกลับจากโบ้ทคีย์




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2555 10:21:02 น.   
Counter : 4440 Pageviews.  

สิงคโปร์ ทัวร์เอื้องหลวง ตอนจบ : Chainatown-Merlion Park

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::
//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12310100/E12310100.html

ตอนจบนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางค่ะ เราเช็คเอ้าท์ตอนสายๆแล้วเดินเที่ยวย่านไชน่าทาวน์ ก่อนไปถ่ายรูปกับเมอร์ไลอ้อน แล้วย้อนกลับมากินขนมปังสังขยาที่ฟาร์อิส สแควร์ ก่อนโบกแท๊กซี่ไปสนามบิน (เพราะแพคเกจไม่รวมรถส่งสนามบินค่ะ) ไปเที่ยวกันต่อเลยดีกว่าค่ะ



หลังจากทานอาหารเช้า เช็คเอ้าท์เก็บกระเป๋าเรียบร้อย สองพ่อ-ลูก ก็วางแผนเส้นทางการเดิน ว่าจะไปไหนกันก่อนดี ทริปนี้ตามใจวัยรุ่น ให้วัยรุ่นตัดสินใจเลยค่ะ ว่าอยากจะไปทางไหน ผู้ปกครองไม่ขัด



จากถนนหน้าโรงแรม (Eu Tong Sen Street) เราเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นย่านไชน่าทาวน์แล้วค่ะ ระหว่างทางจะเป็นย่านการค้า มีห้างค้าส่งด้วย เป็นแหล่งช๊อปปิ้งเลยล่ะคะ โดยเฉพาะฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟใต้ดิน มีทั้งร้านรับแลกเงิน ร้านกระเป๋า อาหารแห้ง เสื้อผ้า ผลไม้ สารพัดเลยค่ะ



ผ่านโรงแรมสุดฮิตของชาวไทยด้วย Hotel 81 อยู่กลางแยกเลย



สถานี่ไชน่าทาวน์ เป็นเอกลักษณ์มากค่ะ เราข้ามสะพานลอยเพื่อเดินเข้าไปในถนน Pagoda ซึ่งจะลัดเลาะไปออกด้านหลังของวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว จากสะพานลอยที่เราข้ามฝั่งมา จะมาเจอกับทางออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน



สองคนพ่อ-ลูก เพลิดเพลินกับการสินค้ามาก เดินไปเรื่อยๆ แวะบ้าง หยุดบ้าง ตามร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ทั้งร้านตะเกียบ ร้านกระเป๋า ร้านน้ำหอม ร้านขายเคสมือถือ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรซักอย่าง





ย่านนี้ ถ้ามาช่วงเย็นๆคงจะดี เพราะมีร้านนั่งเล่นเยอะ สังเกตดูส่วนใหญ่ชั้นบนเปิดเป็นเกสท์เฮ้าท์ด้วย



เดินมาเรื่อยๆ จนมาทะลุด้านหลังวัดพระธาตุเขียวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) ย่านนี้จะมีผู้สูงอายุมาทำกิจกรรมกันเยอะค่ะ อย่างเล่นหมากรุก จิบน้ำชา สนทนากัน วันที่เราไปเจอพรรคการเมืองมารณรงค์หาเสียงด้วย



ภาพที่วัดไม่ได้ถ่ายไว้นะคะ พอดีว่าเคยทำรีวิวไว้แล้ว ถ้าสนใจอยากชมลองย้อนกลับไปดูรีวิวตอนเก่าเมื่อปีที่แล้ว จากตอนล่างๆในบล๊อคได้ค่ะ

ไหว้พระเสร็จ ก็เริ่มหิว เลยข้ามไปหาข้าวมันไก่กินที่ Maxwell Food Centre ข้าวมันไก่ 3 จานกับขนม 1 ถ้วย ราคาประมาณ 12 SGD.



ทานข้าวเสร็จ จุดหมายต่อไปจริงๆวัยรุ่นอยากไปกินขนมปังสังขยาเจ้าดัง Ya Kun Kaya Toast ตรง Fareast Square มากๆ เค้าว่าเจอข้อมูลมาว่าอร่อย ต้องไปกินให้ได้ แต่เนื่องจากเราฟาดข้าวมันไก่กันไปเต็มท้อง คงจะไม่สามารถกินอะไรได้ในขณะนี้ ถึงแม้ว่าจะเดินย่อยไปถึงร้านก็ตามที จึงตกลงใจกันว่า ถ้าอย่างนั้นเราไปถ่ายรูปกับเจ้าสิงโตพ่นน้ำ ที่เมอร์ไลอ้อนปาร์ค อ่าวมารีน่ากันก่อนดีกว่า

ครั้นพอกางแผนที่ดู คงจะเดินไปในช่วงแดดจ้าแบบนี้ไม่ไหว ตัดสินใจเรียกแท๊กซี่ไปจะเหมาะกว่า

จากหัวมุมถนน Maxwell รถมาส่งเราที่หน้าสถานี Fullerton ตรงทางลงไปอ่าวมารีน่า จะมีร้านสตาร์บั๊กเด่นเป็นสง่าอยู่เลยค่ะ มิเตอร์ขึ้นราคาที่ 4.52 SGD.







ถ่ายรูปกันเพลิดเพลินมากๆ วัยรุ่นเพิ่งเคยมาครั้งแรก แล้วเจอฟ้าใสๆเข้าไป ถูกใจเค้าเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้าเรามาถึงเพื่อนที่นี่บอกว่าฟ้าครึ้ม ฝนตกทุกวัน ที่สำคัญหลังจากเรากลับมา เค้าว่า เมอร์ไลอ้อนก็ถูกปิดเพื่อซ่อมแซมค่ะ โชคดีจริงๆ



แดดร้อนมาก ทนไม่ไหว เราเลยขอไปนั่งหลบร้อนกินกาแฟ ที่ใต้สะพานก่อน ลาเต้ที่นี่ใส่นมเยอะไปนะเราว่า ราคาแก้วละ 6.30 SGD. ค่ะ



ถ่ายรูปจนหนำใจ เราก็เดินข้ามสะพาน Fullerton ไปที่ Victoria Theatre & Concert Hall มีเด็กๆมาเรียนและทำกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะกัน น่าสนใจค่ะ แต่เราไม่ได้แวะดู จากนั้นเดินไปทางด้านหลังที่ติดกับแม่น้ำค่ะ จะเจอ Asian Civilisations Museum. แต่ไม่ได้เข้าไปดูข้างในนะคะ กลัวเวลาไม่พอ ก็เลยแค่เดินผ่านด้านนอกอาคาร



เดินเลาะแม่น้ำไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านอนุเสาวรีย์ท่านเซอร์สแตมฟอร์ด ค่ะ (Sir Stamford Raffles Landing Site) แล้วเราก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า มันคือจุดตรงข้ามกับที่เรานั่งทานข้าวเมื่อคืน ตรงโบ้ทคีย์ นั่นเอง





จากนั้นก็เดินข้ามสะพาน South bridge เพื่อเดินไปสวนสาธารณะ Hong Lim เพื่อไปไชน่าทาวน์ ตรงฟาร์อีสแสควร์



ถึงตอนนี้ เริ่มไม่เชื่อในการเป็นเนวิเกเตอร์ของลูกสาวแล้ว เพราะพ่อคงเริ่มเหนื่อย เลยขอแผนที่มาดูเอง คงเริ่มรู้สึกว่าลูกพาเดินอ้อมโลกแน่ๆ กว่าจะได้ไปกินขนมปัง อาจมีคนเป็นลมแดดไปซะก่อน



แต่ในที่สุด เราก็คลำทางกันจนมาถึง ร้านขนมปังสังขยากันจนได้ Ya Kun TaYa Toast ในตำนาน นั่นเองงงงงงงงงงงงงงงง



อยากกินนัก ห้ามบ่น

คือมันร้อน และเดินไกลมาก ส่วนขนมปัง-สังขยา ที่วัยรุ่นอยากกินนักหนา เราว่า..ก็ธรรมดาอะนะ
(ความเห็นส่วนตัวสุดๆ ห้ามเอาไปเป้นบรรทัดฐานในการตัดสินใจนะคะ)



ขนมปัง-สังขยา 1 จาน, เฟรนซ์โทส 1 แผ่น ,ชาเย็น 2 โอวันตินเย็น 1 ทั้งหมดนี้ราคากี่เหรีญญจำไม่ได้แล้วค่ะ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าเราลองคิดเป็นเงินไทยน่าจะประมาณสองร้อยกว่าบาท



เวลาในขณะนั้นน่าจะราวๆบ่ายสองโมงได้มั้งคะ เราต้องกลับเมืองไทยประมาณห้าโมงกว่าๆ ก็เลยตกลงกันว่าไปสนามบินเลยดีกว่า จะได้มีเวลาช๊อปปิ้ง พี่สาวที่ร้านขนมปังแนะนำว่าให้เราเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า MRT. สถานีถัดจากร้านนี้ไปประมาณ 2 ป้ายรถเมล์ แต่เราว่าโบกแท๊กซี่เหอะ เหนื่อยแล้ว เดินตากแดดมาไกลเกิ๊นนนนน

ค่าแท๊กซี่จากฟาร์อีส สแควร์ มาที่สนามบินชางกี อาคาร 1 ประมาณ 15 หรือ 16 เหรียญนี่แหละค่ะ จำไม่แม่น พอดีกล้องแบตหมดไม่ได้ถ่ายรูปมิเตอร์ไว้ด้วย



เรามาถึงสนามบินเร็ว เคาเตอร์ยังไม่เปิด ต้องไปเช็คอินที่เค้าเตอร์เช็คอินล่วงหน้าค่ะ สังเกตป้าย Early Check-in นะคะ เคาเตอร์จะอยู่ด้านในๆหน่อยค่ะ เช็คอินแล้วก็สำรวจสนามบินกันได้เลย



แต่เราก็ไม่รู้จะไปไหน เลยผ่านประตู Departure ไปเลยค่ะ เข้าไปช๊อปปิ้งรอเวลาดีกว่า ช๊อปจนได้เวลาไปที่เกทกันเลย

พอผ่าน ตม.ขาออก จะมีลูกอมวางไว้ให้หยิบด้วยนะคะ เอามาเป็นที่ระลึกไม่ได้แกะทานหรอก ช๊อปปิ้งบ้าง เล่นเนตฟรีบ้าง จนได้เวลาขึ้นเครืองค่ะ






อาหารบนเครื่องเที่ยวกลับ เกือบจะเหมือนกะเที่ยวมาเลยค่ะ เปลี่ยนข้าวเป็นกุ้งกระเทียม แล้วก็มีขนมเค้กมาแทนข้าวเหนียวเปียกลำไย ส่วนเครื่องดื่มก็ไม่อั้นเหมือนเดิม



เหินฟ้ากลับมาถึงสุวรรณภูมิบ้านเราโดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจที่ได้พาเด็กน้อยไปเที่ยว สำหรับแพคเกจนี้ คุ้มไม่คุ้มอย่างไร ได้โปรดพิจารณาเอาจากภาพที่เรานำมาเผยแพร่แล้วกันนะคะ ส่วนเรื่องราคานั้นเห็นว่ามีขึ้น-ลงตามช่วงเวลาที่จอง ซึ่งหากใครสนใจคงต้องสอบถามไปโดยตรงกับทางเอื้องหลวงค่ะ เรามิได้มีส่วนได้เสีย ไม่เชียร์ แต่ก็ไม่เห็นมีข้อขัดใจตรงไหนในความความส่วนตัวนะคะ เพราะฉะนั้นโปรดศึกษารายละเอียดและพิจารณาโดยยึดความคาดหวังของแต่ละบุคคลเองได้เลยค่ะ

เป็นอันจบทริปโดยสมบูณณ์ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม เข้ามาทักทายและลงชื่อให้กำลังใจนะคะ เดี๋ยวนี้รู้ตัวเองว่ารีวิวไม่ละเอียดไม่ขยันเหมือนก่อน ด้วยเวลาและหน้าที่การงานที่มากมาย ต้องขออภัยไว้ด้วยค่ะ

แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า ถ้ามีเวลาค่ะ
ขอบคุณ และ สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2555 16:06:51 น.   
Counter : 2595 Pageviews.  

หนึ่งปี มีครั้งเดียว บัวตองบานที่ดอยหัวแม่คำ เชียงราย

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11369658/E11369658.html

สวัสดีค่ะ
หนึ่งปี มีครั้งเดียว ถ้าเผยแพร่ช้ากลัวว่าเพื่อนๆที่ตั้งใจจะไปชมทุ่งบัวตองธรรมชาติที่ดอยหัวแม่คำ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย จะไปไม่ทันชมความงามน่ะค่ะ

ไปสัมผัสความหนาว กับวิวสวยๆที่ความสูงกว่าพันเมตรจากระดับน้ำทะเล เหนือสุดยอดเมืองไทยด้วยกันนะคะ



เราออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงราย ในช่วงสายๆค่ะ มุ่งหน้าไปทางแม่สาย เลยจากอำเภอแม่จัน ไปไม่นาน จะเจอทางแยกทางซ้ายไปแม่สลองค่ะ เส้นทางนี้ จะขึ้นเขาคดเคี้ยวไปตามเส้นทาง ขับรถด้วยความระมัดระวังด้วยนะคะ



พอไปถึงสามแยกอีก้อ จะเจอด่านตรวจ ตรงนี้ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะไปแม่สลอง เราตรงไปค่ะ ตามป้ายบอกทางไปบ้านเทอดไท



ขับไปถึงบ้านเทอดไท ตรงนี้เป็นชุมชนค่อนข้างใหญ่และเจริญมากค่ะ แวะซื้อเสบียงอาหารเครื่งงดื่มจากที่นี่ได้เลย ระหว่างทางก่อนไปถึงบ้านเทอดไท จะเป็นทางถนนราดยางตลอดสาย ข้ามเขาหลายลูกค่ะ นับกันไม่หวาดไหว



เลยตลาดไปนิดนึง จะเจอทางแยกซ้ายไปบ้านหัวแม่คำค่ะ ต้องสังเกตป้ายบอกทาง และจอดถามชาวบ้านไปเรื่อยๆนะคะ เพราะถ้าหลงทางละก็เสียเวลายาวเลยค่ะ


เลี้ยวซ้ายจากตรงนี้ไปอีก 30 กม.เอ๊งงงงงงงงงงงงงง



ระหว่างทาง มีบางช่วงที่ถนนไม่ค่อยดีนัก ต้องระวังให้มากๆนะคะ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง เราจอดรถถามทางชาวบ้าน แล้วก็ถามเค้าว่าไปอีกไกลมั้ยคะ เค้าตอบว่า.. มองเห็นเขาลูกสุดท้ายโน่นมั้ยล่ะ โน่นแหละจุดหมาย

ถ้าขับมาเจอด่านตรวจ ก็แสดงว่าใกล้ถึงหมู่บ้านแล้วค่ะ



พี่ที่เราจอดรถถามทาง เค้าชี้ให้ดูภูเขาสูงสุด ที่อยู่ไกลที่สุด แล้วบอกเราว่า เห็นภูเขาลูกโน้นมั้ย ที่ยอดเขามันมีสีเหลืองๆ นั่นแหละทุ่งบัวตอง

เหลืองทั้งเขาจริงๆค่ะ อันนี้ซูมเข้ามาใกล้ๆแล้วค่ะ



ผ่านหมู่บ้านม้งเก้าหลัง ผ่านทางแยกไปบ้านมั้งแปดหลัง ก้เข้าสู่หมู่บ้านหัวแม่คำค่ะ เนื่องจากเราไปในวันเปิดเทศกาลบัวตองบาน คนเยอะมากๆค่ะ มันเป็นเหมือนงานเทศกาลประจำปี ชาวบ้านก็จะมาเที่ยวงานกันเยอะมากๆรถจอดกันตั้งแต่เริ่มเข้าเขตหมู่บ้านกันเลยทีเดียว โชคดีที่เราได้เข้าไปจอดด้านในในส่วนของผู้ร่วมงาน ก็เลยไม่ต้องเดินไกล สองข้างทางในหมู่บ้านซึ่งเป็นถนนแคบๆผ่านเนินเขาจะมีร้านค้าขายอาหาร ขายของที่ระลึกอยู่เต็มพื้นที่เลยค่ะ



ทางเดินไปลานบัวตอง ที่จัดงาน สามารถขับรถเข้าไปได้นะคะ เป็นถนนคอนกรีต แล้วต่อด้วยถนนลูกรังที่ค่อนข้างลื่นนิดนึง วันที่ไปเป็นช่วงเปิดงานพอดี คนเยอะค่ะ

ภาพทางด้านซ้าย ที่มีค้นไม้ใหญ่ ทาง อบต.จัดซุ้มไว้สำหรับชมวิวและถ่ายรูปค่ะ



ที่ลานวัฒนธรรมชาวดอย เป็นสถานที่เปิดงานค่ะ ถ้าช่วงเวลาปกติที่ไม่มีงาน สามารถกางเต้นท์บริเวณนี้ได้นะคะ บรรยากาศดีมาก สำหรับสุภาพสตรีที่สวมชุดชาวอาข่าท่านนี้ คือประธานจัดงานค่ะ ท่านนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน



ชาวพื้นเมือง ชาวดอย พร้อมใจกันสวมชุดประจำเผ่ามาร่วมงาน น่ารักมากเลยค่ะ



ร้านค้าของหน่วยงานราชการในพื้นที่ ค่ะ มีทั้งอาหารและของฝากของที่ระลึกมาจำหน่าย



ลานวัฒนธรรมชาวดอย สถานที่จัดแสดง และเปิดงานค่ะ ในช่วงเวลาปกติที่ไม่มีงาน สามารถเก็บภาพสวยๆได้เลยค่ะ เพราะคนจะไม่เยอะแบบวันนี้



เด็กดอย โล้ชิงช้ากันเป็นที่สนุกสนาน



ใกล้เวลาเปิดงาน เราขึ้นไปหาที่นั่งบริเวณอัฒจรรย์ไม้ไผ่ที่ทาง อบต.จัดไว้ให้ มุมมองลงมาที่ลานวัฒนธรรม สวยมากค่ะ



ช่วงพิธีเปิด ประธานในพิธี และแขกผู้มาเยือน จะขี่ม้าเข้ามาในบริเวณพิธีค่ะ ในภาพคือคุณดำรง พุฒตาล ที่มาร่วมงานในฐานะอาคันตุกะ รู้สึกว่าท่านจะพาทีมงานหนังสือของท่านมาทำคอลัมภ์ท่องเที่ยวลงหนังสือของท่านนะคะ



มีการแสดงจากชาวเขาหลายชุด หลายเผ่าค่ะ ทั้งการแสดงนก-โต การจำลองพิธีแต่งงานของชาวม้ง และการแสดงต่างๆ แต่เราไม่ได้อยู่ดูจนครบทุกชุด เพราะว่ายังไม่มีที่พักของคืนนี้ ต้องออกไปหาที่กางเต้นท์ก่อนจะมืด เพราะไม่ชำนาญเส้นทางและไม่มีข้อมูลมาเลย



แอบย่องออกจากงานมาก่อนการแสดงจะจบ ช่วงกลางคืนมีงานเลี้ยงขันโตกชาวดอย และการแสดงอีกหลายชุดนะคะ แต่ถ้าเราอยู่จนมืดค่ำ คงหาที่นอนลำบาก ก็เลยออกจากงานมาก่อน



เห็นซุ้มชุมวิว ท่ามกลางทุ่งบัวตองมั้ยคะ นี่แหละค่ะที่เราบอกไว้ว่าทาง อบต.สร้างซุ้มไว้ให้ชมวิว และถ่ายภาพ



ภาพนี้ถ่ายมาเพื่อให้เห็นสภาพของถนน ที่จะเข้าไปลานแสดง และชมทุ่งบัวตองค่ะ ถ้าไปช่วงเช้าๆที่น้ำค้างลงหนักๆมีสิทธิ์ลื่นเหมือนกันนะคะ



เราเลือกที่พักที่นี่ค่ะ "ศูนย์การท่องเที่ยวเกษตรชุมชนหัวแม่คำ" ค่ะ เพราะว่าใกล้หมู่บ้านที่สุดแล้ว ที่นี่อยู่ในส่วนของศูนย์พัฒนาเกษตรที่สูงค่ะ แต่เป็นคนละแห่งกันนะคะ



เข้าไปติดต่อ จนท. ทาง จนท.ให้เราเลือกทำเลกางเต้นท์ได้เลยตามสะดวก ที่นี่มีห้องน้ำ-ห้องอาบน้ำ และน้ำอุ่นบริการค่ะ ถ้าไม่มีที่นอน-เต้นท์ไป ก็มีให้เช่าด้วย แต่เราเตรียมไปพร้อมค่ะ จ่ายค่าบำรุงไป 100 บาทถ้วน สะดวก ปลอดภัย มี จนท.อยู่เป็นเพื่อนตลอดทั้งคืนค่ะ

เราเลือกกางเต้นท์ที่มุมนี้ เพราะเดินไปห้องน้ำไม่ไกล นั่งชมวิวนาข้าวขั้นบันได จากหน้าเต้นท์ได้เลย



ที่นี่ไม่มีอาหารบริการ แต่ถ้าเราสั่งไว้ล่วงหน้าเค้าก็ทำให้ได้ค่ะ แต่สำหรับเราไม่มีปัญหาเพราะเตรียมซื้อเสบียงมาเรียบร้อยแล้ว

วิวนี้ เก็บมาจากบริเวณที่กางเต้นท์ หลังพระอาทิตย์ตก อากาศก็เริ่มเย็นค่ะ วันที่ไปอุณหภูมิประมาณ 16 องศาเซลเซียส กลางคืนมองเห็นดาวเต็มฟ้าเลยละค่ะ สวยมากๆ ที่ระดับความสูง ตรงจุดกางเต้นท์ 1032 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง



กลางคืนน้ำค้างแรงมากค่ะ แต่ในเต้นท์ไม่หนาวนะคะ เพราะเราเตรียมการมาอย่างดี ตื่นเช้ามาเก็บเต้นท์ รอใส่บาตร พอเก็บเต้นท์เสร็จเรียบร้อยก้ได้ยินเสียงกระดิ่งและเกือกม้ากระทบพื้นดังมาไกลๆพอดี เกือบวิ่งลงมาที่ถนนไม่ทัน ลงมาเจอเด็กๆกำลังรออยู่เหมือนกัน



พระขี่ม้าออกมารับบิณฑบาตรในหมู่บ้านประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ ถ้าเราลงมาใส่บาตรไม่ทัน ก็รอตอนท่านกลับลงมาก็ได้ เพราะจุดตรงนี้อยู่ก่อนเข้าหมู่บ้าน



พระท่านรับบาตรจากเราเสร็จก็มุ่งหน้าเข้าหมู่บ้าน ส่วนเราก็มุ่งหน้าลงดอยกลับเข้าเมือง



แล้วเราก็มุ่งหน้าลงจากดอย ข้ามเขาหลายลูกกลับสู่เมืองเชียงราย พร้อมความประทับใจคุ้มค่า ที่ขับรถมาไกล



ทุ่งข้าว ภูเขา ลำธาร และไอหมอก วิวสวยๆข้างทางระหว่างขับรถกลับ บริเวณบ้านเทอดไท สวยงาม จนเราต้องจอดรถลงไปเก็บภาพบรรยากาศมาฝาก เห้นอย่างนี้ เวลาพูดนี่ไอออกจากปากกันเลยนะคะ



กลับมาถึงเมืองเชียงรายประมาณสิบโมงเช้าค่ะ พร้อมความประทับใจที่อยากกลับไปเยือนอีก ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาทักทาย และลงชื่อให้กำลังใจกันด้วยนะคะ




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2555 12:36:30 น.   
Counter : 7225 Pageviews.  

เที่ยวในหน้าที่ครั้งนี้ที่เวียดนาม : ตอนที่ 1

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนท คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11190216/E11190216.html

สวัสดีค่ะ

สำหรับทริปนี้.. เที่ยวในหน้าที่อีกแล้วค่ะ
ก็คือการเดินทางโดยมีงานบังหน้านั่นเอง ไปเวียดนามรอบนี้ 4 วันค่ะ เดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย เป็นการเดินทางเป็นหมู่คณะ ทั้งหมด 45 ชีวิต โดยมีพี่ที่เป็นไกด์อาชีพในกลุ่มของพวกเรา เป็นผู้ดำเนินการจัดการเดินทางให้ พร้อมแล้ว ไปเที่ยวกันเลยนะคะ



ถึงสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ยังไม่เช้า ออกเดินทางโดยแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD 3700 เครื่องออกตรงเวลา แปดโมงกว่าๆก็ถึงสนามบินนอยไบ พิธีตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ยุ่งยากอะไรค่ะ สบายใจได้



สนามบินนอยไบเล็กๆ ไม่ใหญ่โตมากมาย แนะนำให้แลกเงิน ซื้อซิมมือถือที่นี่ได้เลยค่ะ

เราแลกเงินเป็นดอลล่าร์สหรัฐ ไปจากเมืองไทย พอไปถึงที่สนามบิน ค่อยแลกจากดอลล่าร์เป็นเงิน ด่อง

อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณนะคะ

1 บาท = 650 ด่อง
1 ดอลล่าร์ = 20,000 ด่อง



ทีมงานทางโน้นจัดรถบัสมารอรับ เราออกเดินทางจากสนามบินมุ่งหน้าเข้าเมือง โดยแวะทานข้าวก่อนระหว่างทาง อาคารที่เห็นเป็นโรงแรมที่เรามาแวะทานข้าวค่ะ

อาคารที่นี่จะแคบๆแบบนี้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ตึกแถว หรือโรงแรม แคบๆ เล็กๆ เหมือนรูปร่างสาวเวียดนามนั่นแหละ



เพื่อให้เชื่อได้ว่ามาถึงแล้ว... จัดมาก่อนเลยค่ะ เบียร์ฮานอย คอเบียร์บ้านเราถึงกับงงเล็กน้อย ที่ฮานอยดื่มเบียร์ในอุณหภูมิห้อง และไม่มีน้ำแข็งบริการนะคะ เพราะฉะนั้นศัพท์ที่เราควรรู้อีกคำ เพื่อการดื่มที่นี่คือ "เนื้อกด๋า" ที่แปลว่า "น้ำแข็ง" ค่ะ



อีกสิ่งนึง ที่ต้องมี "เน๊บเหมย" ค่ะ ประมาณ หมาใจดำบ้านเรานั่นแหละ แรง ร้อน สุดๆ ใครใจไม่ถึงพอ อย่าลองเลยค่ะ



สารพัดอาหารที่ เค้าสั่งมาให้ทาน ทุกรายการเจ้าบ้านภูมิใจนำเสนอมาก แต่ที่เราทานแล้วถูกปาก ถูกใจจริงๆ เห็นจะมีแค่ ผัดยอดฟักแม้ว กับหมูกระเทียม ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเรียกว่าอะไร แต่มันเหมือนหมูสามชั้นทอดกรุบๆผัดกับเครื่องพะโลใส่กระเทียมน่ะค่ะ จานทางมุมขวาล่าง



ทานข้าวเสร็จเราก็มุ่งหน้าไปที่งานแสดงสินค้าไทยเทรดแฟร์ ค่ะ เห็นงานแล้วก็...แอบผิดหวังนิดหน่อย แต่ไม่ขอวิจารณ์นะคะ



ออกจากงานแสดงสินค้า ก็ต้องมาที่มุมบังคับ หากใครมาฮานอย ต้องมาที่นี่ ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม หรือที่เราคุ้นชื่อกันว่า "ทะเลสาบคืนดาบ" กลางเมืองฮานอย



ย่านนี้จะคึกคักตลอดทั้งวันทั้งคืน รอบๆทะเลสาบ (ซึ่งกว้างใหญ่มาก) ไม่เคยเหงา ที่เกาะกลางเป็นที่ตั้งของวัด หง๊อกเซิน ซึ่งเราต้องข้ามสะพานแดงนี้เข้าไป อันเป็นเรื่องราวเรื่องเล่ามากมายของที่มาชื่อทะเลสาบคืนดาบ และเต่ายักษ์ ลองไปหาอ่านกันดูนะคะ คือว่า...อิชั้นมัวแต่ยุ่ง ไม่ได้ฟังตอนที่พี่เค้าเล่าให้ฟังง่ะ



การเข้าชมวัด ต้องเสียค่าผ่านประตูนะคะ จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ แย่จริงๆ



ในวัดจะมีสิ่งศักย์สิทธิ์ให้บูชา มีพิพิธภัณฑ์เล่าตำนานที่มา ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเท่าไหร่ เพราะร้อนมากค่ะ



เดินกลับไปหาที่ช๊อปปิ้งดีกว่า



ข้ามสะพานกลับมา ทางด้านโรงละครหุ่นน้ำ จะเป็นแหล่งช๊อปปิ้งค่ะ สารพัดสินค้าที่เราต้องการ เราไม่ได้ช๊อปอะไรเท่าไหร่หรอก เดินถ่ายรูปเล่นซะมากกว่า สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปแนวไลฟ์ ไปฮานอยไม่ผิดหวังค่ะ



การจราจรที่ฮานอย ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย แต่รถไม่ชนกันนนะ แปลกดี ใครสนใจจะลองนั่งรถ ซิโคล่ เล่นก็ได้นะ ได้บรรยากาศดี



คุณป้าขายผลไม้ เห็นเราเดินถ่ายรูปโน่นนี่ มีหยุดรถ ยิ้มหวานให้เรากดชัดเตอร์ก่อนจูงรถผ่านไปด้วยนะ น่ารักอ่ะ



วิถีชีวิตกลางเมืองฮานอย ชอบนะ เมืองท่องเที่ยว ที่มีเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอยู่แบบนี้ เราว่ามีเสน่ห์ดี



เดินเล่น เดินช๊อป อยู่พักนึง เราก้ไปตลาดกันต่อค่ะ ที่ตลาดดงซวน (Dong Xuan) เป้นตลาดใหญ่ใจกลางเมือง ถ้าเทียบกับบ้านเราก็ประมาณ กาดวโรรสเมืองเชียงใหม่นั่นแหละค่ะ มีสินค้าทุกประเภทขาย ทั้งของสด ของแห้ง ของฝาก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ฯลฯ มีครบค่ะ

ตรงหน้าตลาดนี่จะเป็นพวกของฝาก ประเภทชา-กาแฟ ของอบแห้งต่างๆ ถั่ว ขนม ฯลฯ



ด้านในตลาดแบ่งโซนสินค้าเป็นหมวดหมู่ สินค้าแบบสำเพ็งบ้านเรา รองเท้า เครื่องสำอางค์ เครื่องหนัง เสื้อผ้า จะอยู่ด้านในนี้ค่ะ



ด้านหลังตลาด จะเป็นสินค้าประเภทเครื่องเทศ อาหารแห้ง อาหารสด อาหารทะเล และดอกไม้สด



ชอบรถขายดอกไม้ ที่ฮานอยมาก คลาสสิคสุด สุด



ระหว่างนั่งรอ ชาวคณะจับจ่ายซื้อของ แม่ค้ากระเดียดกระจาดมาขายฝรั่ง ไม่ได้ทานมานานมากแล้วฝรั่งลูกเล็กๆแบบนี้ อร่อยมากค่ะ เดี๋ยวนี้ที่บ้านเราหาทานยากมาก ช้อบบบบบบบบบบ ชอบอ่ะ



ใกล้เวลาอาหารเย็น เรากลับไปที่ทะเลสาบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไปอีกด้านของทะเลสาบ เพื่อไปล่องเรือทานมื้อเย็นกันค่ะ

อย่างที่บอก รอบๆทะเลสาบนี้ไม่เคยเหงา เช้าๆ คนเฒ่า คนแก่ จะมาออกกำลังกาย สายๆไปจนถึงบ่าย ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและผู้คนที่มาพักผ่อน ตกเย็น ผู้คนก็มาออกกำลังกาย ส่วนช่วงพลบค่ำไปจนถึงรุ่งสาง เป็นที่สำหรับหนุ่มสาว มาพลอดรักกันค่ะ



เย็นๆแบบนี้บรรยากาศดีเชียวค่ะ บางคนก็มาออกกำลัง มาตกปลา หรือว่ามาพักผ่อน เต็มไปหมด





เดินเลาะทะเลสาบไปเรื่อยๆ จะเห็นร้านอาหารริมน้ำเยอะแยะไปหมดค่ะ เย็นวันนี้เราจะมาทานกันที่นี่แหละ



เป็นร้านอาหารริมน้ำ ที่มีทั้งส่วนที่เป็นอาคาร และส่วนที่เป็นเรือค่ะ คณะเราเหมาเรือ และให้เค้าพาออกไปล่องทะเลสาบด้วย



สารพัดรายการอาหารค่ะ แอบบสารภาพว่า เรื่องรสชาติเรากินแค่กุ้งชุบแป้งทอดได้อย่างเดียวง่ะ



วันที่ไปตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวงพอดี ลงมาเข้าห้องน้ำ เจอคุณลุงพ่อครัวกำลังชมจันทร์ เลยแอบเก็บภาพมาฝาก



สมควรแก่เวลา เรือกลับเข้าฝั่ง พวกเราก็เตรียมตัวกลับค่ะ



เดินทางกลับที่พัก ซึ่งอยู่ในย่านช๊อปปิ้ง ถนน 36 สาย ใครยังไม่ง่วงก็ออกมาช๊อป มาท่องราตรีกันต่อ แต่เราไม่ไหวแล้วง่วงมากมาย ขอตัวไปนอนก่อน พร้อมกับขอจบรีวิวตอนแรกไว้ด้วยนะคะ

ตอนต่อไป จะพาไปล่องเรือชมอาวฮาลอง ค่ะ เลื่อนลงไปชมได้เลยค่ะ




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2555 16:13:08 น.   
Counter : 5720 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

prettyguide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ prettyguide's blog ค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอัญมณี และของดีเมืองจันท์ เชิญลงชื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ค่ะ prettyguide จะขออาสาพาเพื่อนๆเที่ยวเมืองจันท์ให้ครบทุกซอกทุกมุม ใครอยากไปไหน หรืออยากได้ข้อมูลของจันทบุรี ก็บอกมาได้เลยค่ะ

================================

ภาพถ่ายทั้งหมด
ภายใน blog นี้สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัิญญัติสิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาิิต
New Comments
[Add prettyguide's blog to your web]