เที่ยวแล้วสบายใจ...ไม่เน้นรายได้จากงานประจำ

ทริปส่งท้ายเดือนกุมภา ปี 52 : ตอนที่ 2 สามจว.ภาคใต้วันนี้.. นาร้าง ที่ไม่ร้าง

สำหรับวันนี้
เราออกเดินทางจากสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่เช้ามืด
เพื่อมุ่งหน้าจังหวัดสงขลา เพื่อไปร่วมงานเกี่ยวข้าว โครงการนาร้าง ที่บ้านพลุชิง อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็นเขตรอยต่อ จากอ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานีค่ะ

อ.เทพา อยู่ในเขตจังหวัดสงขลา

แต่เราต้องใช้เส้นทางจากอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เส้นทางค่อนข้างเปลี่ยว..แต่ไม่ใช่ปัญหาค่ะ



โครงการนาร้างเฉลิมพระเกียรติ คือ..

โครงการที่กองทัพบก ร่วมกับ กอ.รมน. , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ ศ.อบต. ทำขึ้นเพื่อรับสมัครเจ้าของที่นา ที่ปล่อยให้รกร้าง ไม่ให้ใช้ประโยชน์ หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยปี 51 ที่ผ่านมานั้น มีพื้นที่ในโครงการนาร้างเฉลิมพระเกียรติในสามจังหวัด กับ สี่ อำเภอของจังหวัดสงขลาจำนวนถึง 16,000 ไร่ ทั้งนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสเฉลิมพระชนมายุ 80 พรรษา



วันนี้ ที่นาร้างบ้านพลุชิง
มีพิธีเกี่ยวข้าว และกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ ในพื้นที่ค่ะ





16000 ไร่นี้
เฉพาะพื้นที่เสี่ยง ที่ชาวบ้านไม่กล้าออกมาทำมาหากิน นะคะ
ไม่ได้รวมถึงพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดในพื้นที่ ชาวบ้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการ จะได้รับการสนับสนุน ปุ๋ย,ยา กำลังพลช่วยแรงงาน และที่สำคัญ การดูแลรักษาความปลอดภัย ในการออกมาปฏิบัติภารกิจการทำนาด้วยค่ะ





อุปกรณ์การเกี่ยวข้าว ในพื้นที่นี้ จะแตกต่างจากภาคกลางบ้านเราที่ใช้เคียว
ที่นี่ จะใช้อุปกรณ์แบบนี้ค่ะ เรียกว่า "แกะ" พี่เค้าเกี่ยวเร็วมาก



ทั้งคุณครู,นักเรียน ,ตำรวจ, ทหาร ต่างก็มาร่วมลงแรง ลงแขกเกี่ยวข้าว
จนได้ผลผลิตจากความร่วมมือ ร่วมใจ หลังจากที่ถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแรมปี



มีการแข่งขันเกี่ยวข้าวด้วย แบ่งเป็นหลายทีม ทั้งทีมชาวบ้าน และทีมเจ้าหน้าที่,ทหาร,ตำรวจ ถึงแม้อากาศจะร้อน แต่ทุกคนก็ไม่หวั่น มีความสุข ทุกครั้งที่ได้พูดคุย และหยิบยื่นไมตรีให้แก่กัน เกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ลำเลียงมาวางไว้เตรียมการสี ต่อไปในอนาคต







นอกจากกิจกรรมการเกี่ยวข้าว ยังมีเกมส์การละเล่นสร้างความสามัคคีกันอีกมากมายค่ะ กองเชียร์ ก็ตั้งใจเชียร์กันอย่างใจจด ใจจ่อ กิจกรรมนี้เหล่านี้ สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้พวกเราไม่น้อย

ทีมที่แพ้ ราบคราบ.... คือทีม จนท.ทหาร ค่ะ





ข้างบนนั้น เค้าเรียก การแข่งขัน ลากเตาะหมาก ค่ะ

นอกจากนี้ก็ยังมีการทูนข้าว , วิ่งสามขา ,แข่งขันเกี่ยวข้าว
และภาพนี้ คุณครู และพี่ จนท.พัฒนาชุมชนกำลังสอนให้เราเล่น "ปี่ซังข้าว"



จบจากกิจกรรมสนุกสนาน ก็ไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันค่ะ ที่บริเวณ ที่ทำการกลุมสตรีอาสาพัฒนาบ้านพลุชิง มีผลิตภัณฑ์จากกลุ่มสตรีอาสาพัฒนาพรุชิง ให้เราเลือกซื้อด้วย นอกจากนี้ พี่ๆสตรีอาสาฯ ยังได้ทำการสาธิต วิถีชีวิตแบบเก่า การตำข้าว การสีข้าว





ระหว่างรับประทานอาหาร (ที่ไม่ได้แยกไทยพุทธ หรือ ไทยมุสลิม) น้องๆก็มาแสดงดีเก ฮูรู ให้ชมกัน



ใช้เวลาอยู่ทีนี่ถึงช่วงบ่าย ก็ออกไปปัตตานีค่ะ

ระหว่างทาง แวะที่โรงเรียนท่าคลอง อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตนี
เพื่อเยี่ยมน้องๆ ที่เพื่อนๆคลับ"เรารักโปสการ์ด" เคยนำอุปกรณ์การเรียนมามอบให้

ชมรายละเอียดจากกระทู้นี้ค่ะ :

//topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/01/E7466653/E7466653.html




Free TextEditor



น้อง ฮาปือเสาะ แลมอ
ฝากภาพวาด ไปให้พี่ที่มีน้ำใจมอบอุปการณ์มาให้ เก็บภาพความสดใส ร่าเริง ของน้องๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ มาฝากค่ะ





ออกจากโคกโพธิ์ เข้ายะลา
แวะที่นาประดู่ เพื่ออุดหนุน พี่น้องในพื้นที่กันหน่อยค่ะ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ พี่เค้าบอกว่าจะยังไง ก็ต้องขาย บ้านผมอยู่ที่นี่ อาชีพผมขายก๋วยเตี๋ยว วันดี คืนดี จะมีคนร้ายมาวางระเบิด ผมก็ต้องเปิดร้าน เย็นตาโฟ พี่เค้าอร่อยค่ะ ชามเบ้อเริ่มเลย แถมน้ำในขวดที่เปิดน่ะ ฟรี นะคะ ใครมากินอย่าเผลอหยิบติดมือไปล่ะ พี่เค้าไม่ได้คิดตังค์ค่ะ





ออกเดินทางต่อ จากปัตตานี สู่ยะลา
ผ่านนาข้าวเขียวขจีระหว่างทาง บริเวณ บ้านลำใหม่



แวะไปทำธุระที่ยะลา กันจนเสร็จภารกิจ ก็ตีรถกลับมาหาดใหญ่ค่ะ

เพราะมีโปรแกรมจะเดินทางต่อ .... ไปเที่ยว น่ะค่ะ
หิวพอดี .. ก็เลยขึ้นไปหาข้าวกินที่ร้าน บนเขา ในสวนสาธารณะเขาคอหงษ์ นั่งชมวิวเมืองหาดใหญ่ จนอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็พากันเข้าเมืองค่ะ



ยังไม่เข้าที่พักค่ะ

จะไปฟังเพลงต่อ ชอบเพลงร้านนี้ มีทั้งโฟล์คซอง และวงเต็ม "ดิ อะคูสติค"
นั่งฟังเพลงจนวงเค้าพัก ตอนสี่ทุม ได้เวลาเข้าที่พักค่ะ คราวนี้พักที่ หาดใหญ่พาราไดซ์ เหมือนเดิม ดูรายละเอียดที่พักได้จากหมวด "รีวิวที่พัก" นะคะ



เช้าวันรุ่งขึ้น ออกเดินทางสายๆ

เพื่อมุ่งหน้าไป "กระบี่" ค่ะ ผ่านพัทลุง เข้า ตรัง ก่อนเข้าพักที่เมืองกระบี่
ขอบคุณสำหรับการเข้ามาชม ลงชื่อทักทายกันได้นะคะ อย่าลืมติดตามชมตอนต่อไปด้วยค่ะ



ติดตามรีวิวฉบับเต็มจากบอร์ด Bluplanet ได้ตามลิงค์นะคะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E7576820/E7576820.html





 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2553 0:27:11 น.   
Counter : 10550 Pageviews.  

ทริปส่งท้ายเดือนกุมภา ปี 52 : ตอนที่ 3 แวะเที่ยวรายทาง จากตรัง-สู่กระบี่

สำหรับในตอนที่สามนี้
เราออกเดินทางจากโรงแรมหาดใหญ่ พาราไดส์ ตอนสายๆใช้เส้นทาง พัทลุง - ตรัง - กระบี่

จุดหมายปลายทางที่เมืองกระบี่ ระหว่างทางแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
ถ้าพร้อมแล้ว ... เราออกเดินทางกันเลยนะคะ

รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ตอนเกือบจะ 10 โมงเช้า
แล้วก็เช็คเอ้าท์ ออกเดินทางแบบไม่เร่งรีบ ผ่านพัทลุง เข้าตรัง

ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี ที่เขาพับผ้า
เลยถือโอกาสหยุดพักชมวิว และรับประทานอาหารกันที่นี่ไปเลยทีเดียว

บรรยากาศดีค่ะ ถ้ามาช่วงเย็นๆ คงจะดีกว่านี้ เพราะแดดร้อนเหลือเกิน ที่นี่เป็นร้านกลางนะคะ เจ้าของเป็นอิสลาม จึงไม่มีเมนูหมูค่ะ สั่ง "เห็ดหอมผัดน้ำมันหอย" และ "ต้มยำรวมมิตร" รสชาติใช้ได้ค่ะ

กินอิ่ม ก็ออกเดินทางกันต่อ









เข้าเขตตรัง แล้วใช้เส้นทางเลี่ยงเมือง (ก่อนเข้ากันตัง) เลี้ยวขวาไปกระบี่
ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเรียกถนนอะไร จำหมายเลข ทล.ไม่ได้แล้วอ่ะ ไปตาม GPS. และป้ายข้างทางไปเรื่อยๆ ค่ะ วิวสวยๆ มีให้ชมตลอดทาง



ระหว่างทาง เจอป้ายแหล่งท่องเที่ยวไหนน่าสนใจ ก็จอดแวะ

ที่นี่ "น้ำตกอ่างทอง"
น้ำตกเล็กๆ อยู่ริมถนน จอดรถลงไปถ่ายรูปมาฝากค่ะ น้ำไม่ใส มาก
เป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำก็เลยน้อยไปสักนิด แต่ก็เห็นมีชาวบ้านระแวกนั้น
มาพักผ่อนลงเล่นน้ำกันบ้างพอสมควร



ออกเดินทางกันต่อ

เห็นป้ายบอกไปท่าเรือปากเม็ง แค่ 10 กม. แวะเข้าไปเที่ยวกันหน่อยดีกว่า
ปากเมง บรรยากาศเงียบ สงบ น่าปูเสื่อนอนจริงๆเลยค่ะ แวะลงไปเก็บภาพท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ แล้วก็ออกเดินทางต่อ











จุดหมายปลาทยทางที่อ.คลองท่อม
ใกล้ๆกันนี้มีจุดให้เที่ยวหลายแห่ง แต่เราเลือกจะไปที่นี่กันก่อน "น้ำตกร้อน" เสียค่าเข้าคนละ 20 บาทค่ะ ใช้ทางเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณครึ่ง กม. มีดอกไม้ป่า เยอะแยะมากมาย ได้กลิ่นหอมๆ ตลอดทางเลยค่ะ ระหว่างทางจะมีป้าย ให้ข้อมูลความรู้ เรื่องของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เรื่องน้ำร้อน น้ำแร่ ต่างๆ ค่ะ

ลำธารร้อน ไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำนะคะ
แค่เดินผ่าน ยังรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ลอยขึ้นมาปะทะผิวเลยล่ะค่ะ ร้อนมากๆ





แล้วก็มาถึง บ่อแช่

มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแช่อยู่ สองคน
นี่ถ้ามาวันหยุด คงไม่พอสำหรับจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ต้องการมาแช่น้ำร้อนแน่ๆ



บริการนวดเพื่อสุขภาพ และบ่อแช่เท้า ของสาธารณสุข



ออกจากน้ำตกร้อน ไปต่อกันที่ "สระมรกต" ค่ะ

ขับรถเลยไปอีกประมาณสิบ กม. หาที่จอดรถได้ตามสะดวก เป็นที่จอดรถเอกชน ค่าจอด 20 บาท แล้วก็เดินเข้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม จุดเข้าชมสระมรกต นั่นเอง ค่าธรรมเนียม คนละ 10 บาทค่ะ เข้าไปแล้วจะมีป้ายบอกทาง ถ้าสนใจเดินทางศึกษาธรรมชาติ จะต้องเลี้ยวขวา ระยะทางประมาณ 1400 เมตร โปรดศึกษากฏระเบียบและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดนะคะ แต่เราเลือกที่จะใช้เส้นทางถนน 800 ม.แล้วเดินเป็นวงกลม ตอนขาออก ก่อนเข้าไป มีเด็กๆ กระโดดน้ำ เล่นกันน่าสนุก เดินเข้าไปตามทางถนนระยะทาง 800 เมตร แต่กว่าจะถึงก็เล่นเอาหอบเหมือนกันนะเนี่ย









ถึงซะที เบื้องหน้าที่เห็นนั่นแหละค่ะ "สระมรกต" น้ำสีเขียวใส น่าโดดลงเล่นดีแท้





ใกล้ๆกันเป็นลานชมพู่น้ำ มีต้นชมพู่เยอะเลยค่ะ



ขากลับออกมา เราเลือกเดินออกทาง ทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 1400 เมตร ผ่านสระแก้ว สวยมากๆ บริเวณใกล้ๆ สระแก้วนี้ จะมีพืชจำพวกเฟิร์นขึ้นอยู่เยอะมาก









เดินกันต่อค่ะ ร่มรื่น และสวยงาม มีอะไรน่าสนใจตลอดทาง บางจุดก็เป็นทางเดินวิบาก เดินเหนื่อยๆ นี่มีพลาดตกกันมาแล้วค่ะ บางทีก็มีไม้ใหญ่เจ้าถิ่น ล้มขวางทางอยู่ซะงั้น หอบแฮ่ก..กันเลยทีเดียวกว่าจะเดินสุดเส้นทาง อาจเป็นเพราะเราเร่งทำเวลาด้วย เนื่องจากเย็นมากแล้ว ได้เวลาปิด ของที่นี่









ในที่สุด ก็เดินถึงจุดเริ่มต้น

ออกจากสระมรกต ก็ตรงดิ่งเข้าเมืองกระบี่กันเลยค่ะ จากสระมรกต ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เราก็เดินทางมาถึงเมืองกระบี่ แวะถ่ายภาพ แม่น้ำกระบี่ ระหว่างทาง เราขับรถเลาะตามแม่น้ำกระบี่ไปเรื่อยๆ เพื่อเข้าที่พักสำหรับคืนนี้ ที่.. บ้านอันดามัน กระบี่

หาไม่ยากค่ะ ขับตรงไปย่านสถานที่ราชการ เรื่อยๆ เลยโรงพักกระบี่ไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว

แต่..ขออนุญาตยกเอาเรื่องที่พัก ไปไว้ในหมวด "รีวิวที่พัก"นะคะ ชอบทีนี่มาก จะกลับไปอีกแน่นอน

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ลงชื่อทักทายกันได้นะคะ แล้วพบกันอีกตอนต่อไปค่ะ บ๊าย..บาย ค่ะ



ติดตามอ่านรีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ด Blueplanet ได้ตามลิงค์ค่ะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E7578675/E7578675.html




 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2553 0:30:27 น.   
Counter : 5989 Pageviews.  

ทริปส่งท้ายเดือนกุมภา ปี 52 : ตอนจบ ชมความงามทะเลกระบี่ ก่อนกลับบ้าน

ปิดทริปส่งท้ายเดือนกุมภา ปี 52 กันที่ตอนนี้นะคะ

วันนี้ เราร่ำลาบ้านอันดามัน กันตอนสายๆ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบ
ร้อย ก่อนกลับแวะไปชมท้องทะเลสวยๆ ที่อ่าวนาง หรือ อ่าวพระนาง และหาดนพรัตน์ธารา ก่อนตีรถยาวเข้ากรุงเทพฯ

ก่อนไปเที่ยวต่อ

แวะสักการะ ศาลหลักเมืองกระบี่กันค่ะ
อยู่ในเส้นทางเดียวกันกับบ้านอันดามัน เลยศาลากลางมานิดเดียว กราบสักการะ ขอพร ขอให้เดินทางปลอดภัย





เลยศาลหลักเมืองไปอีกนิด ฝั่งตรงข้ามคือไปรษณีย์ แวะส่งโปสการ์ดหาเพื่อนๆ และตัวเองกันก่อน



จากนั้นก็มุ่งหน่า อ่าวนาง
ผ่านป้ายคลองม่วง คุ้นๆ หู หันไปถามคนขับรถว่าใช่ที่โดนซึนามิเยอะๆใช่ป่ะ ???



ไม่นานนักก็มาถึงอ่าวนาง บรรยากาศคล้ายกับจอมเทียนพัทยา
นักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายดูคึกคัก เรือนำเที่ยวจอดเรียงรายเป็นแถว
อากาศดีมากๆค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรือทัวร์ที่พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวเกาะ วิถีชีวิตชาวเล ที่เปลี่ยนมาเป็นชาวเรือ(นำเที่ยว) พี่คนเรือ คงสงสัย เดินมาดูรูปที่เราถ่าย แล้วถามว่า

"เอาไปทำโปสการ์ดขายเหรอ ??"

โห..พี่

ฝีมือหนู ยังไม่ถึงขั้นนั้น

ความจริง อยากได้ภาพเรือในมุมใกล้ๆ แต่เป็นโรคกลัวน้ำค่ะ คลื่นซัดเข้ามาหาหน่อยก็กระโดดหนีแล้ว









ใคร ใคร ก็ไปเที่ยวเกาะ แล้วทำไมเราไม่ไปกันมั่งล่ะ ???

นั่นสิเน๊อะ ทำไม แปลกใจตัวเองเหมือนกัน

แต่อย่างว่าละนะ ถ้าไปเกาะก็ไม่คุ้มกับการเสียเวลานั่งเรือไป
เพราะยังไง เราก็ไม่ได้ไปดำน้ำ ไปเล่นน้ำ

แค่ไปนั่งกินๆ ดื่มๆ
อยู่บนฝั่งก็พอแล้ว





กำลังถ่ายรูปเพลินๆ

เสียงใครมาเรียก ข้างหลัง หันกลับไปดู

อ้าว !!! พี่ พนง.จากบ้านอันดามัน นั่นเอง
มารับลูกค้า ที่ขึ้นมาจากเกาะ โอ้ว...บริการ รับ-ส่ง ลูกค้าด้วย

เห็นภาพแบบนี้แล้วมีความสุข

แอบหวังไว้เล็กๆ ว่าในอนาคตเราจะเที่ยวกันสองคน ตา-ยาย แบบนี้



บ๊าย..บาย อ่าวนาง
หลังจากที่กดภาพไปเป็นร้อย

จากนั้นเราก็ขับรถไปที่หาดนพรัตน์ธารา
ทีแรกตั้งใจว่า จะเข้าไปถ่ายรูปบ้านพักมาให้ดูกัน
แต่ปรากฏว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ที่ป้อมยามเลย ไม่กล้าเข้าไปก่อนขออนุญาต



ขับรถไปจอด ใกล้ๆท่าเรือ เพื่อไปประทับตราอุทยาน ที่สำนักงาน ก่อนแวะถ่ายรูปทิวทัศน์ชายหาดกันอีกนิดนึง



ได้เวลากลับบ้านกันซะที

มุ่งหน้าเข้าทางไปพังงาค่ะ มีวิวสวยๆ ให้ถ่ายภาพตลอดเส้นทาง จนมาถึงถนนสายหลัก



เส้นนี้ น่าจะเป็นเส้น กระบี่-พังงา นะคะ
พอพ้นเขตกระบี่มานิดหนึ่ง ให้กลับรถ เลี้ยวเข้าสายเซาท์เทิร์นซีบอร์ด (กระบี่-สุราษฎร์) ขับง่าย ถนนดี และที่สำคัญย่นระยะทางได้เยอะค่ะ

แต่..

ต้องเติมน้ำมันเต็มถังไว้นะคะ เส้นนี้ไม่มีปั๊มค่ะ



ก่อนถึงสุราษฎร์ จะมีป้ายไปชุมพร
ให้เลี้ยวออกชุมพรค่ะ เพื่อเข้าถนนเพชรเกษม เข้ากรุงเทพฯ

ถึงร้านคุณสาหร่าย ชุมพร ตอนบ่ายสองโมงนิดๆ
แวะทานข้าวกลางวัน เข้าห้องน้ำ ซื้อของฝาก ดื่มกาแฟ แล้วก็ออกเดินทางต่อ



ตลอดเส้นทาง จากชุมพร ไปจนถึงประจวบฯ จะปลูกต้นไม้ไว้ที่เกาะกลางถนน กำลังออกดอกสวยงามเชียวค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นตะแบก หรือ อินทนิน

ขามาไม่ได้สังเกตเลย เพราะมัวแต่ใจจด ใจจ่อ อยู่กับรถ และถนน



ห้าโมงกว่าๆ มาถึงประจวบฯ
เริ่มคิดกันว่าจะขับยาวไปจันทบุรี หรือว่จะค้างที่กรุงเทพฯกันดี
แวะซื้อขนมหม้อแกงเมืองเพชร ไปฝากปาป๊า
(อิ อิ ประจบ ป้องกันโดนด่า เรื่องเที่ยวเก่ง)
แล้วเราก็ตัดสินใจกันว่า.. ค้างกรุงเทพซักคืนเหอะ



ทุ่มกว่าๆ ก็ได้ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ากรุงเทพค่ะ
ประมาณทุ่มครึ่ง ก็ถึงบ้านที่กรุงเทพฯ หาข้าวกิน อิ่มแล้วก็เข้านอน

รุ่งเช้า ออกเดินทางต่อ เพื่อกลับบ้านที่เมืองจันท์
ถึงบ้านก็ไปทำงานกันต่อเลยค่ะ

จบ ทริปส่งท้ายเดือนกุมภา ปี 52 อย่างสมบูรณ์
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมกันทุกตอน และคาดหวังว่าข้อมูลเหล่านี้
จะมีประโยชน์ สำหรับเพื่อนๆ ที่จะออกเดินทางกันบ้างนะคะ

ขอบคุณที่เข้าติดตามอ่านค่ะ
ทริปหน้าจะมีเมื่อไหร่ และไปที่ไหน โปรดติดตามนะคะ


สวัสดีค่ะ




ติดตามอ่านรีวิวภาคเต็ม จากบอร์ด Bluplanet ได้ตามลิงค์นี้ค่ะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E7582785/E7582785.html





 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2553 0:32:46 น.   
Counter : 1671 Pageviews.  

พาหลานเที่ยวเชียงใหม่ เดือนกุมภาปี 52 # ตอนที่ 1

สวัสดีค่ะ

เรื่องเก่า เอามาเล่าใหม่ (อีกแล้วววววว)
ทริปนี้ ครบปีพอดีค่ะ กับการไปเที่ยวเชียงใหม่ ลงรีวิวไว้ที่บันทึกนักเดินทาง ห้อง Blueplanet แล้ว ก็เลยขอยกมาเก็บไว้ที่นี่อีกช่องทางหนึ่ง

เชิญชมค่ะ ^__^


""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ในรอบปีนี้ (2552) ไปเชียงใหม่มาสองรอบแล้วค่ะ
เดือนละครั้งพอดิบ พอดี

แปลกนะ...
เวลาไม่ได้วางแผน มักจะได้ไปในทริปที่ประทับใจเสมอๆ


อันเนื่องมาจาก..

คุณพี่เขย ต้องขึ้นไปทำงานที่เชียงใหม่ สิบกว่าวัน ตั้งแต่ต้นเดือน
สองวันต่อมา คุณพี่สาวก็ลาพักร้อน โรงเรียนหลานชายปิด (คุณครูไปอบรม) ก็เลยเป็นโอกาสเหมาะ ที่จะพาหลานไปเที่ยว

เอาละสิ ที่นี้ ..
พี่สาวอิชั้นน่ะ ไม่ไคยไปไหนไกลๆ ตามลำพัง
แล้วยังมีเจ้าลิงแสบติดตามไปอีกสองตัว ก็เลยมาออดอ้อน..

นี่ๆ คุณน้าคนสวย
พาหลานไปเที่ยวเชียงใหม่ หน่อยสิ นะ นะ
(ความจริงเธอคงอยากหา คนเลี้ยงเด็กน่ะ)


แหม......นะ
ไอ้เรามันก็ รักหลาน ไปก็ไป แต่อย่าดื้อ อย่าซนนะ
เดี๋ยวน้า จองตั๋ว เครื่องบินให้ ไม่ขับรถไปเด็ดขาด มันเหนื่อย !!!

ลองเช็คตั๋วเครื่องบิน ในช่วงเวลาที่เหมาะสม (ไป 3 กพ. กลับ 7 กพ.)

ในที่สุดก็ได้ของสายการบินแห่งชาติ เที่ยวแรก ทั้งไป และกลับ

ไป TG1106 (06.25 ดอนเมือง -เชียงใหม่)
กลับ TG1107 (08.25 เชียงใหม่-ดอนเมือง)

ราคาตั๋วโปรโมชั่น ไปกลับ ผู้ใหญ่สอง เด็กสอง รวม 11400 บาทค่ะ
(ผู้ใหญ่ท่านละ 3,430 บาท เด็กท่านละ 2,270 บาท)

บ้านอิชั้น อยู่ใกล้ดอนเมือง ก็เลยเดินทางจากดอนเมือง
ออกจากบ้านประมาณตีสี่กว่าๆ ค่ะ เด็กๆ ไม่ง่วง ไม่งอแง เลยซักนิด
กระโดดขึ้นนั่งคู่กะคนขับทันที่ ที่เรียกแท๊กซี่ (ปีที่แล้วการบินไทย ยังมีไฟลท์ดอนเมืองอยู่ค่ะ ปีนี้ไม่มีแล้ว)



ถึงสนามบิน ตีห้า ค่ารถ 85 บาท
เค้าเตอร์เช็คอิน เปิดแล้ว โหลดกระเป๋า เรียบร้อย
ก็ไปหามื้อเช้า(ตรู่) รองท้องค่ะ มีร้านเดียวที่เปิดแล้วคือ หมี่ฟ้าน

ระหว่างรอ สงสัยจะง่วง..



รอไม่นาน ก็ขึ้นเครื่องค่ะ
เพราะเดินทางกับเด็ก อิชั้นก็เลยได้ขึ้นเครื่องเป็นคนแรกเลย

มิหนำซ้ำ คุณพี่แอร์คนสวย ยังเอาของเล่นมาให้เจ้าสองคนด้วย
เดินทางกะเด็กนี่ ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ดีจริงๆเลยค่ะ


ภาพนี้ หลานชายวัย หกขวบครึ่ง เค้าถ่าย



ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. พอดิบ พอดี
เจ็ดโมงกว่าๆ กัปตันก็พาเราสู่จุดหมาย ท่าอากาศยานนานาชาติ เชียงใหม่

ฝึกให้เด็กๆ เค้าไปรอรับกระเป๋า เองค่ะ



ปาป๊า มารอรับอยู่แล้วที่สนามบิน

กระเป๋าใคร กระเป๋ามัน ลากกันเองเน้อ...



โชคดีมากๆ วันนี้ท้องฟ้าที่เชียงใหม่สดใส
อากาศกำลังสบาย ไม่ร้อน ไม่หนาว ค่ะ



ยังเช้าอยู่มาก..
เอาของไปเก็บที่ "บ้านริมปิง"
ที่พักของเรา ตลอดทริปนี้ และเป็นที่พักของปาป๊า ในช่วงเวลาที่มาทำงานที่เชียงใหม่ด้วย

ที่นี่ เป็น บ้านพักต่างอากาศของคุณยายเด็กๆเค้า
ที่เห็นอยู่อีกฝั่งแม่น้ำปิง คือ เจดีย์เหลี่ยม แห่ง เวียงกุมกาม
ใกล้ๆ แค่นี้ ยังไปไม่ถึงซักกะที อย่างนี้ต้องมีทริปซ่อม



อาหารเช้า(อีกแล้ว) มื้อแรกที่เชียงใหม่
เป็นข้าวเหนียวนึ่ง หอมๆ สวยๆ กับเนื้อเค็มทอด และน้ำพริกอ่อง

ประมาณ 10 โมงเช้า
ออกไปที่เซนทรัลกาดสวนแก้ว มีนัดกับเด็กใส่แว่น และน้องสาวคนสวยใจดีแห่งห้องโปสการ์ด ที่มาเยี่ยมคุณยายพอดี





แล้วเราก็ออกเดินทาง..
5 ชีวิต สู่การท่องเที่ยวเส้นทาง ดอยสุเทพ-ดอยปุย ในวันนี้

หุ หุ
เจ้าเด็กใส่แว่นหน้าตาดี มีมิกกี้เม้าท์เป็นสัญลักษณ์หารู้ไม่
ว่าโดนหลอกให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กซะแว้ววววววววววววววววววววว

ผ่านดอยสุเทพ ..
เจ้าสองคนทำท่าว่าจะหลับ ก็เลยขับเลยขึ้นไปที่พระตำหนักภูพิงราชนิเวศน์ก่อน



ปรากฏว่า เรามาถึงตอนเที่ยง
ต้องรอค่ะ เพราะว่าเป็นเวลาพักพอดี

ราคาค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 เด็ก 10 บาท
แต่หลานๆของอิชั้นไม่ต้องเสียค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่ายังตัวเล็กอยู่



ระหว่างรอเวลา เราก็ไปช๊อปฯค่ะ
ร้านค้าแถวๆนี้ บอกว่าเงียบมาก ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเลย หรือเป็นเพราะว่าอิชั้นไปเที่ยววันธรรมดาก็ไม่รู้นะ

เดินซื้อของกันจนพะรุงพะรัง แต่ไม่ต้องกลัวนะคะ ที่นี่มีตู้ เอ.ที.เอ็ม ค่ะ เบิกเงินสดได้เรื่อยๆ

นอกจากช๊อปฯแล้ว ก็เดินเก็บภาพดอกไม้ ใบหญ้า และนายแบบไปเรื่อยๆ



การเข้าชมพระตำหนัก โปรดแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยนะคะ
กางเกง,กระโปรง สั้น และเสื้อไม่มีแขน ไม่อนุญาตให้เข้าชมค่ะ



มีรถกอล์ฟให้บริการนะคะ ค่าบริการถ้าจำไม่ผิด ประมาณ 350 บาท
นั่งได้ 4 ท่าน แต่เรามากัน 5 ก็เลยเดินเอาค่ะ ความจริงก็ไม่ไกลเท่าไหร่นะ

กาศเย็นสบาย แต่จะเหนื่อยก็ตอนที่เดินขึ้นบันได ขึ้นเขา นั่นแหละค่ะ
ชมความงามของดอกไม้ ไปเรื่อยๆ เลยนะคะ ถ้าเหนื่อย ก็นั่งพักก่อนได้
เขตพระราชฐาน ไม่อนุญาตให้เข้าไปในอาคารนะคะ









สัญลักษณ์ แห่งพระตำหนักภูพิง

เห็นแล้วนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่น ที่เคยอ่านสมัยเด็กๆ (การ์ตูนตาหวาน)
ต้นใหญ่มากเลยค่ะ
ก้านใหญ่ หนา เลื้อยไปตามเสาไฟดอกกลมสวยเชียว





เด็กๆ อยากมาชมน้ำพุดนตรี

หารู้ไม่..

ก่าจะตะกายขึ้นไปถึง คุณน้าแทบเป็นลม

ต้องทำเนียน ..

แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ถ่วงเวลาหาโฟกัสช้าๆ









เดินมาถึงซะที น้ำพุทิพย์ธาราแห่งปวงชน"
ฟังเพลงพระราชนิพนธ์อันแสนไพเราะ ประกอบน้ำพุ เป็นละออง ลืมร้อนไปเลย





ใกล้ๆ ที่จุดขายอาหารว่าง และเครื่องดื่ม บรรยากาศดี
นั่งดื่มน้ำส้ม,น้ำสตอร์เบอรี่ปั่น,ชา,กาแฟสด,นมเย็น อร่อยชื่นใจ ทุกเมนูเลยค่ะ



ความจริงยังไม่ทั่วนะ ต้องขึ้นเขาไปชมจุดต่อไปอีก
แต่สังขารไม่ไหวแล้วค่ะ อีกอย่างเย็นมากแล้ว เดี๋ยวไม่ทันชมแพนด้า

เราก็เลยกลับค่ะ แวะซื้อของที่ระลึก ก่อนไปสวนสัตว์เชียงใหม่



มุ่งหน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ ค่ะ

ส่วนตัว ไม่ค่อยปลื้มกับสวนสัตว์นี้ซักเท่าไหร่
ค่าจอดรถ คันละ 50 บาทนะคะ (ไม่รวมคน) ค่าเข้าชมต่างหาก แต่จำไม่ได้อ่ะ ว่าเท่าไหร่

พื้นที่สวนสัตว์ ค่อนข้างกว้างค่ะ เดินไม่ไหวแน่ๆ
มีรถบริการนะคะ แต่.. มีค่าบริการค่ะ
ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาชมเจ้าแพนด้า

เราทั้งหมด จึงมุ่งตรงไปที่กรงแพนด้า กันก่อน
ค่าเข้าชมแพนด้า อีกคนละ 50 บาทค่ะ เด็กคนละ 20

ที่นี่ หลานๆอิชั้นต้องเสียตังค์แล้ว สูงเกิน 135 ซม.ขึ้นมาในทันที

คุ้มค่า ความน่ารักค่ะ (ปีที่แล้วเจ้าหลินปิง ยังไม่เกิดค่ะ)









เดินเที่ยวในสวนสัตว์ กันอีกพักใหญ่ ก็กลับค่ะ
โดยทั่วไปก็เหมือนสวนสัตว์ที่อื่นๆ ส่วนที่อะควาเรียม อิชั้นไม่ได้เข้าไปหรอก
เพราะหลานๆ เค้าเคยดูที่อื่นมาบ่อยแล้ว

ค่าเข้ารู้สึกว่าจะถูกกว่าที่พัทยา แต่ว่าจำราคาไม่ได้แล้วอ่ะค่ะ
ออกจากสวนสัตว์ ก็เกือบจะห้าโมงได้ละมั้ง



จากนั้นก็ส่งเจ้าเด็กใส่แว่น กลับเข้าที่พัก
แล้วก็ไปหาพี่เขยที่กาดสวนแก้ว มื้อเย็นวันแรกนี้ก็เลยเป็นอาหารจานเดียวง่ายๆ ที่ร้าน กินเส้น ในกาดสวนแก้วค่ะ

จบการเดินทางในวันแรก ตามนี้
ในวันถัดไป จะพาไปซื้อของแต่งบ้านสวยๆ ที่หมู่บ้านถวาย,น้ำพุร้อนสันกำแพง และการทำร่มที่บ่อสร้างค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ



เยิ่มเติมลิงค์รีวิวฉบับเต็ม จากบอร์ดบลูแพลนเนทค่ะ

//topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/02/E7504775/E7504775.html




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 10 เมษายน 2553 21:31:09 น.   
Counter : 2180 Pageviews.  

พาหลานเที่ยวเชียงใหม่ เดือนกุมภาปี 52 # ตอนที่ 2

สวัสดีค่ะ ..

ทริปพาหลานเที่ยวเชียงใหม่ วันที่ 2 มาแล้วค่ะ
วันนี้ จะพาพี่สาวไปซื้อของแต่งบ้านที่หมู่บ้านถวาย จากนั้นไปบ่อน้ำพุร้อนสันกำแพง และแวะชมการทำร่มที่บ่อสร้าง ก่อนกลับเข้ามาพักในเมือง

เช้าวันนี้ ออกจากบ้านก็สายแล้วค่ะ
เพราะเด็กๆ ยังเหนื่อยจากการเดินทางเมื่อวาน

อากาศตอนเช้าๆ กำลังเย็นจากบ้านสุดทางถนนช้างคลาน ใช้เส้นทางออกไปทางวงแหวนรอบใน เข้าเส้น 108 เพื่อไปหางดง ผ่านพืชสวนโลกค่ะ แต่ไม่ได้แวะเพราะร้อนมากกลัวเด็กๆ จะป่วย

ใช้เวลาไม่นานก็ถึง หมู่บ้านถวาย ค่ะ สบายไม่หนาว ไม่ร้อน



ส่วนใหญ่ ร้านค้าแถวนี้จะไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพนะคะ เพราะเป็นงานลิขสิทธิ์ส่งออก พี่สาวเดินเลือกซื้อของแต่บ้าน เราก็เลยพาหลานๆ มานั่งรอที่ร้านกาแฟ



มีธนาคารแทบจะครบ สำหรับที่นี่
อำนวยความสะดวกให้ขาช๊อป สุด สุด ... รอคุณพี่สาวช๊อป จนจุใจ เดินหอบของกลับรถ ซะหลายเที่ยว ก็ออกเดินทางต่อค่ะ

หลานๆ อยากไปแช่น้ำพุร้อน



ย้อนกลับทางเดิม แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนวงแหวนรอบนอก
ผ่านเส้นนี้ ก็รู้ทันที ว่าเป็นถนนเส้นไหน เอกลักษณ์ต้นยางใหญ่ยักษ์

ข้ามแยกไป เพื่อมุ่งหน้า "สันกำแพง" ค่ะ



ผ่านบ่อสร้าง และตัวเมืองสันกำแพงไป เพื่อไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน เหมือนจะไกล แต่ไม่ไกล เท่าไหร่ หรอกค่ะ



ถึงแล้วค่ะ ..

น้ำพุร้อนสันกำแพง ต้องจอดรถด้านนอก
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 20 เด็ก 10 บาทค่ะ



เข้าไปจะเจอร้าน ขายของที่ระลึก มีตุ๊กตาไล่ฝน แบบเรื่องอิคคิวซังด้วย
แดดร้อนมากๆ เลยค่ะ ตรงนี้ เค้าเรียกอะไรไม่รู้ แต่อิชั้นเรียก "อนุเสาวรีย์ไข่ต้ม" หลานๆ ขำกันใหญ่



เดินเข้าไปดูบรรยากาศ โซนสุขภาพ มีบริการนวดฝ่าเท้าค่ะ



ตรงกันข้าม จะเป็น "สระว่ายน้ำแร่ในร่ม" ค่าบริการคนละ 30 บาท
ใครไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมา เค้ามีให้เช่านะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ที่มาใช้บริการ สงสัยคนไทยขะเขินน่ะ



คนไทย มักจะใช้บริการบ่อแช่น้ำแร่
หรือไม่ก็บ้านพัก ที่มีบริการหลายแบบ แต่ละแบบก็จะมี อ่างแช่น้ำแร่ ในห้องพักไว้บริการค่ะ



สระสำหรับเด็ก เขียนไว้ว่าค่าบริการ 10 บาท
แต่ไม่เห็นมีคนเก็บตังค์เลย วันที่ไปมีเด็กมาเข้าค่ายพอดี สระก็เลยดูคึกคัก

ที่แรก หลานๆ อยากไปแช่น้ำร้อนกันมากๆ
เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากการ์ตูนญี่ปุ่น ที่ไปแช่ออนเซน เตรียมชุดว่ายน้ำกันไปอย่างดิบดี

ปรากฏว่า..
พอลองไปนั่งแช่ขาเท่านั้น ทนร้อนไม่ไหว ขาแดงแจ๋ เลยถอดใจซะงั้น



น้ำพุร้อน

และบ่อต้มไข่ อุณหภูมิ 105 องศาเซลเซียส ค่ะ





ระหว่างที่อิชั้นเดินถ่ายภาพ เด็กๆ กับพี่สาวก็นั่งแช่น้ำร้อนค่ะ
ด้านหลังอาคารที่พักหลังนี้ เห็นว่ากำลังก่อสร้าง ดูเหมือนคลับเฮ้าท์ มีสระน้ำแร่ใหญ่ๆ คล้ายกับที่เบตงเลยค่ะ



ที่นี่ มีทุ่งทานตะวันด้วยนะคะ
แต่ดูเหมือนว่า..เราจะมาช้าไปนิด มันเลยหน้างอ กันหมดแล้ว



ดอกไม้สีแจ่มๆ กะท้องฟ้า สีสวย

แอบได้ยินเจ้าหลานชายมันคุยกะน้องสาวว่า..
ไม่รู้ใครเอาสีไประบายท้องฟ้าเน๊อะ สีฟ้าซะด้วย ฮ่า ฮ่า



ปล่อยให้เด็กๆ แช่น้ำร้อนจนขาแดง
เค้าก็ขออนุญาตไปเล่นที่สนามเด็กเล่น ขึ้นชื่อว่าเด็กอ่ะนะ
เห็นสนามเด็กเล่น เป็นไม่ได้ ต้องขอเล่นซะหน่อย ก็เลยไปนั่งเฝ้าเค้า

เพราะอิชั้นไม่แน่ใจเรื่องความแข็งแรงของเครื่องเล่น
อีกอย่างหลานเราก็ซน ยังกะลิง เดี๋ยวได้มีหัวแตก แขนหัก กันมั่ง

ซักพัก ก็กลับค่ะ หมายตาเอาไว้ ตั้งแต่ตอนขับรถเข้าไป
ว่าเดี๋วเราจะกลับมาแวะกินข้าวที่ร้าน "ม่อน ดอย น้อย"

เห็นบรรยากาศน่านั่ง น่ะค่ะ รายการอาหารก็พื้นๆ รสชาติธรรมดา ราคาสูงพอสมควร



สรุป ร้านนี้ เหมาะสำหรับมานั่งดื่ม ชิล ชิล
มากกว่ามานั่งกินข้าว กินกับ เป็นล่ำเป็นสันค่ะ

ออกเดินทางต่อดีกว่า..
ย้อนกลับไปที่บ่อสร้างค่ะ



ถ้ามาคนเดียว คงจะช๊อปยาวววววววววววว
แต่นี่พาลิงมาด้วย ไม่กล้าปล่อยให้คลาดสายตาเลยล่ะ

แวะพาเด็กๆ ไปชมการทำร่ม สนใจดูกันแค่แป๊บเดียว ก็เบื่อกันซะแล้วใครผ่านไป แวะเยี่ยมชมได้นะคะ คุณป้า คุณน้า ที่นี่ ใจดีมากๆค่ะ







ภาพสุดท้ายแล้วค่ะ..

เด็กๆ ใหความสนใจกับคุณลุงท่านนี้มากๆ วาดรูปเก่งจริงๆเลย



วันนี้ เรากลับถึงบ้านประมาณห้าโมงครึ่ง ค่ะ
เป็นอีกหนึ่งวันที่เด็กๆ ประทับใจ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมนะคะ


ตอนต่อไป ...
จะพาเด็กๆ ไปเก็บสตอร์เบอรรี่ ค่ะ

ติดตามชมกันได้ ที่เนื้อหาตอนต่อไป ข้างล่างนี้นะคะ สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 15:52:09 น.   
Counter : 1671 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

prettyguide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ prettyguide's blog ค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอัญมณี และของดีเมืองจันท์ เชิญลงชื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ค่ะ prettyguide จะขออาสาพาเพื่อนๆเที่ยวเมืองจันท์ให้ครบทุกซอกทุกมุม ใครอยากไปไหน หรืออยากได้ข้อมูลของจันทบุรี ก็บอกมาได้เลยค่ะ

================================

ภาพถ่ายทั้งหมด
ภายใน blog นี้สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัิญญัติสิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาิิต
New Comments
[Add prettyguide's blog to your web]