FORGOTTEN
เมื่อคืนฝนตกหนัก และตกเรื่อยๆเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฉันเหลือบดูนาฬิกามันเป็นเวลาเกือบตี 1 แล้ว หลังจากดูหนังเรื่องSILK จบ หนังยุโรปมักมีความละเอียดและแสดงสัญลักษ์ต่างๆเยอะ จนมีเสน่ห์และงดงามขณะที่หนังไทย เฮ้อ...เหี้ย เหอๆที่พอเชิดหน้าชูตาได้คงเป็นรักแห่งสยามหละมั้ง หลังหนังจบ ฉันมักจะเศร้าและมีอารมณ์ร่่วมกับหนังเสมอ แต่ก็ไม่ทุกเรื่องหรอกนะ คนเหงาคนกลางคืนฉันมักจะเจอคนเหล่านี้เสมอในเซเว่น บางครั้งที่เหงา ฉันมักจะพาตัวเองมาหาไรกินก่อนจะยืนอ่านหนังสือ gossip นินทากาเลคนดังคนอยากดัง คำถามหนึ่งหลังจากดูหนังเรื่อง SILK จบลง บางครั้งเราเลือกจะเป็นได้ไหมระหว่่าง BELONG TO ME หรือว่า BELONGWITH ME สำหรับฉันแล้วไม่ว่าจะเป็นยังไงมันก็เจ็บปวดเสมอแหละ บ่อยครั้งที่เราอาจจะเก็บงำความลับอะไรบางอย่างไว้ ที่ที่คิดว่าซุกซ่อนไว้ดีดีที่สุดสักวันก็ต้องถูกขุดค้นออกมาอยู่ดีโทนของหนังออกสีเทา และเขียว ช่างเหมาะเจาะกับคืนฝนตกอย่างนี้จัง จะทรมานแค่ไหนนะกับการรอและเฝ้าคอย รักษาสัญญาอย่างเลื่อนลอย ในยุคที่การสื่อสารไม่ทันสมัยแบบนี้ "แล้วทำไมคนสมัยนี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นเลยล่ะ" ฉันถามคนที่นั่งข้างๆ "คนมันเหี้ยขึ้นไง " เขาตอบ หรือจะจริงอย่างที่เขาพูดนะ หนังสือของปรายเล่มหนึ่งที่ฉันอ่านแล้ว แทบจะทำให้ฉันอดเศร้าและสมเพชตัวเองไม่ได้ ในวันที่แฟนนอกใจไปมีชู้ สมสู่กับใครไม่เลือกหน้า จนฉันต้องเลิกไม่ใช่โกรธหรอกนะ แต่ฉันยังไม่อยากติดเอดส์จากมัน คุณสมบัติที่น่าทุเรศอย่างหนึ่งของเกย์ส่วนใหญ่ ฉันหมายถึงส่วนใหญ่นะ มักจะมักมากในกาม ก็มันเอากันง่ายนี่ที่ไหนก็ได้ แม้แต่ข้างรถหรือป่าร้าง กลางทุ่งนา ลองอ่านดูแล้วกันนะ อาจจะรู้สึกเศร้าอย่างฉัน หรืออาจจะตลกขบขันเพราะอยู่คนละห้วงอารมณ์ " FORGOTTEN" by marie laurencin more than bored : sad, more than sad : unhappymore than unhappy: illmore than ill : abandoned more than abandoned :alone in the world more than alone in the world : in exile more than in exile :dead more than dead : forgotten หนักหนากว่าความเบื่อคือ ความเศร้าหนักหนากว่าความเศร้า คือ ชีวิตไร้สุขหนักหนากว่าชีวิตไร้สุข คือ ป่วยไข้ หนักหนากว่าป่วยไข้ คือ การถูกทอดทิ้ง หนักหนากว่าถูกทอดทิ้ง คือ อยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวบนโลกใบนี้ หนักหนากว่าการอยู่เปล่าเปลี่ยวบนโลกใบนี้ คือ พลัดพราก หนักหนากว่าการพลัดพราก คือ ความตาย หนักหนากว่าความตาย คือ ถูกลืม ปราย พันแสง ถามตัวเองดูซิเราเคยลืมใคร และใครลืมเรามั่ง สำหรับฉันแล้ว ฉันว่าฉันจำแม่นนะ แม้แต่เรืองของเธอและเธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันจะให้เธอเป็นอะไรดี ระหว่าง BELONG TO ME หรือ BELONG WITH ME
คำมั่นสัญญา
เธอเชื่อเรื่องค่ำมั่นสัญญาไหม ไม่รู้สิคำคำนี้ฟังดีดีสิ มันช่างอบอุ่นเหลือเกินแต่ฉันก็เชื่อว่าคงจะน้อยคนที่ยังแบกรับมันเอาไว้ หลังจากที่เคยให้กับใครบางคนไปบางครั้งมันก็ช่างหนักเกินแบกรับ ถ้าเราทุ่มเทกับมันมากเกิน เกินอีกฝ่ายนึงแต่บางครั้งมันก็เบาหวิวซะจนแทบจะปลิดปลิวถ้าฝ่ายโน้นไม่ใส่ใจที่จะใยดีกะมันเธอเชื่อเรื่องฤดูไหม บางฤดูที่เราอยากมีความรักบางฤดูื่ที่เราอยากให้มันพ้นผ่านไปเร็วๆสำหรับฉัน ฉันเชื่อว่าฤดูบางฤดูเป็นแค่ตัวเชื่อมระหว่างเรากับใครบางคนคำมั่นสัญญากับฤดูกาลมักจะมาพร้อมกัน และบางครั้งก็จากไปพร้อมๆกันเหมือนกันบางครั้งฉันก็รู้สึกดี ดีกับคำมั่นสัญญาของใครบางคนอบอุ่นและมีความสุขประหลาดกับบางฤดูกาลก่อนจะหลงลืมมันไปและสนุกกับเรื่องราวใหม่ๆสัมผัสของฉันที่มีคงคล้ายปลิวนุ่นล่องลอยไม่ยึดเหนี่ยวบางเบาเหมือนไร้ตัวตนแต่มันช่างกลมกลืนและสอดรับกับสายลมของแต่ละฤดูเหลือเกินเธอจะเลิกถามฉันได้หรือยังล่ะทีนี้บางทีฉันว่าฉันอาจจะล่องลอย เกินกว่าจะหยุดนิ่งกับใครบางคนสายลมแห่งความหนักแน่นนั่นปลิดขั้วให้ฉันล่องลอยตั้งแต่วันนั้นวันที่เธอคำลายคำมั่นสัญญาของเราสองคนพังลง
เดียวดายกลางสายลม วัยฝันวันเยาว์
ในวันที่แสนเหงาของฤดูหนาวเมื่อยามเด็ก ฉันยังไม่เข้าใจการพลัดพรากหรือการจากลา แต่วันที่เสียงลมหนาวอุดอู้ พ่อแม่และพี่ๆน้าๆไปทุ่งนาเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวที่สุกเหลือง โดยปล่อยให้ฉันเล่นขายของลำพังข้างต้นตะแบกใหญ่ที่ดอกของมันกำลังออกดอกสีม่วงเด่นณ วัยหกขวบของฉันตอนนั้น ฉันรู้สึกถึงความเหงาอย่างบังเอิญ เป็นความรู้สึกครั้งแรกๆหลังจากงานศพย่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ตอนเด็ก ฉันมักจะฝันร้ายและไม่สบายๆบ่อยครั้งเสมอ ฉันไม่รู้ทำไม หลังจากฉันเริ่มรู้จักความเหงา สิ่งที่สองที่ฉันได้เรียนรู้จากการฝันร้ายคือความโดดเดี่ยวธรรมชาติกำลังสอนฉันให้เรียนรู้ความเจ็บปวดที่มีอยู่ในโลกนี้หรือยังไงนะ ?? ฉันได้แต่ถาม ถามตัวเอง ถามท้องฟ้า บางครั้งก็ถามเอากับสายลมที่มีแต่ความว่างเปล่า.... ฉันค่อยๆเติบใหญ่ทีละนิดละนิด โดยมีแม่และพ่อคอยบอกเสมอว่า ฉันเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุดที่พวกเขารอคอย และคอยบอกฉันให้แบ่งปันความรักที่มีให้แก่คนอื่นๆที่เรารักและรักเรา แต่นอกเหนือจากความเหงาและความโดดเดี่ยวที่ฉันได้ซึมซับมันมาแล้ว ฉันยังไม่รู้สึกถึงความรักเลยว่าเป็นยังไง ฉันได้แต่หวัง สักวันฉันจะต้องรู้จักความรัก ว่าเป็นยังไง?มันจะเหมือนน้าชายของฉันไหมนะ ที่หลงรักสาวข้างบ้านคนนึง วันสุดท้ายก่อนที่น้าจะหนีออกจากบ้านฉันแอบเห็นเขานั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนหลังบ้าน ก่อนวันที่สาวคนนั้นจะแต่งงานกับหนุ่มต่างถิ่นคนนึงถ้าความรักต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดแบบั้นแล้ว พวกผู้ใหญ่ทำไมยังจะสั่งสอนแนะนำให้เด็กอย่างฉันรู้จักมันด้วยนะ ไม่เข้าใจจริงๆ วันหนึ่งฉันก็ได้รู้จักความรัก และความสูญเสียในเวลาไล่เรี่ยกัน วันที่พ่ออุ้มน้องหมาตัวน่ารักมาให้เลี้ยง พ่อบอกว่าฉันจะได้ไม่เหงา เวลาพวกพี่ๆไปโรงเรียนกันหมด ปุกปุยคือชื่อของหมาตัวนั้น ฉันยังจำมันได้ดี มันชอบกระดิกหางเสมอ เวลาฉันอุ้มมันมากอด แม่มักแอบดุเสมอถ้าฉันแอบเอาปุกปุยมานอนบนเตียง "เดี๋ยวจะได้กลายเป็นหมาอีกตัวพอดี " แม่มักบ่นแบบนี้เสมอ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร ปุกปุยมักจะชอบร้องเพลงในคืนเดือนหงาย เสมอ จนฉันรำคาญเพราะฉันฟังมันไม่รู้เรื่อง แต่พ่อบอกว่าเขาไม่เรียกว่าร้องเพลงหรอกน่ะ เขาเรียกว่ามันเห่าและหอน เป็นธรรมชาติของมันที่ได้ยินเสียงคลื่นความถี่สูงๆที่มนุษยือย่างเราไม่สามารถได้ยิน พ่อยิ่งพูดฉันยิ่งงง อะไรก็ไม่รู้ พวกผู้ใหญ่ชอบพูดอะไรที่เข้าใจยาก วันหนึ่งปุกปุยหนีออกจากบ้านไปวิ่งเล่นซะไกล พวกเราทุกคนที่บ้านตามหาจนทั่ว จนกระทั่งเย็นค่ำ ฉันร้องเรียกชื่อของมันจนแทบไม่มีเสียง จนป้าข้างบ้านมาบอกว่า ปุกปุยโดนรถเหยียบตายนอนอยู่ข้างถนนหน้าบ้านแก ฉันรบเร้าให้แม่กะพ่อพามันไปโรงพยาบาล ที่นั่นมียาวิเศษ ที่ทำให้ปุกปุยหายได้ แม่โอบกอดฉันเบาๆและบอกว่ามันช้าเกินไปแล้วหล่ะ ปุกปุยหลับสบายแล้ว ฉันได้แต่ปล่อยโฮ ไม่ยอมท่าเดียว แต่บางที ปุกปุยอาจจะไปอยู่บนดาวดวงเดียวกับเจ้าชายน้อยก็เป็นได้ ฉันแอบคาดหวังถึงเจ้าชายที่แอบเปิดดูในกระเป๋าโรงเรียนของพี่ชาย โลกนี้มาดาวอีกกี่ดวงนะ แล้วย่าล่ะจะไปอยู่ดวงไหนนะ ปุกปุยยังสามารถร้องเพลงในคืนที่พระจันทร์ทอแสงนวลตาได้อยู่หรือเปล่านะ แม่อุ้มฉันวางไว้บนเก้าอี้ตัวเล้กๆ และเริ่มเล่านิทานเรื่องเจ้าชายน้อยอีกครั้ง น้ำตาฉันยังเปียกแฉะและยังสะอื้นไห้เปียที่ถักไว้หลุดลุ่ยจนแม่ต้องถักให้ใหม่ สัมผัสของแม่ที่มีต่อฉันช่างนิมนวลและอบอุ่นซะเหลือเกิน "แม่จ๋า ปุกปุยกับย่าและน้าเขาไปรอเราที่ดาวอีกดวงแล้วใช่ไหมจ๊ะ" ฉันถามแม่เบาๆ และเฝ้าฝันจินตาการถึงดวงดาวแห่งความรักและความอบอุ่นในนิยายที่แม่เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่่อสักครู่ "ใช่จ้ะ แต่หนูต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะก่อนถึงจะไปได้"แม่บอกเบาๆ แม่พูดเหมือนพ่ออีกแล้ว ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมพวกผู้ใหญ่ชอบพูดอะไรยากๆอยู่เรื่อยเลยนะ และฉันต้องเรียนรู้อะไรอีกบ้างล่ะ ฉันได้แต่ถามตัวเองเบาๆ ขณะยกชายเสื้่ออีกข้างขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ยังไม่แห้งดี ขณะสีเทาแมวตัวเดียวในบ้านเข้ามานัวเนียใกล้ๆเหมือนคอยปลอบใจให้ฉันหยุดร้องไห้อีกคน ps. แรงบันดาลใจมาจากภาพการ์ตูนต่างๆที่คอยเซฟเก็บไว้และคิดว่าวันนึงมันจะมีเรื่องเล่าสักเรื่อง อย่างนี้
เชียงใหม่-ขอนแก่น ดินแดนแห่งความรัก
ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ขณะที่ผมใช้วันหยุดหลายวันกลับมาบ้านต่างจังหวัด ช่วงที่เขากลับเข้าไปทำงานกันหมดแล้ว ปีนี้ฝนมาเร็วกว่าทุกปี หรืออาจจะเป็นเพราะฤดูกาลได้ผันผวนจนยากจะคำนวณแล้วก็เป็นได้ ผมเพิ่งค้นพบว่า บรรยากาศนั่งรถระหว่างฝนตกมันช่างโรแมนติกซะเหลือเกิน ขณะที่รถโดยสารกำลังไต่ระดับเทือกเขาน้ำหนาวเพชรบูรณ์วันที่กลับมาจากเชียงใหม่ตอนบ่ายๆ เด้กน้อยมากับแม่ ขณะรถจอดพักระหว่างทาง พร้อมกับเห็ดป่าถุงใหญ่ ผมซื้อมาสองถุง ดีเหมือนกัน กลับถึงบ้านจะให้แม่แกงให้กิน ความคิดกำลังจะเป็นรูปเป็นร่างและโอกาสที่จะกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัดก้มีมากขึ้นเรื่อยๆผมอยากเปิดร้านกาแฟแถวๆ มข อยากให้ที่นี่มีร้านดีดี แบรนด์คนไทยรสชาดดีดีเหมือนร้านกาแฟ วาวีที่เชียงใหม่จัง ผมตกหลุมรักกาแฟร้านนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง กะว่าจะขอซื้อเฟร์นไชส์หน่อยไม่รู้แพงหรือเปล่า เหอๆ หน้าบ้านกำลังอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณ ดอกไม้ที่บรรจงปลูกตั้งแต่สร้างบ้านใหม่ๆ ฝนตกปรอยๆอีกแล้วทันทีที่มาถึงบ้าน อากาศเย็นจนหนาว พ่อบอกให้ตื่นแต่เช้า วัวเพิ่งคลอดใหม่กะอีกหนึ่งวัวสาวที่จะต้องผสมพันธ์ พ่อถามตลกๆว่าถ้ากลับมาอยู่จริงๆ ต้องผสมพันธ์วัวเองนะ ไหวหรือ ที่จะต้องเอามือยัดเข้าไปในจิ๋มวัว อึ๋ยย ฟังดูก็น่าจะขนลุกแล้วหล่ะแต่เอาเข้าจริงๆวันหนึ่งที่วัวมันเยอะผมคงต้องลงมาจัดการเองแล้วหล่ะ ที่ตรงเนินเขาเล็กๆ ตรงปลายไร่ ปกคลุมด้วยไม้นานาพรรณ กำลังแข่งกันโตแย่งแสงแดดกัน ยังจำได้ถึงตอนวัยเด้กที่ผมกะน้องชายและพ่อกับแม่ช่วยกันหักร้างถางพงแถวนี้ให้มันเตียนราบ ดอกไม้ป่าที่กำลังออกดอกสะพรั่งนั่นส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล ฝนตั้งเค้ามาอีกแล้ว เหมือนหลับใหลไปนานแสนนานและตื่นขึ้นมาอีกเช้าวันหนึ่งที่สิ่งรอบตัวดูคุ้นเคยและงดงาม ยังรู้สึกเหนื่อยกับฝันร้ายเมื่อคืน แต่ก็อุ่นใจที่ฝันนั้นผ่านไปแล้ว ผมกำลังเหม่อมองที่ว่างเปล่าเหล่านั้น ภาพชายวัยกลางคนนึงกำลังก้มๆเงยๆขุดดินถมรอยน้ำที่กัดเซาะจนเสียหาย จริงๆแล้วผมต้องดูแลคนเหล่านี้ พื้นที่ป่าแห่งนี้ไม่ใช่หรอกหรือ บางครั้งก็เกิดคำถามขึ้นกับตัวเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าผมไปอยู่ไหนมานะ ในห้วงแห่งความสุขและอิ่มเอมเช่นนี้ โดยปล่อยให้ใครบางคน สิ่งบางสิ่งเติบโตอย่างเงียบเหงา และเฝ้ารออย่างสิ้นหวัง
ศาลาคนเศร้า
แดดเดือนเมษาช่างร้อนและทรมานน่าดู และดูเหมือนว่าแต่ละปี ความร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆวันนี้ ตอนนี้ผมมานั่งจมอยู่ร้านกาแฟเจ้าประจำที่เชียงใหม่อีกครั้้ง จะว่าไปเกือบสองปีแล้วที่วนเวียนมาที่นี่บ่อยๆ ตอนอยู่ต่างจังหวัดสมัยเรียน ม.ปลาย หนังสือหนึ่งที่ต้องหยุดอ่านและหยุดดูทุกครั้งคือ ศาลาคนเศร้า ณ ตอนนั้นสารภาพตามตรงว่า ยังไม่เคยอกหักหรือเข้าใจอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งีท่เฝ้าถามตัวเองเสมอว่า ทำไมคนเราถึงมีเรื่องเศร้า ทุกข์ การพลัดพรากได้มากมายก่ายกองขนาดนั้น จนกระทั่ง กระทั่ง..... วันหนึ่งได้มีโอกาสไปห้องน้องคนหนึ่ง น้องเขาเคยบอกว่าเขาเคยเอาเรื่องราวความรักของเขาไปลงในศาลาคนเศร้า พลันที่ได้ยินผมตลกและหัวเราะอย่างเสียมารยาท อะไรกันนี่ ในโลกที่อะไรๆมันทันสมัยไปหมด แล้วยังจะมีใครบ้าจี้เขียนจดหมายตอบโต้กันอยู่อีก แต่ผมก็คาดผิดเพราะน้องเขายกกล่องจดหมายที่ถูกตอบกลับมาสองกล่องใหญ่ๆ คนเหงาคนเศร้าไม่ได้ลดลงตามวันเวลาหรอกหรือ หัวข้อหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ชวนใจหายคือ กรมไปย์รณีย์จะยุบส่วนการให้บริการด้านโทรเลข เพราะจำนวนผู้ใช้บริการส่วนนี้ลดลง หลังจากที่เปิดให้บริการมาเกือบ ร้อยสิบสามปี ช่างน่าเศร้าใจอะไรเช่นนนี้ ผมขออนุญาติน้องคนนั้นอ่านจดหมายเหล่านั้น นานหลายปีแล้วที่ผมไม่ได้เขียนจดหมายหาใคร และมีใครเขียนจดหมายมาเล่าข่าวคราว จดหมายเกือบทั้งหมดคล้ายๆกันไม่มีอะไรแตกต่างหรือชวนให้น่าสนใจ ถ้าจดหมายเหล่านี้คือการเลือกใครสักคน ผมคงไม่เลือกเพราะมันไม่มีความแตกต่าง เกือบทั้งหมดคล้ายก้อปปี้กันมา ไม่ว่าการแนะนำตัว คำพร่ำเพ้อเชยๆ หวานๆและทั้งหมดมักจะลงท้ายด้วยการฝากเบอร์โทรศัพท์มือถือไว้ให้โทรไปหาแทนการเขียนจดหมายตอบโต้ไปมาแบบนี้ เอาเข้าจริงๆแล้ว ความมีเสน่ห์ของการเขียนจดหมายมันหดหายไปจริงๆแล้วหรือไงนะ ครั้งหนึ่งได้มีความรู้สึกดีกับคนไกลบางคน ความสันพันธ์เหมือนจะไปกันด้วยดี ไอ้จะโทรศัพท์หากันก็ไม่ไหว แพงเหลือเกิน จะออนเอ็มคุยกันก็หาเวลาว่างตรงกันไม่ค่อยได้ จนผมเสนอไอเดียว่า ขอเขียนโปสการ์ดไปบอกเล่าดีไหม? แต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่เขาไม่อยากให้คนสนิทเพื่อนฝูงเหล่านั้น รู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา ดูมันช่างน่าเศร้าและขมขื่นเสียนี่กระไร "พี่อ่านแล้วรู้สึกยังไง" น้องเจ้าของห้องเอ่ยถาม หลังจากผมอ่านจดหมายนั้นจนหมดทุกฉบับ ผมเลือกเอาจดหมายสองฉบับนั้นแยกออกมาด้วยที่มันแปลกและแตกต่างจากคนอื่นทั้งหมด "พี่ขอเบอร์คนนี้กะที่อยู่ได้ไหม " ผมเอ่ยถาม อะไรไม่รู้ที่ทำให้ผมอยากรู้จักคนสองคนนี้ นอกจากสำนวนและเนื้อหาที่เขาเขียนมาบอกเล่า และผมมีคำถามเตรียมไว้แล้วแหละสำหรับคนเศร้าและอาศัยจดหมายเป็นสะพานเชื่อความสัมพันธ์กะคนอื่น ไม่ใช่การจีบหรือเสน่หาแบบคนหนุ่มสาว แต่มันเหมือนเราได้เข้ามาเจอคนพันธ์เดียวกันก็เท่านั้นเอง ผมไม่เชื่อหรอกว่าความเหงาจะถูกบำบัดด้วยคนเหงา ยิ่งใกล้คนเหงาเท่าไหร่เรายิ่งจะเหงายิ่งขึ้น วันและเวลาต่างหากที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้นเจือจางพร้อมทั้งความแข็งแรงของหัวใจเราเป็นตัวหล่อหลอม วันนี้ผมไม่เหงา ไม่ใช่ไม่เคย เพียงแต่ผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาแล้วต่างหาก ผมไม่ได้มีหัวใจที่เข้มแข็งมากกว่าคนอื่นๆ ทุกข์น้อยกว่าคนอื่นเพียงแต่ผมเลือก เลือกที่จะอยู่ห่างๆคนเหงาเหล่านั้นต่างหาก แล้วนี่ผมเลือกที่เหงาอีกหรอกหรือถึงเลือกที่จะเข้าใกล้คนเหงาเหล่านั้น นั่นสินะ มนุษย์บางครั้งก็ช่างเขลาแสนเขลา รู้ทั้งรู้ แต่ก็..นะ