Group Blog
 
All Blogs
 

๒.๒ ผู้อยูเบื้องหลังตวามชั่วร้าย

สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

๒.๒.ผู้อยู่เบื้องหลังความชั่วร้าย

"เล่าเซี่ยงชุน"


ตัวละครในวรรณคดีเรื่องสามก๊กทุกคน ไม่มีใครเลยสักคน ที่จะเป็นคนดีตลอดทั้งเรื่อง หรือเลวร้ายไปเสียทุกแง่ทุกมุม ต่างก็มีดีบ้างชั่วบ้างคละกันไป ตามวิสัยของปุถุชน แต่มีอยู่คนหนึ่ง ที่ถูกประนามว่าหยาบช้าสามาลย์ โหดร้ายทารุณ จนถูกสาปแช่งไปทั้งสิบทิศ เขาคือ ตั๋งโต๊ะ เจ้าเมืองซีหลง ที่เข้ามามีอำนาจอยู่ในเมืองหลวง และเป็นผู้แต่งตั้ง หองจูเหียบ ให้เป็นเจ้าแผ่นดินผู้มีนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ กับอีกคนหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญในทางลบอยู่เสมอ ว่าเป็นคนอกตัญญูต่อผู้มีคุณ และแม้จะเป็นคนรูปงาม มีฝีมือในการรบ แต่ก็เป็นคนโลภมากอีกทั้งโง่เขลาเบาปัญญาหาความคิดมิได้ นั่นก็คือ ลิโป้ นายทหารคู่ใจ หรือลูกเลี้ยงผู้ทรยศของตั๋งโต๊ะนั่นเอง

แต่พฤติกรรมของเขาทั้งสองนั้น เกิดขึ้นเพราะนิสัยสันดานเดิม หรือว่าเป็นเพราะได้รับการยุยงเสี้ยมสอน จากที่ปรึกษาชั้นเลว ก็ลองพิจารณาจากเรื่องราว ที่ได้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารจีน ภาคภาษาไทยดูจะดีกว่า

เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะ ยกทัพมาช่วยปราบขันทีสิบคน ที่ก่อเหตุวุ่นวายขึ้นในเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองหลวงอยู่ในขณะนั้น แล้วเชิญเสด็จ หองจูเปียน ให้กลับมาปกครองบ้านเมืองดังเก่า หลังจาก โฮจิ๋น ตายแล้วจึงไม่มีขุนนางผู้ใดเป็นใหญ่ ตั๋งโต๊ะเลยยึดครองการบังคับบัญชาทหาร ไว้ในมือแต่ผู้เดียวไม่มีใครขัดขวาง แต่ก็ยังอยากจะใหญ่ต่อไปอีก จึงหารือกับ ลิยู ที่ปรึกษาคู่ใจว่าจะทำอย่างไรดี ลิยูก็บอกให้ถอดหองจูเปียนออกเสีย แล้วตั้ง หองจูเหียบ ผู้น้องเป็นเจ้าแผ่นดินแทน ใครไม่เห็นด้วยก็จับฆ่าเสียให้หมด

ตั๋งโต๊ะจึงเชิญขุนนางใหญ่น้อยมากินโต๊ะ ในสวนดอกไม้ชื่ออุนเบ้งหุ้ย แล้วก็ถือกระบี่ออกมาประกาศว่า จะถอดหองจูเปียนออกแล้วยกให้หองจูเหียบเสวยราชย์ เพราะเห็นว่ามีสติปัญญาหลักแหลม กล้าหาญกว่าองค์พี่ บ้านเมืองจะได้ร่มเย็นเป็นสุข ใครจะว่าอย่างไรบ้าง ขุนนางก็พากันนั่งนิ่งเงียบด้วยความกลัวแต่ เต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋วลุกชึ้นยืนค้านว่า หองจูเปียนเป็นราชบุตรเอกของ พระเจ้าเลนเต้ จึงได้ราชสมบัติ และก็ไม่ได้มีความผิดอันใด ตั๋งโต๊ะเป็นแต่ขุนนางหัวเมืองบังอาจจะถอดเจ้าคิดจะเป็นกบฏหรือ

ตั๋งโต๊ะโกรธที่มีผู้ขัดขวาง ก็ชักกระบี่จะฆ่าเต๊งหงวน ลิยูเห็นลิโป้ยืนอยู่ข้างหลังเต๊งหงวน รูปร่างสูงใหญ่ถือทวน ท่วงทีมีสง่า จึงห้ามตั๋งโต๊ะว่าวันนี้จะมากินเลี้ยงกัน ขออย่าได้วิวาททุ่มเถียงกันเลย เต๊งหงวนก็ขึ้นม้าพาลิโป้กลับไป ตั๋งโต๊ะก็ถามขุนนางที่เหลือว่า เมื่อกี้ใครผิดใครถูก ก็ยังมีผู้ไม่เห็นด้วยอีก ที่ประชุมก็เลยเลิกไปโดยปริยาย

รุ่งเช้าเต๊งหงวนกับลิโป้ ก็ยกทหารมารบกับตั๋งโต๊ะ ทั้งสองเข้าตีทหารตั๋งโต๊ะ จนต้องถอยไปถึงห้าสิบเส้น จึงตั้งค่ายมั่นรับไว้ได้ ตั๋งโต๊ะถามลิยูว่าลิโป้เป็นใคร ลิยูก็บอกว่า เป็นลูกเลี้ยงของเต๊งหงวน มีฝีมือกล้าแข็งนัก ตั๋งโต๊ะชอบใจเห็นว่าเป็นคนเข้มแข็งกล้าหาญ อยากจะได้ตัวมาเป็นทหารของตน

นายทหารที่ชื่อ ลิซก จึงบอกว่าเป็นคนบ้านเดียวกันกับลิโป้ รู้จักนิสสัยใจคอดีว่าเป็นคนโลภเห็นแก่ได้ เพราะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน จะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมให้ ขอให้จัดทรัพย์สิ่งของอย่างดี กับม้า เซ็กเธาว์ ที่มีกำลังเดินทางได้วันละหมื่นเส้น ไปให้ลิโป้เป็นการจูงใจ ลิยูก็เห็นด้วย ตั๋งโต๊ะจึงจัดทองคำพันตำลึงกับพลอยสิบยอด เข็มขัดประดับหยกสายหนึ่ง และม้าที่ว่านั้น ให้ลิซกไปจัดการตามความคิด

ลิซกก็ไปคุยกับลิโป้ในฐานะเพื่อนเก่า แล้วมอบม้าให้เป็นของขวัญ ลิโป้ชอบใจม้าเป็นอันมาก ก็ถามว่าเอามาให้เพราะอะไร ลิซกก็เกลี้ยกล่อมชักชวนลิโป้ ให้ไปอยู่กับตั๋งโต๊ะ โดยป้อยอว่าลิโป้นั้นมีฝีมือกล้าหาญในการสงคราม ขึ้นชื่อลือชาปรากฏไปทุกหัวเมือง ทำไมมาจมอยู่กับเต๊งหงวนพ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเล็ก ๆ อย่างนี้ เมื่อไรจะได้ดี อันตั๋งโต๊ะนั้นมีสติปัญญากล้าหาญสัตย์ซื่อมั่นคง น้ำใจรักทหาร ต่อไปข้างหน้าคงจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นที่พึ่งได้ ว่าแล้วก็เอาทองคำเพ็ชรพลอยของกำนัลออกมากองไว้ ย้ำว่าตั๋งโต๊ะให้เอามาให้ทั้งหมดนี่แหละ

ลิโป้ก็ขอบใจ แต่ไม่รู้ว่าจะแทนคุณอย่างไร ลิซกก็ชี้ช่องให้ว่าตนเองฝีมือพอประมาณก็ยังได้ดีพอสมควร ถ้าลิโป้ซึ่งมีฝีมือเข้มแข็งกว่ามากได้ไปอยู่ด้วย ก็คงจะได้เป็นขุนนางใหญ่ มีลาภสการเป็นอันมาก ถ้าจะทำความชอบตอบแทนน้ำใจตั๋งโต๊ะ ก็ง่ายนิดเดียว กลัวว่าจะไม่กล้าทำเท่านั้น ลิโป้ก็คิดออกว่าเต๊งหงวนกับตั๋งโต๊ะผิดใจกันอยู่ พรุ่งนี้จะตัดศีรษะเต๊งหงวนไปให้ตั๋งโต๊ะ ลิซกก็ลากลับ

ตอนดึกสองยามเศษ ลิโป้ก็พกกระบี่เข้าไปในห้องนอนของเต๊งหงวน ซึ่งกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ ก็ถามว่าลูกเอ๋ยเข้ามาทำไม ลิโป้ร้องว่า ตัวกูเป็นชายมีฝีมือลือชาปรากฏซึ่งมึงจะมาเรียกกูว่าลูกนั้นไม่สมควรเต๊งหงวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจถามว่า เป็นไฉนเจ้าจึงคิดกลับใจเป็นดังนี้

ลิโป้ไม่ตอบประการใด ชักกระบี่ออกวิ่งเข้าไปฟันเต๊งหงวนตาย แล้วตัดศีรษะไปให้ ตั๋งโต๊ะในตอนเช้า ตั๋งโต๊ะก็ยินดียกย่องลิโป้เป็นอันมาก แล้วเอาเสื้ออย่างดี กับเกราะทองคำมาให้ ลิโป้จึงกราบคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้านี้มีใจภักดีจะมาทำราชการกับท่าน ซึ่งท่านมีใจเมตตาต่อข้าพเจ้านั้นก็เห็นประจักษ์สิ้นข้าพเจ้าจะขอเอาท่านเป็นบิดาจนกว่าจะสิ้นชีวิต

ตั้งแต่นั้นมา ตั๋งโต๊ะก็มีใจกำเริบหยาบช้าขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งให้ ตั๋งหุ่น น้องชาย เป็นนายทหารซ้าย ลิโป้ซึ่งยอมเป็นลูกเลี้ยง เป็นนายทหารขวา และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยรวมตลอดจนทหารทั้งปวงในเมืองหลวง ก็อยู่ในบังคับบัญชาทั้งสิ้น

ต่อมาลิยูได้เตือนตั๋งโต๊ะ ให้ดำเนินการตามความคิดเดิมอีกครั้ง ตั๋งโต๊ะก็ให้ลิโป้คุมทหารพันเศษเข้าล้อมพระราชวังไว้ และประกาศในที่ชุมนุมขุนนางว่าจะถอดหองจูเปียน และตั้งหองจูเหียบอย่างเคย ปรากฏว่า อ้วนเสี้ยว ก็ลุกขึ้นคัดค้านอีก ตั๋งโต๊ะก็ว่าราชสมบัติทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือเรา เมื่อเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็จะทำให้เหมาะสมเสีย ขืนขัดขวางก็จงดูกระบี่ที่ถือมานี้ว่าจะคมหรือไม่

อ้วนเสี้ยวก็ว่าเราก็ถือกระบี่มาเหมือนกัน ถ้าขืนจะตั้งหองจูเหียบให้ผิดธรรมเนียม ก็จงดูกระบี่ของเราว่าใครจะคมกว่ากัน แล้วทั้งสองต่างก็ชักกระบี่ออกจะเข้าสู้รบกัน ลิยูก็ห้ามตั๋งโต๊ะขุนนางอื่น ๆ ก็ห้ามอ้วนเสี้ยวไว้ อ้วนเสี้ยวก็เลยออกจากที่ประชุม ยกพรรคพวกและทหารไปอยู่เมืองกิจิ๋ว

ตั๋งโต๊ะก็ข่มอ้วนหงุย ผู้เป็นอาของอ้วนเสี้ยวว่า นี่เพราะเห็นแก่ท่าน จึงไม่ฆ่าอ้วนเสี้ยวเสีย ใครอยากจะขัดขวางอีก ก็ไม่มีใครกล้าหือ แถมมีขุนนางพลอยพยักออกความเห็น ให้ตั้ง อ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองปุดไฮ เพื่อเอาใจราษฎรไว้ และอ้วนเสี้ยวจะได้ไม่คิดแค้นต่อไป ตั๋งโต๊ะก็ยอมทำตาม จากนั้นขุนนางทั้งปวง ก็อยู่ในบังคับบัญชาของตั๋งโต๊ะจนหมดสิ้นไม่มีเสี้ยนหนามอีกต่อไปรวมทั้’ โจโฉ ก็ฝากตัวอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยด้วย

อยู่มามิช้ามินาน พอหองจูเปียนเสด็จออกว่าราชการ ณ พระที่นั่งแกเต๊กเตี้ยนมีขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่เฝ้าตามตำแหน่ง ตั๋งโต๊ะก็ถือกระบี่เข้าไปประกาศว่า หองจูเปียนนั้นมีสติปัญญาน้อยไม่สมควรจะอยู่ในราชสมบัติ แล้วสั่งให้ขันทีอุ้มหองจูเปียนออกมาจากที่นั่ง และถอดตราสำหรับราชสมบัติออกจากพระศอ ให้อยู่เฝ้าในตำแหน่งลูกหลวง กับให้เรียกตัวนางโฮเฮาพระมารดา มาถอดเครื่องประดับสำหรับตำแหน่งออกเสียสิ้น ขุนนางหลายคนก็พากันร้องไห้สงสาร

เต๊งกวน ขุนนางคนหนึ่งทนไม่ได้ลุกขึ้นร้องว่าตั๋งโต๊ะเป็นศัตรูราชสมบัติ แล้วก็ฉวยง้าวประจำตำแหน่ง จะฆ่าตั๋งโต๊ะด้วยความโกรธ ตั๋งโต๊ะก็ให้ตำรวจจับไปฆ่าเสีย เต๊งกวนไม่กลัวความตาย ก็ร้องด่าอย่างหยาบคายไปตลอดทางจนถูกประหาร จากนั้นก็เชิญหองจูเหียบขึ้นพระที่นั่งเสด็จออก ขุนนางทั้งปวงก็กราบถวายบังคมสิ้น

ส่วนหองจูเปียน และนางโฮเฮามารดา กับนางสนมนั้น ให้เอาตัวไปขังไว้ในพระตำหนัก แล้วลั่นกุญแจห้ามติดต่อกับใครทั้งสิ้น ได้รับความทรมารอดอยากเป็นอันมาก

วันหนึ่งหองจูเปียนจึงผูกโคลง ปิดไว้ที่ข้างฝาตำหนัก ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ซื่อสัตย์ ต่อพระเจ้าเลนเต้ผู้บิดา ช่วยแก้แค้นให้ด้วย คนสนิทของตั๋งโต๊ะซึ่งมาคอยสอดแนมอยู่ก็นำความไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ จึงให้ลิยูพาตำรวจสิบคนเปิดประตูเข้าไปในตำหนักนั้น ลิยูจัดแจงยื่นจอกสุราใส่ยาพิษ ให้หองจูเปียนดื่ม หองจูเปียนถามว่าอะไร ลิยูบอกว่ามหาอุปราชตั๋งโต๊ะเห็นว่าบ้านเมืองเป็นสุขแล้ว จึงเอาสุรามาให้ดื่ม นางโฮเฮาจึงว่าขอบใจ ผู้เอามาจงกินก่อนจึงให้บุตรเรากิน

ลิยูโกรธเรียกตำรวจให้เอากระบี่กับโซ่ มาวางไว้ตรงหน้า แล้วว่าเมื่อไม่กิน ก็เลือกเอาของสองสิ่งนี้จะเอาอะไร นางสนมที่อยู่ด้วยก็คุกเข่าลงคำนับขอกินแทน แต่ให้ไว้ชีวิตแก่สองแม่ลูกด้วยเถิด ลิยูไม่ยอม นางโฮเฮาก็ด่าว่าทั้งตั๋งโต๊ะและลิยู ว่าเป็นโจรกบฏต่อแผ่นดิน ถึงแม้ว่าสองแม่ลูกจะสู้ไม่ได้ อีกไม่นานก็จะมีคนมาฆ่าเสียจนได้

ลิยูจึงลากทั้งนางโฮเฮาและนางสนม เอาไปให้ตำรวจมัดจนตาย แล้วจึงเอาสุรายาพิษนั้นกรอกปากหองจูเปียน จนตายตามไปด้วย

ต่อมาอีกไม่นาน ตั๋งโต๊ะก็คุมทหารยกไปเมืองหยงเซีย แล้วให้ทหารหักเข้าไปในเมือง เก็บเอาทรัพย์สินของราษฎร แล้วจับผู้ชายฆ่าเสียเป็นจำนวนมาก ตัดศีรษะเอามาเมืองหลวง ประกาศว่าเป็นพวกโจร ส่วนผู้หญิงนั้นคุมตัวเข้ามาพร้อมกับทรัพย์สิน เอาไปแจกทหารทั้งปวง

ขุนนางคนหนึ่งชื่อ เงาฮู ทนไม่ไหว เอามีดเหน็บซ่อนไปในเสื้อ คอยดักอยู่หน้าประตูวัง พอตั๋งโต๊ะผ่านมาก็ปรี่เข้าไปแทง ตั๋งโต๊ะรับไว้ทัน ลิโป้ก็เข้ามาช่วยจับไว้ได้ ตั๋งโต๊ะก็ให้ตำรวจเอาตัวเงาฮูไปแล่เนื้อให้เสีย เงาฮูก็ร้องด่าอย่างหยาบคาย จนสิ้นใจตายไปอีกคน

พฤติการณ์เหล่านี้ คงจะพอเพียงที่ใคร ๆ เขาจะว่ากล่าวเล่าลือกันไป ดังที่ได้นำมาอ้างไว้ข้างต้นแล้ว และลงท้ายทั้งนายและลิ่วล้อคู่นี้ ก็ต้องตายอย่างทุเรศ ตามคำสาปแช่งของใครต่อใคร รวมทั้งนางโฮเฮาผู้สูญเสียอำนาจ เพราะน้ำมือของสองนายบ่าวคู่นี้ไปจนได้ในที่สุด.

##########




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 6:03:42 น.
Counter : 419 Pageviews.  

๒.๑ ผู้ชักศึกเข้าบ้าน



สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

๒.๑ ผู้ชักศึกเข้าบ้าน

"เล่าเซี่ยงชุน"

จดหมายเหตุ หรือพงศาวดารจีน เรื่อง สามก๊ก ที่ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นวรรณคดีไทยในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ พระเจ้าเลนเต้ พระราชบุตรเลี้ยงของพระเจ้าฮั่นเต้ ขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ.๗๑๑ และได้ปกครองบ้านเมืองมาด้วยความอ่อนแอ ตกอยู่ในอำนาจของขันทีซึ่งมีพรรคพวกรวมกันถึงสิบคน ตัวหัวหน้าชื่อ เตียวเหยียง แต่คนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการ แตกแยกอย่างใหญ่หลวงขึ้น จนบ้านเมืองยุ่งเหยิง วุ่นวายกลายเป็นก๊กเป็นเหล่าอย่างมากมาย แล้วลงท้ายฆ่าฟันกันเอง จนเหลือเพียงสามก๊ก ก็ยังรบพุ่งทำศึกกันอุตลุดต่อไปอีกร่วมร้อยปี จึงรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวเหมือนเดิมนั้น หาใช่ผู้น้อยระดับลิ่วล้อไม่ แต่เป็นข้าราชการชั้นบิ๊ก ระดับที่ปรึกษาของพระเจ้าแผ่นดินทีเดียว เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครจำชื่อได้ เพราะปรากฏอยู่ตอนต้นเรื่องเกินไปเท่านั้นเขาคือ โฮจิ๋น

เรื่องก็มีอยู่ว่าพระเจ้าเลนเต้ นั้น มีอัครมเหสีชื่อ นางโฮเฮา พระราชบุตร ชื่อ หองจูเปียน และมีสนมเอกชื่อ อองบีหยิน มีพระราชบุตรชื่อ หองจูเหียบ ต่างก็ พยายามแย่งกันเป็นใหญ่ โฮจิ๋น นั้น เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของนางโฮเฮา ซึ่งพระเจ้าเลนเต้ตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ต่อมาเมื่อพวกโจรโพกผ้าเหลือง ได้ถูกปราบปรามหมดสิ้นไปแล้ว นางโฮเฮาเกิดริษยานางอองบีหยิน จึงหาเหตุให้มีความผิด เป็นเรื่องที่ร้ายแรงถึงขนาดต้องถูกประหารนางตังไทฮอ มารดาของพระเจ้า เลนเต้ จึงเอาหองจูเหียบไปเลี้ยงดูไว้และด้วยความเอ็นดูหลานกำพร้า จึงขอร้องให้พระเจ้าเลนเต้ยกราชสมบัติให้ ทั้ง ๆ ที่เป็นน้อง พระเจ้าเลนเต้เกรงใจก็รับปากไว้ก่อน

ต่อมาถึง พ.ศ.๗๓๓ พระเจ้าเลนเต้ประชวรหนัก และได้สวรรคตลง โดยยังไม่ได้ตั้งให้ผู้ใดเป็นรัชทายาท ขันทีคนหนึ่งชื่อ เกนหวน คบคิดกับขันทีทั้งสิบคน ซึ่งมี เตียวเหยียงเป็นหัวหน้าเข้าข้างนางตังไทฮอ คิดจะยกหองจูเหียบขึ้นครองราชย์ จึงอ้างรับสั่งให้โฮจิ๋นเข้าเฝ้าในวังแล้วจะได้จับฆ่าเสีย บังเอิญลูกน้องโฮจิ๋นรู้เรื่องก่อน จึงรีบบอกให้โฮจิ๋นแก้ไขเหตุการณ์ โฮจิ๋นก็ปรึกษากับ อ้วนเสี้ยว และ โจโฉ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนายทหารอยู่ในเมืองหลวง คิดแก้ไขโดยจะให้หองจูเปียน ขึ้นเสวยราชย์ก่อนเพราะเป็นพี่ จึงให้อ้วนเสี้ยวคุมทหารห้าพัน เข้าไปในวังด้วยกัน เพื่อจับขันทีทั้งสิบเอ็ดคนฆ่าเสีย แล้วก็ให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามสิบคน รีบไปเชิญเสด็จ หองจูเปียนขึ้นนั่งบัลลังก์ ที่พระเจ้าเลนเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงก็กราบถวายบังคม ยกให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบไป

แต่เมื่อโฮจิ๋น กับอ้วนเสี้ยว เข้าไปในวังก็พบว่า เกนหวนถูกพวกขันทีที่เกลียดชัง ฆ่าตายเสียแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงเที่ยวตามหาขันทีอีกสิบคน หวังจะฆ่าเสียให้สิ้นเรื่องไปทีเดียว เตียว เหยียงก็พาขันทีพรรคพวก เข้าไปหานางโฮเฮาขอให้ช่วยชีวิตไว้ นางโฮเฮาก็เชิญโฮจิ๋นพี่ชายเข้าไปเจรจาข้างใน แล้วขอร้องว่าตัวเกนหวนซึ่งเป็นต้นคิด ก็ตายไปแล้ว พวกขันทีสิบคนนี้ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยขอชีวิตไว้ก่อนเถิด โฮจิ๋นเกรงใจน้องสาว ซึ่งเป็นมารดาของพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ที่ตนเองตั้งมากับมือ ก็เลยต้องยอม นางโฮเฮาก็แต่งตั้งพี่ชายให้เป็นเสนาบดี สำเร็จราชการแผ่นดินไปเลย

อยู่มาอีกพักหนึ่ง นางตังไทฮอมารดาพระเจ้าเลนเต้ เกิดริษยานางโฮเฮา หาว่า พอลูกชายได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ชักกำเริบไม่เคารพยำเกรงตนเหมือนแต่ก่อน จึงไปปรึกษาขันทีทั้งสิบคนนั้นอีก เตียวเหยียงยังไม่เข็ด ก็ยุให้นางตังไทฮอออกว่าราชการ แล้วตั้งให้หองจูเหียบเป็น เจ้าตันลิวอ๋อง กับให้ ตั๋งต๋งน้องชายตนเอง เป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร และตั้งให้ขันทีทั้งสิบคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ บรรดาขุนนางที่เข้าเฝ้าในวันนั้นก็งงไปเหมือนกันว่า ใครใหญ่กว่าใครในแผ่นดินนี้

นางโฮเฮาจึงเชิญแม่ผัวมากินโต๊ะแล้วคำนับว่า ทั้งพระองค์และข้าพเจ้าต่างก็เป็นสตรี ไม่ควรที่จะออกว่าราชการงานเมือง ให้มันก้าวก่ายเรื่องของผู้ชายเขา จะเกิดความเสียหายขึ้นได้ นางตังไทฮอก็ไม่ยอมฟังกลับลำเลิกว่า แต่ก่อนเมื่อตัวเป็นผู้น้อยก็ไม่มีใครนับถือพอเป็นมเหสี เลนเต้ลูกของตนก็ยังอ่อนน้อมดีอยู่เวลานี้ลูกชายได้ครองเมือง จะทำเป็นรู้ธรรมเนียมแผ่นดิน มาว่ากล่าวสั่งสอนผู้ใหญ่เชียวหรือ พวกขันทีทั้งสิบเห็นท่าไม่ดี ก็เข้ามาห้ามปรามทั้งสองฝ่าย ให้เลิกราต่อกันเสีย

แต่นางโฮเฮาไม่เลิก ไปฟ้องโฮจิ๋นให้จัดการกับแม่ผัวตัวดี โฮจิ๋นจึงไปพูดจาเกลี้ยกล่อมขุนนางผู้ใหญ่ว่า นางตังไทฮอนี้ไม่ใช่มเหสีของเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน เพราะพระเจ้าเลนเต้เป็นเพียงบุตรเลี้ยงของพระเจ้าฮั่นเต้ พอลูกได้เป็นเจ้าแผ่นดินจึงเข้ามาอยู่ในวัง ตอนนี้หมดสมัยแล้ว ก็สมควรจะไปอยู่นอกวังอย่างเดิม ขุนนางก็พลอยเห็นตามด้วย จึงชวนกันไปเชิญเสด็จนางตังไทฮอ ไปอยู่ที่ตำหนักกลางสระนอกเมือง แล้วก็ให้ทหารไปล้อมบ้านตั๋งต๋ง น้องชายของนางตังไทฮอ ที่เป็นผู้ว่าราชการทหาร ตั๋งต๋งเห็นว่าจวนตัว เลยแอบไปเชือดคอตายอยู่หลังบ้าน โฮจิ๋นก็เป็นใหญ่อยู่แต่ผู้เดียว พวกขันทีทั้งสิบคนก็ย้ายไปพึ่งบุญ โฮเบี้ยว น้องชายโฮจิ๋น และมารดาชื่อ นางบูยงกุ๋น ให้ช่วยเจรจาขอทำราชการต่อไปตามเดิม โดยไม่ต้องโดนหางเลขเข้าด้วย

อีกสองสามเดือนต่อมา โฮจิ๋นก็ให้ทหารคนสนิท ลอบไปฆ่านางตังไทฮอเสียอย่างเงียบเชียบ และเตรียมกำจัดขันทีทั้งสิบคน แต่ก็ไม่สำเร็จอีก เพราะนางโฮเฮาไม่ยอมเล่นด้วย โฮจิ๋นชักจะจนปัญญา จึงกลับไปปรึกษาอ้วนเสี้ยว ให้แต่งหนังสือบอกไปยังหัวเมือง ให้ยกกองทัพมาเรียกตัวขันทีทั้งสิบคนออกไปฆ่าเสีย เผื่อนางโฮเฮากลัวอันตรายถึงตนเอง จะได้ส่งตัวขันทีเหล่านั้น ออกไปให้พวกหัวเมืองเสียโดยดี

แผนนี้ดูแล้วเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน จึงมีคนคัดค้านกันมาก ตันหลิม ขุนนางผู้หนึ่งท้วงว่า ทุกวันนี้ราชการบ้านเมืองทั้งปวงก็ตกเป็นสิทธิ์แก่โฮจิ๋น ผู้สำเร็จราชการคนเดียวอย่างเด็ดขาด เปรียบเสมือนกองเพลิงอันใหญ่ ขันทีสิบคนนั้นเหมือนฝูงแมลงเม่า จะมีอะไรมาต่อกรได้ อันพญาหงส์คิดการใหญ่แล้ว จะมากลัวฝูงกานั้นไม่ควร ถ้ากองทัพหัวเมืองยกมา ได้ตัวขันทีตามแผนแล้ว ก็จะกำเริบเกิดศึกกลางเมืองขึ้นได้ การที่จะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินก็จะเสียไปหมด

โจโฉก็เห็นด้วย ว่าขันทีพวกนั้นที่จะมีสติปัญญาอยู่ก็เพียงคนสองคน จับหัวหน้ามันฆ่าเสียก็จะสำเร็จโดยง่าย จะให้หัวเมืองยกทัพโยธามาให้เอิกเกริกทำไม โฮจิ๋นก็ไม่ยอมฟังคำทัดทานเหล่านั้น เร่งให้ทำหนังสือรับสั่งออกไปบอกหัวเมือง ตามความคิดของตนต่อไปตามเดิม

ฝ่าย ตั๋งโต๊ะ เจ้าเมือง ซีหลง ซึ่งตามกิตติศัพท์ว่าเป็นคนมีใจหยาบ
ช้า คิดอยากจะได้ราชสมบัติมานานแล้ว พอได้รับใบบอกก็ฉวยโอกาสยกทหารสิบหมื่น พร้อมกับทหารเอกอีกหกคน มาถึงเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองหลวงก่อนเพื่อน แล้วจึงแต่งหนังสือกราบทูลเข้าไปว่า จะมาช่วยจับขันทีทั้งสิบคนตามรับสั่ง โฮจิ๋นปรึกษาขุนนางทั้งหลาย ก็ไม่มีใครยินดีที่จะยอมให้ตั๋งโต๊ะยกทหารเข้ามาในเมือง โฮจิ๋นไม่เชื่อฟัง ก็พากันลาออกไปเสียหลายคน

เตียวเหยียงกับลูกน้องอีกเก้าคน เมื่อจนตรอกก็คิดสู้ หาสมัครพรรคพวกคนสนิท ได้ห้าสิบคนมีอาวุธครบมือ คอยดักจับโฮจิ๋นในวัง แล้วไปทูลนางโฮเฮาให้เรียกตัวโฮจิ๋น เข้ามาขอร้องอย่าให้ส่งพวกของตัวออกไปให้ตั๋งโต๊ะฆ่าเลย นางโฮเฮามีความเมตตาต่อพวกขันทีเหล่านี้อยู่แล้วก็ทำตาม โฮจิ๋นจะเข้าเฝ้าคนเดียว เพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาคงจะไม่มีอันตราย แม้ขุนนางผู้ใหญ่จะทักท้วงก็ไม่เชื่อฟัง แถมยังอวดตัวว่าตนเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หาผู้ใดเสมอมิได้ พวกขันทีสิบคนจะมีความกล้าหาญขนาดไหน จึงจะมาทำอันตรายได้

พวกทหารจึงว่า ถ้าจะเข้าไปก็ขอเอาทหารไปคุ้มกันด้วย อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้อ้วนสุด น้องชายคุมทหารห้าร้อยคน เข้าไปคอยที่ประตูวังด้านหน้า ตัวอ้วนเสี้ยวกับโจโฉรีบแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่ เข้าไปกับโฮจิ๋นถึงประตูวังด้านใน นายประตูก็ห้ามทหารผู้ถืออาวุธไว้ตามธรรมเนียมปล่อยให้โฮจิ๋นเข้าไปคนเดียว พอผ่านประตูเข้าไปถึงชั้นใน เตียวเหยียงก็คุมพวกบริวารทั้งห้าสิบคน รุมฆ่าโฮจิ๋นตายคาที่ แล้วตัดศรีษะโยนออกมาให้โจโฉกับอ้วนเสี้ยว ทั้งสองจึงนำอ้วนสุดกับทหาร จุดเพลิงเผาประตูวัง แล้วบุกเข้าไปข้างใน พบขันทีไม่ว่าจะเป็นพวกไหน ก็ฆ่าเสียเป็นอันมาก

พวกตัวการสิบคน ก็แยกหนีกันไปคนละทาง มีอยู่กลุ่มหนึ่งสี่คนเข้าไปตันอยู่ในสวน อ้วนเสี้ยวกับโจโฉก็ตามไปสับเสียเละเป็นหมูบะช่อไปเลย เหลืออีกสี่คนรวมทั้งเตียวเหยียงตัวการ เห็นเพลิงไหม้วังลุกลามไปใหญ่ ก็พานางโฮเฮา กับหองจูเปียน และหองจูเหียบ หนีออกไปอีกทาง บังเอิญเจอกับทหารอีกกองที่มาดัก ก็เลยวิ่งเอาตัวรอดไปก่อน ทหารจึงช่วยนางโฮเฮาไว้ได้ แต่ โฮเบี้ยวถูกทหารหน้ามืด หาว่าคบคิดกับพวกขันที เลยโดนฆ่าตายไปด้วย

ผลของการจลาจลครั้งนี้ ปรากฏว่าเตียวเหยียงตัวหัวโจก หนีไปจนมุมอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ถูกล้อมไว้ไม่มีทางรอด ก็เลยกระโดดน้ำตายไป หองจูเปียน กับหองจูเหียบ สองคนพี่น้องถูกขันทีทิ้งไว้ในป่า ต้องเดินกระเซอะกระเซิงไปจนเจอ ซุยก๊ก นายบ้านผู้จงรักภักดี จึงรอดอยู่ได้ ครั้นกองทหารที่ติดตามหามาพบเข้า ก็พากันกลับเข้าเมือง พอดีตั๋งโต๊ะคุมกองทัพมาเจอเข้าอย่างจัง จึงช่วยคุ้มกันมาส่งถึงพระราชวัง

ตั้งแต่นั้นมา ตั๋งโต๊ะ ก็เลยถือโอกาสเข้ามาเป็นใหญ่ในเมืองหลวง ไม่เกรงกลัวผู้ใดเพราะมีทหารมากกว่า แล้วก็ก่อกรรมทำชั่วต่อไป จนกระทั่งถอดหองจูเปียน ออกจากราชสมบัติ แล้วยกหองจูเหียบ น้องชาย ขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อ พ.ศ.๗๓๓ ขณะที่มีอายุได้เพียงเก้าขวบ พร้อมทั้งตั้งตนเองเป็น พระยามหาอุปราช ถืออาญาสิทธิ์ว่าราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว จนแผ่นดินเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า บ้านเมืองระส่ำระสายแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า รบพุ่งกันต่อมาอีกตั้งนานกว่าจะสงบ

ทั้งนี้ ก็ด้วยความโง่แกมหยิ่งของ โฮจิ๋น ผู้สำเร็จราชการคนก่อนแต่ผู้เดียว ที่ไม่ยอมเชื่อภาษิต อย่าชักน้ำเข้าลึก อย่าชักศึกเข้าบ้าน จนหัวของตนเองต้องกระเด็น นั่นแล.

##########




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 6:00:28 น.
Counter : 194 Pageviews.  

สามก๊กฉบับลิ่วล้อ (๒)

(๒)








 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 5:54:14 น.
Counter : 365 Pageviews.  

หนูผูัท้าราชสีห์ (๒)


สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

หนูผู้ท้าราชสีห์

ตอนที่ ๒ ชัยชนะหรือความตาย

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อครั้งที่ โจโฉ ทำสงครามชนะ ม้าเฉียว ครั้งแรกนั้น ต่อมาอีกไม่นานก็ได้เลื่อนยศเป็นที่ อุยก๋ง มีอิศริยยศเก้าประการ เทียบเท่าเจ้านายชั้นเล็ก ครั้นถึงคราวที่โจโฉทำสงครามกับ เตียวฬ่อ ได้เมืองฮันต๋งแล้ว อีกไม่ช้าก็ได้เลื่อนเป็นเจ้านายชั้นสูงขึ้นไปเป็นที่ วุยอ๋อง แต่ก็ยังคงรับราชการเป็นมหาอุปราช ว่าราชการแทน พระเจ้าเหี้ยนเต้ อยู่เช่นเดิม

ครั้นต่อมา เล่าปี่ รบชนะโจโฉยึดเมืองฮันต๋งได้ ขงเบ้ง จะยกเล่าปี่ ขึ้นเป็นเจ้าบ้าง เพราะมีเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ โดยมีศักดิ์เป็นอา เล่าปี่เจียมตัวสู้ปฏิเสธอยู่ถึงสามครั้งสามครา ลงท้ายเสียอ้อนวอนไม่ได้เลยยอมเป็นเจ้า ครองทั้งเมืองฮันต๋งและเสฉวน เป็นใหญ่ในภาคตะวันตก แต่ด้วยความซื่อ จึงมีหนังสือกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทรงทราบ เพื่อจะได้มีหมายแต่งตั้งตามประเพณี

หนังสือนั้นไปถึงมือโจโฉก่อน จึงเก็บเอาไว้เอง แล้วเตรียมกองทัพจะยกออกไปปราบปรามเล่าปี่ ด้วยความเคียดแค้น สงครามระหว่างเล่าปี่กับโจโฉ จึงปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

โดยโจโฉไปชวน ซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋งเป็นพรรคพวก จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วซึ่งเล่าปี่ให้ กวนอู รักษาอยู่ ขงเบ้งจึงแนะให้เล่าปี่ใช้กวนอูไปตีเมืองอ้วนเสียให้ได้ก่อน เป็นการตัดกำลัง กวนอูก็ยกไปเป็นทัพใหญ่ โจหยิน ซึ่งรักษาเมืองอ้วนเสียอยู่ ก็ออกมารบได้สองสามครั้ง เห็นท่าจะต้านทานไม่ไหว จึงขอความช่วยเหลือไปยังโจโฉที่เมืองเตียงอั๋น โจโฉสั่งให้ อิกิ๋ม เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเมืองอ้วนเสีย

ฝ่าย บังเต๊ก ซึ่งสวามิภักดิ์อยู่กับโจโฉมานานแล้วยังไม่ได้แสดงฝีมือ จึงขออาสาไปรบด้วย โจโฉก็อนุญาตพร้อมทั้งให้ทหารรองอีกสามคน คุมทหารเจ็ดหมวดไปเป็นทัพหน้า ทหารรองคนหนึ่งชื่อ ตันเหง เกิดไม่เชื่อมือบังเต๊ก จึงไปบอกแก่อิกิ๋มแม่ทัพใหญ่ ให้ไปทูลโจโฉขอเปลี่ยนตัวแม่ทัพหน้าเป็นคนอื่น โจโฉจึงบอกกับบังเต๊กว่าคราวนี้อย่าเพิ่งไปเลย จะจัดผู้อื่นทดแทนให้

บังเต๊กก็สงสัยถามว่าเป็นเพราะเหตุใด โจโฉจึงว่าเพราะ บังฮิว พี่ชายท่าน และ ม้าเฉียว นายเก่าของท่าน ก็อยู่กับเล่าปี่ ครั้นให้ท่านเป็นทัพหน้าไปนั้น ทหารทั้งหลายไม่ค่อยจะแน่ใจว่าท่านจะรบให้เต็มสติกำลัง จึงไม่มีความเต็มใจจะไปด้วยเลย

บังเต๊กก็ถอดหมวกเอาหน้าผากกระแทกกับพื้นศิลา จนศีรษะแตกเลือดไหลอาบ แล้วทูลว่า

"........ข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยพระองค์ แต่ครั้งเมืองฮันต๋ง พระองค์ได้มีคุณแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ยังมิได้แทนพระคุณเลย เหตุใดจึงมาสงสัยเช่นนี้ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยพี่ชายนั้น พี่สะใภ้ประทุษร้ายต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเสพสุราเมาแล้วจึงฆ่าพี่สะใภ้เสีย พี่ขายโกรธข้าพเจ้าก็ตัดกันแต่นั้นมา เมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยม้าเฉียว เห็นว่าม้าเฉียวเป็นแต่คนใจกล้า หาปัญญามิได้ พา ทหารไปทำศึกตายเสียสิ้น อยู่แต่ตัวผู้เดียวจึงไปขออยู่กับเล่าปี่ ข้าพเจ้าก็มาเป็นข้าพระองค์ บัดนี้ต่างคนต่างก็มีเจ้าด้วยกัน ขาดไมตรีต่อกันแล้ว อันพระองค์มีคุณแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขออาสาไปทำสงครามแทนคุณท่าน."

โจโฉก็หายแคลงใจ จูงมือบังเต๊กเข้ามาปลอบขวัญแล้วว่า ความจริงก็ทราบแล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์กตัญญู แต่ที่ว่าไปนั้นอยากให้คนทั้งปวงสิ้นสงสัย ขอท่านจงไปทำราชการโดยสุจริตเถิด

บังเต๊กนั้นเมื่อกลับมาบ้าน ก็ให้ต่อโลงขึ้นใบหนึ่ง แล้วเชิญเพื่อนบ้านมาเลี้ยงโต๊ะ เป็นการลาไปราชการทัพ ชาวบ้านก็ว่าทำอย่างนี้เป็นลางไม่ดี บังเต๊กชูจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าวยืนยันว่า

"...พระเจ้าวุยอ๋องมีคุณแก่เรา บัดนี้เราจะอาสาไปทำการสงครามกับกวนอู ครั้งนี้ก็เป็นที่สุดอยู่แล้ว ถ้ากวนอูไม่ตายเราก็จะตายเป็นมั่นคง....."

และเมื่อร่ำลาลูกเมียแล้วก็ยกทัพไป โดยได้สั่งแก่ทหารว่าถ้าเราตาย จงเอาโลงนี้ใส่ศพเรามาถวายพระเจ้าโจโฉ ถ้าเราฆ่ากวนอูตายก็จะตัดศีรษะกวนอูใส่โลงมาถวายเช่นกัน ทหารทั้งเจ็ดหมวดประมาณห้าร้อยคนก็ชื่นชมยินดี ในความองอาจกล้าหาญของบังเต๊ก แม่ทัพหน้าเป็นอันมาก และมีความฮึกเหิมที่จะเข้าสู้รบด้วยความเต็มใจ

อิกิ๋มนั้นไม่ค่อยจะวางใจบังเต๊กอยู่แล้ว จึงทูลโจโฉว่าบังเต๊กนี้ดีแต่กล้าหาญเพียงอย่างเดียว กลัวว่าจะเอาชนะกวนอูไม่ได้ โจโฉจึงให้คนถือหนังสือสำทับไปว่า กวนอูมีทั้งกำลังและความคิด เวลารบอย่าประมาทได้ทีจึงทำการ ถ้าไม่ได้ทีให้รักษาตัวไว้อย่าให้มีอันตราย บังเต๊กรู้หนังสือแล้วก็ว่า กวนอูนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือในการสงครามมาถึงสามสิบปีแล้ว ใครก็รู้จัก แต่เราจะเอาชนะให้จงได้ในคราวนี้ ไม่ควรที่เจ้านายจะยกย่องสรรเสริญศัตรู ให้ไพร่พลเสียน้ำใจดังนี้เลย

เมื่อกองหน้าของบังเต๊กยกเข้ามาใกล้เมืองอ้วนเสีย ก็ให้ทหารทำธงประจำตัวผืนใหญ่ จารึกชื่อให้รู้ว่าแม่ทัพหน้าคนนี้ชื่อ บังเต๊กชาวเมืองลำหัน และเมื่อยาตราทัพเข้ามานั้นก็ให้ทหารโห่ร้องตีกลองเป็นที่อึกทึกครึกโครม ข่มขวัญกวนอูซึ่งตั้งค่ายประชิดเมืองอยู่

กวนอูทราบข่าวที่บังเต๊กแบกโลงมาถึงสนามรบจะใส่ศพตนกลับไปก็โกรธอย่างยิ่ง เพราะเป็นการดูถูกสบประมาทฝีมือเกินไปจะยกออกรบด้วย แต่ กวนเป๋ง เห็นบิดาชราแล้วจึงอาสาออกไปก่อน ก็เจอบังเต๊กถือง้าวนำหน้าทหารทั้งห้าร้อย เตรียมพร้อมที่จะรบให้รู้ดีรู้ชั่วกันไปข้างหนึ่ง และให้ยกโลงผีใบนั้นมาตั้งไว้ตรงหน้าด้วย กวนเป๋งก็ออกมาด่าบังเต๊กว่าเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อนายเก่าแต่ครั้งก่อน

บังเต๊กไม่รู้จักต้องหันไปถามทหารว่าไอ้หมอนี่เป็นใครมาจากไหน ทหารบอกว่าซื่อกวนเป๋ง เป็นลูกเลี้ยงกวนอู บังเต๊กจึงร้องบอกว่า ที่มานี่ก็อาสาโจโฉจะมาเอาศีรษะกวนอูผู้เป็นบิดา ตัวเป็นเพียงลูกเล็กเด็กน้อยไม่ควรมายุ่ง รีบไปบอกบิดาให้มารบกับเราจึงค่อยสมควรหน่อย กวนเป๋ง โกรธเข้ารบกับบังเต๊กถึงสามสิบเพลงไม่แพ้ชนะต่อกัน ต่างก็ถอยกลับเข้าค่าย

กวนเป๋งก็บอกกับบิดาว่า รบมาแล้วสามสิบเพลง ยังเอาชนะบังเต๊กไม่ได้ กวนอูก็ยกทหารไปชิดค่ายบังเต๊ก แล้วร้องบอกว่าเราชื่อกวนอูท่านจงเร่งเอาชีวิตมาให้แก่เราเถิด บังเต๊กไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด แถมคุยเขื่องว่าโจโฉใช้ให้เรามาเอาศีรษะท่าน ไม่เชื่อก็จงดูโลงใบนี้เถิด ถ้ารักตัวกลัวตายก็เร่งลงจากหลังม้ายอมแพ้เสียจะไว้ชีวิตให้ กวนอูจึงว่าอย่าโม้มากนักเลย

"....ถึงกูจะฆ่ามึงเหมือนฆ่าหนูตัวน้อยเท่านั้น ก็ยังคิดเสียดายคมง้าวของกู...."

ว่าแล้วก็เข้าประจันบานกันด้วยง้าวได้ร้อยเพลงเศษ ยังไม่ทันจะเสียทีท่าแก่กัน ทหารทั้งสองฝ่ายเกิดกลัวนายจะแพ้ทั้งคู่ จึงตีม้าล่อให้ถอยทัพกลับเข้าค่ายของตนเสียก่อน

บังเต๊กยกย่องฝีมือกวนอูว่าแน่จริงสมดังคนเล่าลือ เพราะโรมรันกันมาตลอดวันก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำลงได้ อิกิ๋มซึ่งเป็นแม่ทัพหลวงก็เตือนว่า เมื่อรบตั้งร้อยเพลงแล้วยังไม่ชนะ ทำไมจึงไม่ถอยมาตามรับสั่งของโจโฉ บังเต๊กจึงว่าเราเข้ารบเองยังไม่กลัวเลย ตัวท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพหลวง ทำไมจึงมาย่อท้อแก่ข้าศึกอย่างนี้ ทหารรู้เข้าก็ขายหน้าแย่ไปเลย ฉะนั้นพรุ่งนี้เราจะออกไปต่อสู้กับกวนอูอีกครั้ง และคราวนี้ถ้าไม่ตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว จะไม่ยอมถอยหลังเป็นอันขาด

ฝ่ายกวนอูก็สรรเสริญบังเต๊กว่า มีฝีมือกระบวนง้าวพอทันกันอยู่จึงทำให้สามารถต้านทานเราไว้ได้ กวนเป๋งจึงว่าถึงบิดาจะรบชนะ และฆ่าบังเต๊กเสียได้ ก็ไม่มีเกียรติยศอะไรเหมือนชนะผู้หญิง เพราะบังเต๊กเป็นทหารที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย แต่ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่ เสียเกียรติยศไปถึงพระเจ้าเล่าปี่ด้วย ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะเอาชื่อเสียงอันระบือลือลั่นมาตั้งสามสิบปี ไปเสี่ยงกับนักรบที่ไม่มีใครรู้จักคนนี้

แต่กวนอูก็ยังยืนยันว่าจะต้องฆ่าบังเต๊กให้ได้ ในฐานที่ดูหมิ่นอย่างแรง ถึงกับแบกโลงมาจะบรรจุศพเรา ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ทุกสมรภูมิ

รุ่งเช้ากวนอูและบังเต๊ก ก็ออกจากค่ายมาต่อสู้กันอีกครั้ง พอประง้าวกันได้สักสิบเพลง บังเต๊กก็แกล้งทำเป็นเสียทีลากง้าวหนี กวนอูติดตามไปด้วยความระมัดระวัง เพราะรู้กลอุบายอยู่ แต่กระนั้นก็ยังพลาดจนได้ เพราะกวนเป๋งกลัวบิดาจะเป็นอันตราย จึงขับม้าตามไป พอเห็นบังเต๊กเอาง้าวพาดตักชักเกาทัณฑ์ออกจะหันมายิงก็ร้องตะโกนออกไป กวนอูเหลียวหน้ามาดูลูกเลี้ยง เลยหลบลูกเกาทัณฑ์ของบังเต๊กไม่พ้น โดนเข้าที่ไหล่ขวา กวนเป๋งก็เข้ากันบิดาถอยกลับ

บังเต๊กขยับจะตามซ้ำเติม พอดีอิกิ๋มแม่ทัพใหญ่แลเห็น คิดอิจฉากลัวบังเต๊กจะชนะ จึงแกล้งตีม้าล่อให้ถอยทัพ บังเต๊กนึกว่าเกิดเหตุร้ายแรงก็ยกกลับเข้าค่าย แต่ไม่เห็นมีเหตุการณ์อะไร ก็ถามอิกิ๋มว่ากำลังจะมีชัยแก่ข้าศึกแล้ว เหตุใดจึงเรียกกลับ อิกิ๋มก็อ้างรับสั่งของพระเจ้าโจโฉคำเดิมว่า กวนอูมีปัญญามาก อาจแกล้งทำเป็นถูกเกาทัณฑ์ และล่อให้ตามไปเสียทีก็ได้

บังเต๊กเสียดายเป็นอันมาก ที่เกือบจะเอาชนะกวนอูได้แล้ว ต้องมาเสียโอกาสไปเพราะพวกกันเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะเขาเป็นแม่ทัพใหญ่กว่า ก็ได้แต่เสียใจอยู่คนเดียว

ข้างกวนอู พอกลับถึงค่ายชักลูกเกาทัณฑ์ออกจากไหล่แล้ว ก็สาบานว่าจะแก้แค้นบังเต๊กให้หายเจ็บใจให้ได้ ไม่งั้นจะเลิกเป็นทหารกันเลยทีเดียว แต่ทหารทั้งปวงก็ช่วยกันทัดทานไว้ ให้รักษาตัวให้หายดีเสียก่อนจึงค่อยออกไปแก้แค้น จากนั้นแม้ว่าบังเต๊กจะมาร้องด่าท้าทายยังไง กวนอูก็ไม่ออกไปรบด้วย เพราะลิ่วล้อคอยห้ามไว้ และกวนเป๋งก็บัญชาการรักษาค่ายไว้อย่างเข้มแข็ง ปล่อยให้บิดาพักรักษาตัวให้เต็มที่ ห้ามไม่ให้บอกว่าบังเต๊กมาท้าทายว่าไงบ้าง

จนล่วงเข้าสิบวัน บังเต๊กคาดว่ากวนอูป่วยหนักจึงไม่ออกรบ สมควรจะยกทหารเข้าตีหักเอาค่ายได้แล้ว แม่ทัพอิกิ๋มก็คอยห้ามไว้เพราะกลัวบังเต๊กจะชนะและมีความดีความชอบเกินตัว แถมยังยกทหารออกจากค่ายไปตั้งสกัดเส้นทาง ไกลออกไปจากเมืองอ้วนเสียถึงร้อยเส้น และให้บังเต๊กไประวังหลังด้วย แทนที่จะรบให้รู้แพ้รู้ชนะ ในขณะที่กำลังเป็นต่อข้าศึก ก็เลยเสียแผนผิดพลาดคลาดเคลื่อน ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ จนข้าศึกสามารถตั้งหลักให้เข้มแข็งได้อีกหน โอกาสที่จะชนะก็เลยสูญเสียไปโดยสิ้นเชิง

กวนเป๋งรู้ข่าวเรื่องกองทัพบังเต๊กยกไปตั้งกลางทุ่ง ในหุบเขาเรียกว่าทุ่งจันเค้า ไม่คิดจะเข้าโจมตีอีก จึงใช้เวลานั้นรักษากวนอูจนแผลเกาทัณฑ์หายดี ก็พากันออกไปสังเกตดูพื้นที่เห็นชอบกลอยู่ เพราะใกล้ทุ่งนั้นมีแม่น้ำซงกั๋งไหลเชี่ยวอยู่ตลอดเวลา จึงวางแผนให้ทหารทำเรือรบน้อยใหญ่ตระเตรียมไว้เป็นอันมาก รอให้ถึงเดือนสิบฝนตกหนักติดต่อกัน ก็จะเกิดน้ำท่วมทุ่งอันเป็นที่ลุ่ม จึงจะยกทัพเรือไปรบ

ดังนั้นเมื่อถึงฤดูฝน ก็มีฝนตกทุกวันไม่ขาด น้ำในแม่น้ำซงกั๋งก็เอ่อสูงขึ้นทุกที ทหารของอิกิ๋มและบังเต๊กก็ประสบความลำบาก ในเรื่องที่อยู่อาศัยจน เสงโห นายทหารรองของบังเต๊ก ต้องไปร้องเรียนแม่ทัพใหญ่ว่า ควรขยับขยายที่ตั้งทัพเสียใหม่ ก่อนที่น้ำจะท่วมและต้องลำบากมากกว่านี้ เพราะกวนอูได้เตรียมทัพเรือไว้แล้ว คงจะเข้าตีใหญ่อย่างแน่นอน อิกิ๋มไม่ฟังเสียง ไล่ออกไปไม่ให้พูดเรื่องที่จะทำให้ทหารเสียน้ำใจ ขืนพูดอีกจะฆ่าเสีย

เสงโหก็ตกใจที่ความหวังดีของตนไม่เป็นผล กลับมาเล่าให้บังเต๊กฟัง บังเต๊กก็ว่าความคิดของท่านนั้นถูกต้องแล้ว แต่เขาเป็นแม่ทัพหลวง เมื่อไม่ยอมฟังเราซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าก็จะยกไปตั้งที่อื่นเอง แต่ยังไม่ทันจะได้ย้ายคืนนั้นก็เกิดพายุฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา บังเต๊กออกไปดูหน้าค่าย เห็นน้ำป่าไหลบ่าจากภูเขามาทุกทิศทุกทาง อย่างรวดเร็ว จนท่วมค่ายลึกถึงหกศอก ทหารก็หนีน้ำกันอุดตลุด ที่หนีไม่ทันจมน้ำตายไปก็มาก อิกิ๋มและบังเต๊กก็พาทหารที่เหลือตาย แยกย้ายกันไปอาศัยเนินเขาเล็ก ๆ คนละแห่ง ในบริเวณนั้น

พอรุ่งเช้ากวนอูก็ยกทัพเรือ โห่ร้องตีกลองเข้ามาทั้งขบวนใหญ่ อิกิ๋มมี ทหารอยู่ห้าสิบหกสิบคน เห็นว่าจะสู้ไม่ไหวแน่ จึงถอดเสื้อเกราะทิ้งอาวุธยอมแพ้แก่กวนอูโดยไม่มีเงื่อนไข กวนอูก็จับตัวลงเรือแล้วมุ่งเข้าโจมตีบังเต๊ก ซึ่งขณะนั้นตั้งรับอยู่บนเนินเขาอีกลูกหนึ่ง มีทหารเหลือร่วมห้าร้อยคน คงจะรวมกับทหารของทัพหลวงที่แยกทางมาอยู่ด้วย ก็ตั้งมั่นสู้รบเป็นสามารถ

กวนอูเอาเรือเข้าล้อมยิงเกาทัณฑ์ถูกทหารตายไปตั้งครึ่ง นายทหารรองชื่อ ตังเหง และ ตังเจียว เห็นทีจะอับจนจึงบอกแก่บังเต๊กว่า ทหารของเราตายไปกว่าครึ่งแล้ว เส้นทางหนีก็ไม่มีเพราะถูกล้อมหมดทุกด้านสมควรจะยอมแพ้เอาชีวิตรอดเถิด บังเต๊กโกรธจัดบอกว่าเราให้สัตย์ต่อพระเจ้าโจโฉไว้แล้วว่า จะไม่ยอมแพ้แก่กวนอูอย่างแน่นอน แล้วก็ฆ่านายทหารทั้งสองให้ลูกแถวดูเป็นตัวอย่าง และสำทับว่าถ้าผู้ใดพูดถึงการยอมแพ้อีก จะเอาโทษเหมือนอ้ายสองคนนั้น ทหารทั้งหลายก็ตั้งหน้าตั้งตารบกับกวนอูต่อไปโดยไม่ย่อท้อ แม้ว่ากวนอูจะระดมกำลังสักเท่าใดบังเต๊กก็ยันไว้อยู่ แล้วปลอบเสงโหนายทหารคนสุดท้ายให้มีใจเข้มแข็งว่า

"......เราได้ยินเขาว่ามาแต่ก่อน อันขึ้นชื่อว่าทหารแล้วมิได้มีความย่อท้อแก่ข้าศึก อุตส่าห์รบเอาชัยชนะจงได้ แลบัดนี้เราก็อับจนถึงที่ตายอยู่แล้ว ท่านทั้งปวงจงมานะช่วยกันรบกว่าจะตายเถิด....."

เสงโหก็ฉวยง้าวออกไปจบจนตัวตายด้วยลูกเกาทัณฑ์ ทหารทั้งหลายก็ใจเสีย ชวนกันยอมแพ้แก่กวนอูทั้งสิ้น เหลือบังเต๊กแต่ผู้เดียวก็ยังไม่ย่นระย่อ กระโดดลงไปในเรือเล็กข้าศึก เอาง้าวไล่ฟันทหารประจำเรือโดดหนีลงน้ำไปหมด แล้วก็ถือง้าวมือหนึ่ง แจวเรือมือหนึ่งหวังจะกลับไปตั้งหลักในเมืองอ้วนเสีย ซึ่งอยู่ห่างตั้งร้อยเส้น แต่ทหารของกวนอูมีความชำนาญในกระบวนเรือรบ เร่งรีบถ่อเรือใหญ่เข้ามาเกยเรือของบังเต๊กล่มลง ตัวบังเต๊กทิ้งง้าวโดดลงน้ำแต่ไปไม่รอด ทหารก็จับตัวพาไปมอบให้กวนอู

เมื่อกวนอูกลับมาถึงค่ายของตน จึงเอาอิกิ๋มมาชำระก่อน อิกิ๋มกลัวตายก็อ้อนวอนขอชีวิต อ้างว่ามารบตามรับสั่งของพระเจ้าโจโฉ ไม่ได้เต็มใจเลย กวนอูก็หัวเราะเยาะว่า ถ้าเราจะฆ่าเสียก็เหมือนดังฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย จึงส่งตัวไปจำคุกไว้ที่เมืองเกงจิ๋ว เสร็จศึกแล้วค่อยคิดบัญชีกันใหม่

จากนั้นก็ให้เบิกตัวบังเต๊กมาสอบสวนต่อ บังเต๊กไว้ศักดิ์ศรีแม่ทัพไม่ยอมคำนับกวนอูเช่นผู้แพ้ กวนอูจึงถามว่า ทั้งบังฮิวพี่ชายและม้าเฉียวนายเก่า ก็เป็นข้าราชการในเมือง เสฉวน ของพระเจ้าเล่าปี่ บัดนี้เรารบชนะแล้วทำไมไม่ยอมสมัครอยู่กับเรา

บังเต๊กก็เชิดหน้าตอบว่าเราเป็นข้าของพระเจ้าวุยอ๋อง ซึ่งมีคุณแก่เราเป็นอันมาก และย้ำว่า

"...ซึ่งเราจะยอมเข้าแก่ท่านนั้นมิบังควร เราจะขอตายด้วยคมหอกคมดาบ หารักชีวิตไม่......"

กวนอูจึงให้เอาตัวไปประหารเสีย แต่ก็ยังปราณีในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของบังเต๊ก จึงให้เอาศพไปฝังไว้ให้สมกับเกียรติยศของแม่ทัพหน้าข้าศึก

เป็นอันว่าโลงที่อุตส่าห์แบกมาตั้งไกลนั้น ลงท้ายก็มิได้ใส่ศีรษะของกวนอู และมิได้ใส่ศพของผู้แบกกลับไปอีกด้วย

ชีวิตของ บังเต๊ก ยอดทหารที่ไม่มีชื่อจารึก อยู่ในอนุสาวรีย์ใดของสามก๊ก ก็ถึงจุดจบลง ณ สมรภูมิเมืองอ้วนเสียนี้เอง

ตลอดชีวิตของเขาแม้จะได้ทำความดีมามาก แต่ก็ได้นายที่บ้าบิ่นอย่างม้าเฉียว หูเบาอย่างเตียวฬ่อ ขี้อิจฉาอย่างอิกิ๋ม และนายที่ผู้คนชิงชังทั้งบ้านทั้งเมืองอย่างโจโฉ ชตาชีวิตของเขาจึงไม่รุ่งโรจน์เหมือนคนอื่น

แต่แม้กระนั้นเขาก็เป็นตัวของเขาเองที่มีความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ กตัญญู สมควรได้รับคำยกย่อง ว่าเป็นชายชาติทหารคนหนึ่ง..มิใช่หรือ.

############




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 5:39:29 น.
Counter : 350 Pageviews.  

๒.หนูผูัท้าราชสีห์ (๑)

สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

บังเต๊ก.....หนูผู้ท้าราชสีห์

ตอนที่ ๑ ที่ปรึกษากล้าตาย

" เล่าเซี่ยงชุน "

ในวรรณคดีเรื่องสามก๊ก ที่มีความยาวถึง ๙๕ สมุดไทยนั้น ตัวเอกที่มี ชื่อเสียงโด่งดังจนคุ้นหูคุ้นตาผู้อ่านมีอยู่เพียงไม่กี่คน และในจำนวนนั้นมีอยู่เพียงคนเดียวที่มีฝีมือเยี่ยมยอดในการรบ ด้วยง้าวอันทรงพลัง หนักถึง ๘๒ ชั่ง ซึ่งไม่มีใครทาบติดมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ และเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ยังมีผู้เคารพบูชาเส้นสรวงเช่นเดียวกับเทพเจ้า มาจนถึงทุกวันนี้ เขาผู้นั้นก็คือ กวนอู แต่ทั้ง ๆ ที่เขามีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ กระฉ่อนอยู่ในสมรภูมิ ของทั้งสามแคว้นนั้น เป็นเวลาช้านานมาตั้งสามสิบกว่าปี ก็ยังมีผู้บังอาจอาสาเข้าต่อกรกับเขา โดยไม่หวั่นกลัว เขาผู้นั้นไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรในสามก๊กเลย เอ่ยชื่อ บังเต๊ก ขึ้นมา ก็คงจะไม่มีใครรู้จักเสียด้วยซ้ำ

บังเต๊กเป็นที่ปรึกษาคู่ใจของ ม้าเฉียว ลูกชายคนโตของ ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ โจโฉ มหาอุปราชนิสัยไม่ค่อยจะดีของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ในครั้งกระนั้น โจโฉจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งเป็นครั้งที่สอง หลังจากจิวยี่ถึงแก่ความตายไปแล้ว แต่ยังแค้นเจ้าเมืองเสเหลียงคู่อาฆาตเก่า จึงอ้างรับสั่งฮ่องเต้ให้ เรียกตัวเข้าไปหลอกฆ่าเสียที่เมือง ฮูโต๋ แล้วจะได้ยกทัพไปโดยสะดวก ในคราวนั้นนอกจากตัวม้าเท้งแล้ว ม้าฮิว ม้าเทียด ลูกชายคนรองก็พลอยตายไปด้วยคงเหลือแต่ ม้าต้าย หลานชายซึ่งต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่ จึงหนีเอาชีวิตรอดกลับมาถึงเมืองเสเหลียงได้

ม้าเฉียวจึงมีความเคียดแค้นอาฆาตโจโฉเป็นอย่างยิ่ง พอดีกับ เล่าปี่ มีหนังสือมายุยงส่งเสริมเข้าด้วย ก็เลยคุมทหารยี่สิบหมื่นพร้อมด้วยนายทหารเอกแปดนายยกไปจะเหยียบเมืองฮูโต๋ให้ราบเป็นหน้ากลอง พอไปได้แค่ด่านเมืองเตียงฮัน กองหน้าก็เริ่มปะทะกับกองรักษาด่านของโจโฉ แต่ตัวนายเห็นท่าจะสู้ไม่ได้ ก็เลยถอยเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมือง จัดแจงแต่งค่ายคูประตูหอรบแข็งแรง ไม่ให้ทหารเมืองเสเหลียงตีหักเข้าไปได้ ม้าเฉียวล้อมเมืองไว้ถึงสิบวันก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงหารือกับบังเต๊ก กุนซือคนสำคัญ ท่านที่ปรึกษาก็คงจะรอให้มีใครมาปรึกษาอยู่นานแล้ว พอท่านแม่ทัพหารือก็รีบวางแผนทันที บอกง่ายมากเรื่องที่จะเข้าตีเมืองเตียงฮันนี้ ขั้นแรกขอให้ทำทีถอยทัพออกไป ให้ห่างไกลเสียก่อน ผู้คนในเมืองที่อัตคัดขาดแคลนข้าวปลาอาหาร เพราะเป็นเมืองดอนแห้งแล้ง ก็จะพากันออกมาหาเสบียงนอกกำแพงเมือง ตอนนั้นแหละที่ตนจะปลอมปนไปกับระชาชนกลับเข้าไปในเมือง เมื่อได้โอกาสก็จะจุดเพลิงเป็นสัญญาณ ให้ม้าเฉียวนำทหารเข้าโจมตีทางด้านนั้น ตนจะเปิดประตูเมืองคอยรับ

ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็ดีใจหายมึนหัว รีบดำเนินการตามแผนของที่ปรึกษา คู่ใจทันที การก็เป็นผลดังที่คิดไว้ทุกประการ ราษฎรในเมืองนึกว่ากองทัพที่ล้อมอยู่ภายนอกถอยไปแล้ว ก็พากันออกมาหาเสบียงอาหาร บังเต๊กกับทหารคนสนิทจึงปลอมเป็นคนหาฟืนแอบเข้าไปในเมืองเตียงฮันได้เรียบร้อย ในเวลาเพียงห้าวันต่อมา ม้าเฉียวก็ยกทหารมาล้อมเมืองไว้ดังเก่า กองทัพฝ่ายตั้งรับก็ปิดประตูเมืองเตรียมสู้เต็มที่ แต่ในคืนต่อมาบังเต๊กก็จัดการวางเพลิงขึ้นในเมือง แถบทิศตะวันออก นายทหารที่รักษาประตูเมืองด้านนั้นจึงรีบควบม้ามาจะอำนวยการดับเพลิง ก็โดนบังเต๊กฟันฉับเดียวตกม้าตาย โดยไม่ทันได้รบเลยสักเพลงเดียว เหล่าทหารเลวก็แตกหนีไปคนละทิศละทาง ปล่อยให้บังเต๊กฟันกุญแจเปิดประตูรับม้าเฉียวเข้ามายึดเมืองได้อย่างง่ายดาย นับว่าเป็นความสำเร็จในผลงานชิ้นแรกของบังเต๊ก ที่ตนเองเป็นทั้งผู้วางแผน และลงมือ ปฎิบัติอย่างเสี่ยงอันตรายเองเสียอีกด้วย

ฝ่ายโจโฉพอรู้ว่าม้าเฉียวยกมาถึงเมืองเตียงฮัน กำลังจะจัดแจงแต่งทัพ ไปช่วย ม้าเร็วก็มาบอกว่าเตียงฮันเมืองหน้าด่านแตกแล้ว จึงสั่งให้ โจหอง ลูกพี่ลูกน้อง คุมพลหมื่นหนึ่งไปตั้งยันไว้ที่ด่านตงก๋วน โดยมี ซิหลง ซึ่งเป็นนายทหารผู้ใหญ่สุขุมกว่า ตามไปดูแลด้วย โดยสั่งเป็นคำขาดไว้ว่า ให้ยันอยู่ให้ได้อย่างน้อยสิบวันเพื่อจะได้ยกทัพใหญ่ไปสมทบ ทั้งสองนายเมื่อยกไปตั้งหลักที่ด่านได้แล้ว ก็โดนกองทัพของม้าเฉียวล้อมไว้อีก และมิหนำซ้ำมีทหารเลวออกมาคอยร้องด่าท้าทายทั้งกลางวันกลางคืน ให้ออกไปรบด้วย แถมลำเลิกเบิกประจานขึ้นไปถึงสามชั่วโคตร โจหองคนแซ่เดียวกันหรือจะทนไหว ขยับจะออกไปรบให้รู้ฝีมือกันไว้สักตั้งเป็นไร แต่ซิหลงก็คอยห้ามอยู่เรื่อย ทนมาได้ถึงวันที่เก้า ซิหลงมัวแต่สาละวันแจกข้าวต้มกลางวันให้แก่พลพรรค โจหองแลจากเชิงเทินลงไป เห็นทหารของม้าเฉียว ซึ่งตายใจว่าไม่มีใครเปิดประตูออกมาต่อกรด้วยแล้ว ต่างก็นอนผึ่งพุงกันระเกะระกะไม่เป็นกระบวนทัพ ก็รีบคุมทหารสามพันออกไปลุยทันที เจ้าพวกสันหลังยาวก็ลุกขึ้นวิ่งหนีกันอลหม่าน ซิหลงยังแว่วถึงคำสั่งของ โจโฉอยู่จึงชวน จงฮิว ยกทหารไปตามโจหองกลับเข้าค่าย แต่ไม่ทันการโดนม้าเฉียวดักหน้า บังเต๊กดักหลัง รุมล้อมเข้ามาจนจวนตัว ก็เลยพากันทิ้งค่ายตงก๋วน นำทหารฝ่าวงล้อมหนีไป บังเต๊กกำลังมันก็ควบม้ากวดติดไปอย่างกระชั้นชิด จนเจอเอา โจหยิน ที่ โจโฉสั่งให้ตามมาช่วย กลายเป็นสี่นั้งพะเจ้กนั้ง จึงชะงักหันม้ากลับ ทั้งสามหน่อก็พากันรอดไปได้อย่างหวุดหวิด

ข้างโจโฉซึ่งยกทัพหลวงตามมา เห็นทหารเอกทั้งสี่นายแตกหนีหน้าเริด มาก็ตกใจ พอซักไซ้ได้ความเป็นสัตย์ ก็ให้เอาโจหองซึ่งขัดคำสั่งโดยเจตนาไปฆ่าเสีย แม่ทัพนายกองทั้งหลายก็พากันขออภัยโทษไว้ เพราะยังจะต้องรบกันไปอีกนาน มาฆ่าญาติเสียก่อน เห็นจะไม่ได้เรื่องแน่ โจโฉจึงเพียงแต่ภาคทัณฑ์ไว้ครั้งหนึ่ง พอยกทหารมาตั้งค่ายใกล้ด่านตงก๋วนที่ม้าเฉียวยึดครองไว้ ก็โดนลูกไม้เดิมอีก คราวนี้ม้าเฉียวแสดงเอง โดยการควบม้าออกมายืนท้าทายหน้าแถวทหาร พร้อมด้วยบังเต๊กเคียงขวา ม้าต้ายข้างซ้าย ให้โจโฉออกมาประฝีมือกันดูสักตั้งเป็นไร โจโฉชอบใจในรูปทรงที่มีความสง่างามสมชายชาตรีของนายทัพ ซึ่งห่มเกราะเงิน ใส่หมวกขาว รูปร่างคมสัน ไหล่ผายเอวกลม หน้าขาวปากแดง จึงถามไปอย่างสุภาพว่า ท่านเป็นเชื้อสายขุนนางเก่า ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินอยู่ เหตุใดจึงคิดขบถยกทัพมาตีเมืองหน้าด่านแตกถึงสองแห่งอย่างนี้ ซึ่งเป็นคำถามในฐานะของมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ผู้มีอำนาจปกครองประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ม้าเฉียวไม่ยอมฟังอะไรอีกแล้ว ความโกรธที่ โจโฉ ฆ่าพ่อและน้องชายสองคนกำเริบกล้า ถึงกับร้อยกรองคำด่าว่า

".......อ้ายโจโฉศัตรูราชสมบัติ มึงทำการหยาบช้า ดูหมิ่นพระเจ้าเหี้ยนเต้ โทษมึงผิดเป็นอันมาก ควรจะสับให้ละเอียด เหมือนสับสุกรทำบะอ๋วนจึ่งจะชอบ แล้วมึงฆ่าบิดากับน้องกูเสีย กูก็มีความแค้นนัก จะจับตัวมึงเคี้ยวเนื้อ สูบเลือดกินเสียทั้งเป็นให้จงได้....."

ว่าดังนั้นแล้ว ไม่ทันที่โจโฉจะอ้าปากหัวเราะคำด่าอันยอกย้อนทิ่มแทงถึง กึ๋นนั้น ม้าเฉียวก็ควบอาชาจะเข้าไปจับตัวโจโฉอย่างที่ว่าไว้ ทหารเอกที่อยู่ใกล้ก็เข้า ปะทะไว้ก่อน คนที่ชื่อ อิกิ๋ม รบกับม้าเฉียวได้ยี่สิบเพลงก็หมดแรงควบม้าหนี ลิกองเข้ามาแก้ได้เพียงเก้าเพลง ก็ถูกแทงตกม้าตายตามระเบียบ ทหารก็แตกกระจัดกระจายไปเป็นแถบ ม้าเฉียวร้องบอกให้ทหารช่วยจับตัวโจโฉซึ่งใส่เกราะแดง โจโฉก็ถอดเกราะทิ้งควบม้าปนไปกับทหารเลว แต่ก็ยังมีคนรู้จักร้องว่าไอ้หนวดยาวนั่นแหละจับให้ได้ โจโฉก็เอากระบี่ตัดหนวดทิ้งอีก ทหารตาดีอีกคนของม้าเฉียวก็ตะโกนว่าไอ้หนวดสั้นตัดใหม่นั่นแหละตัวดี โจโฉก็เอาแพรชายธงห่อคางควบม้าหนีต่อไปเป็นที่น่าทุเรศยิ่งนัก ยังไม่มีใครตาแหลมตะโกนต่อ ก็พอดีมาเจอม้าเฉียวเข้าเอง ต้องชักม้าวนรอบต้นไม้ ม้าเฉียวเอาทวนแทงก็ปักติดกับต้นไม้แน่น โจโฉจึงได้หนทางรอดไปอีกตา ม้าเฉียวชักหัวเสียเต็มทีเลยตามไปคนเดียวโด่เด่ ไม่มีทหารคนใดตามทัน พอดีโจหองคนที่ถูกคาดโทษ รีบถลาเข้ามารบกันเอาไว้ได้อีกห้าสิบเพลง ก็มีทหารเอกของโจโฉเข้ามาร่วมวงอีกคน ม้าเฉียวเห็นท่าไม่สูัดีชักว่อกแว่กในใจ ก็เลยเลิกรบ ควบม้ากลับเข้าค่ายตงก๋วนดีกว่า

ก็ขึ้นต้นจั่วหัวไว้ว่าจะเล่าเรื่อง บังเต๊ก แต่อ่านมาถึงแค่นี้แล้ว ก็เห็นมีแต่ เรื่องของคนอื่น ท่านผู้อ่านคงจะนึกกังขาอยู่ในใจ ก็จะมีมากกว่านี้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นเพียงลิ่วล้อ ตัวประกอบของเรื่องเท่านั้น ต้องติดตามตัวเอกไปเที่ยวรบพุ่งกับใครต่อใครเสียยืดยาว เป็นการปูพื้นนิสัยใจคอของเขาดูก่อน นึกเสียว่าได้มีโอกาสติดตามกองทัพของ ม้าเฉียว ไปรบกับ โจโฉ พลาง ๆ ก็แล้วกัน ไม่ถึงกับเสียเวลาเปล่าเพราะการรบ ช่วงนี้ก็มีความมันไม่แพ้ตอนอื่นเหมือนกัน อีกไม่ช้าก็คงถึงตาที่บังเต๊ก จะต้องแบกโลงไปรบด้วยตนเองจนได้หรอก

แต่ก็น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งที่ม้าเฉียวก็รบกับโจโฉ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็รบกับโจโฉ ไฉนบังเต๊กซึ่งเป็นที่ปรึกษาของม้าเฉียว จึงจะดันไปรบกับกวนอูได้ นี่ซิมันน่าสงสัยอยู่มิใช่น้อย ขอได้โปรดรอสักนิด ผู้เล่าจะไปขุดคุ้ยออกมาให้อ่านกันในไม่ช้านี้.

##########




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 5:22:41 น.
Counter : 510 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.