Group Blog
 
All Blogs
 
๕.๖ ผู้ก่อการมือเปล่า



สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

ผู้ก่อการมือเปล่า

"เล่าเซี่ยงชุน"

ตั้งแต่ครั้งที่ โจโฉ ได้ยกทหารสามสิบหมื่น มาปราบปราม ลิฉุย กุยกีจน เรียบร้อยโรงเรียนจีน จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนแล้วนั้น ราชการงานเมืองทั้งปวง ก็ตกเป็นสิทธิ์ขาดอยู่แก่โจโฉทั้งสิ้น โจโฉจึงคิดจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ ออกจากเมืองลกเอี๋ยง ไปตั้งราชธานีใหม่อยู่ที่เมืองฮูโต๋

เนื่องจาก เมืองลกเอี๋ยง ได้รกร้างว่างเปล่าอยู่ตั้งแต่เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะเผาทิ้งไปแล้ว ยากแก่การที่จะบูรณะตกแต่งให้เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างเดิมได้ ส่วนเมืองฮูโต๋นั้น ประกอบด้วยค่ายคูประตูหอรบ อาณาประชาราษฎรก็มีทรัพย์สินมั่งคั่ง ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ พอกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็
มีรับสั่งว่า ท่านจะคิดป้องกันบำรุงเราประการใด ก็ตามเถิดเราไม่ขัด ขุนนางใหญ่น้องทั้งหลายก็เลยไม่มีใคร ว่ากล่าวทัดทานแต่ประการใด

ก่อนที่ขบวนย้ายเมืองหลวงจากลกเอี๋ยงจะถึงเมืองฮูโต๋ ก็มีข้าเก่าของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ที่จงรักภักดีอยู่ในสมัยที่ต้องระหกระเหินหนีลิฉุยกุยกีสามคน ยกทหารมาขัดขวางไว้ แต่ก็ถูกโจโฉตีแตกพ่ายไป เอียวฮอง ทหารเก่ากับ หันเซียม อดีตนายโจรก็หนีไปอยู่กับ อ้วนสุด ที่เมืองลำหยง ส่วน ซิหลง ซึ่งเป็นเพื่อนกับเอียวฮอง ก็สมัครเข้าเป็นลิ่วล้อของโจโฉเสียเลย

เมื่อตั้งมั่นในเมืองฮูโต๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็แต่งตั้งให้ ตังสิน คนสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันพระองค์ให้พ้นภัยจากลิฉุยกุยกี เป็นเสนาบดี

และต่อมา นางตังกุยหุย น้องสาวของตังสิน ก็ได้เป็นสนมเอกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึง ได้เป็นพระญาติพระวงศ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนโจโฉนั้นมีทหารเอกสี่คน ทหารโทห้าคน ทหารตรีสองคน ล้วนแต่มี ฝีมือยอดเยี่ยมทั้งสิ้น แล้วยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นพรรคพวกอีกสี่คน กับเจ้าเมืองใหญ่อีกสามคน ก็เลยตั้งตนเป็นมหาอุปราช ว่าราชการแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้เจริญรอยตามผู้ใหญ่รุ่นพี่ที่แล้ว ๆ มาเช่นกัน

ตั้งแต่นั้นมา โจโฉก็ยกทัพไปกำหราบปราบปรามหัวเมืองอื่น ที่ไม่ยอม อ่อนน้อมด้วยหลายต่อหลายครั้ง แพ้บ้างชนะบ้างไปตามเรื่อง ครั้งหลังร่วมมือกับ เล่าปี่ปราบปรามลิโป้ ลงได้ จึงพาเล่าปี่มาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ พอทราบว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ระดับอา ก็ตั้งให้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง โจโฉเลยชักระแวงว่าเล่าปี่จะเป็นใหญ่ ขัดขวางความก้าวหน้าทางการเมืองของตัวไปเสียอีก

สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้าเหี้ยนเต้กับโจโฉ ซึ่งไม่ค่อยจะเรียบร้อยอยู่แล้ว ก็เลยยิ่งขลุกขลักมากขึ้นไปอีก เพราะโจโฉพยายามจะเบ่งตัวเองให้ใหญ่เท่า เทียมกับฮ่องเต้ อย่างเช่นคราวหนึ่งได้เสด็จไปประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ มีข้าราชบริพารตามเสด็จมากมาย พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเกาทัณฑ์ยิงกวางแต่ไม่ถูก โจโฉก็ขอพระราชทานเกาทัณฑ์มายิงกวางล้มลง ขุนนางเห็นเป็นลูกเกาทัณฑ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็พากันกราบถวายบังคมชื่นชมยินดี โจโฉก็เลยอวดอ้างว่าเป็นฝีมือของตนเอง เป็นการหมิ่นพระเกียรติต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย ก็มีหลายคนแสดงความโกรธเคือง โจโฉจึงแกล้งคำนับพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วกราบทูลแก้เกี้ยวว่า ที่ยิงถูกนั้นเป็นเพราะเกาทัณฑ์และบารมีของพระองค์ แต่แล้วก็ไม่ได้คืนพระแสงเกาทัณฑ์นั้น คงยึดเอาไว้เป็นกรรมสิทธิ์เสียเลย

พระเจ้าเหี้ยนเต้เสียพระทัย ปรารภกับ นางฮกเฮา มเหสีว่า

"..ตัวเราได้เสวยราชย์สมบัติ มีแต่ความระกำใจ ครั้งตั๋งโต๊ะก็ทำหยาบช้าแก่เราเป็นอันมาก ครั้งลิฉุยกุยกีก็คิดทำอันตรายแก่เราต่าง ๆ ครั้งนี้เราคิดว่าโจโฉจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ก็กลับมาทำหยาบช้าแก่เราอีกเล่า อันชีวิตของเรากับเจ้านี้ ไม่รู้จักว่าความตายจะมาถึงวันใด....."

ต่อมา ฮกอ้วน บิดานางฮกเฮาเข้าไปเฝ้าในที่ข้างใน ทราบเรื่องเข้าจึง แนะว่า เมื่อขุนนางทั้งปวงไม่มีใครเจ็บร้อยด้วย ก็เห็นแต่ตังสินซึ่งเป็นพระราชวงศ์ที่ใกล้ ชิด น่าจะช่วยกำจัดโจโฉได้ แต่ทุกวันนี้โจโฉจัดหญิงคนสนิท ให้คอยสอดแนมดูความเป็นไป ในพระราชวังอยู่ตลอดเวลา ต้องระวังตัวให้ดี

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเอาพระแสงแทงนิ้วพระหัตถ์ แล้วเอาโลหิตเขียนข้อความลงบนแพรขาว ให้นางฮกเฮาเย็บซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ แล้วให้หาตัวตังสินมาพระราชทานเสื้อเป็นบำเหน็จเมื่อครั้งพาหนีลิฉุยกุยกี แล้วกระซิบว่าเมื่อถึงบ้านแล้วเราะเสื้อออกดูจะรู้ความทุกข์ของพระองค์ ตังสินก็ใส่เสื้อนั้นจะกลับไปบ้าน โจโฉก็รู้เรื่องเสื้อจากสายลับหญิงจึงไปดักตังสินที่ประตูวัง ให้ถอดเสื้อที่รับพระราชทานมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรจึงแกล้งสวมใส่แล้วขอเอาดื้อ ๆ ตังสินทำใจดีสู้เสือ บอกว่าเป็นเสื้อพระราชทาน จะให้แก่ใครไม่ได้ แต่ถ้าอยากได้ก็เอาไปเถิด โจโฉจึงต้องยอมถอดเสื้อคืน

ถึงเวลาค่ำตังสินนอนอยู่ผู้เดียว ก็เอาเสื้อมาเราะแพรขาว อ่านอักษรที่เขียนด้วยโลหิตของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็คิดตริตรองหาหนทางอยู่ตลอดคืน ไม่ได้หลับนอน จนถึงเช้าก็เอาผ้านั้นไปอ่านดูในห้องหนังสืออีก ก็เลยม่อยหลับไป จนกระทั่ง จูฮก ขุนนางที่เป็นเพื่อนรักกันแวะมาเยี่ยม จึงเห็นแพรขาวนั้นและอ่านรู้ความหมดแล้ว ก็ปลุกตังสินขึ้นมาแกล้งถามว่า ท่านจะคิดร้ายต่อโจโฉหรือ เราจะได้ไปบอกโจโฉ ตังสินได้ฟังก็ตกใจตัวสั่นขอร้องว่า ถ้าท่านบอกโจโฉก็เหมือนจะแกล้งฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย จูฮกจึงปลอบว่าเราลองใจดูหรอก ตัวเราก็เป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงขออาสาร่วมคิดด้วย

ขณะที่กำลังพูดกันอยู่นั้น ขุนนางที่เป็นเพื่อนสนิทอีกสองคนคือ ตันอิบ กับ โงห้วน ก็แวะมาหาอีก ทั้งหมดก็ร่วมใจกันคิดการ แล้วจูฮกก็ไปพา จูลัน มาเป็นพวกด้วยอีกคนหนึ่ง ทั้งห้าคนต่างพร้อมใจกันลงชื่อเป็นสำคัญ แล้วสาบานว่าจะไม่เอาเนื้อความนี้ไปแพร่งพรายแก่ผู้ใด แล้วก็แต่งโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูกัน

พอดีกับ ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง ซึ่งเคยยกทัพมาช่วยปราบปราม ลิฉุย กุยกี แต่ไม่สำเร็จ ได้เข้ามาราชการในเมืองหลวงจึงเข้ามาพบตังสิน ก็ถูกชักชวนให้ร่วมขบวนการด้วยอีกคน ม้าเท้งก็แสดงความเต็มใจที่จะร่วมมือ ด้วยการลงชื่อสาบานตัวด้วย และว่าทำไมไม่ชวนเล่าปี่ เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์อยู่ ตังสินก็ว่าเล่าปี่นั้นอยู่ในอำนาจโจโฉจะไว้ใจไม่ได้

ม้าเท้งจึงว่า เมื่อโจโฉทำหยาบช้าในคราวประพาสป่านั้น กวนอูเงื้อง้าวจะฟันโจโฉ แต่เล่าปี่กระหยิบตาสั่นศีรษะห้ามไว้ ดูกิริยาว่าเกลียดโจโฉอยู่เหมือนกัน แต่เกรงจะเสียทีแก่ทหารของโจโฉที่มีมากกว่า ลองไปทาบทามดูเถิด

เวลาค่ำวันต่อมา ตังสินจึงลอบไปหาเล่าปี่ เกลี้ยกล่อมอยู่นาน กว่าจะ เชื่อใจว่าไม่ใช่อุบายของโจโฉ ตังสินจึงเอาพระอักษรโลหิตนั้นให้ดู จนเล่าปี่ยอมลงชื่อในสัญญาลับรวมเป็นเจ็ดคน แต่เล่าปี่นั้น เมื่อคิดร่วมใจกับตังสินแล้ว ก็กลัวโจโฉจะจับได้จึงแกล้งถ่อมตัว เอาไม้มาทำรั้วทำสวนปลูกผักทุกวัน เหมือนกับไม่สนใจใยดีกับเรื่องการบ้านการเมือง โจโฉจึงให้ เคาทู ไปเชิญเล่าปี่มาหา เล่าปี่ก็ยิ่งใจฝ่อ เพราะไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน แต่ก็ไม่มีทางปฏิเสธ ก็ต้องยอมไปกับเคาทู

โจโฉนั้นพอเจอหน้าเล่าปี่ก็สัพยอกว่า ท่านอยู่บ้านทุกวันนี้ ทำการใหญ่หลวงนักหรือ เล่าปี่ก็ยิ่งตกใจจนพูดไม่ออก โจโฉจึงจูงมือพาไปถึงสวนหลังบ้าน แล้วว่าท่านคิดอ่านปลูกผัก จะทำให้เหมือนสวนของเรานี้หรือ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจว่า โจโฉพูดไปโดยไม่มีความหมายอะไร

โจโฉก็ชี้ให้ดูต้นมะเฟืองแล้วว่า เมื่อครั้งไปรบกับ เตียวสิ้ว ทหารทั้งปวงอยากน้ำเราก็คิดอุบายลวงว่า ให้อุตส่าห์อดทนเดินต่อไปอีกหน่อยจะพบดงมะเฟืองมีผลสุกมากมาย ทหารได้ยินชื่อมะเฟืองซึ่งเป็นของเปรี้ยว ก็น้ำลายสอ ความอยากน้ำก็คลายลง เล่าปี่ก็สรรเสริญเยินยอว่าเป็นความคิดที่ดี หาผู้เสมอมิได้

โจโฉก็ชวนเล่าปี่เสพสุราอยู่ด้วยกันในสวน จนเกิดพายุพัดหนักมืดฟ้ามัวฝน ทหารที่อยู่ด้วยกันก็ว่า มังกรสำแดงฤทธิ์บนอากาศจึงเกิดพายุพัดอย่างนี้ โจโฉก็เสริมว่า

"....อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง ถ้าจะทำการสิ่งใดคะเนการตามสมควร แม้เห็นว่าการใหญ่ก็ทำให้ใหญ่ ประมาณการน้อยก็ทำแต่น้อย ทุกวันนี้ผู้ใดมีสติปัญญากว้าง ขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์นี้บ้าง ท่านจงบรรยายให้แจ้ง....."

เล่าปี่แกล้งตอบว่า ตนนั้นหาสติปัญญามิได้ ซึ่งได้เป็นขุนนางมีคนนับถือนี้ ก็เพราะบุญของมหาอุปราชช่วยทูลเสนอให้ โจโฉจึงว่าท่านมีความคิดอยู่ เหตุใดจึงแกล้งถ่อมตัว ถึงอย่างไรก็คงจะได้ยินคำเลื่องลือว่าเป็นผู้มีสติปัญญาบ้าง

เล่าปี่ก็เอ่ยว่า อ้วนสุด เจ้าเมืองลำหยงมีสติปัญญากล้าแข็ง ทหารใหญ่น้อยก็มีฝีมือมาก ทั้งเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ โจโฉหัวเราะว่า อ้วนสุดนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม เราจะไปมัดเอามาก็ได้โดยง่าย

เล่าปี่ก็ว่า ทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ อ้วนเสี้ยว เจ้าเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเป็นพี่ของอ้วนสุด ก็เป็นเชื้อขุนนางมาถึงสามชั่วคน บัดนี้ก็ซ่องสุมผู้คนไว้มาก มีที่ปรึกษาหลายคนพอจะมีสติปัญญาลึกซึ้งอยู่ โจโฉก็แย้งว่า อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศน้ำใจขลาด คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย

เล่าปี่ก็เอ่ยถึง เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งมีเมืองใหญ่ขึ้นด้วยถึงเก้าเมือง น้ำใจก็โอบอ้อมอารีมีทหารเป็นอันมาก โจโฉก็สวนว่า เล่าเปียวมีเพื่อนและทหารมากก็จริง แต่ ไม่มีความสัตย์ เป็นคนปากหวานอย่างเดียว

เล่าปี่ก็ยกเอา ซุนเซ็ก เจ้าเมืองกังตั๋งว่ามีความคิดและฝีมือดี โจโฉก็ว่า ฝีมือนั้นพอประมาณ ดีแต่มีทหารของ ซุนเกี๋ยนผู้บิดาไว้จึงทำให้กำเริบได้

เล่าปี่ก็ย้ายไปทางหัวเมืองตะวันตกว่า เล่าเจี้ยง เจ้าเมืองเสฉวน ก็เป็นเชื้อพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน โจโฉดูถูกว่าถึงเป็นเชื้อพระวงศ์แต่ มีความคิดเหมือนสุนัขเฝ้าประตู

เล่าปี่เลยย้อนถามบ้างว่า เตียวสิ้ว เตียวฬ่อ หันซุย สามคนนี้ท่านจะเห็นว่าเป็นคนอย่างไร โจโฉก็ตบมือหัวร่อก้ากว่า สามคนนี้มีแต่ชื่อ จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็ไม่ได้ อย่าเอ่ยให้เสียปาก

แล้วโจโฉก็สาธยายว่า

"....อันผู้มีสติปัญญานั้ ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้าง ขวาง โอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนคนกลืนแก้วอันเป็นทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใดถึงเวลาค่ำมืดก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าคิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนักที่เบา ทีเสียทีได้ ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง....."

เล่าปี่ก็แกล้งท้วงว่า ทุกวันนี้จะหาผู้มีสติปัญญาเหมือนที่มหาอุปราชว่านั้นขัดสนนัก โจโฉจึงสวนให้ว่า ทุกวันนี้เราเล็งดูแล้ว มีแต่ท่านกับเราสองคนเท่านี้ที่จะมีสติปัญญาอย่างที่ว่า เล่าปี่ได้ฟังก็สะดุ้งโหยงตะเกียบหลุดจากมือ พอดีฟ้าร้องดังสนั่น ก็เลยยกมือขึ้นปิดหูไว้ โจโฉก็หัวเราะเยาะว่า เล่าปี่นี้ขี้ขลาดนัก คงจะคิดการใหญ่ไม่ได้ ก็เลยเลิกระแวงแคลงใจแต่นั้นมา

ต่อมามีข่าวว่า กองซุนจ้าน ซึ่งเคยมีคุณแก่เล่าปี่ รบแพ้อ้วนเสี้ยวถึงกับ ฆ่าตัวตายไปแล้ว และอ้วนสุดกำลังเดินทางไปสมทบกับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว ถ้าสองคนพี่น้องนี้ปรองดองกันได้ ก็จะมีกำลังมหาศาล เล่าปี่จึงขออาสาจะยกทหารไปสกัดอ้วนสุดไว้

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้โจโฉจัดทหารห้าหมื่นให้เล่าปี่ยกไป แล้วก็ แอบตรัสกับเล่าปี่ว่า

"....เห็นแต่ท่านผู้เดียว คิดว่าจะเป็นที่พึ่งสืบไป บัดนี้จะไปทัพเสียแล้ว เราจะทุกข์ใจอยู่ท่าท่านกว่าจะกลับมา....."

ตังสินก็ตามมาส่งนอกเมืองและกระซิบว่า

"....การซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้สั่งไว้ เราได้ร่วมคิดกันนั้น ท่านอย่าลืมเสีย...."

แล้วเล่าปี่ก็ลอยชาย เหมือนเสือร้ายที่ถูกปล่อยออกจากกรง เข้าไปอยู่ในป่าตามเดิม

ฝ่ายม้าเท้งก็มีข่าวว่าเมืองเสเหลียงเกิดศึก จึงถวายบังคมลาพระเจ้า เหี้ยนเต้ยกทหารกลับไปเมืองเสเหลียง ปล่อยให้ ตังสิน กับคณะผู้ก่อการมือเปล่าอีกสี่คน ต้องว้าเหว่อยู่ในเมืองหลวง ซึ่งตกอยู่ในอำนาจอันล้นฟ้าของโจโฉ อย่างน่าหวาดหวั่นยิ่ง

##########



Create Date : 09 เมษายน 2560
Last Update : 9 เมษายน 2560 16:56:32 น. 0 comments
Counter : 277 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.