บทที่ 19 คดีที่หายไป
บทที่ 19

คดีที่หายไป

เครนวางแฟ้มคดีลงบนโต๊ะยกมือขึ้นคลึงขมับเบาๆขณะเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม กลิ่นกาแฟที่โชยมากระทบจมูกกับเสียงรองเท้าที่หยุดยืนอยู่ใกล้โต๊ะทำงานของเขาทำให้นักสืบประจำสถานีต้องลืมตาขึ้นและเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็น
แสตนลีย์กำลังยืนตรงหน้าเขาพร้อมกับกาแฟสองถ้วยในมือ
“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบแบบไหน” เอฟบีไอพูดพลางชูถ้วยกาแฟขึ้น “ดำหรือครีม”
“ตอนนี้ผมขอกาแฟดำ” เครนตอบพร้อมกับยื่นมือไปรับถ้วยที่แสตนลีย์ส่งให้และถอนใจออกมาอีกครั้งขณะยกกาแฟขึ้นดื่ม
“เป็นคดีที่น่าหนักใจมาก” เอฟบีไอพูดขึ้น นักสืบลดถ้วยในมือลง
“มันเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา” เครนวางถ้วยกาแฟและเลื่อนไปหยิบภาพถ่ายของเหยื่อรายล่าสุดขึ้นมา เขาจ้องทารกน้อยที่ถูกจับขดไว้ในอ่างล้างจานแน่วนิ่งปล่อยให้เสียงหลุดลอดไรฟันออกมาด้วยความโกรธ “ถ้าจับมันได้ผมสาบานว่าจะยิงมันทิ้ง”
“ทำแบบนั้นไม่ได้” แสตนลีย์เตือน “คุณเป็นผู้รักษากฏหมาย อย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินความผิดของคนอื่น”
“คุณพูดเหมือนพวกนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชนที่คอยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพวกฆาตกร แตะนิดแตะหน่อยก็ทำเป็นโวยวายแถมยังให้ท้ายว่าพวกมันไม่สมควรโดนลงโทษ” เครนกระแทกเสียงพูดด้วยความโกรธพลางวางรูปผู้เคราะห์ร้ายลงบนโต๊ะและใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปอย่างแรง “แล้วคนพวกนี้ล่ะมีใครช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเขาบ้าง หรือพวกเขาสมควรถูกฆ่าเพราะมันเป็นสิทธิของฆาตกร”
เสียงของเครนดังลั่นห้องจนตำรวจและผู้คนที่เข้ามาติดต่อต่างหันมามองด้วยความสงสัย แสตนลีย์รีบยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวห้าม
“คุณกำลังทำให้ประชาชนแตกตื่นนะ นักสืบเครน”
คำพูดของเอฟบีไอทำให้เครนได้สติ เขาชำเลืองตามองผู้คนโดยรอบก่อนจะขยับนั่งตัวตรงและแสร้งทำเป็นหยิบแฟ้มคดีขึ้นมาเปิดพร้อมกับกระแอมออกมาเบาๆ
“ผมว่าเราน่าจะมาทบทวนสภาพศพผู้เสียชีวิตกันอีกครั้ง” เขามองหน้าแสตนลีย์ “อยากจะยืนทำงานแบบนั้นหรือคุณเจ้าหน้าที่พิเศษ”
แสตนลีย์เลิกคิ้วด้วยความฉงนก่อนจะเลื่อนเก้าอี้จากโต๊ะด้านข้างมานั่ง เขารับแฟ้มจากเครนมาเปิดดู หลังจากอ่านไปได้ชั่วครู่เอฟบีไอหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วและหยิบแฟ้มมาพลิกดูอีกสองสามอัน เขานิ่วหน้าพร้อมกับอุทาน
“นี่มันอะไร”
“รายงานคดีฆาตกรรมที่เรากำลังทำอยู่” เครนเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเรียบ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “มีอะไร”
“คุณดูเองก็แล้วกัน” แสตนลีย์ตอบพร้อมกับยื่นแฟ้มทั้งหมดส่งให้นักสืบเจ้าของคดี เครนรับมาเปิดดูและบ่นพึมพำ
“ก็ไม่เห็นมีอะไร...”เขาชะงักคำพูดค้างและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ทำไมถึงมีแค่นี้แล้วคดีของครอบครัวแพทย์หายไปไหน”
“ผมกำลังถามคุณอยู่เหมือนกัน” แสตนลีย์พูด “ส่งไปให้ใครดูบ้างหรือเปล่า”
“ไม่” เครนพูดและหันไปมองห้องทำงานของผู้บังคับบัญชา “จะว่าสารวัตรหยิบไปดูก็ไม่น่าจะเป็นไปได้”
“ปรกติคุณเก็บแฟ้มพวกนี้ไว้ที่ไหน” แสตนลีย์ถามเสียงเครียด นักสืบเครนชี้ไปที่ตู้เอกสารด้านหลัง
“มีผมเท่านั้นที่ถือกุญแจตู้นี้”
“แล้วมันจะหายไปไหน คุณลืมวางทิ้งไว้ข้างนอกบ้างหรือเปล่า” เอฟบีไอถาม เครนมองหน้าเขาอย่างนึกฉุน
“ผมไม่ใช่คนมักง่ายแบบนั้น” เขาพูดเสียงค่อนข้างเครียด แสตนลีย์รีบยกมือห้ามพร้อมกับพูด
“ใจเย็นๆ ผมแค่อยากให้แน่ใจเท่านั้น คุณลองไปถามสารวัตรดูก่อนว่าเขาหยิบไปดูบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีคนมาขโมยแฟ้มนี่ไป”
เครนลุกขึ้นและทำท่าจะเดินไปยังห้องทำงานของผู้บังคับบัญชาแต่ต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น เขารีบรับทันที
“เครนพูด” เครนเอ่ยพร้อมกับหยุดฟัง เขาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดจบ “อะไรนะครับ! เป็นไปได้ยังไง มันหายไปไหนแล้วหมอไม่รู้หรือครับว่าใครเป็นคนทำ”
นักสืบประจำสถานียืนนิ่งฟังดร.เมสันพูดอีกครั้ง เขาผงกศีรษะรับอย่างเคร่งขรึมก่อนจะกล่าวเสียงเครียด
“ผมจะรีบส่งคนออกไปสืบหาว่าใครเป็นคนทำ ขอบคุณที่โทร.แจ้งครับหมอ”
เครนวางโทรศัพท์ลงและหันไปทางแสตนลีย์ซึ่งกำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นเชิงถามว่า เกิดอะไรขึ้น
“มีคนลอบเข้าไปขโมยศพครอบครัวแพทย์ในคดีฆาตกรรม”
“อะไรนะ คดีนั้นมีตั้งสี่ศพเชียวนะ คนร้ายจะขนออกไปได้ยังไง ไม่มีใครเห็นหรือสงสัยอะไรบ้างเลยหรือ”
“ผมยังไม่รู้รายละเอียดมากนัก” เครนตอบขณะเก็บแฟ้มคดีทั้งหมดกลับเข้าตู้และล็อคกุญแจ เขาคว้าเสื้อนอกพร้อมกับหันไปทางแสตนลีย์และเอ่ยปากชวน “จะไปด้วยกันไหม”
“แน่นอน”
เครนรีบก้าวนำออกไป เขาเรียกให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอนั่งรถไปคันเดียวกัน ทั้งคู่มุ่งหน้าตรงไปยังสถานเก็บศพของเทศบาล เมื่อไปถึงนักสืบเครนรีบตรงไปหาดร.เมสันทันที
“หมอ” เขาร้องทักเมื่อเห็นแพทย์ชันสูตรกำลังยืนทำหน้ายุ่งอยู่กับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคน ดร.เมสันหันมามอง
“เครน” เขาเลื่อนสายตาไปที่แสตนลีย์ “คุณเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ”
“เรียกผมว่าแสตนลีย์ดีกว่าครับ” อีกฝ่ายพูด เขามองผู้ช่วยแพทย์ที่กำลังตรวจเอกสารและสิ่งของต่างๆอย่างเคร่งเครียด “นอกจากศพแล้วมีอะไรหายไปอีกบ้าง”
“เรากำลังตรวจสอบอยู่แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ก็มีจานเพาะเชื้อกับอวัยวะที่ตัดออกมาและกำลังอยู่ในระหว่างรอการตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้ง”
“คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วทำไมถึงยังตรวจไม่เสร็จอีกล่ะหมอ” เครนถาม ดร.เมสันมองลอดแว่นและตอบ
“การเพาะเชื้อและขั้นตอนการทดสอบบางอย่างต้องใช้เวลา มันไม่รวดเร็วทันใจเหมือนอย่างที่เห็นในภาพยนต์สืบสวนหรอกนะเครน”
“ผมขอโทษ” นักสืบพูดเสียงแผ่ว แพทย์ชันสูตรผงกศีรษะรับอย่างเข้าใจ แสตนลีย์กวาดตามองไปโดยรอบก่อนจะถาม
“ที่นี่มีกล้องวงจรปิดกี่ตัว”
“ห้า ประตูด้านหน้าและหลัง ทางเดิน ห้องแล็ปและในห้องชันสูตร”
“ผมขอดูหน่อยได้ไหม” แสตนลีย์ถาม ดร.เมสันพยักหน้า
“ได้ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่าคุณจะไม่เจออะไร”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“ผมตรวจดูกล้องทุกตัวอย่างละเอียดแล้วไม่พบอะไรเลย” ดร.เมสันตอบ เครนขมวดคิ้ว
“เป็นไปได้ยังไงกัน กล้องเสียหรือเปล่าหมอ”
“ทั้งห้าตัวน่ะหรือ”แพทย์ชันสูตรย้อนถาม เครนยืนนิ่งในขณะที่แสตนลีย์ทำท่าคิด
“ยังไงผมก็ต้องขอเทปทั้งหมดไปตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง บางทีเราอาจจะเจออะไรบ้างก็ได้”
“ถ้าคุณยืนยันอย่างนั้นก็ตามใจ” ดร.เมสันพูดและหันไปยังยามรักษาความปลอดภัยซึ่งยืนอยู่ในบริวเณนั้น “ช่วยนำเทปทั้งหมดมาให้เจ้าหน้าที่พิเศษด้วย”
“ครับผม”
ยามผู้นั้นรับคำและเดินออกไปทันที ดร.เมสันหันไปทางผู้ช่วยของเขาและสอบถามความเสียหายอีกครั้งโดยมีเครนและแสตนลีย์ยืนฟังอย่างตั้งใจ หลังจากตรวจสอบรายละเอียดต่างๆและบันทึกไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้วแพทย์ชันสูตรจึงหันมาทางคนทั้งสองพร้อมกับพูด
“ผมจะส่งรายละเอียดไปให้พวกคุณแต่ต้องขอตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่ามีอะไรสูญหายไปบ้าง”
“ตอนนี้พอจะบอกได้ไหมว่ามีอะไรหายไปบ้าง”
“อย่างที่ผมบอกในตอนแรก นอกจากศพผู้เสียชีวิตแล้วก็มีจานเพาะเชื้อ ชิ้นส่วนอวัยวะบริเวณสมอง ตับ หัวใจและกระเพาะอาหารกับผลสารพิษในเลือด”
“แล้วศพผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นล่ะ มีอะไรสูญหายไปบ้างหรือเปล่า” เครนถาม ดร.เมสันส่ายหน้า
“ไม่มี”
“แปลก” นักสืบประจำสถานีพูด “เหมือนคนร้ายเจาะจงมาที่คดีของครอบครัวแพทย์เท่านั้น แสดงว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่ฆาตกรไม่อยากให้พวกเรารู้”
“แต่ผมไม่คิดว่านี่เป็นการกระทำของฆาตกร” แสตนลีย์แย้ง “ไม่มีทางที่จะขนศพพวกนั้นออกไปได้โดยไม่มีใครเห็นอีกอย่างผมว่าพวกนั้นคงไม่ฉลาดพอที่จะเข้ามาขโมยข้อมูลในห้องแล็ปนี่”
“แล้วคุณคิดว่าน่าจะเป็นใคร” เครนถาม เจ้าหน้าที่พิเศษส่ายหน้า
“ผมยังไม่รู้ แต่คิดว่างานนี้ต้องมีคนร้ายไม่ต่ำกว่าสามคนอย่างแน่นอน” เขาหันไปมองเจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับการตรวจนับศพที่เหลือ
“อยากรู้จริงๆว่าพวกมันเป็นใคร และต้องการข้อมูลเหล่านั้นไปทำไม”

*/*/*/*/*

สีหน้าของเทเลอร์เต็มไปด้วยความหนักใจหลังจากอ่านรายงานที่ได้รับจากแอชเชอร์จบลง เขาปิดแฟ้มและวางลงบนโต๊ะก่อนเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมกับถอนใจออกมา เทเลอร์นั่งในท่านั้นอยู่นานจนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขาจึงขยับนั่งตัวตรงพร้อมกับกล่าวอนุญาต
“เข้ามาได้”
สมิธก้าวเข้ามาในห้องและก้มศีรษะลงเล็กน้อยทำความเคารพก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“มีเรื่องด่วนหรือครับ”
“ใช่” เทเลอร์ตอบพร้อมกับเลื่อนแฟ้มส่งให้ “ทางองค์กรส่งผลการชันสูตรคดีฆาตกรรมทั้งสองครั้งมาให้เราแล้ว”
ชายหนุ่มรับรายงานมาเปิดดู คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันหลังจากอ่านไปได้สักพัก
“ผมคิดว่าสองคดีนี้ไม่น่าจะเกิดจากคนร้ายรายเดียวกัน” สมิธพูดขณะหยิบภาพของเหยื่อทั้งสองคดีขึ้นมาพิจารณา “ตำแหน่งบาดแผลอาจจะคล้ายกันแต่วิธีการลงมือต่างกันมาก”
“สายของเราก็คิดแบบนั้น ตอนนี้เรามีฆาตกรถึงสองคน” เทเลอร์พูดอย่างเคร่งเครียด สมิธวางรูปลง
“ถึงจะเป็นแบบนั้นคดีพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวกับหน่วยงานของเรา“เขามองหน้าเทเลอร์ด้วยความสงสัย “หรือทางองค์กรคิดว่านี่เป็นฝีมือของพวกอิลูมิเนติค”
“อาจใช่” หัวหน้าหน่วยนักล่าตอบ “ผมได้รับแจ้งว่ามีการขโมยศพเกิดขึ้น”
“ขโมยศพ เป็นไปได้ยังไงกัน แล้วทางนั้นไม่รู้ตัวคนร้ายเลยหรือครับ”
“พวกเขากำลังสืบหา แต่ที่น่าสงสัยก็คือทุกศพที่ถูกขโมยไปเป็นศพของครอบครัวแพทย์ที่ถูกสังหารจากคดีฆาตกรรมในเขตเมืองร็อคทาวน์”
“ทุกศพ” สมิธทวนคำ “คนร้ายไม่ได้ขโมยไปแค่ศพเดียวหรือครับ”
“ใช่” เทเลอร์ตอบ “นอกจากจะไม่ใช่แค่ศพเดียวแล้ว อวัยวะ ชิ้นเนื้อที่กำลังตรวจสอบรวมถึงข้อมูลทางนิติเวชทุกอย่างรวมทั้งแฟ้มรายงานในสถานีตำรวจที่เกี่ยวกับคดีนั้นถูกคนร้ายขโมยไปจนหมด”
“คนร้ายอาจไม่ต้องการให้เรารู้อะไรบางอย่าง” สมิธพูดพลางเคาะนิ้วลงบนรูปภาพ”การกระทำแบบนี้ไม่ใช่ฝีมือของฆาตกรโรคจิตแน่”
เทเลอร์ผงกศีรษะ
“ผมเห็นด้วย คนร้ายต้องมีมากกว่าหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางลงมือได้รวดเร็วแบบนี้ บางทีผู้ตายอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกอิลูมิเนติค”
“จะเป็นไปได้ไหมครับว่าพวกเขาถูกฝังปรสิต”
“ถ้าเป็นแบบนั้นร่างของเขาก็ต้องย่อยสลายกลายเป็นเมือกไปแล้ว” เทเลอร์แย้งด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เขายกมือขึ้นกดบริเวณหัวคิ้วและก้มหน้าลงพร้อมกับระบายยลมหายใจออกมาด้วยความหนักใจ สมิธมองหัวหน้าหน่วยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับไปมองรูปเหยื่ออีกครั้ง
“พวกเขารู้เรื่องนี้หรือยังครับ”
“ยัง” เทเลอร์ตอบพลางลดมือลง “ตอนนี้เด็กสามคนนั่นยังไม่พร้อม”
สมิธขมวดคิ้วและถามด้วยความสงสัย
“หมายความว่ายังไงหรือครับ”
“ระยะหลังมานี่วูล์ฟมักใช้กำลังเกินกว่าเหตุในส่วนวลาร์ดกับวิคตอเรียก็ใช้อารมณ์เข้าหากันระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปอาจทำให้หน่วยงานของเรามีปัญหาได้” เทเลอร์เว้นระยะคำพูดเล็กน้อย “บางทีผมอาจต้องแยกพวกเขา”
“วลาร์ดกับวูล์ฟคงไม่ยอม”
“พวกเขาต้องทำ เพราะมีคำสั่งจากคุณแอชเชอร์มาว่าหากคดีฆาตกรรมเกี่ยวโยงถึงพวกอิลูมิเนติค วลาร์ดจะต้องไปสืบคดีร่วมกับเจ้าหน้าที่พิเศษขององค์กร ส่วนวูล์ฟกับวิคตอเรียจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อช่วยกันค้นหาจำนวนสมาชิกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินในมหาวิทยาลัย
แสตฟฟอร์ดและสืบให้รู้ว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกมันคืออะไร”
เทเลอร์มองหน้าสมิธแน่วนิ่ง
“มหาวิทยาลัยนี่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกอิลูมิเนติคอย่างแน่นอน”

*/*/*/*/*



















Create Date : 07 กรกฎาคม 2553
Last Update : 7 กรกฎาคม 2553 14:25:07 น.
Counter : 318 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี