บทที่ 11 ความช่วยเหลือ
บทที่ 11

ความช่วยเหลือ

ยวดยานที่คับคั่งยามเย็นทำให้รถบนถนนเคลื่อนที่ได้ไม่เร็วนักแม้จะไม่ติดขัดแต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าจนสมิธถอนใจอย่างแรงด้วยความหงุดหงิดขณะเร่งความเร็วรถเพื่อแซงหน้าคันอื่น และเมื่อการจราจรด้านหน้าเริ่มชะลอตัวลงชายหนุ่มถึงกับนิ่วหน้าและสบถออกมาเบาๆ วูล์ฟมองท้องฟ้าที่กำลังมืดลงทุกขณะและโพล่งถามเสียงดังอย่างร้อนใจ
“ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือครับ”
“ผมกำลังพยายาม” สมิธตอบและเหยียบคันเร่งเพื่อแซงรถบรรทุกขนาดเล็กที่วิ่งกินเส้นทาง เสียงแตรที่ดังไล่หลังทำให้ชายหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ “โทษที”
“เราไม่มีทางไปช่วยดิกสันได้ทันแน่ถ้าขืนใช้ถนนเส้นนี้” วลาร์ดพูดเสียงเรียบ สมิธขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดขณะมองไฟจราจรของสี่แยกที่อยู่ตรงหน้าซึ่งกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง ชายหนุ่มตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวในทันทีทำให้รถที่วิ่งสวนทางมาต้องหยุดอย่างกระทันหันตามมาด้วยเสียงแตรและตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย วูล์ฟซึ่งโดนแรงเหวี่ยงจนเซไปกระแทกกับประตูรถร้องอุทานลั่น
“ว้าว”
เขารีบขยับตัวและเซถลาอีกครั้งเมื่อสมิธเลี้ยวรถเข้าไปในซอยขนาดเล็กที่รถวิ่งสวนได้สองเส้นทาง หนุ่มหมาป่าถามเสียงดัง
“คุณขับเข้ามาในซอยนี่ทำไม”
“ทางลัดน่ะครับ” สมิธตอบพร้อมกับบังคับรถให้เลี้ยวไปตามเส้นทาง วลาร์ดชำเลืองตามองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ในขณะที่วิคตอเรียเงยหน้าขึ้นมาจากอุปกรณ์ตรวจสอบเส้นทางและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก
“ข้างหน้ามีการก่อสร้าง คุณต้องเลี้ยวเข้าตรอกซ้ายมือ”
สมิธหักพวงมาลัยตามที่นักล่าสาวบอกทันที เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อพบว่าถนนแคบลงจนเหลือเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น
“ดูเหมือนข้างหน้าจะเป็นทางตัน”
“อีกสองเมตรมีทางฉุกเฉินสำหรับรถกู้ภัย” วิคตอเรียตอบและพูดขึ้นทันที “ตรงนี้แหละ”
รถเอสยูวีเกือบจะเสียการทรงตัวเพราะการเลี้ยวอย่างคับขันแต่ด้วยความชำนาญของ
สมิธทำให้มันตั้งตัวและวิ่งต่อไปได้ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่นานรถของพวกเขาก็กลับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง วูล์ฟฝิวปากพลางยื่นหน้าไปมองอุปกรณ์ในมือของวิคตอเรีย
“มือถือนี่ยอดไปเลย เราน่าจะหามาใช้สักเครื่องนะเจ้าผีดิบ”
“ไม่ใช่เวลาที่นายจะมามัวสนใจเรื่องแบบนี้” วลาร์ดพูดเสียงห้วนก่อนจะหันไปทางสมิธ “ตอนนี้เราอยู่บนถนนลิตเติ้ลชอร์แล้วใช่ไหม”
“ใช่ครับ จากรายงานของดิกสันเราต้องวิ่งต่อไปอีกราวสองไมล์” เขาชำเลืองมองตัวเลข
บอกระยะทางที่ปรากฏบนจอก่อนจะเลื่อนไปมองท้องฟ้าที่มืดสลัวมากกว่าเดิม “มืดแบบนี้คงมองอะไรไม่เห็น”
“ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม” วลาร์ดพูดเสียงเรียบขณะที่ยังคงจ้องตรงไปข้างหน้า สมิธนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาของเด็กหนุ่มกำลังทอประกายลุกโชนจนดูน่ากลัว วูล์ฟมองต้นไม้ที่ขึ้นอยู่สองข้างทางก่อนจะพูด
“นึกยังไงถึงได้มาสร้างโบสถ์กลางป่าแบบนี้”
“เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นแหล่งชุมชนขนาดเล็กน่ะครับ” สมิธตอบขณะเริ่มชะลอความเร็ว เขามองระยะทางบนหน้าปัด “สองไมล์แล้วเจอทางที่ว่าหรือยังวลาร์ด”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบและยกมือขึ้นชี้ไปข้างหน้า “ดูเหมือนมันจะอยู่ที่นั่น”
สมิธมองตามและหยุดรถทันที เขากวาดตามองไปโดยรอบพร้อมกับถาม
“ไหนล่ะครับ”
วลาร์ดเปิดประตูก้าวลงจากรถเดินไปยังพุ่มไม้ข้างทาง เขาก้มตัวลงเก็บแผ่นป้ายโลหะขึ้นมาและขมวดคิ้วขณะหันมองไปรอบตัว สมิธซึ่งตอนนี้กำลังยืนอยู่บนถนนยกไฟฉายขึ้นส่องกราดไปทั่วบริเวณ
“ดิกสันแจ้งว่าจะแขวนป้ายไว้บนพุ่มไม้ที่เป็นทางเข้า” ชายหนุ่มพูดพลางส่องไฟไปยังป้ายที่อยู่ในมือของวลาร์ด “แน่ใจหรือครับว่าเป็นป้ายเดียวกัน”
“ผมแน่ใจ” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดพร้อมกับเคาะลงไปบนชื่อที่ถูกเขียนไว้บนป้ายก่อนจะโยนส่งให้วูล์ฟและเริ่มต้นตรวจพุ่มไม้ในบริเวณนั้น “นายว่ายังไง”
หนุ่มหมาป่ายกป้ายขึ้นดมและเบ้หน้าเล็กน้อย
“นอกจากกลิ่นของคุณดิกสันแล้วยังมีกลิ่นของตัวอะไรก็ไม่รู้ปนอยู่ด้วย” วูล์ฟพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้า หนุ่มหมาป่าขมวดคิ้ว “เหม็นชะมัด มีแต่กลิ่นน้ำมันรถกับยางไหม้เต็มไปหมด”
“อย่าบอกนะว่านายจับกลิ่นคุณดิกสันไม่ได้” วลาร์ดหันมาถามด้วยน้ำเสียงเชิงดูแคลน วูล์ฟนิ่วหน้าทันที
“ฉันไม่ใช่สุนัขตำรวจ” เขากระแทกเสียงตอบพร้อมกับเดินไปที่พุ่มไม้ห่างจากจุดที่จอดรถราวสิบเมตร วิคตอเรียไล่สายตามองไปตามพื้นถนนและพูดเสียงเรียบ
“รอยเบรก”
สมิธส่องไฟไปยังจุดที่นักล่าสาวพูดทันที เขามองรอยไหม้สีดำที่เลี้ยวหายเข้าไปในพุ่มไม้ที่วูล์ฟกำลังยืนอยู่ เขารีบเดินไปสำรวจอย่างรวดเร็ว
“เจอแล้ว” เขาอุทานด้วยความดีใจขณะแหวกใบไม้ออกและมองถนนที่ทอดยาวหายเข้าไปในความมืด ชายหนุ่มหันไปทางวลาร์ด “ผมจะขับรถมารับ คุณช่วยจัดการต้นไม้พวกนี้ให้ที จะได้สะดวกเวลาทางหน่วยส่งกำลังเสริมมาช่วย”
ลูกครึ่งแวมไพร์ทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมใช้ดาบฟันพุ่มไม้ในบริเวณนั้นแต่โดยดีจนสามารถมองเห็นถนนเส้นที่มุ่งเข้าไปในป่าได้ชัดขึ้น วูล์ฟผิวปากเบาๆ
“ตัดต้นไม้เก่งเหมือนกันนี่”
“หุบปากไปเลยเจ้าหมาบ้า” วลาร์ดสวนกลับทันควัน เขาเหลือบตามองไปยังวิคตอเรียและรีบเบือนหนีไปด้านอื่นทันทีเหมือนเห็นรอยยิ้มเชิงเยาะปรากฏบนมุมของเธอ เมื่อสมิธขับรถมาจอดทั้งสามจึงรีบขึ้นไปนั่งประจำที่ จากนั้นชายหนุ่มจึงขับรถไปตามทางที่ค่อนข้างรกร้างโดยไม่ลืมหยิบวิทยุติดต่อกลับไปยังหน่วยเพื่อแจ้งสถานการณ์และจุดที่พวกเขาใช้เดินทาง
หลังจากวิ่งไปได้ประมาณสิบนาทีสมิธจึงดับไฟหน้ารถพร้อมกับลดความเร็วลง วิคตอเรียมองการกระทำของชายหนุ่มด้วยความแปลกใจและทำท่าจะถามแต่กลับชะงักเมื่อสมิธพูดขึ้น
“ช่วยดูทางให้ผมด้วย”
“ครับ” วลาร์ดรับคำโดยที่สายตายังคงจ้องไปข้างหน้าส่วนวูล์ฟกำลังกวาดตามองสองข้างทางอย่างระวัง นักล่าสาวเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเอนตัวพิงเบาะและเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกพร้อมกับถอนใจออกมาเบาๆ หนุ่มหมาป่าเหลือบมองไปที่เธอ
“อย่าคิดมาก พวกเราแค่มีสายตาดีกว่าคุณสมิธนิดหน่อยเท่านั้น”
วิคตอเรียชำเลืองมองวูล์ฟแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเลื่อนสายตามองตรงไปข้างหน้าและขมวดคิ้วเมื่อเห็นเงาสะท้อนของอะไรบางอย่างปรากฏขึ้น
“นั่นอะไร”
“ดูเหมือนจะเป็นโบสถ์ที่พวกเรากำลังตามหา” วลาร์ดพูดเสียงเรียบก่อนจะหันไปทางสมิธ “ผมคิดว่าคุณควรจอดรถและซ่อนตัวอยู่แถวนี้ ผมกับวูล์ฟจะเข้าไปตรวจดูข้างในนั้นเอง”
“ฉันไปด้วย” วิคตอเรียพูดเสียงห้วน ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบโดยไม่ยอมหันมามองหน้า
“เธอต้องอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มครองคุณสมิธ”
“ไม่” หญิงสาวโต้เสียงแข็งพร้อมกับเปิดประตู “ฉันเป็นนักล่า ไม่ใช่ผู้คุ้มครอง”
เธอก้าวลงจากรถและเดินตรงไปยังโบสถ์ร้างทันที วลาร์ดขบกรามแน่นก่อนจะรีบก้าวตามไป วูล์ฟมองเพื่อนด้วยสายตากังวลก่อนจะหันไปทางสมิธและเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขากำลังตรวจสอบความพร้อมของปืน
“ไปกันเถอะครับ”
ชายหนุ่มพูดขณะเปิดประตูก้าวลงจากรถ หนุ่มหมาป่ารีบเดินตามและพูดด้วยความเป็นห่วง
“มันอันตรายมากนะครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง”
“อยู่ที่รถก็ใช่ว่าจะปลอดภัย” สมิธตอบมองหน้าวูล์ฟ “และผมก็อยากช่วยเพื่อน”
คำพูดและสีหน้าจริงจังของสมิธทำให้หนุ่มหมาป่าอึ้ง เขาผงกศีรษะรับก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังวลาร์ดซึ่งกำลังยืนมองรถของดิกสันซึ่งอยู่ในสภาพพังยับเยิน ทั้งคู่รีบก้าวเข้าไปดูทันที
สมิธถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“พบพวกเขาไหม”
ลูกครึ่งแวมไพร์ส่ายหน้าทั้งที่ยังคงมองสำรวจไปทั่วทั้งรถก่อนจะไล่สายตากวาดมองไปโดยรอบ
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ พวกมันคงพังรถตอนที่สองคนนั่นไม่อยู่”
“แล้วพวกเขาหายไปไหน อย่าบอกนะว่า...” สมิธพูดด้วยน้ำเสียงเบาลง วูล์ฟสูดลมหายใจสองสามครั้ง
“ไม่มีกลิ่นเลือด บางทีพวกเขาอาจหนีทัน” เขาหยุดพูดและหันมองรอบตัว “แล้ววิคตอเรียล่ะ”
วลาร์ดตวัดสายตาไปยังร่างที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว
“อย่าบอกนะว่านายสะกดเธอ”
“ก็ทำนองนั้น” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา สมิธจ้องหน้าเขา
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะวลาร์ด ถ้าเกิดคนร้ายบุกเข้ามาวิคตอเรียจะป้องกันตัวเองได้ยังไง”
“ผมคอยระวังอยู่” วลาร์ดพูดอย่างไม่พอใจนัก อีกฝ่ายส่ายหน้าก่อนจะสั่งเสียงเข้ม
“นั่นไม่ใช่คำแก้ตัว ไปคลายสะกดเธอเดี๋ยวนี้”
ลูกครึ่งแวมไพร์ขมวดคิ้วก่อนเดินไปหยุดยืนตรงหน้าวิคตอเรียและยกมือขึ้นโบกอย่างเสียไม่ได้ หญิงสาวกะพริบตาสองสามครั้งด้วยความงุนงงก่อนจะทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอจ้องหน้าวลาร์ดเขม็ง
“นายสะกดฉัน” วิคตอเรียพูดพลางคว้าคอเสื้อเขา “กล้าดียังไง”
ลูกครึ่งแวมไพร์ปัดมือของเธอออกพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“เธอไม่ฟังคำสั่ง”
“ทำไมฉันต้องฟังคำสั่งของนายด้วย” นักล่าสาวย้อนถาม วลาร์ดมองหน้าเธอก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“เพราะฉันเป็นนักล่า”
“ฉันก็เป็นนักล่าเหมือนกัน” วิคตอเรียพูดสวนทันควัน ลูกครึ่งแวมไพร์ขบกรามก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น
“แต่ฉันอายุมากกว่าเธอ”
คำตอบของวลาร์ดทำให้วูล์ฟหัวเราะพรืดออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ สมิธถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอาขณะพูดตัดบท
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาลำดับอาวุโส” เขามองหน้านักล่าทั้งสองคน “ตามหาดิกสันได้แล้ว อ้อวิคตอเรีย”
เขาร้องเรียกหญิงสาวที่ทำเหมือนจะเดินนำหน้าทุกคน
“กรุณาทำตามที่วลาร์ดบอกด้วย” เขายกมือขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเถียง “เป็นคำสั่งของคุณเทเลอร์”
วิคตอเรียแม้มปากแน่นพร้อมกับกระแทกลมหายใจก่อนจะหมุนตัวเดินตามวลาร์ด สมิธ
มองตามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มและเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นวูล์ฟกำลังยิ้มเหมือนเด็กเห็นของเล่นชิ้นใหม่ ชายหนุ่มดักคออย่างรู้ทัน
“นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะวูล์ฟ”
“ผมทราบ” หนุ่มหมาป่าตอบก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการขึ้น “ตามพวกเขาไปกันเถอะครับ”
ทั้งสี่ก้าวตรงไปที่โบสถ์อย่างระมัดระวัง วูล์ฟทำสัญญาณมือให้สมิธหาที่ซ่อนในขณะที่
วลาร์ดกับวิคตอเรียเดินจรดปลายเท้าไปที่ประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่และมองเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง สภาพรกร้างว่างเปล่าภายในโบสถ์ทำให้ทั้งสองต้องหันมามองหน้ากัน วิคตอเรียดึงดาบออกมากระชับแน่นในขณะที่วลาร์ดเอื้อมมือไปผลักประตู เขาชี้มือให้วิคตอเรียเดินไปสำรวจทางด้านขวาในขณะที่ตัวเองเดินไปด้านซ้าย ทั้งคู่เดินตรวจทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดไปจนถึงโถงกลางห้อง สมิธซึ่งตามเข้าไปสมทบเอ่ยถามขึ้น
“เจออะไรไหม”
“ครับ” วลาร์ดตอบ “ผมพบรอยไหม้ที่เหมือนจะเกิดจากกรดอินทรีสองสามจุดที่ผนังกับรอยเท้าคนจำนวนหนึ่งแถวหน้าต่างทางด้านนั้น”
เด็กหนุ่มอธิบายพลางชี้มือไปยังหน้าต่างที่ถูกทุบจนแตกกระจายและมีร่องรอยการกระโดดออกไปด้านนอก สมิธทำท่าคิด
“ผมกับวูล์ฟตรวจหน้าต่างบานนั้นแล้วและเจอกับสิ่งนี้” เขาชูตราหน่วยนักล่าขึ้น “บางที
มันอาจจะเป็นที่ที่ดิกสันกับเรย์เบิร์นใช้ซ่อนตัวก่อนจะถูกคนพวกนั้นจับได้”
“แต่พวกเราก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้” ลูกครึ่งแวมไพร์พูด สมิธผงกศีรษะก่อนจะหันไปทางวิคตอเรีย”แล้วทางคุณล่ะ”
นักล่าสาวตวัดสายตาไปทางวลาร์ดและเลื่อนไปด้านอื่นทันทีก่อนตอบ
“ฉันเจอเกล็ดอะไรบางอย่างตกอยู่ที่พื้นห้องใกล้กับประตูทางเข้า” เธอพูดพร้อมกับส่งซองเก็บหลักฐานให้กับสมิธ อีกฝ่ายรับไปพลิกดูอย่างพิจารณา
“หมายความว่านอกจากเด็กวัยรุ่นพวกนั้นแล้วยังมีสัตว์ทดลองของอิลูมิเนติคอยู่ที่นี่ด้วย”ใบหน้าชายหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นขณะกวาดตามองรอบตัว “แล้วดิกสันกับเรย์เบิร์นหายไปไหน หรือว่าถูกคนพวกนั้นจับตัวไปแล้ว”
“ผมคิดว่าไม่” วูล์ฟพูดพลางหันหน้ามองออกไปนอกประตูและจ้องแนวป่าที่มืดทะมึนนิ่ง “มีกลิ่นของพวกเขาจางๆโชยออกมาจากป่า”
“ดิกสันเคยมาทำงานที่นี่ เขาอาจรู้จักที่สำหรับซ่อนตัว” สมิธพูดและหันไปถามหนุ่มหมาป่า “พอจะตามหาพวกเขาได้ไหมวูล์ฟ”
“ครับ” วูล์ฟตอบและก้าวออกไปทันทีทั้งหมดจึงรีบเดินตาม แต่เพียงแค่ก้าวไปยืนที่ลานโล่งหน้าโบสถ์เท่านั้นทั้งสี่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังออกมาจากป่ารอบตัว ทั้งหมดรีบยืนรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นร่างในผ้าคลุมไม่ต่ำกว่าสิบคนกำลังก้าวออกจากป่าและเดินตรงเข้าไปหาพวกเขาด้วยท่าทางมุ่งร้าย วลาร์ดชักดาบออกจากฝักทันทีในขณะที่วิคตอเรียดึงดาบคู่ออกมาถือในท่าเตรียมพร้อม ส่วนวูล์ฟรีบขยับตัวยืนบังสมิธพร้อมกับกางกรงเล็บออกเพื่อเตรียมรับการจู่โจม
“คนพวกนี้เป็นใคร”
วูล์ฟกระซิบถาม วลาร์ดทำหน้ายุ่งก่อนตอบ
“ไม่รู้”
“อาจจะเป็นพวกวัยรุ่นตามที่ดิกสันรายงานมาก็ได้” สมิธพูดแทรกขึ้นขณะยกปืนขึ้นเล็งในท่าพร้อมยิง “ผมจะลองถามดู อย่าเพิ่งลงมือทำอะไร”
ชายหนุ่มมองผู้ที่เดินเข้ามาใกล้ที่สุดและพูดเสียงดัง
“พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่จากเอฟบีไอ มาตามคดีคนหาย ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นใครและมาทำอะไรอยู่ที่นี่”
ทั้งหมดหยุดการเคลื่อนไหวและยืนนิ่งแต่ไม่มีผู้ใดกล่าวคำพูดอะไรตอบกลับมา สมิธกระชับปืนในมือให้แน่นขึ้นก่อนจะพูดซ้ำ
“ผมขอถามอีกครั้ง พวกคุณเป็นใครและมาทำอะไรกันที่นี่” เขาเล็งไปยังผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ตัวขณะพูดกำชับ “กรุณาตอบเดี๋ยวนี้!”
ทั้งหมดยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงจนกระทั่งมีเสียงผิวปากดังมาจากคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่มากที่สุด เสียงร้องครางแผ่วต่ำดังขานรับขึ้นพร้อมกัน กลุ่มคนทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทุกคนกางแขนออกและเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสี่ด้วยท่าทางคุกคามน่ากลัว วิคตอเรียมองกลุ่มคนที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้อย่างหงุดหงิด
“คนพวกนี้พูดไม่รู้เรื่องแล้ว” เธอหมุนดาบคู่ในมือ “จัดการกับพวกมันเลย”
“เดี๋ยวก่อนวิคตอเรีย” สมิธร้องห้ามและสบถออกมาคำหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมฟัง เขาหันไปทางวลาร์ดพร้อมกับสั่ง “ไปช่วยเธอ ส่วนคุณ”
สมิธหันไปทางวูล์ฟ
“ไปกับผม เราต้องรีบหาดิกสันให้พบและกลับหน่วยทันที”
“ครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองรับคำพร้อมกัน วลาร์ดพุ่งตัวออกไปทันทีในขณะที่วูล์ฟเหวี่ยงกำปั้นฟาดใส่คนร้ายที่เข้ามาใกล้จนหงายหลังล้มทั้งยืน สมิธมองร่างที่ลงไปนอนกองกับพื้นและจ้องใบหน้าที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุมด้วยสายตาตระหนก
“เด็ก”
หนุ่มหมาป่าชะงักขาที่เตรียมยกขึ้นจะกระทืบซ้ำ เขามองวัยรุ่นที่กำลังนอนแยกเขี้ยวขู่ด้วยท่าทางดุร้ายก่อนตัดสินใจเตะเข้าที่ชายโครงอย่างแรงจนอีกฝ่ายแน่นิ่ง วูล์ฟพูดเสียงเรียบ
“ไม่ใช่อีกต่อไปแล้วครับ”
เขาหันไปมองวลาร์ดที่กำลังกวัดแกว่งดาบเพื่อป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้เข้ามาใกล้ อีกฝ่ายเหลือบตามองกลับมาพร้อมกับพูด
“ชักช้าอยู่ทำไม” เขาถีบวัยรุ่นคนหนึ่งจนกระเด็น”รีบไปได้แล้วเจ้าหมาบ้า”
วูล์ฟผงกศีรษะและหันกลับไปที่สมิธ ทั้งคู่วิ่งออกไปพร้อมกันโดยมีเด็กหลายคนวิ่งตาม วลาร์ดปราดไปยืนขวางและจ้องพวกเขาด้วยดวงตาน่ากลัว
“พวกแกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เด็กหนุ่มพูดเสียงกร้าว วัยรุ่นที่ยืนตรงหน้าเขาชะงักเล็กน้อยและพุ่งเข้าจู่โจมทันทีเมื่อมีเสียงผิวปากดังขึ้น วลาร์ดตวัดดาบเพื่อสะกัดการรุกแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะอีกฝ่ายยังคงกลุ้มรุมเข้าทำร้ายเขาอย่างปราศจากความเกรงกลัว ลูกครึ่งแวมไพร์ถึงกับขบกรามและเหวี่ยงกำปั้นฟาดใส่หน้าเด็กคนหนึ่งก่อนจะคว้าข้อมือวัยรุ่นอีกคนบิดอย่างแรงเสียงกระดูกแตกดังลั่น วลาร์ดนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงร้องหรือสีหน้าแสดงความเจ็บปวดจากวัยรุ่นคนนั้นแม้แต่น้อย
“หรือเด็กพวกนี้ถูกปรสิตควบคุมหมดแล้ว”
เขาพึมพำและตัดสินใจตวัดดาบปาดผ่านใบหน้าของเด็กคนหนึ่งที่วิ่งถลันเข้ามา วลาร์ดขบกรามแน่นเมื่อเห็นเลือดสีดำคล้ำไหลออกมาจากบาดแผล ลูกครึ่งแวมไพร์จึงเหวี่ยงดาบซ้ำอีกครั้งตัดหัวของเด็กคนนั้นจนขาดกระเด็น เลือดสีเข้มไหลทะลักออกมา มันแปรสภาพกลายเป็นเมือกสีเขียวย่อยทั้งร่างและเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว วลาร์ดยืนมองร่างที่กำลังถูกย่อยสลายด้วยสายตาน่ากลัว เขาหันไปมองคนที่เหลือขณะกระชับดาบในมือแน่นและกระโจนเข้าใส่วัยรุ่นเหล่านั้นทันที
เสียงคมดาบชำแรกผ่านเนื้อเมื่อนักล่าทั้งสองตัดคอวัยรุ่นที่ได้รับปรสิตดังไปถึงหูของวูล์ฟ เขาหยุดยืนนิ่งและสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง กลิ่นเมือกซึ่งกำลังย่อยร่างของผู้ถูกสังหารทำให้หนุ่มหมาป่าต้องนิ่วหน้าก่อนจะหันหลังกลับไปมอง สมิธจ้องกริยาของเขาด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรหรือวูล์ฟ”
“เด็กพวกนั้นถูกปรสิตควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้วครับ”หนุ่มหมาป่าตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าขณะเลื่อนสายตาไปที่สมิธ “วลาร์ดกับวิคตอเรียกำลังกำจัดพวกเขา”
“แต่คุณเทเลอร์สั่งห้าม...” ชายหนุ่มชะงักคำพูดค้างเมื่อเห็นสีหน้าวูล์ฟ เขาถอนใจ “ช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องจำเป็น วลาร์ดคงเห็นแล้วว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆถึงได้ตัดสินใจลงมือ”
สมิธตบไหล่หนุ่มหมาป่าสองสามครั้ง
“ตามหาดิกสันกันเถอะ” เขาหมุนตัวและส่องไฟฉายเข้าไปในป่า วูล์ฟระบายลมหายใจออกมาก่อนจะรีบก้าวตาม ทั้งคู่เดินจนกระทั่งถึงบริเวณที่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ สมิธไล่สายตามองไปจนทั่วพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มีแต่ต้นไม้” เขาพูดพลางกราดแสงไฟไปจนทั่ว “กับร่องรอยของคนจำนวนมากที่รื้อพุ่มไม้แถวนี้จนกระจุย”
“คนพวกนั้นตามคุณดิกสันมาจนถึงที่นี่” หนุ่มหมาป่าพูดหลังจากตรวจรอยย่ำที่ปรากฏบนใบไม้ซึ่งตกกระจายเกลื่อนบนพื้น “นอกจากกลิ่นของพวกเขาแล้วผมยังได้กลิ่นตัวอะไรไม่รู้ปนอยู่ด้วย”
“ตัวอะไรไม่รู้อย่างงั้นเหรอ” สมิธพูดเป็นเชิงถาม วูล์ฟพยักหน้าพร้อมสูดอากาศค่อนข้างแรง
“ถึงจะมีกลิ่นเหงื่อปนอยู่ด้วยแต่มันไม่ใช่กลิ่นของมนุษย์ธรรมดาแน่”
“มันยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า” สมิธถาม หนุ่มหมาป่าส่ายหน้า
“กลิ่นจางมาก มันคงไปที่อื่นแล้วล่ะครับ” วูล์ฟพูดพลางไล่สายตาไปบนพื้นและจ้องนิ่งแถวบริเวณพุ่มไม้หนามห่างจากจุดที่เขายืนราวร้อยเมตร “พวกเขาอยู่ตรงนั้น”
สมิธรีบส่องไฟฉายไปยังตำแหน่งที่หนุ่มหมาป่ามองทันที ชายหนุ่มนิ่วหน้าหลังจากกวาดตามองไปจนทั่วแล้วไม่พบอะไร
“มีแต่เศษใบไม้แห้ง แน่ใจเหรอว่าดิกสันหลบอยู่แถวนั้น”
“ครับ” หนุ่มหมาป่าตอบพลางก้าวไปหยุดยืนหลังพุ่มไม้หนาม เขาย่ำเท้าไปบนพื้นสองสามครั้งและยิ้ม “คุณดิกสันอยู่ใต้พื้นนี่ครับ”
วูล์ฟทรุดตัวนั่งลงและใช้มือแหวกพุ่มไม้อย่างระวัง เขาดึงเถาไม้เลื้อยซึ่งขึ้นอยู่ในบริเวณนั้นมาดมก่อนจะออกแรงดึง สมิธมองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นพื้นเลื่อนออกจากกัน และรีบพูดอย่างเร็วเมื่อได้ยินเสียงปืนขึ้นลำกล้องดังออกมา
“ใจเย็นดิกสัน นี่ผมเอง”
“สมิธ” เสียงผู้ที่อยู่ใต้พื้นดังตอบกลับมา หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงสลักบานประตูดังขึ้นถึงสามครั้งและรีบยื่นมือลงไปหาดิกสันที่กำลังโผล่หน้าออกมา อีกฝ่ายจับมือของเขาไว้พร้อมกับยิ้ม
“วูล์ฟ” เขาร้องทักขณะเหนี่ยวตัวขึ้นมายืนด้านบนเขาหันกลับไปมองเรย์เบิร์นซึ่งกำลังถูกหนุ่มหมาป่าดึงออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะกวาดตามองไปโดยรอบและหยุดที่สมิธ
“ดีใจที่เจอพวกคุณ แล้วคนพวกนั้นล่ะ”
“วลาร์ดกับวิคตอเรียกำลังจัดการ” ชายหนุ่มตอบพลางมองไปยังช่องใต้พื้น “รู้ได้ยังไงว่าตรงนี้มีที่ซ่อน”
“มันเคยเป็นที่ซ่อนของพวกลักลอบขนวัตถุเคมี” ดิกสันตอบ “ไว้ผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลังตอนนี้พวกเรารีบไปช่วยวลาร์ดกันก่อนดีกว่าครับ”
“ทำไม” สมิธถามด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายจึงอธิบาย
“ร่างกายของวัยรุ่นพวกนั้นเปลี่ยนไปหลังจากดื่มน้ำอะไรบางอย่างจากผู้ชายคนหนึ่ง”
ดิกสันมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
”เขาประกาศว่ามันคือน้ำแห่งชีวิตจากนายท่าน ของพวกอิลูมิเนติค”

*/*/*/*/*/*

















Create Date : 07 กรกฎาคม 2553
Last Update : 7 กรกฎาคม 2553 14:11:14 น.
Counter : 324 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี