เทวทูตที่รัก บทที่ 13 ปีกแห่งแสง (2)
 

น้ำทิพย์เม้มปากนิ่งคิด คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนหน้ายุ่ง เธอไม่อยากกลับไปสถานที่น่ากลัวแบบนั้น ไม่อยากเจอพวกปิศาจหรือผู้คนที่กลายเป็นตัวอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ เวลานี้หญิงสาวอยากจะหนีไปให้ไกลๆ แต่ก็อย่างที่ราฟาเอลพูด ต่อให้หนีไปที่ไหนก็ไม่มีทางพ้นเงื้อมมือของลูซิเฟอร์ และที่สำคัญหากทั้งเธอกับราฟาเอลยังซ่อนตัว ประเทศนี้ ไม่สิ โลกทั้งใบอาจโดนอำนาจมืดของจอมปิศาจครอบครอง

 

“ขอฉันเก็บของก่อน” น้ำทิพย์พูดไม่ดังนักและเตรียมจะเดินเข้าห้องแต่ราฟาเอลรั้งแขนเธอเอาไว้และกล่าวให้กำลังใจ

 

“ผมจะอยู่ข้างคุณตลอดเวลา”

 

“ฉันรู้” น้ำทิพย์พูดพลางถอนใจ “แต่ตอนนี้คุณอ่อนแอ ถึงจะปกป้องฉันได้แต่คงไม่มากพอจะคุ้มครองคนทั้งเมือง”

 

“ผมจะช่วยพวกเขาให้ได้ ต่อให้ต้องใช้พลังทั้งหมดก็ตาม” เขามองหน้าหญิงสาวด้วยดวงตาที่ฉายแววอาทร ความรู้สึกที่พยายามกลบฝังเมื่อคืนนี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง มือเลื่อนไปเชยคางเธอโดยไม่รู้ตัว “ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณเพียงคนเดียว”

 

สายตาที่มองมาอย่างมีความหมายทำให้น้ำทิพย์ร้อนวูบไปทั้งร่าง เธอเกือบจะหลับตาลงรอการประทับจุมพิตของอีกฝ่ายแต่ความกังวลใจในเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเกลื่อนความรู้สึกหวามนั้นไปจนหมด หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

 

“ลูซิเฟอร์ถือไพ่เหนือกว่า ฉันคิดว่าเราคงไม่มีทางชนะ”  

 

“เทวดากับปิศาจต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน บางครั้งเราอาจจะเพลี่ยงพล้ำไปบ้าง แต่แสงสว่างก็ไม่เคยหายไปจากโลกมนุษย์”

 

“หมายความว่าคุณมีสิทธิ์แพ้” น้ำทิพย์พูดอย่างหมดหวัง ราฟาเอลสั่นศีรษะ

 

“ถ้าผมถูกทำลาย กองทัพสวรรค์จะลงมาจัดการพวกปิศาจ”

 

“แต่คุณบอกเองว่ามิคาเอลจะทำลายทุกอย่าง” หญิงสาวแย้ง “มันก็ไม่ได้ต่างไปจากฝีมือของลูซิเฟอร์”

 

เทวดาหนุ่มไม่ตอบ เขาก้มหน้าลงหอมแก้มน้ำทิพย์เบาๆและกระซิบแผ่ว

 

“ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เมืองนี้และคุณจะต้องดำรงอยู่ต่อไป” เขายืดตัวขึ้นพร้อมกับคลายมือจากหญิงสาว “เราต้องเดินทางกันอีกไกล ไปเก็บของเถอะ”

 

พูดจบราฟาเอลก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้อง น้ำทิพย์มองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของเขาด้วยหัวใจเต้นระทึก ถึงจะถูกเทวดาหนุ่มจูบหลายครั้งแต่ก็เป็นเพียงการปลอบขวัญหรือถ่ายทอดพลังป้องกันและเป็นการประทับบนหน้าผาก ซึ่งเธอก็เข้าใจว่ามันเป็นการเรื่องปรกติธรรมดาสำหรับคตินิยมทางฝั่งตะวันตก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แตกต่างไปจากทุกคราว นับเป็นครั้งแรกที่ราฟาเอลหอมแก้มเธอเพื่อให้กำลังใจ พอผนวกกับประโยคที่ว่า ‘ยินดีทำทุกอย่างเพื่อเธอเพียงคนเดียวแล้ว’ หัวใจของน้ำทิพย์ยิ่งเต้นจนแทบจะหลุดออกจากอก ความร้อนวิ่งพล่านทั่วร่างกายโดยเฉพาะใบหน้าซึ่งตอนนี้แดงจัดยิ่งกว่าซอสมะเขือเทศ หญิงสาวพยายามตั้งคำถามกับตัวเองว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น

 

รัก

 

น้ำทิพย์สะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป เป็นไปไม่ได้ที่อัครเทวดาจะมาหลงรักมนุษย์โดยเฉพาะกับคนที่มีความเชื่อแตกต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง การกระทำเมื่อครู่คงป็นการปลอบขวัญหรือสร้างกำลังใจเหมือนทุกครั้ง บางทีเขาอาจไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยก็ได้

 

ความผิดหวังสะท้อนวูบเข้ามาในหัวใจ น้ำทิพย์แตะแก้มข้างที่ถูกจูบเมื่อครู่และถอนหายใจออกมาเบาๆ ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าคิดยังไงกับเขาแต่กลับมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า

 

ราฟาเอลไม่ได้คิดอะไรกับเธอ

 

            ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงความเมตตาของเหล่าเทวดาที่มีต่อมนุษย์เท่านั้น มิได้มีความหมายอื่นใด    

 

น้ำทิพย์ลดมือลงอย่างหงอยเหงาก่อนเดินไปปิดโทรทัศน์และกลับเข้าห้อง ใช้เวลาไม่นานเธอก็เก็บข้าวของเสร็จ พอออกมาก็พบว่าราฟาเอลกำลังยืนรออยู่ที่ระเบียง ความที่ไม่อยากจะให้อีกฝ่ายผิดสังเกตเธอจึงรีบส่งยิ้มให้พร้อมกับพูดเชิงเย้า

 

“เก็บเสร็จเร็วจัง”

 

เทวดาหนุ่มจึงยกถุงกระดาษขึ้นเป็นเชิงบอกว่าของส่วนตัวเขามีอยู่แค่นี้เท่านั้นต่างจากข้าวของเครื่องใช้ของน้ำทิพย์ที่แม้จะซื้อมาพร้อมกัน แต่เธอมีครบทุกอย่างตั้งแต่ผ้าเช็ดตัว ครีมบำรุงผิว ยาสระผม ชุดลำลอง เสื้อนอนยันชุดชั้นใน หญิงสาวจึงหัวเราะแก้เก้อ

 

“ทานมื้อเช้าก่อนแล้วค่อยไปนะ”

 

เธอกล่าวชวน ทั้งคู่นำของไปเก็บไว้ในรถก่อนจึงเดินไปรับประทานมื้อเช้าในห้องอาหาร เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยรวมทั้งค่าที่พัก ทั้งสองจึงออกเดินทาง

 

ระหว่างขับรถ น้ำทิพย์นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของชุมชนโดยรอบ บรรยากาศที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาจนดูขมุกขมัวน่าขนลุก แต่นั่นยังไม่สยดสยองเท่ากิริยาท่าทางของกลุ่มคนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดของลูซิเฟอร์ แม้ร่างกายของคนพวกนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ใบหน้าที่น่ากลัวกับดวงตากระหายเลือดของพวกเขาขณะมุ่งตรงเข้ามาทำร้ายเป็นภาพติดตราตรึงใจชนิดที่ไม่มีวันลืม มันทำให้เธอหวาดกลัวจนอยากจะหมุนพวงมาลัยหันรถกลับไปยังบ้านพักชายทะเลหลายครั้ง แต่ดูเหมือนราฟาเอลจะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาว เพราะเขามักจะกุมมือหรือแตะไหล่เป็นเชิงปลอบทุกครั้งที่เธอลังเล

 

การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้าต่างจากการมาในตอนแรก อย่างหนึ่งก็คือน้ำทิพย์ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายปิศาจไม่ว่าจะเป็นกฤตชัยหรือลูซิเฟอร์ อีกประการหนึ่งก็คือสมาธิส่วนหนึ่งของเธอมุ่งคิดถึงวิธีการฟื้นฟูพลังของราฟาเอล หญิงสาวพยายามนึกทบทวนถึงสิ่งที่เรียนมาไปจนถึงภาพยนต์ต่างประเทศเกี่ยวกับอภินิหารหรือตำนานมหัศจรรย์ทางศาสนา มีหลายเรื่องที่ฝ่ายเทวดาเพลี่ยงพล้ำจนเกือบจะพ่ายแพ้ แต่ด้วยพลังแห่งความศรัทธาตลอดไปจนถึงการรวมแรงใจให้เป็นหนึ่ง สุดท้ายธรรมะก็เป็นผู้มีชัย

 

น้ำทิพย์ถอนหายใจออกมาค่อนข้างแรง ภาพยนต์เป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้นดังนั้นจะทำให้ตอนจบเป็นอย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้เธอมีเทวดาตัวจริงในสภาพอ่อนแอนั่งอยู่ด้านข้าง และเขากำลังเดินทางไปต่อสู้กับลูซิเฟอร์ ซึ่งหญิงสาวแน่ใจว่าบทสรุปของมันต้องไม่สวยงามแบบในหนัง ดังนั้นเธอจะต้องหาทางช่วยให้ได้

 

แต่จะด้วยวิธีไหนล่ะ

 

มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมขมับ หญิงสาวพยายามเค้นสมองรวบรวมเรื่องราวที่เคยศึกษามาทั้งหมดแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อนึกอะไรไม่ออกเธอจึงตบพวงมาลัยรถด้วยความหงุดหงิด ราฟาเอลรีบปลอบ

 

“ใจเย็นๆ ถ้ากลัวก็จอดรถก่อน สบายใจแล้วค่อยไปต่อ”

 

“ฉันไม่เป็นไร” น้ำทิพย์พูดขณะตามองป้ายบอกทาง แต่แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็พุ่งวาบเข้ามาในหัว หญิงสาวหมุนพวงมาลัยหักรถเลี้ยวไปตามป้ายทันที โชคดีที่ฝ่ายเทวดาไม่รู้จักเส้นทาง เขาจึงไม่สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงเปลี่ยนมาวิ่งบนถนนอีกสายที่ต้องอ้อมกว่ามาก กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ทางเดิมก็เมื่อเห็นว่าถนนแคบลงและสองข้างทางรกครึ้มไปด้วยต้นไม้

 

“นี่ไม่ใช่ทางที่เรามา” เขาเปรยเบาๆเป็นเชิงถาม น้ำทิพย์ซึ่งกำลังสอดส่ายสายตาเหมือนมองหาอะไรบางอย่างจึงตอบ

 

“แค่อ้อมมานิดหน่อย ฉันกลัวพวกปิศาจจะดักเล่นงานเราถ้าใช้ทางเดิม”

 

ราฟาเอลพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพสีเขียวของต้นไม้กับการดำเนินชีวิตของชาวสวนดูจะสร้างความสดชื่นให้เขาพอสมควร เพราะใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจดูผ่อนคลายลง หลายครั้งที่เขามีท่าทางสนใจสินค้าพื้นถิ่นที่ตั้งเพิงขายอยู่ข้างทาง

 

“นั่นอะไร” เขาถามเมื่อเห็นหม้อนึ่งโลหะควันโขมง น้ำทิพย์ชำเลืองตามองอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนตอบ

 

“ขนมใส่ไส้น่ะ”

 

“ขนม หมายถึงของกินน่ะเหรอ” เทวดาซึ่งดูเหมือนจะกลายร่างเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยขึ้นมาอย่างปุบปับซักด้วยความอยากรู้ ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบไปให้ถึงที่หมายก่อนค่ำหญิงสาวคงจอดรถแล้วพาเขาไปดูให้เห็นกับตา แต่กระนั้นเธอก็ยังตอบคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายหายข้องใจ

 

“ใช่ มันเป็นขนมท้องถิ่นแถวนี้ ทำจากมะพร้าว น้ำตาล แป้งห่อด้วยใบมะพร้าวหรือใบตองแล้วเอาไปนึ่งจนสุก รสชาติหวานมันอร่อย จะว่าไปมันทานกับน้ำชาได้ด้วยนะ”

 

เธอตบท้ายเหมือนนึกขึ้นมาได้และตั้งใจว่าถ้าเรื่องราวบ้าๆเหล่านี้จบลงจะพาราฟาเอลมาพักเกสต์เฮ้าส์ที่นี่สักคืนสองคืนและตระเวนหาของกินให้พุงกาง

 

แต่แล้วฝันหวานของน้ำทิพย์ก็ต้องชะงักค้างเมื่อคิดได้ว่าทันทีที่การต่อสู้สิ้นสุดลง เขาก็คงกลับสวรรค์ เพราะเทวดาไม่ควรเกี่ยวข้องกับมนุษย์ แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุสุดวิสัยแต่การที่เขาอยู่ช่วยเหลือเธอก็นับเป็นบุญเหลือหลายแล้ว

 

ความจริงอันแสนเจ็บปวดแทบจะทำให้น้ำทิพย์ล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วยราฟาเอล เพราะถ้ายังรักษาอาการบาดเจ็บไม่ได้ เขาก็ยังคงอยู่กับเธอต่อไป หญิงสาวชะลอความเร็วของรถลงอย่างลังเล แต่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเลี้ยวรถกลับ จิตสำนึกด้านดีก็ร้องเตือน

 

แล้วมนุษย์ล่ะ จะเป็นยังไง

 

น้ำทิพย์เม้มปากแน่น ความเห็นแก่ตัวของเธอไม่เพียงทำลายราฟาเอลแต่รวมถึงหายนะของคนทั้งโลก เพราะหากเขายังอ่อนแออยู่แบบนี้ต่อให้หนีไปจนสุดหล้า ก็ไม่มีวันหนีจอมปิศาจพ้น ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือสำนึกของความเป็นเทวดาจะเป็นตัวกระตุ้นให้ราฟาเอลทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมนุษย์ มันจะเป็นตัวดึงให้เขาวิ่งเข้าสู่ความตาย

 

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดก่อนจะเพิ่มน้ำหนักเท้าบนคันเร่ง และนึกตำหนิตัวเองในใจที่คิดอะไรสั้นๆ การหน่วงเราฟาเอลเอาไว้บนโลกนับเป็นความคิดที่โง่เขลาอย่างที่สุดหากเป็นห่วงเขาจริงเธอก็ควรไปให้ถึงที่หมายตามที่ได้ตั้งใจ แม้จะไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลแต่อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะสถานที่แห่งนั้นเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ อำนาจแห่งความศรัทธาอาจช่วยฟื้นฟูพลังของเทวดาให้กลับคืน และนั่นคือข้อพิสูจน์ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา

 

แม้ความรู้สึกนั้นจะไม่มีวันสมหวังเลยก็ตาม

 

น้ำตาเอ่อคลอหน่วย น้ำทิพย์ปาดมันออกอย่างเร็วและเหลือบมองราฟาเอลด้วยความกังวล พอเห็นเขากำลังมองออกไปนอกหน้าต่างหญิงสาวก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก เธอยอมรับกับตัวเองว่ามีใจให้กับเทวดาผู้นี้แต่จะไม่มีวันยอมให้เขารู้อย่างเด็ดขาด

 

ป้ายแสดงบอกระยะทางของสถานที่ต่างๆรวมทั้งจุดหมายผ่านวูบไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถึงทางแยก รถของทั้งคู่ก็ชะลอความเร็วลงและเลี้ยวเข้าประตูบานใหญ่เข้าไปยังด้านใน ราฟาเอล

 

มองด้วยความฉงนและขยับเตรียมจะถามแต่ต้องยั้งเอาไว้เมื่อเห็นภาพอาคารสีขาวทรงตะวันตกในยุคโบราณปรากฏขึ้นในสายตา

 

“ที่นี่...” เขาหลุดคำพูดออกมาเมื่อรถหยุดห่างจากอาคารหลังนั้นพอสมควรและหันไปมองน้ำทิพย์ที่กำลังคว้ากระเป๋าถือมาสะพายอย่างคาดไม่ถึง

 

“มันเป็นสถานที่ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคุณมากที่สุด” เธอพูดพร้อมกับเปิดประตูก้าวลงจากรถ และอธิบายต่อเมื่อเห็นเทวดาหนุ่มเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ “โบสถ์แห่งนี้สร้างมาร้อยกว่าปี มีคนเข้ามาสวดมนต์และทำพิธีอะไรกันมากมาย ถ้าโบสถ์ในศาสนาของฉันคือแหล่งรวมจิตใจ โบสถ์ของคุณก็น่าจะเหมือนกัน คำภาวนาอธิษฐาน และความศรัทธาที่อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยมภายในที่แห่งนี้อาจจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”

 

“แต่” ราฟาเอลทำท่าจะแย้งแต่กลับเปลี่ยนใจเป็นหยุดยืนนิ่ง ดวงตาจ้องมองสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ประดับอยู่บนยอดโดมซึ่งกำลังเปล่งประกายเจิดจรัสจากแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ที่ต่ำคล้อยเรี่ยยอดไม้ ในความรู้สึกของเทวดาหนุ่ม แสงสีทองสุกปลั่งงดงามเปรียบประดุจรัศมีอันทรงฤทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า มันช่วยขับไล่ความเหนื่อยล้าออกจากกายในขณะเดียวกันก็ช่วยเติมเต็มความปีติ นำพาความอิ่มเอิบให้ไหลพรั่งพรูเข้าสู่หัวใจ

 

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก เขาเดินมุ่งหน้าตรงไปยังโบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์ทันที น้ำทิพย์จึงรีบก้าวตามไปด้วยความเป็นห่วง จะเป็นเพราะโอกาสอำนวยหรือพระประสงค์ของเบื้องบน ผู้คนที่เคยมาชมความงามของสถานที่แห่งนี้กันอย่างคับคั่งกลับห่างหายไปจนหมด บริเวณโดยรอบจึงเงียบเชียบไม่มีแม้เสียงนกหรือแมลง

 

น้ำทิพย์เคยเห็นภาพถ่ายโบสถ์และวิหารต่างๆของทางฝั่งตะวันตกมามากมาย ทั้งยังมีโอกาสไปเที่ยวชมอยู่หลายแห่งแต่ไม่เคยเข้าไปข้างในจริงๆเลยสักครั้ง นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้ก้าวล่วงเข้ามาในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของต่างศาสนา ความเย็นยะเยือกซึมซับแผ่ซ่านไปทั่วทุกขุมขน มันไม่ใช่ความหนาวเย็นของอุณหภูมิหากแต่เป็นความสงบของบรรยากาศที่ถูกอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งความศรัทธา

 

ราฟาเอลเดินผ่านภาพวาดนักบุญต่างๆไปตามทางเดินระหว่างเก้าอี้สำหรับสวดมนต์ เมื่อถึงแท่นประกอบพิธีเขาจึงหยุดและคุกเข่าลงโดยไม่สนใจบาทหลวงรูปหนึ่งที่กำลังจัดเตรียมของอยู่บริเวณนั้น เทวดาหนุ่มค้อมศีรษะลงพร้อมกับวางมือจรดบนอกเพื่อทำความเคารพต่อรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์เหนือแท่นพิธี บาทหลวงผู้นั้นจึงขยับเพื่อจะถามถึงเจตนาแต่ต้องหยุดชะงักอ้าปากค้างเมื่อพบว่ารอบตัวของผู้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเริ่มมีบางอย่างที่แปลกไป

 

ท่ามกลางสายตาของคนทั้งสอง แสงไฟจากโคมระย้าด้านบนที่เคยส่องแสงสีนวลเพิ่มความสว่างขึ้นทีละน้อย ตอนแรกน้ำทิพย์คิดว่ามันอาจจะเกิดจากความผิดปรกติของหลอดไฟแต่พอพิจารณาให้ดีแล้วเธอต้องขนลุกเมื่อพบว่าที่มาของแสงมิได้มาจากโคมไฟราคาแพง หากแต่มาจากท้องฟ้าเบื้องบนทะลุผ่านหลังคาโบสถ์ลงมากระทบร่างของราฟาเอล

 

เหมือนเวลาทั้งหมดจะหยุดนิ่ง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเหมือนฉากสำคัญในภาพยนต์ ประกายสีทองกะพริบพราวรอบเทวดาหนุ่ม มันทอแสงระยิบระยับดุจดวงดาวบนท้องฟ้าก่อนจะซึมหายไปในกาย แม้จะรู้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นใครแต่ปาฏิหารย์ที่ปรากฏขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายทำให้น้ำทิพย์ถึงกับตกตะลึง ส่วนบาทหลวงนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเขารีบประสานมือพร้อมกับพร่ำบ่นคำสวดปากคอสั่น ขณะที่พยายามรวบรวมสติเพื่อพูด เขาก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อเห็นภาพอันน่าอัศจรรย์ที่ไม่เคยคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะได้เห็น

 

ปีกสีขาวสะอาดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของราฟาเอล มันเหยียดกางออกและโบกไปมาอย่างเชื่องช้าแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง ระหว่างเงยหน้าขึ้นมองรูปเคารพ เสื้อผ้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเทวดาหนุ่มลุกยืนขึ้นน้ำทิพย์จึงพบว่าเขาอยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวยาวกรอมเท้าอันเป็นชุดของอัครเทวดา

 

“ราฟาเอล”

 

น้ำทิพย์หลุดหากเรียกชื่อเขาอย่างลืมตัว เทวดาหนุ่มซึ่งตอนนี้มีรัศมีเรืองรองไปทั้งร่างเหลือบสายตาไปทางบาทหลวงแวบหนึ่งก่อนจะหมุนตัวหันกลับมาหาเธอ

 

“ทิพย์” เสียงเรียกเต็มไปด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่น เขาก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสหญิงสาวอย่างแผ่วเบา “คุณคิดถูก พลังของผมกลับคืนมาแล้ว”

 

น้ำทิพย์มองร่างที่บัดนี้สุกสกาวไปด้วยแสงแห่งสวรรค์ ความรู้สึกสองด้านท่วมท้นขึ้นมาพร้อมกัน ใจหนึ่งยินดีที่เห็นเทวดาหนุ่มได้พลังกลับคืนมาและมีความงามสง่าสมอัครเทวทูต แต่อีกใจกลับเต็มไปด้วยความเศร้า เมื่อนึกได้ว่า เขาคือสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม

 

ความเสียใจนั้นน้อยนักหากเทียบกับความปีติ น้ำทิพย์มองราฟาเอลด้วยความยินดีอย่างที่สุด ความรู้สึกที่พยายามปฏิเสธอยู่ตลอดเวลาถูกปัดเป่าจนมลายหายไปสิ้น ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมรับกับตัวเองว่ารักเทวดาหนุ่มผู้นี้อย่างสุดหัวใจ เธอเอียงหน้าซบลงบนฝ่ามือของเขาและหลับตาลงอย่างมีความสุข ความเต็มตื้นกับสิ่งที่เพิ่งประจักษ์ทำให้หญิงสาวสุดจะยั้งอารมณ์เอาไว้ได้ หยาดน้ำใสบริสุทธิ์เอ่อท่วมท้นขอบตาและไหลพรากออกมาเป็นทาง

 

“คุณร้องไห้” ราฟาเอลอุทานด้วยความตระหนกและขยับเข้าไปใกล้ “เป็นอะไร บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

 

น้ำทิพย์รีบสั่นศีรษะและส่งยิ้มให้กับเขาพร้อมกับตอบ

 

“ฉันดีใจน่ะ” เธอมองเทวดาหนุ่มด้วยดวงตาที่สื่อถึงความหมายได้ดีกว่าคำพูด

 

ราฟาเอลจึงดึงเธอเข้ามากอดและก้มหน้าลงกระซิบข้างหู

 

            “ขอบคุณ”

 

            เขาคลายอ้อมแขนออกและหันกลับไปทำความเคารพต่อรูปสลักศักดิ์สิทธิ์อย่างนอบน้อมก่อนจะหมุนตัวมายังน้ำทิพย์อีกครั้ง

 

            “ไปกันเถอะ”

 

            เทวดาหนุ่มก้าวนำออกไปด้วยท่วงท่าผึ่งผายสง่างาม เมื่อพ้นจากแสงของโคมไฟ ชุดของเขาก็กลับกลายเป็นเสื้อผ้าปรกติดังเดิม เดินไปได้เพียงสองก้าวราฟาเอลก็หยุดเอี้ยวตัวหันกลับไปทางน้ำทิพย์ที่ยังคงยืนนิ่ง เขาส่งยิ้มให้กับเธอพร้อมกับหงายมือและยื่นออกไป

 

            “เราต้องเดินไปพร้อมกัน”

 

            คำพูดแสนธรรมดาแต่กลับสร้างความแช่มชื่นให้กับหัวใจได้อย่างประหลาด หญิงสาวส่งมือให้จับเทวดาหนุ่มจึงกระชับมันแน่น สัมผัสที่เปี่ยมไปด้วยความความอบอุ่นและแข็งแกร่งก่อให้เกิดความอิ่มสุขขึ้นมาอย่างท่วมท้น เธอเดินไปหยุดเคียงข้างกับเขาพร้อมกับพูด

 

            “สัญญานะว่าคุณจะอยู่กับฉันตลอดไป”

 

            ราฟาเอลไม่ตอบในทันที เขายกมือของน้ำทิพย์ขึ้นมาจุมพิตอย่างแผ่วเบา ดวงตาเหลือบไปยังรูปเคารพเหมือนต้องการย้ำคำที่กำลังจะหลุดออกจากปากก่อนจะเลื่อนกลับมายังหญิงสาวตรงหน้าและกล่าวอย่างหนักแน่น

 

“ผมให้สัญญา”

 

หากตอนนี้ไม่ได้ยืนอยู่ภายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ น้ำทิพย์คงโผเข้ากอดและซบหน้าลงร่ำไห้บนอกเทวดาหนุ่มด้วยความสุขใจ หญิงสาวพยายามระงับความปีติที่กำลังวิ่งพล่านไปทั่วร่างและยิ้มรับคำมั่นพร้อมกับผงกศีรษะด้วยอาการสงบ

 

“ฉันเชื่อคุณ” ดวงตาจ้องใบหน้าหล่อเหลานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนไปที่ประตู “ไปจัดการลูซิเฟอร์กันเถอะ”

 

 ทั้งคู่ก้าวเดินไปพร้อมกัน ผ่านประตูบานใหญ่สู่ภายนอกเพื่อเผชิญหน้ากับจอมปิศาจอันแสนชั่วร้ายด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหาญกล้า ปราศจากความหวาดกลัว

 

 

*/*/*/*/*

 




Create Date : 16 สิงหาคม 2556
Last Update : 16 สิงหาคม 2556 8:58:41 น.
Counter : 655 Pageviews.

0 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 13 ปีกแห่งแสง
 

บทที่ 13 ปีกแห่งแสง

 

 

เสียงหวีดหวิวเหมือนคนผิวปากดังแว่วมาตามลม แม้จะอยู่ในห้องราฟาเอลกลับได้ยินมันอย่างแจ่มชัดเหมือนดังอยู่ข้างตัว สำหรับคนธรรมดา สิ่งที่ด้ยินอาจเป็นเพียงเสียงค้างคาวหรือสัตว์หากินยามค่ำคืนแต่สัมผัสพิเศษเหนือมนุษย์ทำให้เทวดาหนุ่มรู้ว่าเสียงเหล่านั้นคือสำเนียงจากบริวารของจอมอเวจี

 

ความวิตกฉุดราฟาเอลลุกขึ้นจากเก้าอี้ เนตรทิพย์มองทะลุผ่านผนังห้องออกไปด้านนอกและกวาดมองไปโดยรอบแต่กลับไม่พบสิ่งใด เพื่อความไม่ประมาทเทวดาหนุ่มจึงเพ่งสมาธิเพิ่มอำนาจการมองไกลออกไป ทั้งท้องฟ้า พื้นดินกระทั่งใต้พื้นพิภพ น่าแปลกที่เขาไม่เจอปิศาจร้ายสักตัว

 

แล้วเสียงเหล่านั้นมาจากไหน ราฟาเอลตั้งคำถามกับตัวเองและใจหายวาบเมื่อคำตอบผุดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

 

ลูซิเฟอร์

 

เทวดาหนุ่มถอยไปยืนข้างเตียงและมองน้ำทิพย์ด้วยความเป็นห่วง ถึงเขาจะสร้างพลังป้องกันไว้รอบบ้านแต่ก็กันได้แค่สมุนชั้นปลายแถวเท่านั้น มันจะมีสภาพไม่ต่างจากฟองสบู่ทันทีหากผู้บุกเข้ามาคือจอมมาร

 

สิ่งที่ราฟาเอลหวาดหวั่นไม่ใช่การปรากฏตัวของลูซิเฟอร์ หากแต่เป็นความปลอดภัยของน้ำทิพย์ จอมปิศาจจะต้องหาทางทำร้ายเธอแน่เพราะรู้ดีว่าสำหรับเขาแล้ว เธอคือจุดอ่อนสำคัญ

 

ปีกสีขาวสะบัดกางออกขณะที่เทวดาหนุ่มถอยไปยืนจนชิดกับเตียง เขาไม่ยอมปล่อยให้น้ำทิพย์ต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างเด็ดขาด ต่อให้ต้องต่อสู้กับกองทัพปิศาจทั้งนรก มือโสโครกของพวกมันจะไม่มีวันแตะต้องหญิงสาวได้แม้ปลายนิ้ว เพื่อปกป้องเธอต่อให้ต้องกวัดแกว่งดาบนับพันครั้งหรือต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ยอม

 

เทวดาหนุ่มยืนตั้งท่ารับการโจมตีอยู่เช่นนั้นเกือบสองชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววว่าลูซิเฟอร์จะบุกเข้ามา ผ่านไปจนถึงครึ่งคืนทุกอย่างยังคงเงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นสาดซ่ากระทบฝั่ง สลับกับเสียงกระแสลมยามดึกและเสียงครวญคร่ำของเหล่าวิญญาณหลงทางในทะเลเท่านั้น ราฟาเอลจึงรู้ว่าเสียงที่ได้ยินตอนหัวค่ำเป็นเพียงคำเตือนจากจอมปิศาจที่ต้องการจะบอกว่า รู้ดีว่าเขาและ

 

น้ำทิพย์ซ่อนตัวอยู่ที่ใด ความเกร็งเครียดทั้งหมดจึงคลายลงแต่ถึงกระนั้นเทวดาหนุ่มก็ยังไม่ประมาท เขาเพิ่มพลังสร้างกำแพงป้องกันให้แข็งแกร่งมากขึ้นก่อนจะลากเก้าอี้มาไว้ข้างเตียงด้วยความตั้งใจว่าจะนั่งเฝ้าระวังอยู่เช่นนั้นจนถึงรุ่งเช้าแต่ความเป็นห่วงน้ำทิพย์ทำให้ราฟาเอลเปลี่ยนใจ เขาหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอนข้างกายหญิงสาว มือไล้ใบหน้างามอย่างอ่อนโยนและก้มลงจุมพิตหน้าผาก จากนั้นจึงกางปีกออกคลุมร่างของเธอไว้เพื่อป้องกันมิให้อำนาจมืดมากล้ำกราย

 

ทันทีที่สัมผัสตัวของน้ำทิพย์ ราฟาเอลต้องประหลาดใจเมื่อมีพลังอันอบอุ่นไหลเข้ามาในกายของเขา เทวดาหนุ่มมองหญิงสาวอย่างพินิจและมุ่นคิ้วน้อยๆเมื่อพบว่าความเจ็บปวดจากบาดแผลบนปีกทุเลาลง พลังบางส่วนฟื้นคืนมาอย่างน่าอัศจรรย์ ความสงสัยทำให้เขาลองผละจากเธอ พลังดังกล่าวก็ขาดหายไป เมื่อเทวดาหนุ่มแตะหญิงสาวอีกครั้ง พลังงานลึกลับก็ซึบซับเข้าสู่กายของเขาอย่างดังเช่นคราแรก ราฟาเอลจึงลุกขึ้นนั่งและมองดวงหน้างามซึ่งยังคงหลับสนิทอย่างใช้ความคิด ความเป็นเทวทูตผู้ได้รับการยกย่องว่า เทวดาแห่งการรักษา ทำให้เขาเดินทางไปมาระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์อยู่หลายครั้ง แม้จะพบคนที่มีพรสวรรค์พิเศษอยู่บ้างแต่ไม่เคยเจอใครที่มีพลังแบบนี้

 

เทวดาหนุ่มเอนตัวลงและคลี่ปีกออกคลุมกายของน้ำทิพย์อีกครั้งพร้อมกับหลับตา แม้ไม่อยากจะเชื่อแต่กระแสที่กำลังซึบซับเข้ามาในร่างเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าหญิงสาวผู้นี้มีได้รับพรอันสูงค่าจากพระผู้เป็นเจ้า

 

ถึงจะเบาบางแต่ก็เป็นพลังแห่งการเยียวยาเช่นเดียวกับเขาอย่างแน่นอน

 

เทวดาหนุ่มหวนนึกถึงคำอธิษฐานขณะร่วงลงมาจากสวรรค์ บางทีการที่เขาตกลงไปในบ้านของน้ำทิพย์อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ราฟาเอลเงยหน้าขึ้นมองผ่านทะลุหลังคาบ้าน เลยท้องฟ้าไปยังเบื้องบน หากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประสงค์ของพระองค์ ป่านนี้มิคาเอลคงรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ใด

 

เมื่อรู้แล้วยังรออะไรอยู่ ราฟาเอลตั้งคำถามและใจหายวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจอมทัพแห่งสรวงสวรรค์กำลังรอสัญญาณ เมื่อใดที่แตรสวรรค์ดังขึ้น กองทัพของมิคาเอลจะยาตรามายังแผ่นดินมนุษย์ ถล่มเมืองคนบาปให้พินาศในพริบตา

 

ความกังวลทำให้เทวดาหนุ่มเผลอขยับปีกข้างที่คลุมน้ำทิพย์ หญิงสาวพลิกตัวพร้อมกับบ่นพึมพำสองสามคำ ความกลัวว่าเธอจะตกใจตื่นเขาจึงโบกมือผ่านใบหน้าของเธอหนึ่งครั้ง  ละอองระยิบระยับปรากฏขึ้นในอากาศ มันลอยอ้อยอิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะกระจายไปทั่วร่างซึมผ่านเข้าไปในผิวกาย ความความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกายก่อให้เกิดความสุขดุจทารกน้อยในครรภ์มารดาน้ำทิพย์จึงกลับเข้าสู่ห้วงนิทราดังเดิม

 

พอแน่ใจว่าหญิงสาวหลับสนิทแล้วราฟาเอลก็วกกลับมายังเรื่องที่คิดเมื่อครู่ อำนาจมืดของลูซิเฟอร์อาจจะดูร้ายแรงแต่ยังน้อยนักหากเทียบกับพลังทำลายของกองทัพจากสวรรค์ ความกลัดกลุ้มที่เคยมีมาตลอดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพราะถ้าทั้งสองฝ่ายลงมือพร้อมกัน เขาคงสุดปัญญาที่จะรับมือ

 

น้ำทิพย์จะเป็นยังไง ถ้าเมืองนี้ถูกทำลาย

 

เขาตั้งคำถามกับตัวเองและขบกรามแน่น หากเกิดเหตุการณ์นั้นจริงสิ่งเดียวที่ทำได้คือพาเธอหนีไปให้พ้น แต่น้ำทิพย์คงไม่ยอม เธอจะต้องหาทางช่วยเพื่อนและทุกๆคนโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเอง

 

ราฟาเอลมองหญิงสาวซึ่งกำลังเบียดเข้ามาซุกกับอก แม้บางครั้งเธอจะมีความคิดพิสดารออกแนวพิเรนไปบ้างแต่ความจริงแล้วน้ำทิพย์มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์สมกับชื่อ ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งหากคนดีเช่นนี้ต้องรับทัณฑ์จากสวรรค์ เขาคิดพลางไล้พวงแก้มปลั่งด้วยความห่วงใย หญิงสาวขยับพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ใบหน้างามปราศจากความกังวลเหมือนมั่นใจที่มีเขาอยู่เคียงข้างทำให้เทวดาหนุ่มตัดสินใจในวินาทีนั้นว่า จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ แม้ว่าจะต้องสู้กับจอมปิศาจ

 

ลูซิเฟอร์หรือกองทัพสวรรค์ของมิคาเอล   

 

 

*/*/*/*/*/*

 

 

น้ำทิพย์ลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า ตอนแรกเธอตั้งใจจะลุกแต่ความง่วงงุนผลักดันให้หญิงสาวหลับตาลงและซุกหน้ากับหมอนใบโตที่เคยทำเป็นประจำ พอซบลงไปแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเพราะสัมผัสคราวนี้กลับแปลกไปจากเคย แทนที่จะพบกับความอ่อนนุ่มเหมือนทุกครั้งกลับกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ดูตึงแน่น ไม่เพียงเท่านั้น ขนาดที่เคยพอดีกับอ้อมแขนตอนนี้กลับกว้างจนแทบโอบไม่รอบ ความสงสัยทำให้น้ำทิพย์จำต้องลืมตาขึ้นดู ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าเมื่อพบว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังซุกอยู่ไม่ใช่หมอนแต่เป็นแผ่นอกแข็งแกร่งของเทวดา ที่น่าอายกว่านั้นก็คือ เธอไม่ได้กอดหมอนข้าง แต่เป็นลำตัวของราฟาเอล

 

ความตระหนกทำให้หญิงสาวตั้งใจจะขยับถอยออกห่างแต่ทำไม่ได้เพราะตัวเธอเองในตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของเทวดาหนุ่ม ความอายทำให้ดวงหน้าผุดผาดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตอนแรกน้ำทิพย์ตั้งใจจะต่อว่าแต่พอเห็นอีกฝ่ายนอนนิ่งไม่ขยับเธอจึงคิดว่าเขายังคงหลับสนิท ความอยากรู้ว่าหน้าตาเทวดาตอนหลับนั้นเป็นอย่างไร น้ำทิพย์จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง หัวใจเริ่มเต้นจนแทบจะไม่เป็นจังหวะเมื่อพบว่าหน้าของราฟาเอลยามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน ดวงตาปิดสนิททำให้เห็นขนตาสีน้ำตาลเข้มเด่นชัดขึ้น หญิงสาวไม่เคยสังเกตเลยว่ามันจะเรียงกันเป็นแผงสวยงามถึงขนาดนี้ จมูกโด่งรับกับริมฝีปากสีชมพูอ่อนหยักได้รูป ในความคิดของน้ำทิพย์มันช่างดูเย้ายวนชวนให้จุมพิต ความกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำเช่นนั้นหญิงสาวจึงเลื่อนสายตาต่ำลงมา หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดจากอกเมื่อเห็นแผ่นอกเปลือยเปล่าของราฟาเอล

 

น้ำทิพย์อยากจะกรีดร้องให้ดังลั่นไปถึงสามโลก ไม่ใช่เพราะความอับอาย หากแต่เป็นความตื่นเต้นที่เธอได้มีโอกาสซุกหน้าชนิดเนื้อแนบเนื้อกับเทวดา

 

ก่อนสติจะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านั้น เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมราฟาเอลถึงอยู่ในสภาพนี้ ทั้งที่ก่อนนอนเธอเห็นชัดๆว่าเขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย จะบอกว่าเป็นเพราะความร้อนก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเธอเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำทั้งบ้านตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าพัก

 

หรือเขาคิดมิดีมิร้ายกับเธอ ? คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน จะเป็นไปได้ยังไงเพราะแม้จะเป็นผู้ชายแต่ราฟาเอลก็เป็นถึงอัครเทวดา เทวดาย่อมไม่มีความรู้สึกแบบมนุษย์ อีกอย่างเขาอยู่ตามลำพังกับเธอมาหลายวัน หากคิดจะทำเช่นนั้นจริงคงฉวยโอกาสลงมือไปนานแล้ว   

 

 แล้วเขาถอดเสื้อทำไม ?

 

น้ำทิพย์ตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ทางด้านหลังของราฟาเอล เมื่อผงกหัวขึ้นดูหญิงสาวจึงรู้ว่ามันคือปีกและเข้าใจในทันทีว่าเทวดาหนุ่มถอดเสื้อเพื่อขยับมันได้สะดวก

 

ตอนต่อสู้กับลูซิเฟอร์กับตอนขับไล่นักศึกษาผีดิบ ราฟาเอลก็กางปีกออกเหมือนกัน ทำไมเขาจึงยังสวมเสื้อผ้าอยู่ล่ะ

 

เสียงแย้งดังขึ้นภายในใจ น้ำทิพย์ขมวดคิ้วพลางนึกหาเหตุผล ดวงตาเป็นประกายวาววับเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนรักษาตัว เทวดาหนุ่มก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้น การถอดเสื้อเมื่อคืนนี้น่าจะมาจากสาเหตุเดียวกัน

 

เดี๋ยว ตอนนั้นเขาเปลือยกายทั้งตัวนี่นา

 

น้ำทิพย์กลืนน้ำลายลงคอใบหน้าแดงก่ำ หัวใจที่เริ่มเข้าสู่ความสงบเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันแทบจะทะลุทะลวงออกมาจากอก

 

นอนอยู่ด้วยกันแบบนี้ ราฟาเอลคงไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า หญิงสาวบอกตัวเอง เพื่อพิสูจน์ความคิดเธอจึงตัดสินใจขยับร่างกายส่วนล่างหมายเสียดสีกับอีกฝ่ายให้หายสงสัย แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ เสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยทักขึ้นมาเสียก่อน

 

“อรุณสวัสดิ์”

 

น้ำทิพย์หน้าแดงก่ำ เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตา แต่กระนั้นก็ยังพึมพำตอบ

 

“อ...อรุณสวัสดิ์” หญิงสาวมองแขนที่โอบรอบตัว ราฟาเอลจึงรีบคลายมันออกพร้อมกับอธิบาย

 

“ขอโทษที่ไม่สุภาพกับคุณ แต่เมื่อคืนนี้ลูซิเฟอร์ส่งเสียงเตือนมาให้ได้ยิน ผมจึงจำเป็นต้องเพิ่มพลังป้องกัน”

 

เขาก้าวลงจากเตียงและลุกยืนขึ้น น้ำทิพย์จึงถอนใจพรืดออกมาอย่างโล่งอกแต่ก็แอบนึกเสียดายอยู่นิดๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงสวมกางเกง

 

“ทำไมต้องถอดเสื้อด้วย” หญิงสาวถามและรีบตะครุบปากตัวเองเอาไว้เมื่อคิดได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรพูด แต่เทวดาหนุ่มกลับก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงลุแก่โทษ

 

“ผมดึงพลังออกมามากไปหน่อย”

 

“ถึงขนาดเผาเสื้อของตัวเองเนี่ยนะ” น้ำทิพย์ร้องและก้มหน้าลงสำรวจที่นอน “โชคดีที่ฟูกไม่พลอยไหม้ไปด้วย”

 

   ราฟาเอลหัวเราะเบาๆ

 

“พลังป้องกันไม่ร้อนแรงเหมือนเพลิงสวรรค์ มันทำได้แค่สลายอณูของสิ่งที่เข้ามาสัมผัสให้กลายเป็นฝุ่นผงเท่านั้น”

 

คำอธิบายของเขาทำให้น้ำทิพย์รีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาดูและไล่สายตาตรวจร่างกายของตัวเองทันที

 

“ทำแบบนั้นแล้วตัวฉันไม่พลอยแตกเป็นผงไปด้วยเหรอ”

 

เธอถาม ราฟาเอลสั่นศีรษะ

 

“มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกัน ไม่ใช่ทำลาย”

 

“แล้วทำไมเสื้อคุณถึง...” หญิงสาวสวนคำถามทันควัน รอยยิ้มยังคงแต้มอยู่บนใบหน้าเทวดาหนุ่มขณะตอบ

 

“เพราะมันไม่ใช่เสื้อของเทวดา”

 

คำตอบแบบกำปั้นทุบดินเล่นเอาน้ำทิพย์ถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อตั้งสติได้เธอจึงคว้าหมอนปาใส่ราฟาเอลและหน้าง้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายรับไว้ด้วยมือข้างเดียว

 

“โกรธอะไร” ราฟาเอลถามเมื่อเห็นหญิงสาวทำปากยื่นพร้อมกับเมินหน้าหนีไปอีกด้านด้วยอาการเง้างอน น้ำทิพย์ค้อนควับ

 

“ตัวเองเป็นคนก่อเรื่องแท้ๆยังจะมาถาม”

 

“ผมทำอะไร” เทวดาหนุ่มถามอย่างงุนงง น้ำทิพย์เม้มปากแสดงอาการขัดใจก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ ท่าทางกระเง้ากระงอดของเธอทำให้ราฟาเอลต้องเกาศีรษะ ตอนแรกเขาตั้งใจจะตามไปง้อแต่พอได้ยินเสียงประตูอีกห้องปิดดังปัง เป็นอันรู้กันว่าหญิงสาวคงไม่อยากได้ยินอะไรจากเขาไปสักพัก เทวดาหนุ่มหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่น้ำทิพย์ซื้อให้เมื่อวานจากนั้นจึงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย อันที่จริงแล้วกิจวัตรแบบนี้ไม่จำเป็นกับเขาเลยสักนิด แต่เมื่อไม่รู้จะทำอะไรและเพื่อความสบายใจของหญิงสาว เขาจึงตัดสินใจทำทุกอย่างให้เหมือนมนุษย์

 

ผลัดเปลี่ยนชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยราฟาเอลจึงเดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าที่ระเบียง หากเป็นคนธรรมดา มันคงเป็นการชื่นชมความงามของธรรมชาติโดยทั่วไป แต่เพราะเขาเป็นเทวดาที่อยู่ในสภาพอ่อนแอแถมยังหนีการไล่ล่าของลูซิเฟอร์ การยืนนิ่งกวาดตามองไปโดยรอบคือส่วนหนึ่งของการตรวจตราว่าในบริเวณนั้นมีบริวารของจอมปิศาจรุกล้ำเข้ามาหรือไม่ แต่การสำรวจของราฟาเอลไม่ค่อยราบรื่นนักเพราะเสียงหัวเราะคิกคักกับการกล่าวคำทักทายของหญิงสาวกลุ่มใหญ่ที่เดินผ่านบ้านพัก ทำให้เขาจำต้องลดสายตาลงมอง

 

“ไฮ” หนึ่งในนั้นโบกมือทักทายพร้อมกับกล่าวอรุณสวัสดิ์ด้วยภาษาอังกฤษและร้องกรี๊ดลั่นเมื่อได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มจากชายหนุ่มผมทองรูปหล่อ พวกหล่อนทำท่าจะเดินเข้ามาหาแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นน้ำทิพย์ยืนกอดอกมองตาวาวเป็นแม่เสือสาวอยู่ริมประตู

 

“มีเมียแล้วก็ไม่บอก” ใครคนหนึ่งตะโกนด้วยภาษาไทยก่อนทั้งหมดจะสะบัดหน้าเดินจากไป คำพูดของพวกเธอทำให้ราฟาเอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ความสงสัยทั้งหมดก็หายไปเมื่อได้ยินเสียงสวนมาจากด้านหลัง

 

“ปากเสีย”

 

น้ำทิพย์หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านอย่างนึกฉุน ถึงจะหงุดหงิดกับถ้อยคำเชิงดูถูกเมื่อครู่แต่พอมานึกอีกทีโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะการที่ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันสองต่อสองในบ้านพักชายทะเลแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนรักแล้วจะให้คิดว่าเป็นอะไร

 

คนรัก

 

หัวใจเจ้ากรรมเกิดเต้นแรงขึ้นมาอย่างปุบปับจนหญิงสาวต้องชำเลืองมองคนที่กำลังเดินตามเข้ามาด้วยความกลัวว่าเขาจะได้ยิน น้ำทิพย์รีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ตอนแรกก็ดูเหมือนจะได้ผลแต่พอราฟาเอลเข้ามาใกล้ร่างกายของเธอก็เกิดอาการปั่นป่วนจนแทบนั่งไม่ติด หญิงสาวนั่งกระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเปิดโทรทัศน์และหยิบรีโมตมากดหาช่องไปเรื่อย สีหน้าท่าทางที่ผิดไปจากทุกครั้งของเธอทำให้เทวดาหนุ่มต้องเอ่ยปากถาม

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

 

ทั้งที่เป็นคำถามธรรมดาแท้ๆแต่น้ำทิพย์กลับสะดุ้งจนแทบจะทำรีโมตหลุดจากมือ หญิงสาวพยายามเรียกชื่อตัวเองเพื่อตั้งสติก่อนตอบทั้งที่ตายังคงจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์

 

“เปล่านี่ ถามทำไม”

 

“หน้าคุณแดง” มือแข็งแรงทาบบนหน้าผากแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว “แถมยังตัวอุ่นๆ อาการแบบนี้เหมือนคนกำลังมีไข้”

 

“เป็นเทวดาแท้ๆ ทำเป็นรู้ดีเรื่องความป่วยไข้ของมนุษย์” น้ำทิพย์พูดเป็นเชิงประชดพร้อมกับเบี่ยงหน้าหลบ ราฟาเอลส่งรอยยิ้มที่ทำให้คนเห็นแทบหลอมละลายก่อนตอบ

 

“ผมไปมาระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์บ่อยครั้ง เลยพอจะรู้อะไรอยู่บ้าง”

 

“รู้ไม่จริงน่ะสิ” น้ำทิพย์พูดพร้อมกับหันหน้าหนีเพื่อที่เขาจะได้ไม่เห็นว่าตอนนี้มันแดงก่ำเหมือนตำลึงสุก มือยังคงกดรีโมตเปลี่ยนช่องทั้งที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้สักนิดว่ามีรายการอะไรบ้าง และคงทำเช่นนั้นอยู่อีกนานถ้าราฟาเอลไม่พูดขึ้น

 

“เดี๋ยวก่อนทิพย์”

 

หญิงสาวหยุดชะงักและหันไปมองอีกฝ่ายอย่างนึกฉงนแต่ไม่จำเป็นต้องถามเพราะเทวดาหนุ่มขยายข้อสงสัยในประโยคต่อมา

 

“ช่วยย้อนกลับไปช่องข่าวให้หน่อย”

 

น้ำทิพย์ทำตามอย่างไม่เต็มใจนักแถมปากยังไม่วายเหน็บอีกฝ่ายน้อยๆ

 

“ไม่ยักรู้ว่าเทวดาก็รู้จักสนใจเรื่องของคนอื่น”

 

ราฟาเอลมองเธออย่างอ่อนใจ แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี และรู้ด้วยว่าหญิงสาวกำลังประชดประชัน หากเป็นเวลาอื่นเขาคงนึกเอ็นดูไปกับอาการงอนเหมือนเด็กของเธอแต่จากสถานการณ์ปัจจุบันทำให้เขาชี้มือไปยังภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนจอพร้อมกับพูดอย่างเคร่งขรึม

 

“คุณเองก็ควรสนใจ”

 

น้ำทิพย์ทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นทำให้หญิงสาวนั่งตกตะลึงตัวแข็งทื่อเพราะข่าวบนจอคือมหาวิทยาลัยของเธอเอง ช่างกล้องถ่ายให้เห็นในมุมกว้างตั้งแต่เมฆสีเทาทึบที่ปกคลุมท้องฟ้าปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาอย่างรำไร ส่วนท้องถนนรวมไปถึงหมู่บ้านโดยรอบล้วนปกคลุมด้วยหมอกแลดูอึมครึม เงาเลือนลางของคนเดินสะเปะสะปะอย่างไร้จุดหมายโดยเฉพาะภายในรั้วมหาวิทยาลัย บรรดาอาจารย์และนักศึกษาทั้งชายหญิงต่างเดินวนเวียนด้วยท่าทางแข็งกระด้างเหมือนหุ่นยนต์ บางคนเมื่อหันมาเห็นกลุ่มผู้สื่อข่าวก็เดินปรี่เข้าไปหาแต่ออกมาไม่ได้เพราะมีรั้วกั้น เสียงนักข่าวรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหวั่นพรั่นพรึงระคนสยดสยอง

 

“ตอนนี้ดิฉันกำลังยืนอยู่หน้ามหาวิทยาลัยดังกล่าวแล้วนะคะ พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็จะเห็นกลุ่มเมฆสีดำลอยวนเหมือนในภาพยนต์เขย่าขวัญ ส่วนในมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาทั้งหมดเดินวนไปวนมาอย่างไร้จุดหมาย แต่ถ้ามีใครเข้าไปใกล้ ทั้งหมดจะวิ่งกรูกันเข้ามาหาอย่างดุร้าย ดูแล้วเหมือนฝูงซอมบี้ในหนังไม่มีผิด”

 

เสียงร้องอุทานด้วยความตระหนกของผู้สื่อข่าวดังขึ้นเมื่อมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้เดินทื่อเข้ามาทำร้าย ทีมงานเห็นท่าไม่ดีจึงช่วยกันผลักเขาออกไปและรีบร้องบอกให้นักข่าวหญิงคนนั้นกลับขึ้นรถเพราะส่วนใหญ่เผ่นขึ้นไปนั่งประจำที่จนเกือบหมดแล้ว   

 

“แต่ข่าวของเรา”

 

เธอแย้งและยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับจนเพื่อนร่วมงานต้องออกแรงลากไปที่รถพร้อมกับตะโกน

 

“ช่างหัวข่าวมันเถอะ คนพวกนี้เป็นบ้าไปหมดแล้ว รีบเผ่นออกจากที่นี่กันดีกว่า”

 

ภาพถูกตัดกลับไปยังสถานีซึ่งผู้รายงานได้กล่าวทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมเปิดเทปข่าวเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง น้ำทิพย์ซึ่งตอนนี้หน้าซีดราวกับกระดาษนั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

 

“เรากลับบ้านไม่ได้แล้วใช่ไหม”

 

เธอถามเสียงพร่าและหันไปมองราฟาเอล เขานิ่งไม่ยอมตอบแต่จากสีหน้าทำให้น้ำทิพย์พอจะเอาออกว่าเขาหมายถึงอะไร กำลังใจที่พยายามปลุกปลอบตัวเองมาตลอดทั้งคืนเหือดหายไปจนสิ้น หญิงสาวทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นทาง

 

“พอจะมีทางช่วยพวกเขาหรือเปล่า”

 

ถึงจะรู้คำตอบแต่ก็อดถามไม่ได้ ราฟาเอลนิ่วหน้าด้วยความหนักใจและนิ่งคิดอยู่นานจึงพูดออกมาเบาๆ

 

“ถ้าพลังของผมแข็งแกร่งกว่านี้ก็พอจะมีทาง”

 

“แล้วฉันต้องทำยังไง” น้ำทิพย์ถาม มือกำแขนเทวดาหนุ่มแน่นและหยุดชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคำถามเมื่อครู่ดูกำกวมไปสักนิด “ฉันหมายถึงมีทางที่มนุษย์อย่างฉันช่วยทำให้พลังเทวดากลับฟื้นคืนมาได้หรือเปล่า”  

 

ราฟาเอลส่ายหน้าช้าๆ

 

“พลังของผมขึ้นอยู่กับพระองค์ หากไม่ใช่พระประสงค์ก็ไม่มีทางฟื้นคืน”

 

“ฉันไม่สนเรื่องความประสงค์หรืออะไรที่ว่านั่น” น้ำทิพย์โพล่งอย่างเหลืออด “มนุษย์กำลังถูกปิศาจคุกคาม แทนที่จะช่วยพระเจ้าของคุณกลับยืนดูเฉยๆไม่ทำอะไรเลย”

 

น้ำทิพย์ตะครุบปากตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดคำอันไม่เหมาะสมออกมา แน่นอนว่าเธอเข้าใจราฟาเอลทุกอย่าง แต่ความเป็นห่วงเพื่อนนักศึกษาและชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทำให้หญิงสาวไม่อยากรับรู้ หรือรับฟังคำอธิบายอะไร

 

“คุณพาผมมาไกลถึงที่นี่ แล้วจะมามัวกังวลเรื่องของคนอื่นไปทำไม”

 

เสียงทุ้มเอ่ยถาม น้ำทิพย์เงยหน้าขึ้นจ้องตาเขา

 

“ก็ใช่ในส่วนหนึ่ง แต่จุดสำคัญคือฉันอยากหาที่สงบให้คุณฟื้นพลัง จะได้มีแรงไปกำราบพวกปิศาจ ตะเพิดลูซิเฟอร์ให้กลับนรกไปซะ”

 

ถึงจะเป็นการกล่าวแบบใช้อารมณ์ ราฟาเอลกลับไม่ถือโทษโกรธอะไร ตรงกันข้ามเขากลับส่งรอยยิ้มแสนอ่อนโยนให้กับเธอ

 

“นึกแล้วว่าคุณไม่ได้คิดหนีเอาตัวรอด”

 

น้ำทิพย์ชะงักค้างในท่านั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนขยับปากเหมือนอยากจะเถียงแต่ไม่มีคำพูดหลุดออกมาสักคำ สุดท้ายเธอจึงก้มหน้าลงหลบและพูดงึมงำเบาๆ

 

“ใครบอกว่าหนี แค่มาตั้งหลักห่างๆต่างหาก”

 

ราฟาเอลย่อตัวลงนั่งตรงหน้าหญิงสาวและกุมมือเธอเอาไว้ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล

 

“ผมรู้ว่าคุณมีเจตนาดี แต่ต่อให้หนีไปจนสุดหล้าก็ไม่มีทางหลุดพ้นเงื้อมมือของลูซิเฟอร์ ที่เขายังไม่ลงมือทำอะไรในตอนนี้ก็เพราะกำลังรอคำตอบของผมหลังจากส่งสาส์นท้า”

 

คำพูดของเขาทำให้น้ำทิพย์ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน

 

“เขาส่งสาส์นท้ามาให้คุณตอนไหน ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”

 

“จากข่าวเมื่อกี้” เทวดาหนุ่มตอบและอธิบายเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้างงหนักขึ้น “ไม่แปลกใจบ้างหรือไงว่า ทำไมอำนาจมืดของลูซิเฟอร์จึงยังจำกัดอยู่ในบริเวณเท่าเดิม”

 

“เขาเจ็บหนักเหมือนกัน คงมีพลังไม่พอ”

 

“คุณรู้จักลูซิเฟอร์น้อยเกินไป ต่อให้เหลือร่างเพียงครึ่งซีกเขาก็ยังมีพลังมากพอที่จะเผาเมืองนี้ให้เป็นจุณ” ราฟาเอลพูดด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมมากกว่าทุกครั้งและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากกว่าเดิม “ที่เขาปล่อยอำนาจมืดครอบครองคนไว้แค่นั้นเพราะต้องการให้ผมกลับไป”

 

“ลูซิเฟอร์อยากฆ่าคุณใจแทบขาด เขาจะมามัวเสียเวลาทำเรื่องแบบนี้ไปทำไป สู้บุกมาที่นี่แล้วลงมือจัดการคุณไม่ง่ายกว่าเหรอ”

 

น้ำทิพย์ถามด้วยความสงสัย เทวดาหนุ่มส่ายหน้าช้าๆก่อนจะตอบด้วยใบหน้าเศร้า

 

“เขาอยากเห็นผมทรมาน” มือที่กุมน้ำทิพย์บีบแน่นขึ้น “เพราะรู้ว่าผมทนไม่ได้ที่จะเห็นมนุษย์ถูกความชั่วร้ายกลืนกิน”

 

“หมายความว่าคุณต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้ง แต่สภาพแบบนี้จะทำอะไรได้”

 

หญิงสาวพูดด้วยความเป็นห่วง ราฟาเอลยิ้มอย่างมั่นใจ

 

“พลังของผมในตอนนี้แข็งแกร่งพอจะกำจัดปิศาจและขับไล่ความชั่วร้ายออกจากใจเพื่อนของคุณ”

 

“แล้วลูซิเฟอร์ล่ะ” น้ำทิพย์ถามด้วยความกังวล ราฟาเอลนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ

 

“เขายังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ผมพอจะรับมือได้”

 

“แน่ใจนะ” หญิงสาวถามอย่างหวั่นใจและนิ่วหน้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งจ้องหน้าเธอแล้วยิ้ม “ฉันถามเพราะความเป็นห่วง ยังจะมาทำหน้าระรื่นอยู่อีก”

 

“ขอโทษ แต่หน้าคุณตอนนี้ดูตลกกว่าทุกครั้ง”

 

“ว...ว่าไงนะ” น้ำทิพย์ถามเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอาย “คุณนี่ยังไงกันนะ หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังจะมาพูดเล่นอยู่อีก ตกลงแล้วคุณเป็นห่วงพวกเราจริงหรือเปล่า”

 

หญิงสาวเงื้อกำปั้นขึ้นหมายจะทุบเทวดาหนุ่มด้วยความหมั่นไส้ เขารีบผละออกห่างและยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับพูด

 

“ผมล้อเล่น เห็นคุณเครียดเกินไปเลยพูดอะไรให้สบายใจบ้าง”

 

หมัดพิฆาตชะงักค้าง น้ำทิพย์ทำแก้มป่องพร้อมกับค้อนปะหลับปะเหลือก

 

“ด้วยการบอกว่าผู้หญิงทำหน้าตลกน่ะเหรอ” เธอเมินหน้าหนีอย่างเง้างอน “เพิ่งรู้เทวดาเขาปลอบใจผู้หญิงด้วยคำพูดแบบนี้”

 

คำประชดประชันทำให้ราฟาเอลรู้ว่าน้ำทิพย์คลายความหวาดกลัวลง เขาเหลือบมองข่าวจากโทรทัศน์ทางด้านหลังก่อนเลื่อนสายตากลับมาที่เธออีกครั้ง

 

“กลับบ้านกันเถอะ”

 




Create Date : 16 สิงหาคม 2556
Last Update : 16 สิงหาคม 2556 8:56:39 น.
Counter : 544 Pageviews.

0 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 12 สำนึกของหัวใจ

บทที่ 12 สำนึกของหัวใจ

 

 

คำตอบของเทวดาหนุ่มทำให้น้ำทิพย์สมองชาวาบเหมือนถูกสายฟ้าของลูซิเฟอร์ฟาดเข้าใส่ หญิงสาวนั่งตกตะลึงตัวแข็งในท่าถือกุญแจค้างอยู่อึดใจจึงหลุดคำถามออกมา

 

“หมายความว่ายังไงที่ว่าทำลาย” เธอมองราฟาเอลและเย็นไปทั้งร่างเมื่อได้ฟังคำตอบ

 

“พวกเขาจะเผาเมืองนี้ให้มอดไหม้เป็นจุณ เพื่อที่ความชั่วจะได้ไม่ลุกลามไปยังดินแดนอื่น”

 

น้ำทิพย์มือสั่น ทั้งตระหนกและหวาดกลัวไปพร้อมกัน การปรากฏตัวของลูซิเฟอร์นับเป็นเรื่องเขย่าขวัญแต่คำอธิบายถึงการกระทำของเหล่าเทวดากลับเป็นสิ่งชวนขนหัวลุกมากกว่า

 

“แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ถูกสะกด พวกคุณจะมาเหมารวมฆ่าล้างเมืองไม่ได้”

 

“มันจำเป็น เพราะเชื้อชั่วเพียงน้อยนิดสามารถสร้างความพินาศให้กับโลกได้มากมาย เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม พวกเราจึงจำต้องทำลายต้นตอ แต่ไม่ต้องห่วง ถึงพบพลังมืดของลูซิเฟอร์ มิคาเอลจะยังไม่ลงมือกวาดล้างในทันที หากพบมนุษย์ที่มีหัวใจบริสุทธิ์ปราศจากความชั่วเพียงแค่หนึ่งคนเหล่าเทวดาก็จะใช้พลังชำระล้าง มันอาจจะมีผลลัพท์ที่ไม่ดีนักต่อมนุษย์บางคนแต่เมืองทั้งหมดจะรอดพ้นจากการพิพากษา”

 

“ถ้าเขาทำเป็นไม่เห็นล่ะ” น้ำทิพย์ถามและเม้มปากแน่นเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอจึงเข้าใจในทันทีว่าเขารู้จุดจบของเรื่องทั้งหมด

 

“คุณรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องลงเอยแบบนั้น” เธอพูดเสียงพร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ทำไมไม่บอกให้รู้กันบ้าง”

 

“ผมไม่อยากให้คุณกังวล”

 

“แน่นอนฉันต้องกังวล เมืองที่ฉันอยู่ถูกภูตผีปิศาจลุกขึ้นมาเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด พอมีเทวดาเป็นที่พึ่งกลับกลายเป็นว่าพวกเขาจะลงมาทำลายพวกเราให้พินาศด้วยข้อหาสั้นๆว่า ถูกผีสิง”

 

ราฟาเอลหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เขาระบายลมหายใจออกมายาวๆก่อนจะลืมตาขึ้นมองหญิงตรงหน้า

 

“ผมก็ไม่อยากให้มิคาเอลรู้”

 

เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและเบือนสายตามองออกไปนอกรถ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองของเขาทำให้น้ำทิพย์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า นับจากร่วงลงมายังโลกมนุษย์ เธอเคยเห็นราฟาเอลทำท่าเหมือนพยายามติดต่อกับสวรรค์เพียงสองครั้งเท่านั้น แต่พอลูซิเฟอร์ปรากฏตัว เขาก็ยุติการกระทำทั้งหมดและฟื้นฟูพลังด้วยตัวเอง

 

“ทำไมล่ะ” เธอถามสั้นๆ เทวดาหนุ่ม

 

“ผมเป็นห่วงคุณ ไม่อยากเห็นคุณเศร้าถ้าเมืองนี้ถูกทำลาย”

 

คำตอบง่ายๆแต่กลับทำให้น้ำทิพย์ใจเต้น ดวงตาสีฟ้าที่มองเธอเหมือนเน้นย้ำความหมายของประโยคเมื่อครู่ละลายคำตัดพ้อต่อว่าไปจนหมดสิ้น หญิงสาวกำกุญแจรถแน่นก่อนเสียบมันลงไปในช่อง สตาร์ทเครื่องยนต์ แต่ก่อนจะบังคับรถให้วิ่งออกไป เธอเอ่ยปากพูดกับเทวดาหนุ่มโดยไม่มองหน้า

 

“ถึงพวกเทวดาจะไม่ลงมา เมืองนี้ก็ถูกพวกปิศาจทำลายอยู่ดี”

 

“ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น” ราฟาเอลพูด หญิงสาวเม้มปากน้อยๆเหมือนอยากจะท้วงว่าคงเป็นไปได้ยากเพราะอีกฝ่ายเป็นจอมปิศาจลูซิเฟอร์ ซ้ำร้ายยังมีกฤตชัยคอยให้ความร่วมมือ แน่นอนว่าการกำจัดเขาเป็นเรื่องง่าย แต่ข้อที่ว่าฝ่ายหนึ่งเป็นมนุษย์ทำให้ราฟาเอลลำบากใจ

 

“ฉันรู้” น้ำทิพย์พูดสั้นๆและเหยียบเร่งให้รถพุ่งออกไป ทั้งสองต่างนั่งเงียบไม่พูดไม่จากันจนกระทั่งถึงทางแยกเข้าหมู่บ้าน แทนที่จะเลี้ยวหญิงสาวกลับขับผ่านเลยไปเหมือนจงใจ เทวดาหนุ่มขมวดคิ้ว

 

“เลยบ้านแล้วนะทิพย์”

 

“ฉันรู้”

 

เธอตอบด้วยคำพูดเดิมและไม่ขยายความอะไรต่อไป เมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูดราฟาเอลจึงจำต้องนั่งนิ่งไม่กล้าเอ่ยปากซักถาม น้ำทิพย์ขับรถด้วยความเร็วดุจติดปีกบินไปตามถนนที่ทอดยาวเหมือนไม่มีสิ้นสุด หลังจากวิ่งไปได้เกือบสองชั่วโมงเธอจึงหยุดพักที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เมื่อเติมพลังงานให้กับรถและซื้ออาหารรองท้องแล้วน้ำทิพย์จึงขับรถต่อไป

 

จากเส้นทางราบเรียบเริ่มมีภูเขาขนาดย่อมปรากฏขึ้นประปราย หญิงสาวชะลอความเร็วลงเล็กน้อยขณะเลี้ยวไปตามทางโค้ง พอเข้าสู่เส้นทางตรง ประกายระยิบระยับของแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับพื้นน้ำจึงเผยให้เห็นกับสายตา ราฟาเอลจึงรู้ว่าจุดหมายของน้ำทิพย์คือที่ใด

 

“คุณพาผมมาทะเล” เขาพูดเป็นเชิงถาม หญิงสาวผงกศีรษะแต่ยังไม่ยอมตอบอะไร เทวดาหนุ่มจึงเบนหน้าหันไปมองผืนน้ำสีครามที่กว้างไกลไปจนสุดตาและนั่งนิ่งในท่านั้นกระทั่งน้ำทิพย์เลี้ยวรถเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง พอจอดสนิทแล้วเธอจึงหันมาสั่ง

 

“รอที่นี่”

 

เธอออกจากรถหายเข้าไปในแผนกรับจองห้องพักราวสิบนาทีจึงเดินกลับออกมาพร้อมพวงกุญแจในมือ

 

“ได้ห้องพักแล้ว” น้ำทิพย์พูดด้วยใบหน้าอมยิ้ม เธอเคาะประตูเบาๆเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายลงจากรถก่อนจะเปิดประตูหลังดึงกระเป๋าโน้ตบุคและโทรศัพท์มือถือออกมา

 

“ที่นี่มีร้านขายของด้วย ไปซื้อของใช้จำเป็นกันก่อนค่อยเข้าห้องพัก” เธอพูดพลางส่งกระเป๋าโน้ตบุคให้อีกฝ่ายสะพายส่วนตัวเธอเองคล้องกระเป๋าถือไว้ที่แขนจากนั้นจึงเดินเข้าไปในตัวอาคาร

 

เมื่อเข้าไปด้านในแล้วราฟาเอลจึงรู้ว่าสถานที่หญิงสาวพามาเป็นรีสอร์ตระดับห้าดาว ภายในจึงมีร้านค้าทั้งเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ครบครัน การตัดสินใจเดินทางอย่างกะทันหัน น้ำทิพย์จึงไม่ได้เตรียมอะไรมาด้วยสักอย่าง เธอจึงต้องซื้อข้าวของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน สบู่หรือแม้แต่ชุดชั้นใน โชคดีรีสอร์ตแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากพอสมควรจึงไม่ลำบากนักในการซื้อชุดสำหรับราฟาเอล

 

“เรียบร้อย” เธอพูดหลังตรวจจนแน่ใจว่าได้ของครบทุกอย่าง จากนั้นทั้งคู่จึงไปยังบ้านพักซึ่งอยู่ริมทะเล ความกลัวข้อครหาเพราะนามสกุลของเธอเป็นที่รู้จักในวงสังคม น้ำทิพย์จึงเลือกบ้านพักแบบสองห้อง เมื่อนำข้าวของเข้าไปเก็บเรียบร้อยแล้วเธอจึงออกไปยืนรับลมที่ระเบียง ราฟาเอลยืนมองหญิงสาวที่กำลังปล่อยให้สายลมกระทบใบหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าไปใกล้ๆ

 

“คุณพาผมมาที่นี่ทำไม”

 

“เห็นคุณเหนื่อยเลยอยากให้พัก” น้ำทิพย์ตอบโดยไม่หันมามองหน้า เทวดาหนุ่มระบายลมหายใจค่อนข้างยาว

 

“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงใช่ไหม” เขาถาม เมื่อหญิงสาวยืนนิ่งไม่ยอมตอบเขาจึงส่ายหน้าช้าๆ “คุณไม่มีวันหนีลูซิเฟอร์พ้น”

 

“ฉันไม่ได้หนี” หญิงสาวหันมาตอบและขมวดคิ้วเหมือนไม่รู้จะหาคำอะไรมาพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ “แค่ไม่อยากกลับบ้านเท่านั้น”

 

“ทำไม” ราฟาเอลถาม น้ำทิพย์เม้มปากก่อนจะก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง หญิงสาวพยายามควบคุมไม่ให้มันสั่นแต่ความหวาดหวั่นที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจมีมากกว่า สุดท้ายเธอจึงตอบเสียงเครือ

 

“ฉันกลัว” น้ำใสๆปริ่มขอบตา “เพื่อนคนนึงกลายเป็นซอมบี้ อีกสองคนต้องหนีหัวซุกหัวซุน”

 

น้ำตาไหลพราลงมาเป็นทาง น้ำทิพย์รีบเช็ดมันออกพร้อมกับกลืนก้อนสะอื้นที่กำลังจะตีขึ้นมากลับลงไปในลำคอ  

 

“นอกมหาวิทยาลัยก็มีผีดิบเป็นฝูงเดินเพ่นพ่าน ฉันไม่อยากนึกเลยว่าแถวบ้านจะเป็นยังไง”

 

“พวกเขาแค่โดนอำนาจมืดครอบงำเท่านั้น ไม่ได้กลายเป็นผีดิบจริงๆ ส่วนบ้านคุณก็มีพลังของผมคุ้มครอง” เทวดาหนุ่มปลอบแต่หญิงสาวสั่นศีรษะ

 

“แค่หลังเดียวเท่านั้น” น้ำทิพย์แย้ง “ถ้าจะต้องนั่งมองเพื่อนบ้านเดินตาขวางวนไปวนมาอยู่หน้ารั้วแล้ว ฉันขอนอนที่ชายทะเลนี่ดีกว่า”

 

“ที่นี่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย”

 

“แต่เท่าที่เห็น ผู้คนแถวนี้ก็ยังดูปรกติดีอยู่ไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวย้อน ราฟาเอลสั่นศีรษะ

 

“ผมกลัวว่าจะเป็นแบบนี้ได้อีกไม่นาน” เทวดาหนุ่มแย้งและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อน้ำทิพย์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นโบก

 

“พอได้แล้ว” เธอโพล่งอย่างเหลืออด “ฉันมาที่นี่เพื่อความสบายใจ ถ้าหาคำพูดที่มันดีกว่านี้ไม่ได้ก็อย่าพูดอะไรอีกเลย”

 

หญิงสาวหมุนตัวเดินหนีเข้าห้อง ราฟาเอลได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง ใจจริงแล้วเขาอยากจะตามไปขอโทษแต่รู้ดีว่าเวลานี้น้ำทิพย์คงไม่ยอมฟังอะไร เทวดาหนุ่มมองบานประตูที่ปิดสนิทนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเบนสายตามองไปยังทะเลสีคราม แดดยามบ่ายสะท้อนเป็นประกายวิบวับบนผิวน้ำงดงามราวแสงอัญมณี หากการมาในครั้งนี้เป็นแค่การท่องเที่ยวระหว่างเธอกับเขา ภาพอาทิตย์ยามอัสดงคงสวยงามดุจความฝัน แต่สำหรับเวลาที่มวลมนุษย์กำลังถูกความมืดคืบคลานเข้ามาครอบงำเช่นนี้ แสงเหล่านั้นเปรียบเสมือนดวงตาวับวาวของเหล่าปิศาจที่กำลังมองหาเหยื่ออันโอชะเพื่อลากลงไปกลืนกิน 

 

ราฟาเอลยืนคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรวมถึงวิธีรับมือกับลูซิเฟอร์โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มารู้ตัวอีกครั้งตอนได้ยินเสียงเรียกของพนักงานรีสอร์ตที่ยืนรีรออยู่เชิงบันได 

 

“อาหารมาส่งครับ”

 

เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษเมื่อเห็นผู้มาพักเป็นชาวต่างชาติ เทวดาหนุ่มมองอาหารที่ถุกลำเลียงลงบนโต๊ะอย่างงงันและเข้าใจทันทีว่าใครเป็นคนสั่งเมื่อเห็นน้ำทิพย์เดินออกจากห้อง พอเห็นลูกค้าอีกคนที่มีท่าทางเหมือนคนไทยพนักงานอีกคนจึงเริ่มสาธยาย

 

“ข้าวผัดปูสองที่ ส้มตำปูม้า ยำไข่แมงดา ต้มยำกุ้ง น้ำเปล่าสอง ครบตามที่สั่งไหมครับ” เขาทวนรายการอาหารพร้อมคำถาม หญิงสาวผงกศีรษะรับพร้อมกับยื่นธนบัตรเพื่อชำระค่าอาหาร

 

“ไม่ต้องทอน”

 

เธอพูดสั้นๆ พนักงานทั้งสองพนมมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณก่อนจะรับเงิน เมื่อทั้งคู่ลงจากบ้านพักไปแล้วหญิงสาวจึงหย่อนตัวลงนั่งและลงมือรับประทานอาหารโดยไม่เอ่ยปากชวนราฟาเอลเหมือนเช่นเคย ความที่อยู่ด้วยกันมาหลายวันทำให้เทวดาหนุ่มรู้ว่ากิริยาแบบนี้ของเธอก็คือ งอน เขาจึงนั่งด้านตรงกันข้ามและพยายามหาเรื่องคุย

 

“ผมเคยได้ยินมนุษย์พูดว่าพระอาทิตย์ยามเย็นมาหลายครั้ง แต่ไม่คิดว่ามันจะสวยขนาดนี้” เขานิ่งไปเล็กน้อยด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบ แต่เมื่อเห็นเธอก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่พูดไม่จาเขาจึงถอนใจน้อยๆพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย

 

“อาหารพวกนี้หน้าตาแปลกดี เขาเรียกว่าอะไรเหรอ”

 

เงียบ ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงช้อนส้อมกระทบจาน ราฟาเอลจึงจำต้องหยิบช้อนส้อมและมองจานข้าวผัดตรงหน้าอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจตักเข้าปาก

 

อร่อย ถึงไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็เถอะ

 

ราฟาเอลคิดก่อนจะไล่สายตามองอาหารไปทีละอย่าง ส้มตำปูม้าคือสิ่งแรกที่เขาสนใจแต่ยังไม่กล้าตักกินเพราะลักษณะประหลาดกับกลิ่นที่ค่อนข้างแรง เทวดาหนุ่มมองข้ามยำไข่แมงดาเพราะรู้สึกแปลกกับเม็ดสีเหลืองอมเขียวที่กระจายอยู่ทั่วและหยุดสายตาไว้ตรงต้มยำ ความที่เคยกินข้าวต้มกุ้งฝีมือน้ำทิพย์มาแล้วเขาจึงคิดว่ามันน่าจะเหมือนกันเลยตักกินอย่างไม่ลังเล

 

ความเผ็ดร้อนของพริกขี้หนูสำแดงฤทธิ์ในบัดดล ราฟาเอลรู้สึกเหมือนมีไฟกำลังลุกท่วมอยู่ในปาก เขาแทบจะคายกุ้งคำนั้นออกมาแต่พอเห็นสายตาเชิงห้ามของน้ำทิพย์ เทวดาหนุ่มจึงจำต้องกลืนมันลงคอและใช้มือโบกลมเข้าปากเพื่อให้หายร้อน สีหน้าแตกตื่นกับริมฝีปากที่เริ่มบวมเจ่อของเขาดูตลกจนหญิงสาวขำจนแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ เธอรีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนรอยยิ้ม ใจนึกอยากจะแกล้งเขาอีกสักหน่อยแต่พอเป็นใบหน้าแดงก่ำของเทวดาหนุ่มแล้วก็นึกสงสาร เธอจึงรินน้ำใส่แก้วยื่นส่งให้พร้อมกับพูด

 

“ดื่มน้ำซะ”

 

เขารับไปดื่มถึงสามแก้ว เมื่อความเผ็ดร้อนคลายลงจนพอจะพูดได้แล้วเขาจึงเปรยเบาๆเป็นเชิงต่อว่า

 

“ทำไมไม่บอกว่ามันเผ็ด”

 

“ก็คุณไม่ได้ถาม” หญิงสาวพูดเรื่อยๆพร้อมกับตักกุ้งพร้อมพริกใส่ปากเคี้ยวหน้าตาเฉย สีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของน้ำทิพย์ทำให้ราฟาเอลสำนึกได้ว่าเธอจงใจสั่งอาหารรสจัดเพื่อแกล้งเขา แทนที่จะโกรธเทวดาหนุ่มกลับระบายลมหายใจออกมาเบาๆและก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อโดยไม่พูดอะไร ข้างน้ำทิพย์เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ต่อว่าก็คิดว่าเขาโกรธจนไม่อยากพูดด้วยจึงทำเป็นเลียบเคียงถาม

 

“ทานได้ไหม เอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า”

 

เทวดาหนุ่มอมยิ้มในหน้าแต่ความอยากแก้ลำหญิงสาวจึงไม่ยอมตอบอะไรนอกจากสั่นศีรษะ เมื่อข้าวหมดจานเทวดาหนุ่มจึงรวบช้อนส้อมและดื่มน้ำจนหมดจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องโดยไม่พูดไม่จา พอถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังน้ำทิพย์เริ่มใจคอไม่ดี เธอหันซ้ายมองขวาอย่างประหวั่น ความมืดที่โอบล้อมรอบตัวก่อให้เกิดจินตนาการสยอง น้ำทิพย์รู้สึกเหมือนมองเห็นเงาของปิศาจบินโฉบวูบไปมา ช่วงกำลังจมดิ่งลงไปในความหวาดกลัวเสียงหอนของสุนัขก็ดังโหยหวนขึ้น หญิงสาวสะดุ้งเฮือกทิ้งช้อมส้อมและวิ่งเข้าห้องโดยคว้าขวดน้ำติดมือไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว

 

หลังจากมุดอยู่ใต้โปงผ้าห่มราวสิบนาทีน้ำทิพย์รู้สึกใจชื้นขึ้น เธอค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากผ้าและกวาดมองรอบตัว เมื่อเห็นทุกอย่างยังปรกติเรียบร้อยไม่มีตัวประหลาดหรือปิศาจอย่างที่คิดหญิงสาวจึงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

 

“กลัวไปเองแท้ๆนะเรา”

 

เธอพูดพึมพำกับตัวเองก่อนทิ้งศีรษะลงกับหมอนและปิดเปลือกตาลง ตอนแรกน้ำทิพย์คิดจะนอนไปทั้งอย่างนั้นแต่ความเหนียวตัวทำให้หญิงสาวหงุดหงิดจนต้องลุกขึ้น เธอหันไปมองห้องน้ำและขมวดคิ้วด้วยความลังเลเพราะกลัวว่าปิศาจจะบุกเข้ามาในระหว่างนั้น แต่เมื่อนึกได้ว่าป่านนี้ราฟาเอลคงสร้างพลังป้องกันแล้ว น้ำทิพย์จึงกระโดดลงจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัวกับสบู่เดินเข้าห้องน้ำโดยแง้มประตูทิ้งเอาไว้เพื่อความสะดวกในการวิ่งถ้ามีตัวอะไรโผล่ออกมา

 

ชำระล้างร่างกายจนสะอาดสดชื่นหญิงสาวจึงกลับขึ้นไปนอนบนเตียงและพยายามข่มตาให้หลับ แต่ภาพเหตุการณ์น่ากลัวที่เพิ่งประสบวนเวียนหลอกหลอนทุกครั้งที่เธอหลับตา หลังจากนอนกระสับกระส่ายไปได้พักใหญ่น้ำทิพย์จึงลุกขึ้นนั่งกุมศีรษะและพูดเสียงดัง

 

“เลิกตามมาหลอกหลอนเสียทีจะได้ไหม

 

เสียงสุนัขหอนรับในทันที ใบหน้างามเผือดลงด้วยความหวาดกลัวและสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงแกรกกรากคล้ายกรงเล็บของสัตว์บางชนิดกำลังลากไปตามผนัง สิ่งนั้นเองที่ทำให้ความอดทนของเธอสิ้นสุดลง น้ำทิพย์คว้าหมอนพุ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

 

เสียงเคาะระรัวบนบานประตูทำให้ราฟาเอลต้องรีบเปิดออกและเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นน้ำทิพย์ยืนกอดหมอนผมยุ่งตัวสั่นอยู่หน้าห้อง ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถามเธอก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

 

“ขอนอนด้วยคนได้ไหม”

 

พูดจบก็ก้าวพรวดเข้าไปในห้องโดยไม่รอคำตอบ เทวดาหนุ่มมองตามอย่างนึกฉงน เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเธอแล้วเขาจึงผงกศีรษะ

 

“เป็นอะไรไป” ราฟาเอลถามหลังจากปิดประตูเรียบร้อยแล้ว น้ำทิพย์เดินวนไปวนมาสองสามรอบก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง

 

“ฉันกลัว” เธอตอบสั้นๆพร้อมกับกวาดตามองไปรอบห้อง เทวดาหนุ่มจึงหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ

 

“กลัวอะไร”

 

“ยังจะมาถามอีก” หญิงสาวตอบพร้อมกับกระชับหมอนในอ้อมแขนแน่นขึ้น “ก็พวกปิศาจไง”

 

ราฟาเอลส่ายหน้าช้าๆ

 

“แถวนี้ไม่มีปิศาจหรอก”

 

“คุณรู้ได้ยังไง” น้ำทิพย์สวนคำถามทันควัน ราฟาเอลยิ้ม

 

“ผมตรวจดูแล้ว”

 

คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวนั่งนิ่ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับเธอ เทวดาหนุ่มจึงอธิบายเพิ่มเติม

 

“หรือถ้ามีพวกมันก็เข้ามาในนี้ไม่ได้ เพราะบ้านหลังนี้มีพลังของผมป้องกันเอาไว้”

 

“แน่ใจนะ” น้ำทิพย์คาดคั้น เมื่อเห็นราฟาเอลพยักหน้ารับเธอจึงนิ่งไปอีกครั้ง แน่นอนว่าหญิงสาวมั่นใจในความปลอดภัยแต่ถึงยังไงก็ยังกลัว

 

“ยังไงฉันก็ยังไม่กล้านอนคนเดียว” เธอพูดเสียงอ่อนลงและมองเทวดาหนุ่มด้วยดวงตาอ้อนวอน “ให้ฉันนอนห้องนี้ด้วยคนนะ ข้างเตียงก็ได้”

 

น้ำเสียงเชิงอ้อนกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวของหญิงสาวทำให้ราฟาเอล

 

ปฏิเสธไม่ลง แต่กระนั้นเขาก็ยังอดแย้งไม่ได้

 

“แต่มันไม่เหมาะ”

 

“ทำไม” น้ำทิพย์ถาม เทวดาหนุ่มถอนใจเบาๆ

 

“ผมเป็นผู้ชาย”

 

“คุณเป็นเทวดาต่างหาก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ราฟาเอลนิ่งเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะอย่างยอมจำนน

 

“งั้นก็ตามใจ” เขาเดินไปหยิบหมอนกับผ้าห่มของตัวเอง น้ำทิพย์รีบดึงไว้ทันที

 

“จะไปไหน”

 

“ผมจะนอนตรงนี้” เขาชี้มือไปที่พื้นห้อง หญิงสาวสั่นหน้า

 

“ฉันต่างหากที่ควรนอนตรงนั้น” เธอพูดพร้อมกับโยนหมอนลงไปบนพื้นและทำท่าจะเลื่อนตัวตามลงไปแต่ราฟาเอลรั้งตัวหญิงสาวเอาไว้พร้อมกับห้าม

 

“ไม่ได้” เขามองหน้าน้ำทิย์ “ผู้ชายควรเป็นฝ่ายเสียสละ”

 

“แต่คุณเป็นเทวดา และเทวดาไม่ควรนอนบนพื้น” น้ำทิพย์ดึงดันและนิ่งคิดก่อนตัดสินใจพูด “งั้นเอาอย่างนี้ เราสองคนนอนบนเตียงด้วยกัน ถ้ากลัวฉันคิดมิดีมิร้ายกับคุณก็เอาไอ้นี่กั้นเอาไว้”

 

พูดพลางคว้าหมอนที่เหลือมาวางคั่นไว้กลางเตียง

 

“แค่นี้คุณก็ปลอดภัย” หญิงสาวยิ้มและเอนตัวลงนอนโดยไม่ฟังคำโต้แย้งจากอีกฝ่าย เมื่อจนปัญญาจะห้าม ราฟาเอลจำต้องยอมทำตามข้อเสนอแล้วเธอ เขานั่งเหยียดขาและพิงหมอนที่วางชิดกับหัวเตียงแต่ยังไม่ยอมนอน พอเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบไม่พูดไม่จาน้ำทิพย์จึงเข้าใจเอาเองว่าเขายังคงโกรธเรื่องมื้อค่ำ เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดปากเหมือนจะช่วยลดความกระดากก่อนพูดเบาๆ

 

“ขอโทษนะ”

 

“เรื่องอะไร” เทวดาหนุ่มถามเสียงนุ่มด้วยใบหน้างุนงง น้ำทิพย์เม้มปากน้อยๆก่อนตอบ

 

“อาหารเมื่อตอนเย็น ฉันไม่ควรแกล้งคุณแบบนั้น”

 

“ไม่เป็นไรหรอก” ราฟาเอลพูดพร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นให้กับเธอ น้ำทิพย์ส่ายหน้า

 

“แต่...”

 

“สิ่งที่คุณทำเกิดจากความกลัว ถ้ามันช่วยทำให้สบายใจขึ้นผมก็ยินดี”

 

หญิงสาวยกศีรษะขึ้นมามองหน้าเทวดาหนุ่ม น้ำเสียงและรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนก่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ความรู้สึกบางอย่างวิ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว น้ำทิพย์เองก็บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่ว่านั้นคืออะไร มันเป็นความก้ำกึ่งระหว่างความอิ่มใจกับความสุข ความอิ่มเอิบอันท่วมท้นทำให้หญิงสาวอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อขอบคุณ

 

น้ำทิพย์ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มราฟาเอลเบาๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังทำอะไร ใบหน้างามก็แดงก่ำ หญิงสาวรีบหดตัวกลับเข้าไปในโปงผ้าและพูดอ้อมแอ้ม

 

“ราตรีสวัสดิ์”

 

เธอไม่พูดอะไรเลยต่อจากนั้น เมื่อขยับตัวอีกครั้งใบหน้าของน้ำทิพย์ก็โผล่ออกมาจากผ้าห่ม คงจะอึดอัด เทวดาหนุ่มคิดและอมยิ้มน้อยๆขณะมองหญิงสาวซึ่งหลับสนิทไปแล้วอย่างนึกเอ็นดู พลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์ระทึกที่ผ่านมาทั้งหมดเขา สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความสยองขวัญสั่นประสาทต่อมนุษย์ธรรมดาอย่างที่สุดโดยเฉพาะผู้หญิงอ่อนแออย่างน้ำทิพย์ แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องปรกติ เพราะการเผชิญหน้าระหว่างเทวดากับปิศาจเกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา

 

ราฟาเอลมองหญิงสาวที่นอนหลับอยู่ข้างตัว เป็นความจริงที่ว่าเขาไม่ได้ขุ่นเคืองอาการฉุนเฉียวหรือการกลั่นแกล้งของเธอเลยสักนิดเพราะเข้าใจดีว่าตอนนั้นน้ำทิพย์ทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัวเพียงใด การที่เธอสามารถควบคุมสติให้มั่นคงไม่ร้องเอะอะโวยวายและขับรถหนีมาได้ไกลขนาดนี้นับเป็นเรื่องที่น่าชมเชยอย่างยิ่ง หากเป็นผู้หญิงคนอื่น ไม่สิ ต่อให้เป็นผู้ชายอกสามศอกลองได้เจอทั้งปิศาจและฝูงผีดิบ ถ้าไม่ตกใจกลัวจนเสียสติก็อาจถึงขั้นหัวใจวาย

 

เสียงบ่นพึมพำของน้ำทิพย์ดึงความคิดทั้งหมดกลับมา ตอนแรกราฟาเอลคิดว่าเธอตื่นแต่แท้จริงแล้วหญิงสาวแค่พลิกตัวหันหน้ามาทางเขาเท่านั้น การขยับของเธอทำให้เส้นผมสีดำเลื่อนลงมาปรกใบหน้า เทวดาหนุ่มหวังดีช่วยปัดมันออก มือจึงแตะถูกพวงแก้มโดยไม่ตั้งใจ สัมผัสนุ่มบนปลายนิ้วทำให้เขาเผลอไล้อย่างเบามือ ยิ่งได้สูดกลิ่นหอมกรุ่นของสบู่ผสมผิวเนื้อสะคราญด้วยแล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็วิ่งพล่านไปทั่วกาย ราฟาเอลรีบชักมือกลับแต่ดวงตายังคงจับจ้องหญิงสาวแน่วนิ่ง ใจที่เต้นตึกตักจนแทบหลุดออกมาจากอกสร้างความฉงนสนเท่ห์ต่อเขายิ่งนัก มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน เทวดาหนุ่มพยายามนึกว่าอารมณ์ดังกล่าวคืออะไรแต่คิดยังไงก็ไม่ออก เพราะมันไม่ใช่อารมณ์ฮึกเหิมในการศึกที่ตัวเองคุ้นเคย และไม่ใช่ความศรัทธาที่ฝังแน่นอยู่ในหัวใจ หากเป็นความรู้สึกทั้งปั่นป่วนและสับสนอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพิศดวงหน้าพริ้มเพราอย่างใกล้ชิดด้วยแล้วกายของเขาก็ยิ่งบังเกิดความร้อนรุ่มจนแทบควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้ แล้วราฟาเอลก็ใจหายวาบเมื่อสำนึกได้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร

 

ความรัก

 

เทวดาหนุ่มสะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อไล่ความคิดดังกล่าว เป็นไปไม่ได้ที่อัครเทวดาอย่างเขาจะมีความรู้สึกเช่นนี้กับมนุษย์ ราฟาเอลพยายามข่มใจเบือนหน้าหนีแต่ดวงหน้างามยามหลับใหลช่างงดงามตรึงใจจนเขาไม่อาจละสายตา ยิ่งเห็นริมฝีปากรูปกระจับซึ่งเผยอน้อยๆราวเชื้อเชิญด้วยแล้วเขาถึงกับเผลอโน้มใบหน้าลงไปหาหมายประทับจุมพิตกับเธอ

 

อย่า!

 

เสียงร้องห้ามดังขึ้นในจิตใจ ราฟาเอลหยุดชะงักทันทีและรีบถอยออกห่างอย่างรวดเร็ว เมื่อตั้งสติได้เทวดาหนุ่มถึงกับเย็นวาบไปทั้งร่างเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่นี้เขากำลังทำสิ่งที่ไม่สมควร ความกลัวว่าตัวเองจะทำเรื่องน่าอายแบบเดียวกันซ้ำอีกครั้งเขาจึงรีบลงจากเตียงไปนั่งเก้าอี้ซึ่งถูกลากไปจนสุดมุมห้อง สมองคร่ำครวญประโยคเดียวกันทวนซ้ำไปมา

 

เทวดาไม่สมควรมีความรัก

 

ราฟาเอลพยายามเลี่ยงไม่มองหญิงสาวที่ยังคงหลับตาพริ้มแต่ตาเจ้ากรรมกลับไพล่ไปมองหน้าเธออีกจนได้ เทวดาหนุ่มสูดลมหายใจเข้าสองสามครั้งเพื่อระงับอารมณ์พลางพร่ำพูดภายในใจว่า จะรักน้ำทิพย์ไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะเขาเป็นเทวดา

 

ความเจ็บแปลบปะทุขึ้นในหัวอก ราฟาเอลถอนใจยาวขณะย้ำความคิดในประโยคต่อมา

 

 หน้าที่ของเขาคือการปกป้อง ไม่ใช่หลงรักเธอ  

 

 

*/*/*/*/*

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 11 มิถุนายน 2556
Last Update : 11 มิถุนายน 2556 12:21:44 น.
Counter : 476 Pageviews.

0 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 11 หมอกมรณะ 3

หญิงสาวถามและร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆชายชราคนหนึ่งกระโดดลงมาบนถนน ถึงจะหักหลบได้อย่างเฉียดฉิวแต่เธอก็ต้องเบรกตัวโก่งเมื่อคนจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบกำลังเดินดาหน้ามาขวาง

 

หญิงสาวรีบเข้าเกียร์ถอยหลังแต่ไปได้ไม่ไกลเพราะสองข้างทางเริ่มมีฝูงชนมุงออกันเข้ามา พวกเขาต่างตะกุยตะกายทุบตีรถอย่างบ้าคลั่งเหมือนต้องการลากคนทั้งสองออกมา

 

            “ทำไมถึงเป็นแบบนี้” น้ำทิพย์พูดเสียงสั่นและหันไปคว้าแขนเทวดาหนุ่มเอาไว้ “ทำอะไรสักอย่างสิราฟาเอล”

 

            แสงสว่างพุ่งวาบออกจากตัวรถ คนที่กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งผงะหงายหลังด้วยความหวาดกลัว แต่ก็เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเพราะเมื่อแสงนั้นหายไป พวกเขาก็เข้ามาทุบรถใหม่อีกครั้ง ซ้ำยังรุนแรงมากกว่าเดิม

 

            “ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่สลบเหมือนพวกนักศึกษา”

 

             น้ำทิพย์ถามด้วยความสงสัยและร้องลั่นเมื่อใบหน้าของใครคนหนึ่งกดแนบมาบนกระจก ดวงตาที่เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้ากับปากที่แสยะอ้าปล่อยน้ำลายยืดย้อยลงมาเป็นทางสร้างความสยองเกล้าจนสุดจะทน หญิงสาวหลับตาแน่นและโผเข้ากอดราฟาเอลด้วยความหวาดกลัว

 

            “ไม่ใช่ลูซิเฟอร์” เทวดาหนุ่มพูดเสียงไม่ดังนัก ดวงตาจ้องตรงไปยังด้านหน้า น้ำทิพย์ลืมตาขึ้นและมองตามด้วยความสงสัย

 

            “หมายความว่ายังไง” เธอถามหลังจากพยายามสอดส่ายสายตาหาตัวต้นเหตุแต่กลับไม่พบอะไร ราฟาเอลจึงเปล่งรัศมีเทวดาอีกครั้ง คราวนี้ดูจะรุนแรงมากกว่าคราวก่อนเพราะคนที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาล้มระเนระนาดและไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนหันรีหันขวางด้วยความตระหนกอยู่กลางถนน น้ำทิพย์มองด้วยความเป็นห่วงเพราะเธอคนนั้นเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ

 

            “ทำไมเด็กถึงไปอยู่ตรงนั้น” เธอพูดพร้อมกับทำท่าจะเปิดประตู ราฟาเอลดึงมือเอาไว้พร้อมกับถาม

 

            “จะไปไหนทิพย์”

 

            หญิงสาวชี้มือแทนคำตอบแต่ราฟาเอลสั่นศีรษะ

 

            “ไม่ได้” เทวดาหนุ่มห้าม

 

“ทำไม” น้ำทิพย์ถามและนิ่วหน้าอย่างขัดใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้เหตุผล    “อย่าทำเป็นคนใจดำไปหน่อยเลย”

 

พูดพลางมองใบหน้าไร้เดียงสาที่เริ่มเหยเกเหมือนกำลังจะร้องไห้ เทวดาหนุ่มกระชับมือเธอแน่นขึ้นแต่ความสงสารทำให้น้ำทิพย์สะบัดออกอย่างแรง

 

            “ปล่อย”

 

            “ไม่” ราฟาเอลพูดเสียงเข้มพร้อมกับออกแรงบังคับหญิงสาวให้นั่งอยู่กับที่ มืออีกข้างชี้ตรงไปข้างหน้า “ดูให้ดีก่อนว่าหมอนั่นเป็นใคร”

 

เหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหลงกล เด็กหญิงตัวน้อยจึงแสยะปากยิ้มจนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ดวงตาใสบริสุทธิ์เมื่อครู่มีเลือดสดๆไหลมารวมกันจนแดงก่ำ ร่างเล็กๆก้าวตรงมาข้างหน้าด้วยท่าทางคุกคาม ลักษณะที่เปลี่ยนไปของคนที่อยู่ตรงหน้าแทบทำให้หัวใจของน้ำทิพย์หยุดเต้นด้วยความหวาดกลัว เธอกำแขนของราฟาเอลแน่นปากระล่ำระลักถาม

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเด็กถึงกลายเป็นแบบนั้น”

 

“เขาไม่ใช่เด็ก” เทวดาหนุ่มตอบสั้นๆแต่ก็ทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่างเมื่อนึกถึงบุคคลที่น่าหวาดกลัว

 

“ลูซิเฟอร์”

 

ราฟาเอลหรี่ตาลงเล็กน้อยและจ้องคนตรงหน้าเขม็งเหมือนมองทะลุเข้าไปถึงเนื้อใน พอรู้ว่าปิศาจร้ายเป็นใครแล้วเขาจึงค่อยๆแกะมือของน้ำทิพย์ออกพร้อมกับพูด

 

“นั่นไม่ใช่ลูซิเฟอร์” เทวดาหนุ่มชำเลืองมองใบหน้าเผือดของหญิงสาว “ขับรถไหวไหม”

 

ถึงไม่ค่อยจะเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามแบบนั้นแต่หญิงสาวก็ยังพยักหน้ารับ

 

“ไหว”

 

“พอผมให้สัญญาณ คุณรีบไปเลยนะ”

 

พูดจบราฟาเอลก็เปิดประตูก้าวลงจากรถ น้ำทิพย์มองด้วยความตระหนกและถามเสียงดัง

 

“จะทำอะไรน่ะ กลับขึ้นมาเดี๋ยวนี้ราฟาเอล”

 

เขาไม่ตอบแต่กลับเดินเข้าไปหาเด็กจากอเวจีด้วยท่าทางองอาจ ชั่วพริบตานั้นเองปีกทั้งสองข้างของเขาก็สะบัดกางออกปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น ร่างของเด็กคนนั้นแตกสลายหายไปในทันที

 

“ไป

 

ราฟาเอลหันไปบอกน้ำทิพย์ เธอจึงบังคับรถให้แล่นไปข้างหน้าและชะลอความเร็วลงเพื่อรับเทวดาหนุ่มจากนั้นจึงกระแทกเท้าเหยียบคันเร่งอย่างแรง รถคันงามจึงพุ่งฉิวไปข้างหน้า ความกลัวว่าอีกฝ่ายจะไล่ตามน้ำทิพย์จึงเลื่อนตาขึ้นจ้องกระจกมองหลัง เมื่อเห็นท้องถนนว่างเปล่าเธอจึงถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกและหันไปถามคนที่นั่งด้านข้าง

 

“คุณจัดการปิศาจตัวนั้นไปแล้วใช่ไหม”

 

เทวดาหนุ่มสั่นศีรษะ

 

“ผมแค่ไล่เขาไปเท่านั้น”

 

“ไล่ หญิงสาวพูดทวนด้วยน้ำเสียงเหมือนตระหนก “ทำไมถึงทำแค่ไล่ไปเท่านั้น พลังของคุณในตอนนี้สามารถกำจัดพวกปิศาจได้แล้วไม่ใช่หรือ”    

 

“ถ้าพวกปลายแถวน่ะใช่ แต่ไม่สำหรับปิศาจอย่างเลวิอาธาน”

 

คำตอบของเขาทำให้น้ำทิพย์อึ้งไปเล็กน้อย

 

“เลวิ...อะไรนะ”

 

“เลวิอาธาน หนึ่งในเจ็ดจอมปิศาจจากอเวจี” เขาเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้าและนิ่วหน้าด้วยความกังวล “ดูเหมือนผมจะไล่เขาไม่สำเร็จ”

 

“หมายความว่ายังไง”

 

หญิงสาวถามและร้องอุทานเสียงดังลั่นเมื่อรถทั้งคันสั่นอย่างรุนแรงเหมือนใครกำลังขย่มอยู่บนหลังคา ความตกใจทำให้เธอแทบหักพวงมาลัยลงข้างทางดีที่ราฟาเอลคว้าเอาไว้ทัน

 

“ตั้งสติให้ดี บังคับรถไปเรื่อยๆ อย่าหยุด อย่าเลี้ยวไปทางไหนทั้งนั้น”

 

“แล้วถ้าเจ้านั่นมันมุดเข้ามาในรถล่ะ” น้ำทิพย์ถามเสียงสั่น ราฟาเอลยกมือขึ้นแตะเพดาน ประกายแสงเหมือนไฟพะเนียงปะทุวาบออกมา ตามด้วยเสียงร้องคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด ตอนนั้นเองที่น้ำทิพย์เห็นเงาทะมึนของอสูรร้ายทาบบนถนน แม้จะมีรูปร่างไม่ชัดนักแต่ขนาดใหญ่โตของมันทำให้ใจของเธอฝ่อจนเหลือนิดเดียว

 

“ราฟาเอล”

 

น้ำทิพย์เรียกเทวดาหนุ่มน้ำตาคลอ มือสองข้างสั่นจนแทบจะบังคับรถเอาไว้ไม่ไหว ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วต่ำที่เหมือนสะท้อนก้องอยู่ภายในรถด้วยแล้วเธอแทบอยากจะหยุดรถและวิ่งหนีไปให้พ้น

 

“เขาแค่ขู่ให้เรากลัวเท่านั้น” เสียงราฟาเอลดึงสติแตกกระเจิงกลับคืนมา รถที่ส่ายเป็นงูเลื้อยจึงวิ่งเป็นเส้นตรงดังเดิม น้ำทิพย์มองเงาปิศาจซึ่งลอยห่างออกไปเล็กน้อยอย่างนึกหวาดหวั่น   “แต่ฉันว่าเขาเอาจริง” เธอแย้งเสียงแห้งเพราะยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่หาย

 

“ถ้าเอาจริงป่านนี้รถของเราถูกเป่าจนคว่ำไปแล้ว” เทวดาหนุ่มพูดเนิบๆแต่ดวงตาจ้องตรงไปข้างหน้าแน่วนิ่งเหมือนรอจังหวะให้ปิศาจปรากฏตัว น้ำทิพย์ชะเง้อมองตาม

 

“ทำยังไงถึงจะหนีเขาพ้น”

 

“แทบไม่มีทาง” ราฟาเอลตอบ “เลวิอาธานเป็นปิศาจจอมอาฆาต มันจะไม่หยุดการไล่ล่าจนกว่าเหยื่อจะตาย”

 

เสียงผ้าสะบัดดังพรึ่บเมื่อจู่ๆปิศาจร้ายลอยตัวมาแถวหน้ารถ หญิงสาวเกือบจะเหยียบเบรกด้วยความตกใจแต่คำของราฟาเอลที่เตือนเอาไว้ล่วงหน้าทำให้เธอตั้งสติได้ทัน รถจึงแค่ชะลอความเร็วลงเล็กน้อยและยังวิ่งต่อไป    

 

“เหมือนมันอยากให้ฉันสติแตก” น้ำทิพย์บ่นอย่างหัวเสียพลางเหยียบคันเร่งและหมุนพวงมาลับเพื่อหนีให้พ้น เสียงหัวเราะของเลวิอาธานดังขึ้นอีกครั้ง แถมคราวนี้มันยังจ้องตรงเป๋งมาที่เทวดา

 

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอกราฟาเอล”

 

“ก็ลองดู” เทวดาหนุ่มพูดและเขม้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาวาววับ เลวิอาธานเข้าใจว่าราฟาเอลทำได้เพียงวางท่าขู่จึงไม่รู้ว่ามีเพลิงกลุ่มใหญ่ลุกพรึ่บขึ้นทางด้านหลัง กว่าจะรู้ก็สายเกินจะหนีทัน เจ้าปิศาจร้ายส่งเสียงร้องโหยหวนและดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกไฟสวรรค์แผดเผาจนเกรียมไปครึ่งตัว

 

“ราฟาเอล มันตะโกนก้องด้วยความแค้นและชูมือข้างหนึ่งขึ้นหมายระเบิดรถทั้งคันให้แหลกเป็นผง แต่การกระทำต้องหยุดลงเมื่อมีหมอกสีดำกลุ่มใหญ่เคลื่อนมาขวาง ใบหน้าของเลวิอาธานเผือดลงด้วยความตระหนกเพราะรู้ดีว่ากลุ่มควันสีดำนี้คือสัญลักษณ์การปรากฏตัวของลูซิเฟอร์ ปิศาจร้ายยุติการโจมตีราฟาเอลและจ้องหมอกที่กำลังม้วนตัวด้วยดวงตาเหลือกลาน เพราะมันแสดงถึงอารมณ์อันขุ่นมัวของจอมมาร สิ่งที่สร้างความสะพรึงต่อเขามากที่สุดคือเสียงคำรามดังกึกก้องราวฟ้าผ่า มันทำให้เลวิอาธานต้องระย่อด้วยความหวาดกลัว  

 

“เลวิอาธาน” เสียงทรงอำนาจก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า “บอกหน่อยสิว่าเจ้ากำลังทำอะไร”

 

บริวารตัวเอ้รีบค้อมตัวลงต่ำพร้อมกับลนลานอธิบาย

 

“ข้ากำลังกำจัดศัตรูตัวร้ายของท่าน”

 

เสียงฮึ่มดังกลับมาด้วยความโกรธ

 

“ลืมคำสั่งของข้าไปแล้วหรือ”

 

เลวิอาธานกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ก่อนจะตอบเสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ

 

“ท่านสั่งห้ามพวกเราแตะต้องราฟาเอล”

 

สายอสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงไปบนร่างภายใต้ผ้าคลุม เลวิอาธานร่วงหล่นลงจากฟ้าลงไปกระแทกกับพื้นห่างจากรถของน้ำทิพย์ไปเล็กน้อย ความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หญิงสาวตัดสินใจหักหลบและชะลอความเร็วลงจนหยุด เธอมองซากดำไหม้เกรียมของปิศาจร้ายด้วยความฉงนและหันไปมองเทวดาหนุ่มเพื่อจะถามแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาของเขากำลังจ้องตรงไปข้างหน้าเขม็ง ความสงสัยทำให้เธอเลื่อนสายตามองตามและนั่งตกตะลึงตัวแข็งเมื่อเห็นจ้าวแห่งความมืดกำลังยืนอย่างสง่าอยู่หน้ารถของเธอ

 

“ลูซิเฟอร์

 

จอมปิศาจหันมาส่งรอยยิ้มน่าขนลุกให้น้ำทิพย์ ก่อนจะเบนหน้าไปยังเทวดาหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเธอ

 

“สวัสดีราฟาเอล ดีใจที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง” เขาไล่สายตาสำรวจความเสียหายบนรถและก้มศีรษะลงน้อยๆ “โปรดอภัยกับความไร้มารยาทของเลวิอาธาน ข้าจะนำเขาไปอบรมใหม่ในนรก”

 

จอมปิศาจสะบัดมือ เชือกพุ่งออกไปมัดร่างดำเป็นตอตะโกของเลวิอาธานลากเขาจมหายลงไปในธรณี เมื่อกำจัดลูกน้องแล้วลูซิเฟอร์จึงหันกลับมาที่คนทั้งสองอีกครั้งพร้อมวาดมือไปข้างหน้า รอยบุบสลายบนตัวรถค่อยๆกลับคืนสภาพสมบูรณ์ดังเดิม ราฟาเอลมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

 

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ลูซิเฟอร์”

 

จอมปิศาจส่ายหน้าพร้อมกับจุ๊ปากเบาๆ

 

“น่าน้อยใจจังที่เจ้าพูดแบบนี้ อุตส่าห์หวังดีซ่อมรถให้” คำพูดที่หลุดจากปากเต็มไปด้วยความนุ่มนวลขัดกับดวงตาสีเขียวปีกแมลงทับที่กำลังทอประกายวาว

 

“ความหวังดีของเจ้าเหมือนดาบอาบยาพิษ” ราฟาเอลพูดเสียงกระด้าง อีกฝ่ายยิ้มมุมปากน้อยๆ

 

“ในยุคนี้ไม่มีใครเขาใช้ดาบกันแล้วราฟาเอล” รอยยิ้มเลือนหายไป “ส่วนการวางยายังคงเป็นสิ่งที่ใช้ได้ผล ยิ่งได้ผสมกับไอมรณะจากนรกด้วยแล้วยิ่งเพิ่มอานุภาพในการทำลายมากเป็นทวีคูณ”

 

จอมปิศาจจ้องเทวดาเขม็ง

 

“ข้ารู้ว่าพลังของเจ้ากลับคืนมาแล้ว ลองใช้อำนาจของเทวดาช่วยมนุษย์พวกนี้ดู” เขากลอกตาขึ้นมองท้องฟ้า “ถ้าเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงเบื้องบน คงรู้ดีใช่ไหมว่าพวกผู้ยิ่งใหญ่จะจัดการกับเมืองบาปยังไง”

 

จบประโยค ร่างของลูซิเฟอร์จางหายไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ราฟาเอลนั่งกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ น้ำทิพย์ซึ่งยังสงสัยในคำพูดประโยคสุดท้ายจึงหันไปถาม

 

“ผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาพูดหมายถึงพวกเทวดาใช่ไหม แล้วที่ว่าจัดการกับเมืองคนบาปคืออะไร” เธอมองหน้าเทวดาหนุ่มอย่างรอคำตอบ เมื่อเห็นเขายังคงนิ่งหญิงสาวจึงถามย้ำอีกครั้ง “ได้ยินที่ฉันถามไหมราฟาเอล”

 

“ได้ยิน” ราฟาเอลอรับคำสั้นๆแต่ยังคงไม่ให้คำตอบ น้ำทิพย์จึงดับเครื่องยนต์และจ้องหน้าเขาเขม็ง

 

“คุณกำลังปิดบังอะไรอยู่ใช่ไหม”

 

“ผมไม่ได้”

 

“อย่ามาโกหก” หญิงสาวพูดเสียงเข้มและใช้กุญแจรถชี้หน้าอีกฝ่าย “คุณเป็นเทวดา และเทวดาจะต้องพูดแต่ความจริง เพราะฉะนั้นบอกมา

 

น้ำเสียงเข้มเชิงบังคับ เทวดาหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเบือนสายตามองออกไปนอกรถและอยู่ในท่านั้นอยู่อึดใจจึงหันกลับมาที่น้ำทิพย์อีกครั้ง

 

“ถ้ามิคาเอลจับได้ว่าที่นี่ถูกปกคลุมด้วยพลังความมืดของลูซิเฟอร์ เขาจะนำกองทัพลงมาทำลายทันที”

 

 

*/*/*/*/*/*

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 07 มิถุนายน 2556
Last Update : 7 มิถุนายน 2556 13:39:53 น.
Counter : 265 Pageviews.

0 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 11 หมอกมรณะ 2

เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือปลุกน้ำทิพย์ให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุข หญิงสาวบ่นพึมพำออกมาสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแต่ความง่วงงุนทำให้เธอทิ้งตัวกลับลงไปนอนอีกครั้งแต่ต้องสะดุ้งเบิกตาโพลงและลุกพรวดขึ้นเมื่อนึกได้ว่าวันนี้มีชั่วโมงเรียนตั้งแต่เช้า

 

“กี่โมงแล้วเนี่ย”

 

หญิงสาวถามกับตัวเองพลางหันไปมองนาฬิกาและกระเด้งออกจากเตียงแทบจะทันทีเมื่อพบว่ามันเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ความกลัวว่าจะเข้าเรียนสายเธอจึงอาบน้ำแต่งตัวอย่างเร่งรีบ หลังจากแต่งแต้มเรียวปากให้เป็นสีชมพูหวานแล้วน้ำทิพย์จึงคว้ากระเป๋าถือก้าวออกจากห้อง แต่เมื่อลงมายังชั้นล่างหญิงสาวต้องแปลกใจเมื่อเห็นราฟาเอลกำลังยืนจ้องท้องฟ้าผ่านหน้าต่างที่ถูกม่านปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลกับท่าทางระแวดระวังมากกว่าทุกครั้งทำให้เธอบังเกิดความสงสัยจนต้องเข้าไปถาม

 

“มีอะไรเหรอ”

 

เทวดาหนุ่มหันมามองหน้าเธอแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะตวัดสายตามองกลับไปยังด้านนอกอีกครั้งแทนคำตอบ เมื่อน้ำทิพย์มองตามก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อพบว่าท้องฟ้ายามเช้าที่ควรแจ่มใสกลับมืดครึ้มไปด้วยเมฆหมอกสีเทา ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือเธอเห็นเงาเลือนลางของปิศาจกำลังบินฉวัดเฉวียนไปมา

 

“เขาลงมือแล้ว” ราฟาเอลพูดเสียงเครียด ไม่ต้องบอกหญิงสาวก็รู้ว่า ‘เขา’ ที่เทวดาหนุ่มพูดถึงก็คือลูซิเฟอร์

 

“เราควรทำยังไงกันดี” น้ำทิพย์ถามด้วยความหวาดหวั่นเพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แม้จะเป็นอำนาจเพียงน้อยนิดแต่ก็สามารถทำให้นักศึกษาแทบทุกคนตกอยู่ในมนตร์สะกดอันน่ากลัว ราฟาเอลมองกลุ่มหมอกที่กำลังม้วนตัวหมุนเป็นวงราวกับมีชีวิตด้วยสีหน้าหนักใจ

 

“พลังของผมในตอนนี้ปกป้องคุณได้เพียงคนเดียวเท่านั้น” เขาหันกลับมายังน้ำทิพย์ “เพื่อความปลอดภัยวันนี้คุณไม่ควรออกจากบ้าน”

 

น้ำทิพย์ผงกศีรษะรับอย่างว่าง่ายแต่พอนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนๆที่ไม่รู้เรื่องจะตกอยู่ในอันตรายเธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือติดต่อคนทั้งสาม แต่เหมือนพลังมืดของลูซิเฟอร์จะบดบังสัญญาณได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้การสื่อสารสมัยใหม่ ไม่ว่าจะกดเรียกกี่ครั้งก็ไม่มีใครรับสาย หลังจากเพียรพยายามอยู่พักใหญ่ในที่สุดหญิงสาวจึงตัดสินใจเก็บมือถือและมองหน้าราฟาเอล

 

“ฉันต้องไปมหาวิทยาลัย”

 

“ไม่ได้” เทวดาหนุ่มห้ามและลดน้ำเสียงลงเมื่อเห็นสีหน้าของน้ำทิพย์ “มันอันตรายเกินไป อย่าลืมสิว่าคุณคือเป้าหมายของลูซิเฟอร์”

 

“ฉันรู้ แต่ฉันเป็นห่วงเพื่อน” น้ำทิพย์พูดพลางจับแขนของราฟาเอลเอาไว้พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน “ถ้าเป็นห่วงคุณจะให้ขนนกหรือพลังป้องกันอย่างเมื่อวานก็ได้”

 

เธอบีบแขนของอีกฝ่ายแน่นขึ้น

 

“ให้ฉันไปเถอะนะราฟาเอล”    

 

ความเป็นห่วงทำให้เขาอยากจะปฏิเสธแต่พอเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของเธอแล้วเทวดาหนุ่มต้องถอนใจค่อนข้างยาวก่อนจะพูด

 

“ก็ได้ แต่ต้องให้ผมไปด้วย”

 

น้ำทิพย์มีสีหน้างงงัน เพราะเท่าที่ผ่านมาไม่ว่าเธอจะพยายามชักชวนยังไงเขาก็ไม่ยอมออกจากบ้าน แม้แต่วันที่ไปเดินห้างก็ต้องหว่านล้อมสารพัดกว่าจะลากเขาออกไปได้ การที่เขาขอตามไปด้วยแสดงว่าสถานการณ์ภายในมหาวิทยาลัยร้ายแรงจนไม่น่าไว้ใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดถามไม่ได้

 

            “แล้วจะไม่เป็นไรเหรอ”

 

            “วันก่อนคุณชวนผมออกไปข้างนอก ยังไม่กังวลถึงขนาดนี้”

 

            “ตอนนั้นมันยังไม่มีเรื่องอะไรนี่นา” น้ำทิพย์เถียงอ่อยๆ ราฟาเอลยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางแตะพวงแก้มนวลของหญิงสาว

 

            “ไม่ต้องกลัว ถึงพลังในตอนนี้ของผมยังไม่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อ่อนแอจนสู้ใครไม่ได้”

 

            คำปลอบของเทวดาหนุ่มทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง กระนั้นเธอก็ยังถามเหมือนต้องการความมั่นใจ

 

            “คุณจะปกป้องฉันใช่ไหม”

 

            “ด้วยชีวิตของผม”

 

            คำตอบของราฟาเอลทำให้หัวใจของหญิงสาวพองโตคับอก ความเต็มตื้นทำให้เธออยากจะโผเข้าไปกอดแต่ความละอายยับยั้งเอาไว้ได้ทัน น้ำทิพย์จึงทำเพียงเอนตัวเข้าไปหาและซบหน้าผากกับแผ่นอกอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเบาๆ

 

            “ขอบคุณมากราฟาเอล”

 

            อีกครั้งที่เทวดาหนุ่มใจเต้นเมื่อหญิงสาวเข้ามาใกล้ มือข้างที่สัมผัสใบหน้าเมื่อครู่ตอนนี้กลับเงอะงะจนทำอะไรไม่ถูก หลังจากขยับเหมือนไม่รู้จะทำยังไงอยู่สองสามครั้งสุดท้ายเขาจึงตัดสินใจวางมันบนไหล่ของเธอ ทั้งสองยืนอิงแอบกันในท่านี้ชั่วอึดใจน้ำทิพย์จึงผละถอยออกห่างพร้อมกับพูด

 

            “สายมากแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”

 

            เธอสำรวจประตูหน้าต่างทุกบานรวมทั้งสวิทช์ไฟในบ้านทั้งหมดว่าปิดเรียบร้อยดีแล้วจึงคว้ากระเป๋าเดินไปที่รถ เมื่อขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วทั้งคู่จึงมุ่งหน้าไปตรงไปยังมหาวิทยาลัย

 

             การเดินทางในวันนี้แตกต่างไปจากทุกครั้ง ถนนที่เคยคับคั่งไปด้วยยวดยานกลับว่างเปล่าไร้ผู้คนสัญจร ไม่มีแม้กระทั่งรถจักรยานสวนมาสักคัน เหมือนผู้คนในแถบนี้หายสาบสูญไปหมด ห้างสรรพสินค้าที่มักจะมีผู้คนมายืนออก่อนเปิดทำการก็เงียบเหงาจนถึงขั้นวังเวง น้ำทิพย์มองสองข้างทางที่ปราศจากเงาของสิ่งมีชีวิตอย่างหวาดกลัว

 

            “ทำไมมันเงียบแบบนี้ ผู้คนหายไปไหนกันหมด”

 

            “อำนาจของลูซิเฟอร์ตรึงพวกเขาให้อยู่ในบ้าน”

 

            “งั้นที่มหาวิทยาลัยก็ไม่น่าจะมีใคร” น้ำทิพย์พูดด้วย้นำเสียงเชิงโล่งอกแต่ต้องตกอยู่ในความกังวลอีกครั้งเมื่อเทวดาหนุ่มตอบ

 

            “ผมกลัวว่าเขาจะดึงพวกนักศึกษาไว้ที่นั่นตั้งแต่เมื่อวาน ถ้าเป็นแผน เขาคงจะปล่อยให้เพื่อนคุณเดินทางไปที่มหาวิทยาลัย”

 

            “เขาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร สามคนนั่นไม่รู้จักลูซิเฟอร์สักหน่อย” หญิงสาวถามพลางชะลอความเร็วของรถเพราะเริ่มเข้าเขตสถาบันการศึกษา ราฟาเอลส่ายหน้าน้อยๆ

 

            “แต่พวกเขารู้จักคุณ อีกอย่างอำนาจมืดในตอนนี้เกิดจากจิตใจชั่วร้ายของมนุษย์ เขาอยากครอบครองตัวคุณจึงใช้เพื่อนของคุณเป็นตัวล่อ”

 

            “กฤตชัย” น้ำทิพย์พึมพำและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหมายเลขของเพื่อนรักทั้งสามคนอีกครั้ง ซึ่งก็เหมือนกับตอนแรกคือไม่มีสัญญาณตอบรับจากใครเลยสักคน

 

            “ติดต่อไม่ได้” หญิงสาวบ่นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับโยนมือถือไปเบาะหลัง ราฟาเอลมองประตูมหาวิทยาลัยที่เคลื่อนใกล้เข้ามานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูด

 

            “ใจเย็นๆ พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากคุณเท่าไหร่”

 

            “คุณรู้ได้ยังไง” น้ำทิพย์ถามและหยุดพูดแทบจะทันทีเมื่อนึกได้ว่าเขาเป็นเทวดาสามารถมองหาคนที่ต้องการได้ไม่ยากนัก ซึ่งก็เป็นไปตามที่ราฟาเอลพูด รถของเธอวิ่งเข้าไปจนถึงคณะ ก็พบกับรถของจันทรนิภาจอดรออยู่ก่อนแล้ว ความเป็นห่วงทำให้น้ำทิพย์รีบบังคับรถไปเทียบข้างและเข้าไปสำรวจรถของเพื่อนทันที

 

            “กุ้ง เสือ” เธอร้องเรียกและยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองออกจากรถหน้าตาตื่น

 

            “ทิพย์” เสือเรียกเพื่อนเสียงสั่น “เกิดอะไรขึ้น ทำไมที่นี่ถึงน่ากลัวอย่างนี้”

 

            พูดพลางหันมองไปรอบตัว ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยในเวลานี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทา สัมผัสหดหู่ระคนกลิ่นเหม็นสาบสางตลบอบอวลชวนคลื่นเหียนจนคนทั้งสามต้องสำลักไอ

 

            “หมอกพิษน่ะ” น้ำทิพย์พูดพลางหันไปมองราฟาเอลซึ่งออกมายืนนอกรถและกวาดตามองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง

 

            “พวกเขากำลังมา” เทวดาหนุ่มพูดพลางหันไปมองน้ำทิพย์กับเพื่อนทั้งสองคน ยังไม่ทันได้ถามจันทรนิภาซึ่งมีอาการตระหนกมากกว่าเพื่อนจึงระล่ำระลักบอก

 

            “เมื่อกี้พวกเราเจอนายเต่า แต่เขาไม่เหมือนเดิม” เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลพรากใบหน้า น้ำทิพย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

 

            “เขาไม่เหมือนเดิมยังไง”

 

            จันทรนิภาส่ายหน้า แรงสะอื้นทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก พิณพรจึงเป็นฝ่ายตอบแทน

 

            “เขาเดินตาลอยตัวแข็งทื่อ พูดจาไม่รู้เรื่องเหมือนพวกนักศึกษาเมื่อวาน” เธอถอนใจออกมาหนักๆ “เพื่อนของเรากลายเป็นซอมบี้เต่าไปแล้ว”

 

            น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าจนน้ำทิพย์ใจหาย เธอหันไปทางราฟาเอลอีกครั้ง เขาส่ายหน้าช้าๆ

 

            “เขาโดนอำนาจของลูซิเฟอร์ครอบงำ”

 

            คำพูดของเขาทำให้สองสาวหูผึ่ง พิณพรถามเสียงรัว

 

            “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”

 

            “ลูซิเฟอร์” น้ำทิพย์เป็นคนตอบพลางมองไปรอบตัว “หมอกที่เห็นอยู่นี่เกิดจากอำนาจของเขากับยาเสพติดของกฤตชัย”

 

            “เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันน้ำทิพย์ ลูซิเฟอร์มีจริงที่ไหน” จันทรนิภาถาม แต่เพื่อนของเธอกลับสั่นศีรษะ

 

            “ลูซิเฟอร์มีจริง ฉันเห็นมาแล้วกับตา”

 

            “เหลวไหล”

 

            “งั้นบอกหน่อยว่าอะไรทำให้เต่ามีอาการแบบนั้น” น้ำทิพย์พยายามใจเย็นย้อนถาม จันทรนิภายืนอึ้งอย่างจนปัญญา พิณพรซึ่งใช้ความคิดระหว่างฟังจึงพูดขึ้นมาบ้าง

 

            “ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจและไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่ขอถามหน่อยว่าถ้าทุกอย่างเกิดจากอำนาจของลูซิเฟอร์ ทำไมเราสองคนถึงไม่เป็นอะไร”

 

            คราวนี้น้ำทิพย์เป็นฝ่ายเงียบเพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อหาคำตอบไม่ได้หญิงสาวจึงหันไปทางราฟาเอล เขาทำหน้าหนักใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมอธิบายแต่โดยดี

 

            “เพราะคุณสองคนเคยสัมผัสตัวผม จึงได้รับพลังคุ้มครองมาโดยบังเอิญ”

 

            พิณพรขมวดคิ้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เธอและจันทรนิภาพบราฟาเอลครั้งแรกในห้างสรรพสินค้า พวกเธอแย่งกันจับมือเขาแถมยังพยายามแต๊ะอั๋งระหว่างรับประทานอาหาร มีเพียงจิรายุสเท่านั้นที่ไม่ถูกเนื้อต้องตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

 

            “แต่ทำไมพอโดนตัวคุณแล้วเราถึงไม่เป็นอะไร” เธอตั้งคำถามและจ้องหน้าเทวดาหนุ่มอย่างรอคำตอบ ราฟาเอลขมวดคิ้วเหมือนไม่อยากบอกแต่พอเห็นสีหน้าเชิงอ้อนวอนของน้ำทิพย์แล้วเขาจึงระบายลมหายใจออกมาเบาๆก่อนพูด

 

            “เพราะผมเป็นเทวดา”

 

            “อะไรนะ ทั้งพิณพรและจันทรนิภาหลุดปากร้องออกมาพร้อมกัน “นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเล่นนะ ราฟาเอล”

 

            “ไม่ได้พูดเล่น มันเป็นความจริง”

 

            น้ำทิพย์เสริมด้วยใบหน้าจริงจังแต่เพื่อนทั้งสองกลับสั่นศีรษะ

 

            “อย่าเพ้อเจ้อน่ะทิพย์ เราก็รู้ว่าเทวดา นางฟ้าเป็นสิ่งที่คนเราสร้างขึ้น มันไม่มีทางเป็นความจริงไปได้”

 

            น้ำทิพย์ขยับเตรียมอธิบายแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงครางฮือดังขึ้นรอบตัว

 

            “พวกเขามากันแล้ว” ราฟาเอลพูดขณะมองตรงไปยังอาคารเรียน เงาตะคุ่มของคนกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ น้ำทิพย์และเพื่อนทั้งสองเบียดกันจนเป็นก้อนกลมขณะมองนักศึกษาผีดิบที่ก้าวเขามาหาด้วยความหวาดกลัว เทวดาหนุ่มหันมาทางหญิงสาวทั้งสาม

 

            “มาอยู่หลังผมเดี๋ยวนี้ ทิพย์”

 

            หญิงสาวลากเพื่อนทั้งสองไปหาเขาทันที เมื่อแน่ใจว่าทุกคนอยู่ในอาณาเขตคุ้มครองแล้วราฟาเอลจึงกางแขนทั้งสองข้างออก ทั้งพิณพรและจันทรนิภามองอย่างงุนงงก่อนจะเปลี่ยนยืนตกตะลึงอ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่เห็นเป็นความมหัศจรรย์ที่พวกเธอไม่เคยนึกมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้เจอ

 

ปีกสีขาวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังของราฟาเอล มันโบกสะบัดสองสามครั้งก่อนจะแผ่กางออกปล่อยแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าบาดตา มันไม่มีผลเลยสักนิดกับหญิงสาวทั้งสามคนแต่กับพวกนักศึกษาผีดิบแล้วตรงกันข้าม ทันทีที่เห็นรัศมีเทวดา ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นป้องหน้าพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนและล้มลงดิ้นทุรนทุราย เมื่อเห็นผู้รุกรานล้มระเนระนาดแล้วราฟาเอลจึงหันไปทางน้ำทิพย์

 

“รีบออกจากที่นี่ เร็ว

 

หญิงสาวพยักหน้าและรีบทำตาม แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองยังยืนตัวสั่นงันงก ความเป็นห่วงเธอจึงร้องเตือน

 

“อย่ามัวแต่ตกใจ รีบหนีเร็ว กุ้ง เสือ”

 

“ต...แต่ถ้าพวกนั้นตามเรามาล่ะ” จันทรนิภาถามเสียงสั่น ราฟาเอลวางมือลงบนไหล่ของเธอและบีบเบาๆ

 

“คุณสองคนได้รับพลังป้องกันของผมไปแล้ว คนพวกนั้นรวมถึงปิศาจจะไม่กล้าเข้าใกล้ รีบออกจากที่นี่แล้วหาที่ซ่อนตัวซะ จะเป็นที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ที่พวกคุณคิดว่าปลอดภัย”

 

คำพูดของราฟาเอลสร้างกำลังใจได้อย่างน่าประหลาด ความตระหนก หวาดกลัวถูกปัดเป่าจนเลือนหายไปหมด จันทรนิภารู้สึกเหมือนมีคลื่นพลังอันอบอุ่นไหลออกจากมือของคนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นเทวดา มันซึมซับผ่านไหล่เข้าไปในร่างและวิ่งพล่านทั่วกาย

 

“ไปได้แล้ว” เทวดาหนุ่มพูดเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดีขึ้น จันทรนิภาผงกศีรษะและมุดเข้าไปนั่งในรถอย่างว่าง่าย พิณพรเห็นดังนั้นจึงทำตาม จากนั้นรถของทั้งคู่ก็พุ่งทะยานออกจากมหาวิทยาลัย

 

เมื่อแน่ใจว่าเพื่อนทั้งสองรอดพ้นจากอันตรายแล้วน้ำทิพย์จึงประจำที่คนขับ ราฟาเอลใช้

 

พลังขับไล่ฝูงนักศึกษาผีดิบอีกครั้งก่อนจะเข้าไปนั่งเบาะด้านข้าง รถยนต์ของหญิงสาวจึงแล่นออกจากที่นั่น ด้วยความเร็วที่มากกว่าทุกครั้งน้ำทิพย์จึงมั่นใจว่าเธอคงถึงบ้านในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะถนนที่เคยโล่งตอนขามาเวลานี้กลับหนาแน่นไปด้วยยวดยาน น้ำทิพย์หมุนพวงมาลัยบังคับรถให้หลบสิบล้อที่วิ่งข้ามเลนเข้ามาหาและหักหลบจักรยานยนต์พ่วงข้างที่วิ่งตรงดิ่งเข้ามาหารถของเธอ

 

            “เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนทำเหมือนอยากจะพุ่งเข้ามาชนรถของเรา”

 




Create Date : 07 มิถุนายน 2556
Last Update : 7 มิถุนายน 2556 13:34:13 น.
Counter : 298 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog