เทวทูตที่รัก บทที่ 10 จุมพิตเทวทูต 2
รถยนต์คันงามวิ่งเข้าไปจอดในลานใกล้ตึกเรียน น้ำทิพย์ร้องเพลงอย่างมีความสุขขณะหยิบตำราและกระเป๋าใส่โน้ตบุค ระหว่างทางเธอพบกับอรอนงค์ นักศึกษารุ่นน้องร่วมชมรมเทควันโด หญิงสาวจึงเอ่ยปากทัก

“ไงจ๊ะเนย วันนี้มีซ้อมหรือเปล่าคะ”

น้ำทิพย์ชะงักคำพูดค้างเมื่ออีกฝ่ายหันมามองตาขวาง

“มี” อรอนงค์ตอบสั้นๆและทำท่าจะเดินจากไป น้ำทิพย์รีบฉวยแขนเธอไว้พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

อรอนงค์มองหน้ารุ่นพี่พร้อมกับดึงแขนกลับ

“เนยไม่ได้เป็นอะไร ได้เวลาเรียนแล้วต้องขอตัวก่อน”

รุ่นน้องตอบด้วยท่าทางเฉยเมยผิดไปจากทุกครั้งจากนั้นจึงเดินจากไป น้ำทิพย์มองตามด้วยความสงสัยแต่ไม่ได้ติดใจอะไรมากนักเพราะคิดว่าวันนี้รุ่นน้องตัวแสบคงจะกังวลเรื่องการแข่งขันถึงได้แสดงอารมณ์หงุดหงิดใส่เธอ แต่พอเดินต่อไปได้อีกหน่อยหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปรกติ นักศึกษาเกือบทุกคนที่เคยพูดจาเล่นหัวกันอย่างร่าเริงวันนี้กลับดูเฉยเมยไม่สนใจต่อสิ่งใด บางคนเดินแข็งทื่อเหมือนไม่มีชีวิตดวงตากระด้างมองตรงไปข้างหน้า พอเจอคนรู้จักและเอ่ยปากทักทายก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกับอรอนงค์ จะว่าทุกคนเครียดเพราะการสอบที่ใกล้เข้ามาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาต่อให้อยู่ในช่วงสอบนักศึกษาส่วนใหญ่ก็ยังสดชื่นแจ่มใสไร้ความกังวล

แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆทุกคนจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

น้ำทิพย์ตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัยขณะเดินเข้าห้อง ตอนแรกเธอกังวลว่าเพื่อนร่วมชั้นจะเป็นแบบเดียวกับนักศึกษาที่เจอด้านล่างแต่กลับผิดคาดเพราะเพียงก้าวแรกที่เดินเข้าประตูเสียงจันทรนิภาก็ร้องเรียกอย่างร่าเริง

“ทางนี้ทิพย์”

ไม่เรียกเปล่ามือยังโบกไหวๆเหมือนกลัวอีกฝ่ายมองไม่เห็น น้ำทิพย์จึงเดินตรงไปนั่งและชมวดคิ้วเมื่อเห็นจิรายุสนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบนคอมพิวเตอร์อย่างตั้งอกตั้งใจ

“ทำอะไรน่ะเต่า”

ชายหนุ่มรีบเอามือบังหน้าจอพร้อมกับพูดพึมพำพอให้ได้ยิน

“ความลับ ถ้าอยากรู้ก็ต้องเอาชีวิตมาแลก”

“งั้นฉันเอาชีวิตนายก่อนเลยก็แล้วกัน” จันททรนิภาพูดด้วยความหมั่นไส้พลางเงื้อปากกาขึ้น จิรายุสตาเหลือกร้องลั่น

“กลัวแล้วครับ อย่าทำอะไรผมเลย” เขาทำตาละห้อยดูน่าสงสาร เพื่อนสาวแยกเขี้ยวและวางปากกาในมือลงก่อนจะหันไปให้คำตอบกับน้ำทิพย์

“เขากำลังออกแบบเทพบุตรกาเบรียลกับมิคาเอล”

“โธ่นึกว่าเรื่องสำคัญอะไร ถ้าเป็นเทวทูตสององค์นี่ฉันก็ออกแบบมาแล้วเหมือนกัน” น้ำทิพย์พูดพลางส่งสมุดร่างภาพให้เพื่อน ทั้งสองเปิดดูแล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นลายเส้นมีเพียงแค่โครงร่างหยาบๆกับเส้นโค้งด้านหลังที่พอจะดูออกว่าเป็นปีก ส่วนอื่นนอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรเลย

“ทำไมถึงมีแค่นี้ละทิพย์” จันทรนิภาถามด้วยความผิดหวังเพราะเธอคาดว่าจะได้เห็นเทวดาหน้าตาหล่อล่ำตามแบบภาพของราฟาเอลและลูซิเฟอร์ที่เพื่อนสาววาดออกมาเป็นชุดแรก น้ำทิพย์ย่นจมูกน้อยๆ

“ฉันยังนึกไม่ออกว่าพวกเขาควรมีหน้าตาแบบไหน ใส่ชุดเกราะและถืออาวุธอะไร”

“ไม่เห็นจะยากเลย มิคาเอลเป็นจอมทัพนักรบ หน้าตาก็ต้องดุเหมือนคนเถื่อนแดนทมิฬ ชุดเกราะก็ให้ดูหนาๆหนักๆส่วนอาวุธต้องเป็นดาบอยู่แล้ว”

จิรายุสแนะนำอย่างคล่องแคล่วแต่น้ำทิพย์กลับส่ายหน้า

“ถึงจะเป็นนักรบแต่มิคาเอลเป็นถึงอัครเทวทูต จะให้เขามีหน้าตาอย่างที่นายบอกได้ยังไง”

“แล้วกาเบรียลล่ะ” ถึงจะพอเดาคำตอบจากสุภาพบุรุษผู้มีจินตนาการแหวกแนวสุดกู่อย่างจิรายุสออกแต่จันทรนิภาก็อดถามไม่ได้ ชายหนุ่มยิ้มกว้าง

“เท่าที่ศึกษามา กาเบรียลเป็นสัญลักษณ์ของผู้ส่งข่าว ดังนั้นเขาจะต้องเป็นเทวดาผอมสูงนุ่งผ้าโปร่งๆปลิวไปตามลม มือถือไม้ตะพดแทนดาบ”

“ทำไมต้องไม้ตะพด” จันทรนิภาถามด้วยความสงสัย จิรายุสขยับถอยออกมาจนแน่ใจว่าปลอดภัยจากปากกามหาภัยแล้วจึงตอบ

“เหมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ต้องมีเครื่องป้องกันสุนัขเวลาไปส่งจดหมายไงครับ”

ปากกาในมือพุ่งเข้าใปในปากของจิรายุสอย่างแม่นยำ เขารีบดึงมันออกพร้อมกับเบ้หน้า

“โหด”

“เขาเรียกว่าแม่นต่างหาก” จันทรนิภาเงื้อไม้บรรทัดขึ้น “ถ้าไม่เชื่อจะขว้างให้ดูอีกที”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเชื่อแล้วว่าหญิงกุ้งปาแม่น” จิรายุสยกมือขึ้นโบกในท่ายอมแพ้ข้อศอกจึงพลาดไปโดนศีรษะเพื่อนที่นั่งข้างๆโดยบังเอิญ เขาหันไปกล่าวคำขอโทษทันทีแต่ต้องหยุดคำพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่ออีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ ดวงตาจ้องกระดานหน้าชั้นเขม็งเหมือนกลัวว่ามันจะถูกขโมยหรือหายไป ไม่ใช่แค่คนนี้เท่านั้นเพื่อนในชั้นเรียนเกือบครึ่งก็ตกอยู่ในอาการแบบเดียวกัน จันทรนิภามองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ

“ฉันว่าวันนี้เพื่อนเราดูแปลกไป”

น้ำทิพย์มองเพื่อนนักศึกษาไล่ไปทีละคน เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นอะไรบางอย่างคล้ายไอหมอกสีดำลอยวนรอบตัวพวกเขา ด้วยความสงสัยหญิงสาวจึงกระซิบถามเพื่อน

“หรือจะเป็นเพราะควันพวกนั้น”

“ควันอะไร” จันทรนิภาถาม น้ำทิพย์มองหน้า

“ควันสีดำพวกนั้นไง” หญิงสาวอธิบายและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้างงงันของจันทรนิภา “เธอไม่เห็นงั้นเหรอ”

เมื่อเห็นเพื่อนส่ายหน้าน้ำทิพย์จึงรู้ว่ามีเพียงเธอเท่านั้นที่เห็นสิ่งผิดปรกติเหล่านี้ เพื่อตัดคำถามที่จะมีตามมาหญิงสาวจึงแสร้งเปรยว่าสงสัยจะตาฝาดจากนั้นจึงทำทีเป็นหยิบตำราการเรียนขึ้นมากาง ถึงจะทำเป็นไม่สนใจแต่น้ำทิพย์ยังคงชำเลืองตามองเพื่อที่มีอาการผิดปรกติทุกคนและเม้มปากน้อยๆเมื่อยังคงเห็นไอสีดำหมุนวนอย่างเชื่องช้าอยู่รอบๆตัวของพวกเขา ดูเหมือนบางคนจะรู้สึกว่าถูกจับจ้อง เพราะมีนักศึกษาคนหนึ่งหมุนศีรษะหันมามอง น้ำทิพย์จึงรีบเบนสายตากลับมาที่หนังสือทันที สมองใคร่ครวญหาเหตุผลว่าทำไมจึงมีแต่เธอเท่านั้นที่เห็นหมอกสีดำพวกนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยเห็นหรือสัมผัสสิ่งลี้ลับจำพวกภูตผีหรือวิญญาณอะไรเลยสักครั้ง หลังจากพยายามคิดทบทวนหาเหตุผลอยู่ชั่วอึดใจหญิงสาวจึงนึกขึ้นได้ว่าอาจจะเป็นผลลัพธ์จากพลังที่ได้รับจากราฟาเอล

ถ้าเธอเห็นสิ่งเหล่านี้ได้เพราะพลังของเทวดา หมอกสีดำก็น่าจะมาจากอำนาจของลูซิเฟอร์

ชื่อของจอมปิศาจทำให้น้ำทิพย์ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เธอรีบสะบัดหน้าเพื่อไล่ใบหน้าหล่อเหลาแต่เต็มไปด้วยความอำมหิตออกไปออกไปจากความคิดแต่การกระทำเช่นนั้นกลับเหมือนเป็นการตอกย้ำเพราะยิ่งพยายามลืมมากเท่าไหร่ภาพของลูซิเฟอร์ก็ยิ่งแจ่มชัดในความทรงจำ น้ำทิพย์รู้สึกเหมือนกลับเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดน่าขนลุกนั่นอีกครั้ง ร่างกายเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หัวใจที่เคยเต้นถี่ระรัวกลับชะลอจังหวะช้าลงจนเหมือนกับกบที่กำลังกระโดดอยู่ในหม้อยางมะตอย ลมหายใจติดขัดจนเธอต้องอ้าปากหอบหายใจและคงหมดสติไปกับความหวาดกลัวหากจิรายุสไม่เรียก

“ทิพย์”

เหมือนคนจมน้ำที่สามารถโผตัวขึ้นสูดลมหายใจ น้ำทิพย์หลุดจากความทรมานทั้งหมดในทันที เธอมองไปรอบห้องเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้แต่นอกจากอาจารย์ที่กำลังเดินเข้ามายืนหน้าชั้นกับเพื่อนๆแล้วหญิงสาวไม่พบบุคคลที่ว่านั้นเลย

“เธอหน้าซีดมากเลยนะทิพย์ เป็นอะไรหรือเปล่า” จันทรนิภาถามด้วยความเป็นห่วง น้ำทิพย์กวาดตามองรอบห้องอีกครั้งและระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปตอบ

“ฉันไม่เป็นไร”

“แน่ใจนะ” จิรายุสซึ่งปรกติมักจะใช้คำพูดเชิงเย้าแหย่กับเพื่อนๆอยู่เสมอถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง น้ำทิพย์ส่งยิ้มให้เขา

“แน่ใจสิ”

จิรายุสขยับปากเตรียมจะซักไซ้อีกครั้งแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกขัดด้วยคำพูดจากอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าชั้น

“คุยอะไรกันอยู่”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยใช้กับนักศึกษาคนใดมาก่อน ความที่กลัวจะถูกตำหนิว่าไม่ตั้งใจเรียนจิรายุสจึงรีบแก้ตัว

“ผมไม่เข้าใจที่อาจารย์สอนไปเมื่อกี้เลยถามเพื่อนครับ”

“ผมเพิ่งเข้ามาในห้องยังไม่ได้สอนอะไรเลยสักคำ” อาจารย์ตอบเสียงต่ำ ตาจ้องจิรายุสเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “อีกอย่างถ้าไม่เข้าใจก็ควรจะถามผมซึ่งเป็นอาจารย์ แต่ถ้าคิดว่าเพื่อนของคุณเก่งจนถึงขนาดสอนแทนกันได้ก็เชิญออกจากห้องแล้วนั่งเรียนกันเอาเอง”

มือชี้ไปที่ประตูเชิงขับไล่ จิรายุสจึงกล่าวคำขอโทษและก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิดต่างจากน้ำทิพย์ซึ่งมองอาจารย์หน้าห้องอย่างนึกสงสัย เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์ท่านนี้เป็นคนใจดี มีวิธีการสอนเชิงประยุกต์คือสอดใส่วิชาการลงไปในความขี้เล่น ความสนุกสนานระหว่างการเรียนทำให้นักศึกษาทุกคนให้ความเคารพและรักเขาเป็นอย่างมาก คำพูดและท่าทางที่ผิดไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้นับเป็นเรื่องผิดปรกติ หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงมองว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากความหงุดหงิด แต่หลังจากพบกับเหตุการณ์ระทึกขวัญหลายครั้ง การที่อาจารย์กลายเป็นคนดุร้ายน่ากลัวเช่นนี้มีเพียงเหตุผลเดียว

พลังมืด



Create Date : 09 พฤษภาคม 2556
Last Update : 9 พฤษภาคม 2556 15:45:24 น.
Counter : 322 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog