เทวทูตที่รัก บทที่ 9 สัมผัสทิพย์

บทที่ 9 สัมผัสทิพย์

 

 

            เสียงกุกกักที่ดังจากภายนอกทำให้ราฟาเอลรู้ว่าน้ำทิพย์ตื่นแล้วและคงกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัว เทวดาหนุ่มเดินออกจากห้องและยืนมองหญิงสาวอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกเขาคิดจะเอ่ยคำทักทายเหมือนเช่นเคยแต่เมื่อหวนนึกถึงคำตัดพ้อของหญิงสาวที่พูดไว้ตอนเย็นวาน เขาจึงหมุนตัวเพื่อเดินไปยังห้องนั่งเล่นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อน้ำทิพย์เอ่ยทัก

 

            “อรุณสวัสดิ์”

 

            ราฟาเอลหันไปมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเธอจะเป็นฝ่ายกล่าวทักทายขึ้นมาก่อนแต่เมื่อเห็นใบหน้างามปราศจากแววขึ้งโกรธเขาจึงส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยคำตอบกลับ

 

            “อรุณสวัสดิ์” พูดพลางก้าวเข้าไปหาและมองอาหารหน้าตาประหลาดที่หญิงสาวกำลังวางบนโต๊ะ “ทำอะไรอยู่เหรอ”

 

            “เล่นกีต้าร์มั้ง” น้ำทิพย์พูดและหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นเทวดาหนุ่มทำตาปริบๆ “พูดเล่นหรอกน่า เมื่อวานฉันเห็นคุณใช้พลังไปมากแถมเช้านี้อากาศค่อนข้างเย็นเลยทำข้าวต้มกุ้งให้ทาน”

 

            ปากพูดขณะที่มือวางกระปุกเกลือและพริกไทไว้กลางโต๊ะ ราฟาเอลมองชามข้าวต้มที่มีควันลอยกรุ่นพร้อมกับสูดลมหายใจ

 

            “หอมดี”

 

            “แน่ล่ะ ก็ฉันใช้ข้าวหอมมะลิชั้นหนึ่งแถมยังใส่กุ้งแชบ๊วยแบบไม่อั้นอีกด้วย รับรองว่าอร่อยไม่แพ้ภัตตาคารชั้นหนึ่งเลย”

 

            ทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่องภัตตาคารหรือส่วนประกอบอาหารที่พูดออกมาเลยสักนิด แต่ความที่อยากจะให้เขาหายโกรธกับคำพูดที่เธอเหวี่ยงใส่เมื่อเย็นวานน้ำทิพย์จึงหาอะไรพูดไปเรื่อยเปื่อยซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเพราะราฟาเอลมองชามข้าวต้มที่มีกุ้งสีแดงตัวโตลอยฟ่องอย่างสนอกสนใจ

 

            “มัวแต่มองมันจะไปอิ่มได้ยังไง” หญิงสาวพูดพลางวางช้อนไว้ข้างชามข้าวต้มที่อยู่ตรงหน้าราฟาเอลจากนั้นจึงเลื่อนเก้าอี้มานั่งและเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง

 

            “ยืนทำอะไรอยู่ ข้าวต้มต้องทานร้อนๆถึงจะอร่อย”

 

            พูดพลางตักพริกน้ำส้มใส่ชามของตัวเอง เทวดาหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งทั้งที่ยังมองการกระทำของหญิงสาวไม่วางตา เมื่อเห็นอีกฝ่ายเติมเครื่องปรุงเสร็จเขาจึงเตรียมจะทำบ้าง น้ำทิพย์รีบห้ามเมื่อเห็นเขาทำท่าจะตักพริกน้ำส้มใส่ข้าวต้ม

 

            “ไม่ต้องเติมก็ได้”

 

            “ทำไม” ราฟาเอลถามพลางมองชามของน้ำทิพย์เหมือนสงสัยว่าทำไมเขาจึงทำอย่างเธอไม่ได้ หญิงสาวยิ้ม

 

            “นี่คือพริกน้ำส้ม มีรสชาติทั้งเปรี้ยวและเผ็ดขนาดทำให้ลิ้นเทวดาของนายพองเหมือนโดนไฟลวก” น้ำทิพย์อธิบายและยิ้มอย่างขบขันเมื่อเห็นอีกฝ่ายดึงมือกลับอย่างเร็ว

 

            “คุณกินของน่ากลัวแบบนี้ได้ยังไง” เขาถามทั้งที่ตายังคงจ้องพริกชี้ฟ้าสีสวยที่ลอยฟ่องอยู่ในน้ำซึ่งดูใสบริสุทธิ์ น้ำทิพย์เลิกคิ้วขึ้น

 

            “มันเป็นความสามารถพิเศษของคนไทย” เธอพูดอย่างภาคภูมิขณะเริ่มต้นคนข้าวต้มในชามก่อนจะตักมันใส่ปาก หญิงสาวมองราฟาเอลที่ยังคงจ้องถ้วยพริกน้ำส้มอย่างไม่ไว้ใจนัก “อย่ามัวแต่นั่งเหม่อ รีบทานเร็วๆฉันมีงานต้องทำอีกมาก”

 

            เมื่อถูกเร่งเทวดาหนุ่มจึงละความสนใจจากเครื่องปรุงเจ้าปัญหาและลงมือตักข้าวต้มกินอย่างเอร็ดอร่อยจนหมด หลังจากล้างถ้วยชามเสร็จเรียบร้อยแล้วน้ำทิพย์จึงหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมและดึงอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านออกมา ราฟาเอลมองด้วยความแปลกใจ

 

            “ไม่ไปมหาวิทยาลัยหรือ”

 

            “วันนี้ไม่มีวิชาเรียน” หญิงสาวตอบพลางใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นไปตามชั้นวางของ เทวดาหนุ่มยืนมองเธออยุ่ครู่หนึ่งจึงถาม

 

            “ให้ผมช่วยไหม”

 

            น้ำทิพย์หยุดชะงักและหันมามองตาโต

 

            “พูดใหม่อีกทีสิ”

 

            “ให้ช่วยไหม”ราฟาเอลพูดประโยคเดิมพร้อมกับหยิบไม้กวาดมาถือไว้ น้ำทิพย์หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะฉวยมันออกไปและหันไปหยิบผ้ากันเปื้อนอีกผืนมาสวมให้

 

            “ใส่นี่ก่อนเสื้อผ้าจะได้ไม่เปื้อน”

 

            เธอพูดพลางผูกเชือกทางด้านหลังจากนั้นจึงหยิบผืนเล็กที่บิดน้ำจนหมาดส่งให้เทวดาหนุ่ม

 

            “ทำความสะอาดบ้านต้องเริ่มจากข้างบนลงมา” เธอชี้มือไล่ไปตามชั้นต่างๆ “ค่อยๆเช็ดไปทีละอัน เสร็จแล้วค่อยกวาดและใช้เครื่องดูดฝุ่นอีกที”

 

            ราฟาเอลพยักหน้าและเริ่มทำตามที่หญิงสาวแนะนำ น้ำทิพย์ยืนมองการทำงานที่ออกแนวเก้งก้างของเขาอย่างเอ็นดูระคนกระหยิ่มยิ้มย่อง จะไม่ให้ดีใจได้ยังไงในเมื่อเทวดาของจริงกำลังทำความสะอาดบ้านให้เธอ ขณะมองผมสีทองยาวจรดแผ่นหลังกำลังแกว่งไหวไปมาตอนเขาขยับตัวนัยน์ตาเจ้ากรรมดันเลื่อนต่ำลงและหยุดที่บั้นท้ายกระชับรัดรูปน่าสัมผัส เธอถึงกับเผลอกลืนน้ำลายขณะคิดว่าหากได้ลูบไล้สะโพกเทวดารูปงามสักครั้งคงเป็นสุขและโชคดีที่สุดในชีวิต ระหว่างที่กำลังจมดิ่งอยู่กับจินตนาการอันแสนเร่าร้อนหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งหลุดจากภวังค์จากเสียงเรียกของราฟาเอล

 

            “น้ำทิพย์” เขามองเธอด้วยความเป็นห่วงขณะเดินเข้าไปหา “เป็นอะไรไป ทำไมอยู่ๆถึงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ”

 

            พูดพลางใช้หลังมือแตะหน้าผากของเธอเบาๆ

 

            “ไม่สบายหรือเปล่า”

 

            “เปล่านี่ ทำไมถึงถามแบบนั้น”

 

            “เห็นหน้าคุณแดง” เทวดาหนุ่มตอบ “นั่งพักก่อนดีไหม”

 

            ไม่พูดเปล่าเขายังทำเหมือนจะประคองเธอไปที่เก้าอี้ น้ำทิพย์รีบถอยออกห่างทันทีพร้อมกับพูดเสียงดัง

 

            “ไม่ต้อง” เธอหยุดเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักและรีบลดน้ำเสียงลง “ฉันไม่เป็นอะไร แค่ร้อนนิดหน่อยเท่านั้น”

 

            “แน่ใจนะ” เทวดาหนุ่มถาม หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาก่อนตอบ

 

            “ฉันแน่ใจ ไปทำงานกันต่อเถอะ”

 

            เธอรีบตัดบทและเดินเลี่ยงไปหยิบบันไดเตี้ยๆมาวางหน้าชั้นวางโทรทัศน์จากนั้นจึงปีนขึ้นไปปัดฝุ่น ดวงตาชำเลืองมองราฟาเอลด้วยความกลัวว่าเขาจะอ่านความคิดของเธอเหมือนที่ผ่านมาและถอนใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันกลับไปทำงานตามเดิม แสดงว่าเขาไม่ได้ล่วงรู้ในสิ่งที่อยู่ในหัวของเธอเมื่อครู่ น้ำทิพย์นึกพลางระบายลมหายใจออกมาอีกครั้งอย่างโล่งอก จะให้อัครเทวทูตอย่างราฟาเอลรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเธอกำลังมีความคิดพิเรนทร์

 

            เมื่อนึกถึงตรงนี้จินตภาพกึ่งเปลือยของเทวดาหนุ่มตอนพบกันในครั้งแรกก็หวนกลับเข้ามาในความทรงจำ ใบหน้างามผุดผาดร้อนผ่าวขึ้นมาในบัดดล น้ำทิพย์สะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อไล่ภาพเหล่านั้นออกจากหัวโดยลืมนึกไปว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่บนบันได เท้าที่กำลังยืนอย่างหมิ่นเหม่จึงก้าวพลาดทำให้เธอเสียหลักหงายหลังล้มลง หญิงสาวร้องอุทานด้วยความตระหนกพร้อมกับหลับตาแน่นเพราะคิดว่าต้องเจ็บตัวแน่แต่แล้วเธอกลับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะแทนที่จะหล่นลงกระแทกกับพื้น ศีรษะของธอกลับกระทบกับอะไรบางอย่างที่นุ่มนิ่ม เมื่อลืมตาขึ้นน้ำทิพย์จึงพบว่าตัวเองอยู่อ้อมแขนของราฟาเอล ของนุ่มๆที่รู้สึกในตอนแรกก็คือแผ่นอกแกร่งของเขานั่นเอง ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างเมื่อใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรก้มลงมาจนเกือบจะชิด ยิ่งประกอบกับดวงตาสีฟ้าเจิดจรัสที่มองด้วยความเป็นห่วงด้วยแล้วหัวใจของหญิงสาวก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เหมือนเวลาทั้งหมดหยุดนิ่งลงชั่วขณะ สิ่งที่น้ำทิพย์รับรู้ได้มีเพียงกลิ่นหอมของบุรุษเพศกับไออุ่นจากเรือนกายของเทวดารูปงาม ความตระหนกเมื่อครู่มลายหายไปจนหมดเหลือไว้แต่ความรู้สึกบางอย่างกำลังวิ่งอย่างวุ่นวายอยู่ในหัว สิ่งเดียวที่หลุดจากปากของเธอได้จึงมีแค่

 

            “ราฟาเอล”

 

            พูดได้เพียงเท่านั้นน้ำทิพย์ก็ต้องหยุดเมื่อร่างกายเกิดอาการร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง ราฟาเอลมองใบหน้าแดงก่ำของเธอด้วยความกังวล

 

            “คุณต้องไม่สบายแน่ๆ”

 

            น้ำทิพย์เตรียมจะปฏิเสธแต่ต้องเป็นเป็นอุทานออกมาเบาๆเมื่อเทวดาหนุ่มสอดมือไปใต้ร่างและอุ้มเธอขึ้น หญิงสาวออกแรงดิ้นเล็กน้อยพร้อมกับพูดเสียงอู้อี้

 

            “ฉันไม่เป็นอะไร”

 

            “มีไข้จนหน้าแดงแถมหงายหลังตกบันไดยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก” ราฟาเอลพูดอย่างเคร่งขรึมพลางวางน้ำทิพย์ลงบนเก้าอี้ เธอยันตัวลุกขึ้นอย่างดื้อดึง

 

            “ก็บอกแล้วไงว่าแค่ร้อนเท่านั้น เรื่องตกบันไดนั่นก็เพราะฉันเผลอขยับตัวเร็วไปหน่อย”

 

            เทวดาหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อคำแก้ตัวแบบข้างๆคูๆของเธอ แต่พอได้เห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะกลับเป็นปรกติกับการลุกเดินอย่างกระฉับกระเฉงแล้วเขาจึงจำต้องผงกศีรษะ

 

            “งั้นก็ดี” เขาพูดเสียงเรียบก่อนจะฉวยไม้ขนไก่มาแกว่ง “ไปทำงานต่อกันเถอะ”

 

            จู่ๆเขาก็หยุดและเอี้ยวตัวหันกลับมา

 

            “แต่ถ้าเป็นลมอีก ผมจะอุ้มคุณขึ้นไปบนห้องนอน”

 

            น้ำทิพย์ทำตาโตเพราะนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินราฟาเอลพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงเชิงเย้า เธอดึงไม้ขนไก่จากมือของเขาพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหา

 

            “รู้แล้วละย่ะพ่อเทวดา”

 

            พูดจบก็ทำท่าจะปีนขึ้นไปบนบันได้อีกครั้งแต่ราฟาเอลดึงแขนเธอไว้

 

            “ผมจัดการตรงนี้เอง”

 

            พูดพลางดึงไม้ขนไก่จากน้ำทิพย์และยัดผ้าขี้ริ้วใส่มือของเธอแทน ความสูงของเทวดาหนุ่มทำให้ชั้นวางของที่ต้องใช้บันไดช่วยเมื่อครู่ดูเตี้ยลงไปถนัดใจ หญิงสาวยืนดูการทำงานของเขาอย่างเพลิดเพลินพลางนึกภาวนาขอให้เวลาหยุดไว้ตรงนั้น เพื่อที่จะได้ยืนมองเทพบุตรรูปงามผู้นี้ตลอดไป ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกถึงสายตากำลังจับจ้อง เขาหันหน้ามามองพร้อมกับถาม

 

            “มีอะไรหรือ”

 

            “ป...เปล่า” น้ำทิพย์ตอบเสียงตะกุกตะกักและรีบหันไปเช็ดถูโต๊ะอย่างขวยเขิน กิริยาของเธอทำให้ราฟาเอลยิ้มด้วยความความเอ็นดูและยืนเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับไปทำงานในส่วนของตนเองอีกครั้งพร้อมกับพูด

 

            “น่าแปลกที่คนอย่างคุณลงมือทำงานบ้านด้วยตัวเอง”

 

            น้ำทิพย์ชะงักมือที่กำลังบิดผ้าขี้ริ้ว

 

            “ทำไมถึงพูดแบบนี้”

 

            เธอถามด้วยความแปลกใจมากกว่าโกรธ เทวดาหนุ่มมองไปรอบๆ

 

            “ถึงจะไม่ค่อยได้ลงมาคลุกคลีกับมนุษย์แต่ผมมองออกว่าใครเป็นพวกมียศฐาบรรดาศักดิ์” เขานิ่งไปเล็กน้อยและหันกลับมาที่หญิงสาว “หมายถึงคนร่ำรวยในคำเรียกของยุคนี้”

 

            “แล้วยังไง”  

 

            “งานทำความสะอาด หุงหาอาหารเป็นหน้าที่ของคนรับใช้ ผมแปลกใจมากที่ผู้หญิงสาวสวยอย่างคุณทำเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง”

 

            น้ำทิพย์ยักไหล่กับคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับไปทำความสะอาดชั้นหนังสือ

 

            “คุณพ่อกับคุณแม่อยากให้ฉันรู้ว่า การจะเป็นนายคนต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวเองให้เป็นก่อน หากเราไม่รู้จักคำว่าลำบาก ก็จะไม่มีวันรู้วิธีการแก้ปัญหา และไม่มีทางเข้าถึงจิตใจของคนอื่น”

 

            “เป็นการสอนที่แปลกสำหรับคนมีฐานะ”

 

            ราฟาเอลพูด น้ำทิพย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

            “คุณพูดเหมือนรู้จักคุณพ่อกับคุณแม่”

 

            “ผมรู้จากความทรงจำของคุณ” เทวดาหนุ่มตอบและรีบยกมือขึ้นเป็นเชิงขอโทษเหมือนจะรู้ว่าหญิงสาวกำลังยืนตาเขียว “เรื่องราวของพวกท่านไหลเข้ามาในความคิดของผมตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน”

 

            “คุณรู้มากแค่ไหน” น้ำทิพย์พูดเสียงเข้ม ราฟาเอลทำท่านึก

 

            “รู้แค่ว่าพ่อแม่ของคุณอยู่ต่างประเทศและเป็นเจ้าของกิจการอะไรบางอย่างซึ่งรวยมาก แต่พอรับปากว่าจะไม่อ่านความคิดของคุณแล้วผมก็ไม่รู้อย่างอื่นนอกเหนือไปจากนั้น”

 

            หญิงสาวหรี่ตาลงเหมือนไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายเท่าใดนักแต่พอนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นเทวดาซึ่งไม่มีวันกล่าวคำโกหก เธอจึงยิ้มและหันกลับไปทำงานต่อ

 

            “คนส่วนใหญ่รู้แค่ว่าครอบครัวฉันมีฐานะร่ำรวย แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่ากว่าจะมีวันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากเลือดตาแทบกระเด็น พวกท่านมาจากครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำซึ่งต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาเป็นทุนการศึกษา จบออกมาก็ทำงานกับบริษัทที่รับออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ พวกท่านต้องต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรคมาอย่างหนักกว่าจะตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาได้”

 

            น้ำทิพย์หยุดคำพูดพลางหยิบรูปบิดามารดาที่ตั้งไว้บนหลังตู้ขึ้นมาดูด้วยความคิดถึง ตอนแรกเธอคิดจะจบเรื่องเล่าไว้เพียงแค่นั้นแต่ความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเทวดาหนุ่มรูปงามทำให้เปลี่ยนใจ หญิงสาววางกรอบรูปไว้ที่เดิมพร้อมกับพูดต่อ

 

            “คุณพ่อเคยเล่าว่าช่วงแรกของการตั้งตัวก็ถูกคนในวงการเดียวกันกลั่นแกล้ง ไม่ว่าจะเป็นการแย่งลูกค้า การป่วนระบบที่ยังไม่เสถียรหรือแม้แต่ดึงคนเก่งๆจากบริษัท แต่ด้วยมันสมองกับความอดทนผลงานของพวกท่านชิ้นหนึ่งจึงเข้าตาคนต่างชาติ เขาลงทุนเดินทางมาพบคุณพ่อด้วยตัวเองและทดสอบความสามารถรวมทั้งมุมมองด้านธุรกิจจนมั่นใจจึงชวนเข้าร่วมหุ้นซึ่งพ่อกับแม่ก็ช่วยกันพัฒนาธุรกิจจนใหญ่โต เพราะแบบนี้แหละพวกท่านถึงได้สอนให้ฉันคิดและทำอะไรด้วยตัวเอง แต่จะว่าไปฉันเองก็ไม่ชอบที่จะต้องทำตัวเป็นคนชั้นสูงคอยให้มีคนคลานเข่าเข้ามาหาหรือชี้นิ้วสั่งคนอื่นเป็นคุณนายนักหรอก”

 

            เธอเล่ายาวยืดและยักไหล่น้อยๆกับประโยคสุดท้ายก่อนจะยืนอมยิ้มเหมือนภาคภูมิใจในความสามารถของบุพการี เทวดาหนุ่มยืนฟังจนจบจึงพูด

 

            “คุณจึงดูแตกต่างไปจากคนอื่น” เขาสูดลมหายใจเข้าและเงยหน้าขึ้น “ความขยันทำให้พระเจ้าทรงแลเห็นความอุตสาหะ จึงทรงประทานพรคือความสำเร็จมาให้”

 

            “คุณพ่อคุณแม่มีวันนี้เพราะพรสวรรค์ ความอดทนและขยันหมั่นเพียรต่างหาก” น้ำทิพย์เถียงขึ้นมาทันที ราฟาเอลส่ายหน้าน้อยๆ

 

“พรสวรรค์คือสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ แต่มันจะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยหากพวกเขาไม่ลงมือกระทำ”

 

“คุณเป็นเทวดา จะพูดยังไงก็ได้”

 

หญิงสาวพูดเหมือนไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก ราฟาเอลยิ้ม

 

“ผมเป็นเทวดาก็จริงแต่ใช่ว่าจะพูดหรือทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มาจากพระประสงค์ รวมทั้งความแตกต่างทางความเชื่อ สำหรับผมความสำเร็จเกิดจากพรของพระองค์ในขณะที่มุมมองของพวกคุณ ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยมือของตนเอง”

 

“ก็ไม่เชิงเพราะฉันเชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากอำนาจของพุทธคุณ ถ้าเราทำความดี ทุกอย่างก็จะประสบความสำเร็จสมดังที่ตั้งใจ”

 

“นั่นคือความเหมือน ไม่ว่าจะเชื่อในสิ่งใดหากตั้งมั่นอยู่ในกรอบแห่งความดีแล้วความสำเร็จก็จะตามมา”

 

ราฟาเอลพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น น้ำทิพย์มองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า

 

“นั่นพอรับได้” เธอโยนผ้าขี้ริ้วลงถังและดึงไม้ขนไก่จากมืออีกฝ่ายจากนั้นจึงลากเครื่องดูดฝุ่นออกมาจัดการงานส่วนที่เหลือจนเสร็จ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงล้างหน้าล้างมือเพื่อเตรียมมื้อเที่ยงซึ่งมีเพียงน้ำส้มกับเค้กผลไม้เท่านั้น ทั้งสองนั่งรับประทานพลางสนทนากันอย่างมีความสุขในความคิดของน้ำทิพย์จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงหญิงสาวจึงหันไปมองนาฬิกาและนั่งขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจ

 

“ไปเดินห้างกันไหม”

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองด้วยสายตางุนงง เธอจึงอธิบาย

 

“มันเป็นสถานที่ผ่อนใจอย่างหนึ่งของคนเมือง นอกจากเดินเล่นแล้วยังมีโรงหนัง ร้านหนังสือ ร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับ นอกจากเดินเล่นแล้วเรายังสามารถทานอาหารที่นั่นหรือซื้อวัตถุดิบกลับมาทำกินเองที่บ้านก็ได้”

 

ราฟาเอลนั่งฟังจนจบจากนั้นจึงโคลงศีรษะ

 

“หมายความว่าเราต้องออกไปข้างนอก”

 

“ไม่ได้เหรอ” น้ำทิพย์ถาม เทวดาหนุ่มมีสีหน้าหนักใจขณะเลื่อนสายตามองออกไปนอกบ้าน ถึงจะไม่มีเงาหรือกลิ่นอายของปิศาจเหมือนหลายวันก่อนหน้านั้นแต่เขาก็ยังไม่วางใจ  

 

“คุณเคยห้ามผมออกจากบ้าน ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนใจ”

 

“ตอนนั้นลูซิเฟอร์ยังไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่นี่” น้ำทิพย์ตอบพลางเขี่ยเศษผลไม้ที่หลุดจากเนื้อเค้กเล่น “ตอนนี้เขารู้แล้ว ซ่อนตัวไปก็ไม่มีประโยชน์”

 

“แล้วเพื่อนบ้านล่ะ” ราฟาเอลถาม เมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่พูดเขาจึงอธิบาย “คุณเคยบอกว่าไม่อยากให้คนอื่นเห็นผู้ชายอยู่ในบ้าน”

 

  “รถฉันติดฟิล์มเข้ม คนมองไม่เห็นหรอก” น้ำทิพย์ให้เหตุผล เทวดาหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างกังวล

 

“แต่คุณจะไม่ปลอดภัยถ้าอยู่กับผม”

 

“ตรงกันข้ามฉันกลับรู้สึกปลอดภัยที่สุดถ้าได้อยู่กับคุณ” หญิงสาวพูด “จากที่สังเกตนับตั้งแต่ลูซิเฟอร์บุกเข้ามา นอกจากเขาแล้วไม่มีปิศาจตัวอื่นกล้าลงมือกับฉัน ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะพวกมันกลัวคุณแต่พอคิดในมุมกลับ พวกมันน่าจะได้รับคำสั่งว่าห้ามทำร้ายเราสองคน”

 

 แนวความคิดของเธอทำให้ราฟาเอลถึงกับแปลกใจ

 

“อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้น”

 

“คำพูดของลูซิเฟอร์ ฟังเหมือนเขาอยากทำให้คุณอยู่ในสภาพตกนรกทั้งเป็นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแผนการอะไรก็จะต้องมาจากมือของเขาเอง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ต้องสั่งห้ามลูกสมุนไม่ให้แตะต้องพวกเรา”

 




Create Date : 23 มีนาคม 2556
Last Update : 23 มีนาคม 2556 10:38:24 น.
Counter : 520 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog