ศึกแม่มดมหัศจรรย์ บทที่ 18 การกลับมาของเฟรย์ (อวสาน)
<18>

การกลับมาของเฟรย์

หลังจากออกเดินทางมาได้พักใหญ่ทั้งหมดก็หยุดที่ดินแดนแห่งชาวเอลฟ์เพื่อส่งดาฟเน่ ราชาแห่งเอลฟ์ซึ่งในตอนแรกโกรธเกรี้ยวทั้งเฟลมและเอิร์ธที่บังอาจนำลูกสาวของเขาไปสู่อันตรายแต่หลังจากถูกบุตรีพูดจาเกลี้ยกล่อมพร้อมทั้งอธิบายอยู่พักใหญ่จึงยอมนั่งนิ่งรับฟังเรื่องราวที่ดาฟเน่เล่าอย่างตั้งใจ หลังได้ฟังุกอย่างจบลงพระองค์จึงพยักหน้าก่อนจะตรัส

“พวกเจ้าช่างโชคดีนักที่ได้รับชัยชนะเหนือนางมารอิคิดน่า สมดังคำทำนายของเหล่าชาวเหนือทั้งหลายที่ถูกสังหารหมดสิ้นอย่างทารุณ”

“ข้าได้ยินอิคิดน่าพล่ามพูดเรื่องคำทำนายนั่นเหมือนกัน” เฟลมพูดขึ้น “แต่ข้าไม่เคยรู้เรื่องการทำนายอะไรมาก่อนเลย”

“ข้าจะไม่เล่ารายละเอียดทั้งหมด แต่คงบอกบางอย่างได้เล็กน้อยเท่านั้น” ราชาเอลฟ์ตรัสอย่างเคร่งขรึม “ในตอนแรกที่อิคิดน่าปรากฏตัวบนโลกนางได้ไล่ล่าคร่าวิญญาณของมนุษย์อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเลยไปถึงดินแดนทางเหนือ ชนเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ที่นั่นได้ถูกนางสังหารเล่นอย่างทารุณจนกระทั่งร่างทรงแห่งเทพได้ปล่อยคำทำนายดุจดั่งคำสาปออกมา คำทำนายนั้นคือ เมื่อใดที่มีเด็กอันมีนามแห่งธาตุไฟถือกำเนิดมาบนโลกโดยมารดาผู้มีนามของเทพแห่งแสงอาทิตย์และบิดาผู้มีนามของเจ้าแห่งไฟโดยช่วงเวลากำเนิดอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างกลางคืนและกลางวัน และเมื่อเด็กนั้นโตขึ้น เขาและผู้มีนามแห่งธาตุทั้งสี่บนโลกจะเป็นผู้ทำลายชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของอิคิดน่าและล้างคำสาปทุกๆอย่างของนางที่ทำไว้จนหมดสิ้น เจ้าคือเด็กคนนั้นเฟลม อิคิดน่าพบเจ้าและแม่ของเจ้าในวันที่เจ้ากำลังถือกำเนิด นางมารร้ายได้สาปเจ้า แต่ไกอาเข้ามาขัดขวาง นางจึงโดนไล่ล่าแทน ส่วนแม่ของเจ้าโดนผลแห่งคำสาปนั้นเป็นเหตุให้นางต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับเงาของเซอเบอรัส สุนัขแห่งนรกนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อิคิดน่านั้นไม่อาจสังหารเจ้าได้เนื่องจากพลังแห่งเทพไกอาที่แทรกอยู่ในทุกอณูของแผ่นดินคอยคุ้มครองเจ้าอยู่ ทั้งๆที่ตัวของนางเองโดนกักขังอยู่ในที่ที่จำกัด”

พระองค์ทรงมองเอิร์ธและดาฟเน่

“แล้วผู้ที่มีนามแห่งธาตุทั้งสี่นั้นก็คือ เจ้า เอิร์ธ เจ้าคือตัวแทนแห่งธาตุดิน ดาฟเน่บุตรสาวของเรานั้นคือตัวแทนแห่งธาตุน้ำ เพราะนามของนางนั้นคือนามแห่งนางไม้ผู้พิทักษ์ลำธาร”

“แล้วสกอลล์ล่ะ” เฟลมถามขึ้นมาทันที ราชาแห่งเอลฟ์ยิ้ม

“ท่านสกอลล์นั้นถูกส่งมาเพื่อช่วยเจ้าโดยเฉพาะ ร่างดั้งเดิมของเขาก็คือเทพหมาป่าแห่งสวรรค์ที่ว่องไวปราดเปรียวดุจสายลม เมื่อหมดภาระกิจแล้ว สกอลล์จึงได้กลับคืนไปสู่แดนสวรรค์ดังเดิม”

เฟลมถึงกับอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินว่าเพื่อนก็อบลินมิได้ตาย หากแต่กลับคืนสู่ดินแดนที่จากมา เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูดขึ้นเบาๆ

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้สกอลล์ก็คงกำลังมองพวกเราอยู่ข้างบนนั้นสิ”

“ถูกต้อง” ราชาแห่งเอลฟ์กล่าวตอบก่อนจะหันไปทางดาฟเน่

“เจ้าต้องเดินทางไปกับท่านเฟลมก่อน และจงช่วยเหลือเขาจนกว่าท่านเฟรย์จะฟื้นคืนมา นั่นเป็นภาระกิจที่เจ้าจะต้องทำต่อให้สำเร็จดาฟเน่”

ดาฟเน่รีบรับคำบัญชาของราชาแห่งเอลฟ์ทันทีด้วยความยินดี นางมองเฟลมและเอิร์ธก่อนจะเดินไปหาพวกเขา

“แล้วนางจะกลับมาที่นี่ได้ยังไง” เฟลมถามอย่างสงสัยแกมเป็ฯห่วงระคนกัน ราชาแห่งชาวเอลฟ์ยิ้มพลางหันไปทางอาชาสวรรค์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล

“ท่านเพกาซัสจะเป็นผู้นำนางมาหลังจากภารกิจสุดท้ายเสร็จสิ้นท่านไม่ต้องกังวลไปหรอกท่านเฟลม” ราชาแห่งเอลฟ์ทรงตรัสตอบ “เอาล่ะจงรีบเร่งเดินทางโดยเร็ว เวลาของท่านเฟรย์นั้นเหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว ขอให้พวกเจ้าจงโชคดี ลาก่อน”

เฟลม ดาฟเน่และเอิร์ธ ขึ้นไปนั่งบนหลังของเพกาซัสอีกครั้ง อาชาแห่งสวรรค์กางปีกออกและโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที หลังจากบินติดต่อกันยาวนานหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ทั้งหมดจึงได้มาถึงหมู่บ้านของเอิร์ธ เด็กชายลงจากหลังของเพกาซัสด้วยความรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่

“ข้าอยากไปช่วยแม่ของเจ้าด้วย เฟลม” เขาพูดเสียงเศร้าแกมอ้อนวอน เฟลมยิ้มกว้าง

“จงอยู่ดูแลแม่ของเจ้าเถอะ เอิร์ธ เพียงแค่หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความคิดที่จะช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์มันก็คือพลังที่ยิ่งใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้แล้ว”

เอิร์ธหันหน้าไปมองดูมารดาของเขาที่กำลังก้าวออกมาจากบ้านและมองเด็กทั้งสามอย่างตื่นตะลึงจากนั้นจึงรีบเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้มและคำทักทาย เด็กชายหันกลับไปที่เฟลมอีกครั้งพร้อมกับถอนใจ

“ถ้าอย่างนั้น” เขาพูดอย่างจำยอมและส่งขวดแก้วบรรจุน้ำผึ้งสีทองให้กับเฟลม “นำนี่ไปด้วย อย่าได้ปฏิเสธน้ำใจของเราเฟลม เจ้าอาจจะต้องใช้มัน”

เฟลมรับขวดน้ำผึ้งของเอิร์ธมาถือไว้ เขาบีบไหล่เพื่อนของเขาเบาๆ

“ลาก่อนเอิร์ธ ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง”

“เช่นเดียวกันเฟลม ความกล้าหาญของเจ้าจะอยู่ในใจของข้าตลอดไป” เอิร์ธมองไปยังดาฟเน่และส่งยิ้มให้กับนาง

“ข้าคงไม่มีโอกาสได้พบกับเจ้าอีก ดาฟเน่ ข้าจะจดจำเอลฟ์ที่แสนดีเช่นเจ้าไว้ในหัวใจไปจนตลอดชีวิตของข้าเลย”

“ข้าเองก็เช่นกัน เอิร์ธ ข้าจะไม่มีวันลืมชื่อของเจ้าและความกล้าหาญของเจ้าไปจนตลอดกาล” ดาฟเน่บีบมือของเอิร์ธแน่น น้ำตาใสไหลรินลงมาบนแก้ม

“ลาก่อนเอิร์ธ”

“ลาก่อนดาฟเน่”

เอิร์ธกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยก่อนจะถอยหลังไปยืนอยู่ข้างๆแม่ของเขา ดาฟเน่ปาดน้ำตาของนางก่อนจะโบกมือให้กับเขาจากนั้นจึงขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังเพกาซัส อาชาสวรรค์กระพือปีกและโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง เอิร์ธยืนกอดมารดาของเขามองดูจนเพื่อนทั้งสองหายลับไปกับสายตา

หลังจากส่งเอิร์ธที่หมู่บ้านของเขาเรียบร้อยแล้ว เพกาซัสก็บินข้ามผ่านป่าของเหล่าเซ็นทอร์ไปเรื่อยๆ เพียงเวลาไม่นานทั้งหมดก็ไปถึงบ้านของเฟลมที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากชุมชน อาชาสวรรค์ค่อยๆร่อนลงกลางป่าที่ขึ้นรกครึ้มและแน่นขนัดไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เฟลมกระโดดลงจากหลังของมันและมองไปโดยรอบอย่างงงงัน

“บ้านของข้าหายไปไหน” เขาพูด ดาฟเน่ยิ้มน้อยๆ

“บ้านของท่านก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมน่ะแหละเฟลม เพียงแต่ท่านมองไม่เห็นมันเท่านั้น ไกอาได้สร้างมนตร์กำบังสายตาอิคิดน่าไว้เพื่อไม่ให้นางย้อนกลับมาทำร้ายร่างแม่ของท่านได้”

ดาฟเน่อธิบายพลางเดินไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งและกระซิบเบาๆ ร่างที่งดงามของไกอาก้าวออกมาจากเงาไม้ นางยิ้มให้กับเฟลมด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ

“ท่านนำลูกแก้ววิญญาณของท่านเฟรย์กลับมาอย่างปลอดภัยจนได้ ท่านเฟลม”

“แล้วแม่ของข้าล่ะ”

เฟลมถามอย่างร้อนใจ ไกอายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะโบกมือของนางขึ้น เหล่าต้นไม้ค่อยๆขยับถอยเดินอย่างน่าอัศจรรย์ บ้านของเฟลมปรากฏขึ้นในสายตาระหว่างต้นไม้เหล่านั้น เฟลมรีบก้าวเข้าไปในบ้านทันที ร่างที่หลับไหลของเฟรย์ผู้เป็นมารดายังคงผุดผ่องสดใสราวกับมีชีวิต เฟลมดึงลูกแก้วออกมาถือไว้และหันไปทางดาฟเน่

“คราวนี้ถึงคราวที่ข้าจะต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าแล้ว ดาฟเน่ ช่วยแม่ของข้าด้วยเถิดนะ”

ดาฟเน่ยื่นมือไปหาเฟลมและดันทั้งลูกแก้วและมือของเขาไปแนบไว้ที่หน้าอกของเฟรย์

“จงใช้ความรักของเจ้าที่มีต่อมารดาเรียกวิญญาณของนางออกมาจากลูกแก้วนี่”

นางพูดเบาๆและหลับตาลง เฟลมมองหน้าแม่ของเขา ภาพความรักความห่วงใยของแม่ที่มีต่อเขาหลั่งไหลเข้ามาในห้วงสำนึก น้ำตาของเด็กชายไหลรินออกมาช้าๆ

“แม่”

เฟลมเรียกแม่ของเขาเบาๆ อัญมณีของดาฟเน่ส่องแสงอีกครั้ง คราวนี้เฟลมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในลำแสงนั้น ลูกแก้วในมือสั่นน้อยๆและอ่อนตัวลงก่อนจะสลายไป เหลือเพียงดวงวิญญาณสีทองสุกสว่างของเฟรย์ มันจมหายลงไปในร่างของนางอย่างช้าๆ ดาฟเน่ลืมตาขึ้นและยิ้ม

“จงลืมตามองดูสิเฟลม”

เอลฟ์สาวเรียกเพื่อนของนางเบาๆ เด็กชายลืมตาขึ้นและหยุดค้างนิ่งเมื่อได้เห็นดวงตาอันแสนอ่อนโยนของเฟรย์ที่กำลังจับจ้องมองดูเขาอยู่เช่นเดียวกัน

“เฟลม”

เฟรย์เรียกลูกของนางเบาๆ เฟลมถึงกับร้องไห้โฮและโผเข้ากอดแม่ของเขาราวกับเด็กชายตัวน้อย เฟรย์ยกแขนขึ้นกอดร่างของเฟลมไว้แล้วร่ำไห้ด้วยความยินดี

“แม่ได้ยินเสียงของลูกตลอดเวลา เฟลม แม่รู้ว่าลูกต้องทำได้”

“ข้าขอโทษ แม่ ข้าขอโทษ” เฟลมคร่ำครวญพร่ำพูด แต่แม่ของเขากลับส่ายหน้า

“เด็กโง่ ไม่มีอะไรที่เจ้าจะต้องมาขอโทษแม่สักนิด แม่ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเจ้า”

“ไม่หรอกแม่” เฟลมปาดน้ำตา “ถ้าข้าเชื่อฟังแม่ แม่คงไม่ต้องถูกอิคิดน่าจับเอาวิญญาณไป”
“แต่เจ้าก็ไปช่วยแม่ได้ไม่ใช่หรือ” แม่ของเฟลมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งโดยมีเฟลมคอยประคอง นางมองไปที่ไกอาและก้มหัวลงทำความเคารพ

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้าให้รอดพ้นจากสายตาของนางมารร้ายเป็นครั้งที่สอง”

“ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น” ไกอาตอบ “บัดนี้หน้าที่ของข้าได้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าคงต้องกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินของข้าเสียที”

ร่างของไกอาค่อยๆจางหายไปทันทีที่กล่าวจบ แม่ของเฟลมค้อมตัวน้อยๆราวกับส่งก่อนจะมองไปทางดาฟเน่

“ขอบคุณท่านมาก และขออภัยที่พวกเราสองแม่ลูกไปรบกวนความสงบของพวกท่าน”

“โปรดอย่าได้เกรงใจไปเลย ท่านเฟรย์” ดาฟเน่พูดขึ้น “เฟลมคือเพื่อนของข้า และเพื่อนย่อมยินดีที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อน”

เฟลมยิ้มกว้างกับคำพูดของดาฟเน่

“ขอบใจเจ้ามาก ดาฟเน่”

“ข้าก็เช่นกันเฟลม” ดาฟเน่ตอบก่อนจะลุกขึ้น “ข้าคงต้องไปแล้ว”

เฟลมและแม่ของเขามีสีหน้าตกใจ เด็กชายถึงกับรีบกล่าวอย่างเร็ว

“นี่มันจะมืดแล้วนะ พักที่นี่สักคืนแล้วค่อยออกเดินทางในตอนเช้าไม่ดีกว่าหรือ”

“เวลาไม่สำคัญสำหรับชาวเอฟล์อย่างเราหรอก เฟลม อย่าลืมสิ” ดาฟเน่มองดูเฟลมและยิ้มอย่างน่ารักให้กับเขา “ข้าเองก็อยากจะรีบกลับไปหาพ่อเต็มทีแล้วเหมือนกัน”

แม่ของเฟลมพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะลุกขึ้น

“ข้าขอออกไปส่งท่าน” นางพูดและเดินออกไปพร้อมกับเฟลม ดาฟเน่หยุดยืนข้างๆเพกาซัสอาชาแห่งสวรรค์ นางหันมาทางเฟลมและยื่นมือออกไปหาเขา เด็กชายยื่นมือออกมาจับมือของนาง

“ลาก่อนเฟลม เราจะจดจำเรื่องราวของท่านตลอดไป”

“เช่นเดียวกันดาฟเน่ ข้าจะไม่มีวันลืมมิตรภาพของพวกเรารวมทั้งเอิร์ธและสกอลล์ไปจนชั่วชีวิต และจงโปรดจำไว้เมื่อใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ เมื่อนั้นเจ้าจะได้รับจากข้าในทันทีแม้ว่าตัวข้านั้นจะอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลกับเจ้ามากเพียงใดก็ตาม”

ดาฟเน่ยิ้มให้กับคำพูดของเฟลมก่อนจะหันไปทางแม่ของเขา นางก้มศีรษะลงค้อมคำนับนางก่อนจะขึ้นไปนั่งบนหลังของเพกาซัส เฟลมกับแม่ของเขาถอยหลังออกมาสองสามก้าวและมองดูเพกาซัสที่กำลังกางปีกของมันออกโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ดาฟเน่หันกลับมาโบกมืออำลาให้กับเฟลมจนกระทั่งหายลับไปกับสายตา

“ข้าจะไม่มีวันลืมพวกเจ้าและมิตรภาพระหว่างพวกเราอย่างแน่นอน”

เฟลมพูดเบาๆขณะที่แหงนหน้าขึ้นไปมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าที่กำลังทอแสงประกายระยิบระยับอยู่อย่างร่าเริงราวกับประกายตาของเพื่อนตัวจ้อยของเขา

“โดยเฉพาะเจ้า สกอลล์ ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย ตลอดกาล”


END

*****************



Create Date : 01 เมษายน 2554
Last Update : 1 เมษายน 2554 8:50:24 น.
Counter : 616 Pageviews.

0 comment
ศึกแม่มดมหัศจรรย์ บทที่ 17 เผชิญหน้า
<17>

เผชิญหน้า

อิคิดน่านั่งอย่างสง่าอยู่บนบัลลังค์ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงขนาดมหึมาของนาง รอบๆกายของนางมารร้ายนั้นรายล้อมไปด้วยดวงไฟแห่งวิญญาณของมนุษย์ เอลฟ์และชนชาวเหนือที่นางได้ไล่ล่ามา ในมือของอิคิดน่าถือลูกแก้วที่กักขังดวงวิญญาณของเฟรย์แม่ของเฟลมไว้ภายใน นางกลิ้งลูกแก้วนั้นไปมาอยู่บนมือของนางก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ประตูวังที่ถูกกระแทกให้เปิดออก เฟลมในชุดเกราะอ่อนสีน้ำเงินเข้มก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ในมือของเขามีคมเขี้ยวแห่งสกอลล์ที่ดูเหมือนจะเพิ่มความยาวและเปล่งประกายสีเงินเรืองรองเพราะพลังอมตะของดาฟเน่ ในขณะที่มืออีกข้างของเขาถือโล่สีเงินดุนลายอันเป็นหัวใจที่กล้าหาญและเสียสละของเอิร์ธ อิคิดน่ามองดูเด็กชายด้วยสายตาหยิ่งผยองก่อนจะพูดขึ้น

“เก่งมากที่บุกเข้ามาถึงวังนี่ได้ เจ้าเด็กโอหัง” นางมองดูอาวุธในมือของเฟลมและเหยียดยิ้ม “คิดว่าอาวุธเด็กๆพวกนั้นจะทำอะไรข้าได้หรือ”

“คำพูดกับแววตาของเจ้านั้นเป็นปฏิปักษ์กันเองนะ อิคิดน่า” เฟลมพูดพลางก้าวเข้าไปหานางอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว อิคิดน่าเลิกคิ้วสูง

“งั้นรึ มันแตกต่างกันยังไง”

“คำพูดของเจ้าเต็มไปด้วยความยะโสแต่ดวงตาของเจ้ากำลังฉายแววแห่งหวาดกลัว”

รอยยิ้มของอิคิดน่าจางหายไปในทันที นางหยุดการเล่นลูกแก้วในมือของนางก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“คิดเข้าข้างตัวเองได้ดี เจ้าเด็กน้อย” นางมองดูเฟลมด้วยสายตาที่ดุดัน “ข้าหรือจะกลัวเจ้า”

“หรือไม่จริง” เฟลมย้อนถาม “บางทีตอนนี้ตัวของเจ้าอาจกำลังสั่นอยู่ก็ได้”

“ช่างปากกล้านัก!” อิคิดน่าตวาดเสียงก้อง เหล่าบริวารอันเป็นภูตผีร้ายอันแสนจะน่าเกลียดค่อยๆปรากฏกายออกมาตามหลืบมุมของห้องและยืนรายล้อมรอบเฟลม

“ธนูฟ้าไม่มีทางผ่านเวทย์ที่ปกป้องปราสาทนี่ลงมาได้ เจ้าไม่มีผู้ช่วยแล้วเจ้าเด็กโอหัง”

อิคิดน่าเยาะก่อนจะดีดนิ้วของนางเหล่าบริวารกรูกันเข้าใส่เฟลมทันที เด็กชายกระตุกยิ้มน้อยๆก่อนจะชูโล่ของเขาขึ้น ลำแสงสีขาวที่มองคล้ายธนูจำนวนมากพุ่งออกมาจากโล่นั้นวิ่งทะลุผ่านร่างของเหล่าผีร้ายทุกตัว บริวารของอิคิดน่าต่างพากันร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดและหวาดกลัวก่อนจะล้มกลิ้งลงไป เฟลมมองดูอิคิดน่าที่ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

“แกมีเวทย์เพลิงด้วนหรือ”

“นี่คือธนูไฟต่างหาก” เด็กชายตอบ “มันมาจากหัวใจที่แกร่งกล้าของเอิร์ธ หัวใจที่หนักแน่นและมั่นคงราวกับแผ่นดิน”

เฟลมตวัดดาบไปด้านหลังโดยไม่ต้องเหลียวกลับไปมองดู เปลวสีฟ้าสว่างวาบเป็นสาย มันตัดร่างผีร้ายขาดเป็นสองท่อนกระจายเกลื่อน

“คมเขี้ยวแห่งสกอลล์ที่เร็วราวสายลมและคมกริบจนตัดได้แม้กระทั่งเหล็กกล้า” เขาพูดขณะที่ย่างเท้าก้าวเข้าไปหาอิคิดน่าทีละน้อย นางลุกขึ้นและกางกรงเล็บออก

“ข้าเบื่อสิ่งที่เจ้าพล่ามเต็มทน” นางกล่าว “จงตายอย่างเดียวกับแม่ของเจ้าเถิด เฟลม”

ประกายแสงสีน้ำเงินเข้มพุ่งออกมาจากกรงเล็บของนาง มันวิ่งเข้าหาเฟลมอย่างรวดเร็ว แสงเจิดจ้าสีเขียวสว่างวาบขึ้นมันเป็นแสงสีเดียวกับอัญมณีของดาฟเน่ มันแผ่ขยายตัวออกล้อมรอบร่างของเฟลมไว้ราวกับปกป้อง เขายิ้มเมื่อเห็นสายฟ้าของอิคิดน่าระเบิดหายไปทันทีที่มากระทบแสงสีเขียวนั้น

“โล่แห่งมิตรภาพของดาฟเน่” เขาพูดเมื่อเห็นสีหน้าที่ฉายแววแปลกใจของอิคิดน่า “มันแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ทรงพลังยิ่งกว่าพลังของเจ้ามาก อิคิดน่า”

“งั้นมาดูสิว่าโล่ของเจ้าจะปกป้องพลังของข้าได้นานแค่ไหน” อิคิดน่าพูดพร้อมกับกางแขนของนางออก ไอเย็นจำนวนมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากกายของนาง หมอกอันเกิดจากไอเย็นนั้นเริ่มปกคลุมรอบๆตัวของเฟลมหนาขึ้นจนมองแทบไม่เห็นร่างของเขา อิคิดน่ายิ้มอย่างพอใจ

“จงแข็งตายและกลายเป็นเครื่องประดับวังของข้าเถอะ เจ้าเด็กโอหัง”

นางพูดและเดินเข้าไปหาเฟลมอย่างช้าๆด้วยความมั่นใจแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเปลวไฟสีส้มแดงสว่างเรืองรองขึ้นท่ามกลางไอหมอกที่หนาทึบ มันระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว อิคิดน่าถอยหลังออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างของเด็กชายนั้นเปล่งประกายดั่งเปลวเพลิง

“ชื่อของข้าคือเฟลม เปลวเพลิงอันร้อนแรงที่จะเผาผลาญมารร้ายอย่างเจ้าให้มอดไหม้สูญสลายไปจากโลกนี้ตลอดกาล” เขาชี้ปลายดาบไปที่อิคิดน่าที่เริ่มถอยหนีอย่างหวาดกลัว

“คำทำนายนั่นกำลังจะกลายเป็นความจริงหรือนี่” นางพร่ำพูดก่อนจะเลื่อนไปยังบัลลังค์ของนาง อิคิดน่าคว้าลูกแก้ววิญญาณของแม่เฟลมมาถือไว้ในมือและมองดูเขาอย่างผู้มีชัย

“หากขืนเจ้าก้าวเข้ามาใกล้ข้าอีกก้าวเดียว วิญญาณแม่ของเจ้าก็จะสูญสลายไปจนตลอดกาล”

กรงเล็บที่กุมรอบลูกแก้วนั้นบีบแน่น เฟลมมองดูลูกแก้ววิญญาณในมือของอิคิดน่า เขาขบกรามแน่นด้วยความโกรธ

“ปล่อยแม่ข้าเดี๋ยวนี้”

อิคิดน่าหัวเราะเสียงก้องพร้อมกับพูดเยาะเย้ย

“ปล่อยหรือ น่าขำ ข้าจะทำลายลูกแก้วนี่แล้วค่อยลงมือกระชากวิญญาณของเจ้า”

เฟลมกระชับดาบในมือแน่น เขาก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่น

“หากทำเช่นนั้นจริงข้าเองก็จะไม่ไว้ชีวิตของเจ้าเช่นเดียวกัน” เขาหมุนดาบในมือ “วางลูกแก้ววิญญาณของแม่ข้าลงเดี๋ยวนี้นางแม่มด”

กิริยาและท่าทางของเด็กชายทำให้อิคิดน่าถึงกับยืนอึ้ง นางเม้มปากแน่นเมื่อพบว่าเฟลมได้มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าและชี้ปลายดาบของเขาไปที่ลำคอของนาง

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงได้กล้ามาออกคำสั่งกับข้าแบบนี้” อิคิดน่ากล่าวเสียงกร้าวขณะจ้องเฟลมเขม็งก่อนจะยื่นลูกแก้ววิญญาณของเฟรย์ไปข้างหน้า

“เอาสิ ฟันข้าเลย ฟันข้าให้ขาดสองท่อนตามที่เจ้าตั้งใจ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนนะว่าเมื่อใดที่เจ้าทำลายข้าลง ทุกๆดวงวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในลูกแก้วนี้จะไม่มีวันได้หลุดออกมาจากที่จองจำไปจนตลอดกาล”

เฟลมชะงักทันที เขามองดูลูกแก้วที่มีเปลวไฟสีทองสุกสว่างตรงหน้าด้วยความหวั่นวิตก
อิคิดน่าเหยียดยิ้มเยาะก่อนจะพูดต่อ

“ปากก็พูดว่ายินดีที่จะเสียสละ แต่พอเอาเข้าจริงแกก็เป็นห่วงพวกพ้องและตัวเองเหมือนคนอื่นเช่นกัน”

“อย่างที่ข้าพูด” เฟลมตอบเสียงเรียบ “ถ้ากำจัดเจ้าให้สูญสิ้นไปจากโลกนี้ได้ ข้ายินดีที่จะตายไปพร้อมกับแม่ของข้า”

เฟลมเงื้อดาบขึ้นและตวัดฟันลงมาทันที อิคิดน่ารีบยกลูกแก้ววิญญาณของเฟรย์ขึ้นบังหน้าเพื่อขวางคมดาบ ทันใดนั้นเองก็บังเกิดแสงสีทองเจิดจ้าสว่างวาบขึ้น มันครอบคลุมลูกแก้วนั้นไว้ราวกับปกป้อง อิคิดน่าพลิกตัวหลบคมดาบของเฟลมขณะที่ปล่อยลูกแก้วในมือ เด็กชายคว้าลูกแก้วนั้นอย่างว่องไวในขณะที่นางแม่มดร้ายไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ นางจ้องเฟลมด้วยใบหน้าที่โกรธจัด

“แก!” นางหอบหายใจด้วยแรงโทสะ “ไม่เคยมีมนุษย์คนใดกล้าทำกับข้าเช่นนี้”

“คนเราย่อมมีครั้งแรกเสมอ แต่สำหรับเจ้า มันคือครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน อิคิดน่า”

เฟลมพูดอย่างเคร่งขรึมขณะวางลูกแก้ววิญญาณของเฟรย์ลงบนโล่ของเอิร์ธอย่างระมัดระวังมันงอเข้าหากันราวกับกำลังปกป้องลูกแก้วดวงนั้นมิให้ได้รับอันตรายจากภายนอก เฟลมยิ้มและหันมาหาอิคิดน่าอีกครั้ง นางคำรามต่ำๆในลำคอ

“คิดว่าจะกำจัดข้าได้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ”

“ยากหรือง่ายข้าก็จะทำ”

เฟลมตอบพลางขยับเข้าไปหาอิคิดน่า นางอ้าปากพ่นน้ำแข็งที่คมกริบราวกับใบมีดออกมา มันพุ่งเข้าใส่เฟลมอย่างรวดเร็ว แม้จะใช้ดาบปัดออกแต่ก็มีน้ำแข็งบางส่วนหลุดรอดพ้นการป้องกัน มันบาดแขนของเขาเป็นแผลฉกรรจ์หลายรอบแต่เฟลมกัดฟันสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ อิคิดน่ามองด้วยความแค้น

“ข้าคืออิคิดน่า และข้าไม่มีวันตาย”

นางมารร้ายตะโกนก้อง กระแสลมที่ปั่นป่วนรุนแรงพัดมาจากด้านนอกของปราสาท เฟลมยกมือขึ้นปิดใบหน้าของเขาท่ามกลางเสียงหัวเราะของแม่มดร้ายซึ่งในตอนนี้กำลังร่ายมนตร์ด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว ร่างของอิคิดน่ายืดยาวออกอย่างเชื่องช้า ดวงหน้าที่ซีดขาวแปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของสัตว์ร้าย เสื้อคลุมที่สะบัดไหวแผ่ออกกลายเป็นแผ่นปีกหนังที่อยู่กลางหลัง ลำตัวค่อยๆปริพองออก เปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากปากที่ปกคลุมไปด้วยเขี้ยวที่แหลมคม เฟลมมองดูมังกรตรงหน้าด้วยความรู้สึกสังเวช

“ร่างที่แท้จริงของเจ้าช่างน่าทุเรศสิ้นดี”

เขาพูดเยาะ สัตว์ร้ายร้องคำรามก่อนจะพ่นเปลวไฟสีน้ำเงินเข้าใส่เฟลม เขากลิ้งตัวหลบทันที ก้อนน้ำแข็งหนาจับตรงบริเวณที่เปลวไฟกระทบ อิคิดน่าคำราม

“เจ้าจะหลบไปได้อีกซักเท่าไร่กัน ไม่นานเรี่ยวแรงของเจ้าก็จะหมดไป”

“แรงข้ายังมีอีกมาก”

เฟลมตอบพลางวิ่งหลบหางของนางมารร้ายที่สะบัดฟาดเข้าใส่ อิคิดน่าส่ายหัวไปมาอย่างกราดเกรี้ยวและเริ่มกางกรงเล็บออกไขว่คว้าร่างที่วิ่งอย่างว่องไวของเฟลม เขาหมุนตัวหลบและกระโดดขึ้นไปยืนบนบัลลังก์จากนั้นจึงฉวยโอกาสที่นางแม่มดร้ายเผลอไต่ขึ้นไปยืนบนหลังของนางอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงร้องอย่างแค้นเคืองของอิคิดน่า

“ถึงเวลาตายของแกแล้ว” เฟลมพูดพร้อมกับเงื้อดาบขึ้น “ลาก่อนอิคิดน่า”

คมดาบชำแรกผิวหนังที่หยาบหนาของมังกรร้ายลงไปจนมิดด้าม อิคิดน่าส่งเสียงร้องโหยหวนและสะบัดเฟลมให้ตกจากหลังของนาง ร่างมังกรร้ายคลายร่างหดเล็กลงและกลับคืนสภาพเดิม นางแม่มดร้ายถอยกรูดไปจนติดกำแพงมือทั้งสองข้างพยายามไขว่คว้าไปด้านหลังเพื่อดึงดาบออกจากแผ่นหลังของนางแต่ไม่สำเร็จ เลือดสีดำสนิทหลั่งทะลักออกมาราวกับน้ำไหล อิคิดน่าสำลักไอออกมาเป็นเลือด

“ข้าไม่แพ้” นางพูดเสียงขาดเป็นห้วง “ข้าจะไม่มีวันตายตามคำทำนายของพวกชาวเหนือนั่น”

เฟลมเดินไปที่นางและมองดูอย่างสมเพช ร่างที่เคยสวยงามน่าสะพรึงค่อยๆเหี่ยวย่นลงทีละน้อย ผมสีดำสนิทแปรเปลี่ยนไปเป็นสีขาวโพลนทั้งศีรษะ อิคิดน่าพิงกำแพงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงพลางร่ายเวทย์ไม่หยุดปาก เลือดสีดำของนางนั้นเดือดพล่านและเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต มันพุ่งเข้าหาเฟลมทันทีที่เด็กชายเดินเข้าไปใกล้ แต่เฟลมซึ่งระมัดระวังตัวอยู่แล้วเบี่ยงตัวหลบ เลือดมรณะจึงไปกระทบกับเสาหินและกัดกร่อนมันจนหลอมละลาย

“ทำไมมันถึงได้ตายยากนัก” เฟลมพูดพลางกระชับดาบในมือ อิคิดน่าหัวเราะกระหึ่มในลำคอ

“เจ้าไม่มีวันสังหารข้าได้หรอกเฟลม”

นางยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและถ่มน้ำลายออกมาพร้อมกับเตรียมร่ายเวทย์อีกครั้งแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงกระพือปีกดังมาจากด้านประตูทางเข้า เฟลมหันไปมองและเบิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่ามันคือนกฮูกของอธีน่าต่างจากอิคิดน่าที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อเห็นนกฮูกตัวนั้นกำลังบินวนอยู่เหนือลูกแก้ววิญญาณสีทองอร่ามดวงหนึ่งที่ตั้งรวมอยู่กับลูกแก้วดวงอื่นๆพร้อมกับส่งเสียงร้องระรัว กิริยาและท่าทางของมันทำให้เฟลมต้องมองอย่างสนใจ

“เจ้ากำลังบอกอะไรข้า” เด็กชายพูดพลางจ้องลูกแก้วดวงนั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มและร้องออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว”

เขาเดินไปยังที่วางลูกแก้วนั้นพร้อมกับหยิบออกมาพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่งและขมวดคิ้วเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงไอเย็นแผ่กระจายออกมาจากลูกแก้วดวงนั้น เฟลมยิ้ม

“เล่นถอดวิญญาณรวมไว้กับคนอื่นแบบนี้ ต่อให้ข้าแทงเจ้าสักร้อยครั้งก็คงไม่อาจปลิดชีวิตของได้”

อิคิดนากำมือแน่น นางมองดูเฟลมด้วยสายตาที่เคียดแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงคำราม

“หากเจ้าฆ่าข้า วิญญาณของแม่เจ้าก็จะอยู่ในลูกแก้วนั่นไปตลอดกาล”

“แต่ข้าคิดว่าไม่”

เฟลมตอบพร้อมกับชูลูกแก้วที่บรรจุดวงวิญญาณของอิคิดน่าในมือขึ้น นกฮูกของอธีน่าส่งเสียงร้องพร้อมกับกระพือปีกพุ่งเข้าใส่ลูกแก้วดวงนั้นจนแตกกระจาย มันบินสูงขึ้นไปในอากาศโดยมีดวงวิญญาณของนางแม่มดร้ายกำลังดิ้นไปมาในจงอยปากจากนั้นมันจึงกลืนดวงวิญญาณของอิคิดน่าเข้าไปในลำคอ เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ร่างที่เหี่ยวย่นของนางแม่มดร้ายที่ยืนอยู่ด้านล่างพยายามเอื้อมมือไขว่คว้าไปมาในอากาศก่อนจะล้มลงและดิ้นทุรนทุรายจนสิ้นใจ ร่างของนางสลายกลายเป็นผุยผงไปอย่างรวดเร็ว เฟลมมองและถอนใจอย่างโล่งอก

“ข้าทำได้แล้วสกอลล์ เอิร์ธ ดาฟเน่ ข้ากำจัดอิคิดน่าได้แล้ว” เขาพูดเบาๆด้วยความยินดีก่อนจะเดินไปหยิบลูกแก้วที่บรรจุวิญญาณแม่ของเขามากอดไว้

“ข้ามารับแม่แล้ว เรากลับบ้านกันเถอะ”

เฟลมหยิบดาบของสกอลล์และโล่ของเอิร์ธก่อนจะเดินออกจากปราสาท ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตู เด็กชายก็ต้องพบกับความประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นคนสองคนกำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า

“เอิร์ธ! ดาฟเน่!” เฟลมร้องเรียกชื่อเพื่อนทั้งสองอย่างไม่เชื่อสายตา เขาวิ่งไปหาพวกเขาและบีบไหล่ของทั้งคู่แรงๆด้วยความรู้สึกดีใจอย่างที่สุด

“พวกเจ้า ยังไม่ตาย!”

“เวทย์ที่สาปพวกเราสลายไปทันทีที่เจ้าสังหารอิคิดน่า” เอิร์ธอธิบายและหันไปทางดาฟเน่ นางส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนกลับมา

“พวกเราไม่ได้ถูกสังหาร แต่ถูกคำสาปต่างหาก เฟลม” นางกล่าว เฟลมยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะทำท่าราวกับนึกขึ้นได้ เขามองผ่านเพื่อนทั้งสองไปด้านหลังและกวาดตามองไปโดยรอบอย่างคาดหวัง เอลฟ์สาวมองเพื่อนอย่างเข้าใจ

“สกอลล์ไม่ได้โดนคำสาปเหมือนพวกเรา” ดาฟเน่พูด “เขาจะไม่กลับมาเหมือนกับเราสองคนหรอกเฟลม”

สีหน้าของเฟลมเศร้าลงทันที เขาก้มศีรษะลงพร้อมกับพึมพำ

“อย่างงั้นหรือ”

เอิร์ธมองเพื่อนอย่างเข้าใจและบีบไหล่ของเขาเบาๆเป็นการปลอบใจพร้อมกับพูด

“เจ้าเก่งมากเฟลมที่สามารถต่อสู้กับอิคิดน่าเพียงลำพังตัวคนเดียวจนชนะ”

“ข้าไม่ได้สู้เพียงลำพัง” เฟลมแย้ง “ข้ามีเจ้า ดาฟเน่และสกอลล์อยู่เคียงข้างตลอดเวลา”

เอิร์ธยิ้มให้กับคำพูดของเฟลม เขายื่นมือออกไปรับโล่ซึ่งตอนนี้คืนสภาพกลายเป็นกระบอกบรรจุธนูดังเดิมมาคล้องไว้ด้านหลัง ดาฟเน่มองเพื่อนทั้งสองพร้อมกับยิ้ม

“ข้าเคยได้ยินมาว่าพวกมนุษย์น่ะล้วนแล้วแต่หยาบคาย ไม่ซื่อสัตย์และเห็นแก่ตัว ข้าเชื่อเช่นนั้นมาตลอดจนกระทั่งได้พบกับพวกเจ้า ต่อจากนี้ไปข้าจะนำเรื่องราวความกล้าของพวกเจ้าไปเล่าให้ชาวเอลฟ์ทั้งหลายได้รับรู้ เพื่อที่ว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราจะได้มองพวกมนุษย์กันใหม่”

เฟลมมองดาฟเน่ด้วยสายตาที่ซาบซึ้งก่อนจะส่งอัญมณีคืนให้กับนาง ดาฟเน่รับมันมาและประดับไว้บนเครื่องประดับที่หน้าผากของนางดังเดิม ทั้งสามคนยืนมองดูแสงอาทิตย์กำลังสาดลำแสงส่องผ่านกลุ่มเมฆสีเทาที่ค่อยๆสลายไป พายุหิมะที่พัดกระหน่ำอยู่เกือบตลอดเวลานั้นเริ่มสงบลง ความอบอุ่นแผ่ขยายไปจนทั่ว เงาพร่าเลือนของนางฟ้าปีกสีดำปรากฏขึ้นและเลื่อนหายเข้าไปในภายในปราสาทของอิคิดน่า ไม่นานนักเด็กทั้งสามก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนจำนวนมากดังออกมา เหล่าดวงวิญญาณที่ถูกกักขังนั้นได้รับการปลดปล่อยโดยนางฟ้าดำวัลคีรีที่ใช้ปลายหอกของนางแตะไปบนลูกแก้วทุกดวง ดาฟเน่จึงพูดขึ้น

“วิญญาณเหล่านี้จะได้รับการปลดปล่อยและกลับคืนไปสู่สรวงสวรรค์”

“แล้วแม่ของข้าล่ะ” เฟลมถามขณะมองนางฟ้าปีกดำนางหนึ่งซึ่งกำลังก้าวเข้ามาใกล้ นางมองลูกแก้วในมือของเฟลมก่อนจะตอบ

“เฟรย์มารดาของเจ้านั้นยังไม่ถึงเวลาตาย จงรีบนำดวงวิญญาณของนางกลับไปยังร่างโดยเร็วที่สุด”

“เราจะไปกันยังไง” เอิร์ธถาม “ตอนมาน่ะพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากเทพีอธีนาที่ช่วยย่นระยะทางให้ ข้าไม่คิดว่าพระนางจะมีเวลามาช่วยพวกเราอีกครั้งเป็นแน่”

ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงร้องอย่างคึกคะนองของม้าดังมาจากท้องฟ้า เสียงกระพือปีกที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้เด็กทั้งสามเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน พวกเขาต่างอ้าปากค้างด้วยความตระหนกเมื่อเห็นม้ามีปีกสีขาวสะอาดกำลังบินอยู่เหนือศีรษะ ดาฟเน่ยิ้มกว้างก่อนจะพูดขึ้น

“เพกาซัส อาชาแห่งสรวงสวรรค์”

ม้าสีขาวพ่วงพีกางปีกอันกว้างใหญ่ค่อยๆร่อนลงมายืนอยู่บนพื้นดินเบื้องหน้าพวกของเฟลม เขามองม้ามีปีกด้วยความตื่นเต้นขณะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“จงขี่ม้านั่นกลับคืนสู่บ้านเกิดของพวกเจ้า เร่งทำเวลาหากปรารถนาจะให้มารดาของเจ้ามีชีวิตอยู่ เฟลม”

“ขอบคุณท่านมาก เทพีอธีนา” เฟลมร้องตอบขึ้นไปก่อนจะหันมาทางเพื่อนทั้งสอง

“พวกเราไปกันเถอะ”

เฟลมให้ดาฟเน่ขึ้นไปนั่งบนหลังของเพกาซัสก่อน ตามด้วยเอิร์ธและตัวของเขาปีนขึ้นไปนั่งเป็นคนสุดท้าย เพกาซัสเคาะกีบหน้าสองสามครั้งก่อนจะคลี่ปีกของมันกางออกและโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที เมื่อผ่านบริเวณที่เพื่อนรักของเขานอนอยู่ เฟลมก้มหน้าลงมามองดูต้นไม้สีเงินที่กำลังเปล่งประกายล้อแสงอาทิตย์อยู่เบื้องล่าง เขากล่าวออกมาเบาๆ

“ลาก่อนสกอลล์ ขอให้เจ้านอนหลับอย่างสงบเถิด”

เอิร์ธและดาฟเน่ก้มหัวให้กับต้นไม้อันเป็นสุสานของสกอลล์ก่อนเพกาซัสจะกระพือปีกบินห่างออกไป

*/*/*/*/*




Create Date : 25 มีนาคม 2554
Last Update : 25 มีนาคม 2554 10:00:43 น.
Counter : 338 Pageviews.

0 comment
ศึกแม่มดมหัศจรรย์ บทที่ 16 เอลฟ์ฝ่ายมืดนัคเคลและทัลฟาร์
<16>

เอลฟ์ฝ่ายมืดนัคเคล และทัลฟาร์

อิคิดน่าปัดลูกแก้วของนางอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกกับเสาปราสาทแตกกระจายเมื่อเห็นพวกของเฟลมเดินทางมาจนถึงทางขึ้นสู่ปราสาทของนาง ดวงตาสีฟ้าหม่นส่งประกายวาววับอย่างคั่งแค้นและเดือดดาล นางหันไปทางลูกแก้ววิญญาณเฟรย์แม่ของเฟลมก่อนจะยิ้มอย่างเหี้ยมโหดและพูดขึ้น

“คิดว่าลูกของเจ้าจะทำได้ดังคำทำนายนั่นหรือ เฟรย์! คิดว่าเจ้าเด็กโอหังนั่นจะสังหารข้าได้ตามคำสาปของชาวเหนือที่ถูกข้าสังหารไปจนหมดสิ้นแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าทั้งเจ้าและเจ้าเด็กยะโสนั่นไม่มีวันทำลายข้าได้ คอยดู!”

อิคิดน่าลุกขึ้นและสะบัดเดินไปที่ประตูปราสาท นางชี้มือไปที่โครงกระดูกของสัตว์สองตัวที่กองอยู่และกล่าวเรียกด้วยมนต์ดำของนาง

“จงตื่นขึ้นมาบริวารที่แสนชั่วช้าของข้า คำสัญญาแห่งการรับใช้ของเจ้าจงเรียกเลือดเนื้อของเจ้ากลับคืนสู่กองกระดูกที่ขาวโพลนนี้และมีชีวิตขึ้น ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้และจงก้มหัวลงรับใช้ข้า!”

สิ้นคำของอิคิดน่า กองกระดูกทั้งสองกองนั้นก็เคลื่อนไหวและโงนเงนลุกขึ้น เส้นเลือดสีดำค่อยๆแล่นไปตามซากที่ขาวโพลนนั้นและแผ่กระจายออกราวกับรากของต้นไม้ กล้ามเนื้อสีแดงสดเริ่มงอกตามออกมา มันเต้นระริกราวกับมีชีวิต เสียงร้องคำรามดังขลุกขลักอยู่ในลำคอ เบ้าตาที่กลวงโบ๋มีก้อนกลมๆสีแดงก่ำกลอกกลิ้งอยู่ภายใน มันถูกดันให้ถลนออกมาข้างนอกและมองดูอิคิดน่าที่กำลังยืนยิ้มอยู่

“นัคเคล ทัลฟาร์ บริวารที่แสนน่ารักของข้า เอลฟ์ฝ่ายชั่วช้าที่ถูกสาบจากชนชาวเหนือ ตอนนี้เชื้อสายลูกหลานแห่งศัตรูของเจ้าทั้งสองกำลังเดินทางมาที่นี่ จงไปขัดขวางและทำลายมันเสีย กัดกินมันให้สิ้นทั้งกายและวิญญาณ เหลือไว้แต่เพียงเด็กหนุ่มที่ชื่อเฟลมและนำมันกลับมาที่ปราสาทนี่”

อสูรสัตว์ทั้งสองร้องคำรามรับคำของอิคิดน่าและพุ่งทะยานออกไปทันที นางมารร้ายยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะร่ายมนตราเพื่อยกร่างของนางให้ลอยสูงขึ้นไปในอากาศและเลื่อนไหลตามหลังผีร้ายทั้งสองของนางไป
*/*/*/*

เฟลม เอิร์ธและดาฟเน่ทั้งเดินทั้งวิ่งไปตามเส้นทางอันลาดชันที่นำไปสู่ปราสาทของอิคิดน่า แน่นอนระหว่างทางของเด็กทั้งสามนั้นจะต้องมีเหล่าบรรดาบริวารและสัตว์ร้ายต่างๆคอยดักรอและพยายามขัดขวางพวกเขา แต่ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันประกอบกับฝีมือการต่อสู้ที่ชำนาญของดาฟเน่และเอิร์ธรวมถึงพลังของคมเขี้ยวแห่งสกอลล์ทำให้เหล่าบรรดาสมุนของอิคิดน่านั่นถูกทำลายลงราวกับใบไม้ร่วง เฟลมจ้องดูปราสาทที่ใกล้เข้ามาด้วยความรู้สึกทั้งหวาดหวั่นและมุ่งมั่นในเวลาเดียวกัน

“รอข้าด้วยนะ แม่”

เฟลมคิดในใจขณะที่ก้าวเท้าเดินเร็วขึ้นโดยมีเอิร์ธและดาฟเน่เดินตามมาติดๆ สายลมแห่งความหนาวเย็นพัดหวีดหวิวอยู่ไม่ขาดสายและดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นตามคำบัญชาของอิคิดน่า หิมะที่ตกโปรยปรายในตอนแรกนั้นเริ่มหนาขึ้นทุกที ดาฟเน่จุดไฟที่ปลายดาบของนางและหันมามองดูเพื่อนทั้งสอง

“พวกเจ้าไม่เป็นไรนะ”

“ข้าสบายดี” เฟลมตอบเสียงดัง

“ข้าก็ไม่เป็นไร” เอิร์ธตะโกนแข่งกับเสียงลม “เกราะสีน้ำเงินนี่ป้องกันความหนาวเย็นได้ดี แต่ลมที่แรงขึ้นทุกทีนี่สิจะทำให้พวเราเดินทางกันไม่ได้”

“ต่อให้ต้องคลานไปข้าก็จะทำ” เฟลมพูด “ข้าไม่ยอมหยุดอยู่ที่นี่เพียงเพราะแค่พายุหิมะนี่หรอก”

ดาฟเน่มองดูเพื่อนทั้งสองของนางด้วยความเป็นห่วง สำหรับเอลฟ์อย่างนางแล้วไม่ว่าลม ฝนหรือพายุหิมะไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญในการเดินทางเลย แต่ความรุนแรงของอาถรรพ์แห่งเวทย์ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ดาฟเน่รู้สึกอึดอัดจนแทบทนไม่ได้ นางมองฝ่าหิมะที่ตกหนาจนแทบมองไม่เห็นทางไปรอบๆก่อนจะพูด

“ข้าไม่สบายใจเลย” นางจ้องมองไปทางด้านทิศทางที่ตั้งของปราสาทอิคิดน่า “ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา อะไรที่เหมือนข้าแต่แตกต่างไปจากข้าโดยสิ้นเชิง”

“แล้วมันคืออะไรกัน” เอิร์ธถามอย่างงงๆ ดาฟเน่ส่ายหน้า

“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่มันมาเร็วมาก” อยู่ๆนางก็หยุดพูดและเบิกตาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างตื่นตระหนก

“มันอยู่ข้างหน้าพวกเรานี่แล้ว!”

ทั้งเฟลมและเอิร์ธเพ่งสายตามองไปในทิศทางที่ดาฟเน่ชี้มือบอก ทั้งสองคนเห็นเงาทมึนกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว เฟลมแกว่งดาบในมืออย่างเตรียมพร้อมทันทีในขณะที่เอิร์ธขึ้นสายธนูรอ

“ทัลฟาร์!” ดาฟเน่ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวาดหวั่น “นัคเคล!”

“อะไรนะ” เฟลมร้องถาม

“เอลฟ์ฝ่ายมืดที่แสนชั่วร้าย” ใบหน้าของดาฟเน่ปรากฏความพรั่นพรึงขณะอธิบาย “พวกมันจะคอยทำลายและกัดกินเอลฟ์อย่างพวกเรา ข้าไม่คิดเลยว่าพวกมันจะกลายเป็นสมุนของอิคิดน่าเพราะข้าได้ยินมาว่ามันทั้งสองถูกอดีตราชาแห่งเอลฟ์ทำลายไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”

“นางมารร้ายนั่นคงใช้เวทย์ของนางปลุกมันขึ้นมา”

เฟลมพูด เขามองดูร่างสองร่างที่เคลื่อนไหวเข้ามาหาแน่วนิ่งจนกระทั่งพวกมันเข้ามาในระยะที่สามารถมองเห็นได้ชัด เด็กทั้งสามถึงกับอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นร่างของอีกฝ่ายเต็มตา มันเป็นสุดยอดแห่งความสยองขวัญชนิดที่เหล่าบรรดาอสูรทั้งหลายที่พวกเขาเคยพบมาก่อนนั้นเทียบไม่ติด นัคเคลนั้นมีใบหน้าเค้าโครงที่มองดูคล้ายเอลฟ์แต่มีดวงตาเพียงดวงเดียวตั้งอยู่ที่กลางหน้าผาก ดวงตาที่แดงก่ำราวเปลวไฟ แขนทั้งสองข้างยาวไปจนถึงข้อเท้า หัวของมันใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับร่างของมัน และที่น่าสยดสยองมากที่สุดคือทั่วทั้งร่างของเอลฟ์ร้ายตัวนี้ไม่มีผิวหนังปกคลุมแม้แต่ที่เดียว เฟลมมองเห็นเส้นเลือดสีดำสนิทกำลังเต้นตุบๆอยู่ตามกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของมัน

ส่วนทัลฟาร์นั้นก็น่าเกลียดน่ากลัวไม่แพ้กัน มันมีร่างที่ขาวซีดราวกับซากศพ แขนทั้งสองข้างแห้งเล็กลีบราวกับกิ่งไม้แต่ก็แข็งแรง กรงเล็บของมันมีของเหลวเละไหลเยิ้มออกมาตลอดเวลา ยามที่มันอ้าปากร้อง หนอนซากศพตัวอ้วนๆจะไหลทะลักร่วงพรูออกมาทำให้น่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง
เด็กทั้งสามถอยหลังไปสองสามก้าว เอิร์ธยกมือขึ้นปิดจมูกของเขาและเบ้หน้า

“กลิ่นบ้าอะไรกันนี่ มันยิ่งกว่ากลิ่นซากเน่าของสัตว์ป่าซักร้อยตัวได้เลย”

ดาฟเน่นั้นมีสีหน้าที่หวาดหวั่นยิ่งกว่าเพื่อนทั้งสองของนาง เฟลมสังเกตุเห็นว่าร่างนั้นกำลังสั่นสะท้าน ดวงหน้าที่งดงามซีดเผือด ริมฝีปากที่ขบเม้มกันแน่นสั่นไหวน้อยๆ

“ไปยืนข้างหลังข้า ดาฟเน่” เฟลมพูดขึ้น “ข้าจะจัดการกับเจ้าสองตัวนี่เอง”

“มันไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านๆมานะ เฟลม” ดาฟเน่พูดเสียงสั่นทั้งที่ดูเหมือนจะพยายามควบคุม
ตัวเองแล้ว “เจ้าสองตัวนี่น่ะมันไม่ตายด้วยอาวุธทุกๆอย่าง”

“แล้วเราจะกำจัดมันได้ยังไง” เอิร์ธถาม ดาฟเน่กำลังจะตอบเขาแต่.....

“หลบเร็ว!”

เฟลมร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อกรงเล็บที่คมกริบของทัลฟาร์พุ่งลงมายังที่ที่พวกเขากำลังยืนอยู่ เด็กทั้งสามกลิ้งตัวหลบไปคนละทาง

“ไม่มีเวลามานั่งศึกษาแล้ว” เฟลมร้อง “หาทางสู้มันก่อนดีกว่า”

เขาสะบัดดาบของเขาสกัดการจู่โจมของทัลฟาร์ที่ดูเหมือนจะมุ่งเข้าเล่นงานเขา เอิร์ธง้างธนูและเล็งไปที่หัวของมันทันที

“ระวังเอิร์ธ!” ดาฟเน่ร้องขึ้น แขนที่ยาวเหยียดของนัคเคลฟาดลงมาตรงที่ที่เขายืนอยู่ เอิร์ธกลิ้งตัวหลบทันควันแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายถูกปลายเล็บของมันเข้าที่ด้านหลัง

“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ” ดาฟเน่ร้องตะโกนถาม เอิร์ธไล่มือสำรวจตัวเองก่อนจะตอบ

“เกราะนางฟ้าป้องกันเอาไว้น่ะ” เขาพูดเมื่อเห็นว่ากรงเล็บของเอลฟ์อสูรไม่ระคายเข้าไปที่ผิวของเขา ดาฟเน่พยักหน้าก่อนจะเหวี่ยงดาบของนางปัดแขนของนัคเคล มันร้องอย่างโกรธจัดและเริ่มจ้องทำร้ายดาฟเน่เพียงคนเดียว แขนที่ยาวนั้นไม่เกะกะเก้งก้างยามเคลื่อนไหว ตรงกันข้ามมันกลับใช้แขนของมันได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วเมื่อไล่คว้าร่างของดาฟเน่ที่กระโดดหลบไปมาจนแทบไม่มีเวลายกดาบขึ้นตอบโต้ เอิร์ธมองดูนางอย่างเป็นห่วงและยิงธนูของเขาเข้าใส่ร่างอัปลักษณ์นั้นทุกครั้งที่ได้โอกาส ลูกธนูทุกดอกปักคาอยู่บนกล้ามเนื้อสีแดงฉานแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดต่อเจ้านัคเคลซ้ำดูมันจะไม่ได้สนใจเลยด้วย มันหันกลับมาเหวี่ยงแขนใส่เอิร์ธที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบลูกธนู ด้วยพลังอันมหาศาล เด็กชายถึงกับกระเด็นไปกระแทกกับก้อนหินอย่างแรงจนเขาหมดสติไป

“เอิร์ธ!”

ดาฟเน่ร้องเรียกเพื่อนด้วยความตกใจ นางเหวี่ยงดาบปัดแขนที่ไขว่คว้ามาทางนางอีกครั้งก่อนจะกระโดดขึ้นเพื่อจะไปตั้งตัวบนก้อนหินสูง แต่นัคเคลไวกว่า มือที่แข็งราวกับคีมคว้าหมับเข้าที่ร่างของดาฟเน่และบีบแน่น มันส่งเสียงร้องคำรามอย่างยินดีเมื่อชูร่างที่กำลังดิ้นรนของเอลฟ์น้อยขึ้น เฟลมตกใจจนแทบสิ้นสติ เขาแทงมือของทัลฟาร์ที่ยื่นมาหาเขาและกลิ้งตัวหลบไปพร้อมกัน

“เอิร์ธ ตื่นเร็ว!” เด็กชายร้องเรียกเพื่อนของเขา “ดาฟเน่กำลังจะแย่แล้ว!”

สติที่เลือนรางของเอิร์ธถูกเรียกให้กลับคืนมาทันที เขาลืมตาขึ้นและสะบัดหัวไปมาอย่างมึนงงก่อนจะหันไปที่นัคเคลอย่างรวดเร็ว

“ดาฟเน่” เขาเรียกเพื่อนอย่างตกใจเมื่อเห็นเอลฟ์ร้ายกำลังจะส่งร่างของนางเข้าไปในปากของมัน เอลฟ์สาวดิ้นเต็มแรงอย่างหวาดกลัว

“ช่วยด้วยเอิร์ธ” ดาฟเน่ร้องเสียงหลง เอิร์ธกระชากดาบของเขาออกมาและวิ่งเข้าไปหานัคเคลลาวีอย่างไม่กลัวตาย

“ปล่อยดาฟเน่นะเจ้าสัตว์ร้าย”

เขาจ้วงแทงและฟันร่างของอสูรเอลฟ์อย่างบ้าคลั่ง มันหยุดชะงักและก้มลงมองดู เสียงร้องคำรามอย่างรำคาญดังขึ้นก่อนมันจะเงื้อกำปั้นและทุบลงไปยังเอิร์ธ

“ระวัง เอิร์ธ!”

ดาฟเน่ร้อง เด็กชายเงยหน้าขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่กำปั้นอันมโหฬารของนัคเคลทุบลงไป
ดาฟเน่กรีดเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นเพื่อนของนางหายไปภายใต้กำปั้นนั้น เจ้านัคเคลยกมือของมันขึ้นและจ้องมองดูหลุมรอยมือของมันก่อนจะส่งเสียงร้องอย่างพอใจ เจ้าเอลฟ์ผีหันมาให้ความสนใจกับดาฟเน่อีกครั้ง

“คิดว่าข้าจะเสร็จแกง่ายๆอย่างนั้นหรือ” เสียงพูดดังขึ้น เอิร์ธค่อยๆคลานออกมาจากปลายเท้าของนัคเคล แม้ว่าเกราะของนางฟ้าจะช่วยป้องกันแรงกระแทกที่หนักหน่วงของเอลฟ์อสูรให้เบาลง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เอิร์ธ ปลอดภัยและรอดพ้นจากความบาดเจ็บ เขาถ่มเลือดออกมาจากปากและมองจ้องดูนัคเคลด้วยสายตามุ่งร้าย

“ข้ามาแล้วดาฟเน่” เอิร์ธคว้าคันธนูของเขาขึ้นมาและเอื้อมมือไปทางด้านหลังเพื่อทำท่าหยิบลูกศรที่มองไม่เห็นและวางพาดบนสาย

“อย่าเอิร์ธ หนีไป” ดาฟเน่ร้องเตือนเขาเมื่อเห็นนัคเคลเงื้อกำปั้นของมันขึ้นอีก แต่เอิร์ธกลับยิ้ม

“ขอพลังเทวีแห่งจันทราผู้เป็นเจ้าของลูกธนูนี้จงส่งธนูแห่งฟ้าลงมากำจัดเหล่าบริวารแห่งมารร้ายอิคิดน่าให้สิ้นซากไปด้วยเถิด”

เสียงดังผึงเมื่อเอิร์ธดีดสายธนูเปล่า พร้อมๆกับล้มลงนอนแน่นิ่ง นัคเคลเงื้อหมัดของมันค้างนิ่งกลางอากาศและยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหันไปทางดาฟเน่ที่กำลังร้องไห้

“เอิร์ธ” เด็กสาวร้องเรียกและมองจ้องนัคเคลอย่างกินเลือดกินเนื้อ “ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะล้างแค้นให้กับเพื่อนของข้า นัคเคล!”

นางดิ้นรนสุดแรงอีกครั้งแต่เจ้าอสูรร้ายไม่ใส่ใจ มันยกร่างน้อยๆขึ้นและเตรียมส่งเข้าปาก ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหวีดหวิวแหลมเล็กดังแทรกเสียงสายลมจากท้องฟ้า นัคเคลชะงักและเงยหน้าขึ้น ธนูนับร้อยดอกพุ่งลงมาจากเบื้องบนราวกับพายุฝนและปักไปบนร่างของมัน ทุกๆดอกราวกับถูกสั่งอย่างเจาะจงเพราะดูเหมือนธนูเหล่านั้นจะผ่านเลี่ยงหลบร่างของดาฟเน่ไป เจ้าเอลฟ์อสูรร้องคำรามอย่างขุ่นเคืองมากกว่าเจ็บปวด มือที่กำร่างของดาฟเน่นั้นคลายออก แม้จะได้รับบาดเจ็บจากแรงบีบของนัคเคลแต่ดาฟเน่ก็กัดฟันยืนตั้งมั่นก่อนจะประสานมือของนางไว้เบื้องหน้าและหลับตาลง

“ด้วยพลังแห่งวารีเทพ ของอำนาจแห่งท่านจะดลบันดาลให้หิมะทุกๆเกล็ดบนเทือกเขานี้กลับกลายเป็นกระแสธารที่เชี่ยวกรากเพื่อพัดพาร่างอุบาทว์อัปลักษณ์และต่ำทรามของนัคเคลกลับคืนไปสู่ขุมนรกด้วยเถิด”

สิ้นคำของดาฟเน่ ประกายแสงแห่งอัญมณีที่ประดับอยู่บนหน้าผากของนางก็สว่างเรืองรองขึ้น มันเจิดจ้าและเปล่งประกายเจิดจรัสไปจนทั่วบริเวณ ดาฟเน่ลดมือลงและรีบวิ่งไปยังร่างที่นอนหมดสติของเอิร์ธและออกแรงดึงเขาขึ้นไปบนก้อนหินสูงท่ามกลางเสียงดังสนั่นครั่นครืนราวกับฟ้าถล่มทลาย

“เฟลม ขึ้นไปยืนบนก้อนหินเร็ว!”

ดาฟเน่ตะโกนร้องบอกเฟลม เขาสะบัดดาบตัดนิ้วมือของทัลฟาร์ก่อนจะปีนขึ้นไปบนก้อนหินสูงก้อนหนึ่ง เอลฟ์อสูรทั้งสองร้องคำรามลั่นและรีบตามเด็กทั้งสามทันที แต่นัคเคลกลับหยุดชะงักกลางคัน มันหันไปมองดูในทิศทางด้านหนึ่งด้วยสายตาที่หวาดกลัวก่อนจะกลับหลังหันและวิ่งหนี กระแสน้ำอันเกิดจากอาคมของดาฟเน่นั้นไหลทะลักมาถึงตัวของมันเสียแล้ว เจ้าอสูรร้ายร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว มันล้มลงทันทีที่ถูกความแรงของกระแสน้ำกระแทกใส่ ทัลฟาร์ยึดหินก้อนหนึ่งไว้แน่นและค่อยๆไต่ไปหาเฟลม

น้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะที่เย็นยะเยือกนั้นกลับกลายเป็นน้ำร้อนเดือดพล่านสำหรับนัคเคล มันดิ้นพราดราวกับปลาที่ถูกทุบหัว กล้ามเนื้อที่ไร้ผิวหนังพองแดงและหลุดลอกออก อวัยวะภายในค่อยๆละลายและไหลทะลักออกจากร่างของมัน เสียงร้องที่ดังโหยหวนทำให้ทัลฟาร์ชะงักงันไปชั่วขณะ มันมองดูเอลฟ์ที่ถูกปลุกมาคู่กันค่อยๆละลายหายไปกับกระแสน้ำ เจ้านัคเคลกรีดเสียงร้องอีกครั้ง คราวนี้เป็นการร้องที่ดังและโหยหวนที่สุด ดวงตากลมโตที่อยู่กลางหน้าผากนั้นกลิ้งหมุนไปมาอยู่ภายในกระบอกตาก่อนจะหลุดออกจากเบ้าและระเบิดเสียงดังปุเบาๆ ร่างที่บัดนี้เหลือเพียงโครงกระดูกกำลังย่อยสลายไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อน้ำหยดสุดท้ายแห้งเหือดไป เจ้านัคเคลก็กลับไปสู่แดนนรกตลอดกาล ทัลฟาร์คำรามลั่นอย่างโกรธจัดและหันมาทางเฟลมอีกครั้งก่อนที่มันจะคิดทำอะไร พายุธนูก็ตกลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง มันปักลงบนร่างของเอลฟ์ชั่วจนทั่วร่างมองดูคล้ายเม่นหรือหมอนปักเข็ม เจ้าทัลฟาร์ร้องลั่นและพยายามปัดลูกธนูเหล่านั้นออก เฟลมค่อยๆปีนไปหาดาฟเน่อย่างระมัดระวัง

“ธนูนั่นมาจากไหนกันน่ะ ดาฟเน่” เขาถามอย่างสงสัย ดาฟเน่ที่กำลังหยดน้ำผึ้งสีทองเข้าปากเอิร์ธพยักหน้าไปทางกระบอกธนูที่ว่างเปล่าของเขาก่อนจะตอบ

“นั่นเป็นธนูฟ้า” นางค่อยๆวางร่างของเพื่อนให้นอนราบอย่างระมัดระวังก่อนจะลุกขึ้นยืน “แล้วข้าอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง ตอนนี้เราต้องกำจัดเจ้าทัลฟาร์ก่อน”

“ด้วยวิธีไหนกันล่ะ” เฟลมถาม ดาฟเน่มองหน้าเขาก่อนจะตอบ

“มันกลัวแสงอาทิตย์”

เฟลมแหงนมองดูท้องฟ้าที่มืดมัวแล้วพูดอย่างหมดทาง

“ท้องฟ้ามืดแบบนี้ จะไปหาแสงอาทิตย์มาจากไหนกัน”

“เรียกมาสิ” ดาฟเน่ตอบและหลับตาลง นางระบายลมหายใจออกน้อยๆก่อนจะชูมือทั้งสองขึ้นเหนือหัว

“ข้าแต่องค์เฟรย์เทพแห่งแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ข้าขอวิงวอนให้ท่านได้ทรงส่งประกายไฟแห่งเซิร์ทมากับอาร์วาคร์และอัลสวินเพื่อเผาผลาญทัลฟาร์เอลฟ์ที่แสนชั่วร้ายและต่ำทรามนี้ให้มอดไหม้ไปด้วยเถิด”

อัญมณีบนหน้าผากของดาฟเน่นั้นสุกสว่างจนแทบลุกเป็นไฟ ร่างน้อยๆนั้นสั่นสะท้านแต่ยังยืนหยัดมั่น กระแสลมที่พัดผ่านนั้นดังหวีดหวิวบาดหูไม่ขาดสาย เฟลมมองดูท้องฟ้าที่มัวหม่นก่อนจะหันไปทางทัลฟาร์ที่คลานมาหาพวกเขา เด็กชายเงื้อดาบขึ้นในท่าเตรียมพร้อมทันที

“พวกเราไม่มีทางเรียกแสงอาทิตย์มาได้หรอกดาฟเน่ นั่นมันเกินแรงเจ้ามากไป”

“เราต้องไล่พายุนี่ไป” ดาฟเน่พูดเสียงดัง “ใช้แตรของเจ้าเฟลม”

เฟลมคว้าแตรเขามิโนทอร์ของเขาขึ้นมาทันที เด็กชายหันปากแตรไปบนท้องฟ้า แม้จะคิดว่าพลังของแตรนั้นคงไม่อาจขับไล่พายุอันเกิดจากเวทย์ของอิคิดน่าไปได้ แต่เฟลมก็รวบรวมพลังทั้งหมดที่มีอยู่เป่าสุดแรง เสียงของแตรทุ้มต่ำและดังก้องกังวานไปไกล มันดังกว่าทุกครั้งและยาวนานกว่าทุกที แม้ว่าเฟลมจะหยุดเป่าแล้วก็ตามแต่เสียงแตรก็ยังคงดังก้องอยู่ ราวกับมีมือมากระชากแตรนั้นออกไปจากมือของเฟลม มันลอยนิ่งอยู่กลางเวหาและดังก้องอยู่เช่นนั้น หมู่เมฆที่หนาทึบและมัวหม่นค่อยๆม้วนตัวและแยกออกจากกันดุจควันไฟที่กระจายเมื่อถูกเป่า กระแสลมที่รุนแรงหยุดลงอย่างฉับพลัน หิมะที่ตกหนาแห้งเหือดไปจนหมดสิ้น

เสียงแตรยังคงดังก้องกังวานทัลฟาร์นั้นบิดตัวไปมาและยกมือของมันขึ้นอุดหู แสงรำไรของพระอาทิตย์ค่อยๆฉายลงมายังพื้นเบื้องล่างและสว่างจ้าขึ้นทีละน้อย เจ้าเอฟล์อสูรนั้นถึงกับตะกายไปตามชะง่อนหินเพื่อหาที่หลบแต่ไม่พ้นด้วยแสงแห่งดวงตะวันนั้นเลื่อนไล่ตามมันไปติดๆ เจ้าทัลฟาร์ตะเกียกตะกายหนีลนลานและกรีดร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกแสงของดวงอาทิตย์ฉายลงไปที่ร่างของมันเต็มที่ เหมือนลูกปลาที่ถูกย่างในกองเพลิง เจ้าอสูรร้ายพองไหม้ไปทั้งร่าง กลิ่นเหม็นไหม้ลอยคละคลุ้งอบอวลไปจนทั่ว หนอนที่ทะลักพรั่งพรูออกมาจากปากของมันดิ้นพล่านทุรนทุรายก่อนจะแห้งตาย เลือดของทัลฟาร์เดือดราวกับน้ำในกาที่ตั้งไฟและค่อยๆแห้งไปเหมือนกับร่างของมันที่เริ่มหงิกงอและไหม้เกรียมแต่แทนที่จะสลายหายไปเหมือนนัคเคล ทัลฟาร์กลับค่อยๆเป็นซากที่แห้งและแข็งจนกลายเป็นหิน เหล่าหนอนทั้งหลายกลายเป็นก้อนกรวดเล็กๆตกเกลื่อนโดยรอบ แสงอาทิตย์ที่ฉายลงมานั้นอ่อนแรงลงและถูกเมฆบดบังจนหายไปอีกครั้ง แตรของเฟลมร่วงลงมาจากท้องฟ้า มันแตกออกเป็นสองเสี่ยง เด็กชายถือมันไว้ด้วยความรู้สึกราวกับสูญเสียของสำคัญไปก่อนจะหันไปทางดาฟเน่ที่ค่อยๆทรุดตัวล้มลง

“ดาฟเน่!”

เฟลมทิ้งแตรในมือและวิ่งไปรับร่างของเอลฟ์น้อยไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงฟาดพื้น เขาค่อยๆประคองนางให้นอนลงและถามด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าเป็นอะไรไป ดาฟเน่”

“ข้าใช้พลังมากเกินไป” ดาฟเน่ตอบเสียงหอบ “การเรียกดวงอาทิตย์นั้นมีเพียงราชาแห่งเอลฟ์พ่อของข้าเท่านั้นจึงจะทำได้”

“เจ้าไม่น่าฝืนตัวเองเลย” เฟลมครวญและหันไปทางเอิร์ธที่ยังคงนอนหมดสติอยู่ ดาฟเน่ยิ้มน้อยๆก่อนจะพูด

“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก เฟลม พักนิดหน่อยข้าก็เหมือนเดิมแล้ว”

นางถอนหายใจหนักๆก่อนจะหลับตาลง เฟลมมองดูเพื่อนทั้งสองด้วยความห่วงใยโดยไม่รู้ตัวว่ามีแมงป่องยักษ์หลายสิบตัวกำลังคืบคลานมาหาเขาอย่างเงียบๆ พายุธนูพรั่งพรูลงมาจากฟ้าอีกครั้งมันแทงทะลุร่างที่มีเปลือกแข็งของเหล่าแมงป่องอย่างง่ายดายราวมีดร้อนที่แทงลงไปบนเนย เจ้าแมงป่องพลิกร่างนอนหงายตายเกลื่อนกลาดท่ามกลางความตกใจของเฟลม เขามองไปรอบๆ และหยุดสายตาไว้ที่อิคิดน่าซึ่งกำลังลอยอยู่ไม่ห่างไปจากเขา สีหน้าของนางนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างที่สุด นางสะบัดมือขึ้น เปลวเพลิงสีน้ำเงินแผดเผาธนูทุกดอกที่พุ่งลงมาจากฟ้า นางมารร้ายจ้องหน้าเฟลมนิ่ง

“เก่งมากเจ้าเด็กโอหัง” อิคิดน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามสะกดความโกรธเอาไว้ “แต่เจ้าก็มาได้เพียงแค่นี้แหละ”

เฟลมลุกยืนขึ้นและชี้ดาบไปยังนางก่อนจะพูดเสียงดังอย่างไม่กลัวเกรง

“ข้าจะมาทวงวิญญาณแม่ของข้ากลับ และจะสับร่างแกให้เละเพื่อแก้แค้นให้กับสกอลล์ที่ต้องตายไปด้วย”

อิคิดน่าเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเสียงก้องฟ้า นางมองดูเฟลมด้วยสายตาสมเพช

“แค่สังหารสมุนของข้าไปไม่กี่ตัวก็คิดว่าเก่งกาจจนสามารถจัดการกับข้าได้แล้วรึ เจ้าเด็กโอหัง” นางหรี่ตาลงและมองดูเอิร์ธและดาฟเน่ที่ยังคงนอนอยู่ “เจ้าไม่น่าพาเพื่อนของแกมาตายด้วยเลย เฟลม”

“อย่ามาแตะต้องเพื่อนของข้า” เฟลมตะโกน “เข้ามาจัดการกับข้าดีกว่าถ้าแกต้องการ แต่อย่าหวังว่าข้าจะยอมยืนอยู่เฉยๆให้แกลงมือเพียงฝ่ายเดียว”

อิคิดน่าไม่ตอบ นางมองดูสมุนของนางที่กำลังปีนก้อนหินขึ้นไปหาเด็กทั้งสองที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ เฟลมกระโดดมาขวางและไล่ฟันพวกมันจนแตกกระเจิงรวมกับธนูที่พุ่งลงมาจากฟ้าทุกครั้งที่เหล่าบริวารของอิคิดน่าปรากฏขึ้นทำให้นางมารร้ายกำมือแน่น

“แกไม่มีทางหยุดธนูฟ้าของเทพอาร์ทิมีสได้หรอก อิคิดน่า” เสียงแผ่วๆของเอิร์ธดังเยาะขึ้น เขาพยายามยันกายให้ลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก

“แกเรียกธนูวิเศษนั้นได้อย่างนั้นหรือ” อิคิดน่าร้องถามเสียงเครียด เอิร์ธหัวเราะเบาๆ

“ข้าเรียกธนูแห่งเทพไม่ได้หรอก แต่ข้าใช้ความสามารถในการยิงธนูของข้าแลกมาต่างหาก” เขาพูดก่อนจะหันไปทางเฟลม

“ไม่ต้องห่วงเพื่อน จะไม่มีผีร้ายหรือบริวารตัวไหนของนางมารชั่วรอดพ้นจากธนูฟ้าของเทพีแห่งจันทราไปได้หรอก”

อิคิดน่าจ้องมองเอิร์ธด้วยสายตาเคียดแค้นและชิงชัง นางร้องคำรามออกมาคำหนึ่งก่อนจะกางมือของนางออกและชี้ไปทางเขา

“จงตายตามแม่ของเจ้าไปเถอะ เจ้าเด็กอวดดี”

เอิร์ธเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงหัวเราะเยาะอิคิดน่าก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสูง

“แม่ของข้าป่านนี้คงกำลังนั่งทอเสื้อตัวใหม่รอข้าอยู่ในบ้านด้วยความแข็งแรงและสดชื่นอย่างที่แกนึกภาพไม่ออกแน่ๆ อิคิดน่า แกคิดว่าไอ้เจ้าแมงป่องพวกนั้นจะมีความสามารถพอที่จะสังหารคนได้จริงๆอย่างนั้นหรือ”

“ว่าไงนะ” อิคิดน่าย้อนถามเสียงสูงเช่นเดียวกัน เอิร์ธมองหน้านางแน่วนิ่ง

“น้ำผึ้งสีทองในป่าเซ็นทอร์ช่วยล้างพิษร้ายออกจากร่างกายของแม่ข้า” เขาหันไปยิ้มให้กับ
เฟลม

“ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนอย่างเฟลมและสกอลล์”

ดวงตาของอิคิดน่าลุกเป็นไฟเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางหายใจอย่างรุนแรงด้วยความโกรธและพ่นคำพูดที่ฟังไม่ออกออกมาประโยคหนึ่ง แสงสีม่วงเข้มจนบาดสายตาระเบิดออกมาจากปลายนิ้วของนางและพุ่งไปยังร่างที่นั่งอยู่ของเอิร์ธ เขาผวาขึ้นสุดตัว

“เอิร์ธ”

เฟลมร้องเสียงหลงเมื่อมีน้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาทั่วร่างเพื่อนของเขา พริบตาเดียวร่างของเอิร์ธก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปจนหมด ดาฟเน่อุทานออกมาด้วยความตกใจในขณะที่เฟลมร้องด้วยความโกรธ

“แกฆ่าเอิร์ธ!”

เขาหันไปทางอิคิดน่าและพุ่งไปหานางทันที นางมารร้ายลอยถอยห่างออกไปเล็กน้อยก่อนจะร่ายเวทย์อีกครั้ง เปลวไฟสีน้ำเงินลุกขึ้นรอบตัวของดาฟเน่ นางรีบลุกขึ้นและพยายามจะกระโดดหนี แต่ขาทั้งสองข้างกลับแข็งขืนไม่ยอมทำตาม เด็กสาวก้มลงมองดูอย่างสงสัยและตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าขาของนางกำลังค่อยๆกลายสภาพเป็นหิน

“ไม่!” นางร้องออกมาด้วยความแค้นมากกว่าหวาดกลัว “ข้าไม่ยอมโดนสาบจนกว่าจะตัดหัวนางแม่มดนี่ได้”

เสียงของดาฟเน่เงียบหายไป ร่างน้อยๆกลายเป็นรูปสลักหินที่ตั้งตระหง่านอยู่บนชะง่อนหินเคียงคู่กับก้อนน้ำแข็งเอิร์ธ เฟลมอ้าปากค้างเมื่อเห็นดังนั้น เขาร้องออกมาด้วยความรู้สึกแค้นใจอย่างที่สุดก่อนจะหันไปฟาดฟันดาบเข้าใส่อิคิดน่าอย่างบ้าคลั่ง นางมารร้ายหัวเราะเยาะหยันขณะเลื่อนกายหลบ

“แกไม่มีทางทำร้ายข้าได้หรอก เฟลม ไม่แม้แต่รอยแผลสะกิดแค่ปลายนิ้ว” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันและถากถาง เฟลมตวัดดาบใส่อิคิดน่าแต่นางยกมือขึ้นรับพร้อมกับจ้องคมดาบนิ่ง

“คมเขี้ยวแห่งสกอลล์” อิคิดน่าอ่านชื่อของดาบแล้วหัวเราะ “ท่าทางมันคงจะเป็นเขี้ยวของหมาแก่ๆมากกว่านะ เจ้าเด็กโอหัง” นางมารร้ายกระชากดาบออกจากมือของเฟลมและเหวี่ยงมันไปที่พื้นพร้อมกับคว้าลำคอของเขาและออกแรงบีบ

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจะมองดูเจ้าทนทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะตาย จงร้องไห้กับการตายของเพื่อน จงคร่ำครวญกับความล้มเหลว จงโหยหวนยามที่มองดูข้าสนุกกับดวงวิญญาณแม่ของเจ้า และเจ็บปวดกับความปราชัยของเจ้าไปจนตายเถอะ เฟลม”

นางผลักเฟลมออกไปและลอยขึ้น เด็กชายค่อยๆทรุดกายนั่งลงอย่างท้อแท้และหมดหวัง อิคิดน่ามองดูเขาด้วยความรู้สึกสาสมใจก่อนจะลอยกลับไปยังปราสาทของนาง ทิ้งให้เฟลมจมอยู่กับความพ่ายแพ้ท่ามกลางเสียงลมที่พัดหวีดหวิวบาดหัวใจ

“ข้าแพ้” เขาพูดช้าๆ “ข้าทำไม่สำเร็จ” เด็กชายซุกหน้าลงบนพื้นหิมะและร้องไห้เสียงดัง “ข้าขอโทษด้วยท่านแม่ ข้าขอโทษด้วยสกอลล์ ข้าขอโทษเอิร์ธ ดาฟเน่ เพราะข้าพวกเจ้าถึงต้องมาตายแบบนี้”

เฟลมลุกขึ้นและเดินโซเซไปหยิบดาบของสกอลล์มาถือไว้ คมดาบที่เคยเปล่งประกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาที่หม่นหมอง เขายกมันขึ้นมาจรดไว้ที่หน้าผากก่อนจะเดินไปที่ร่างแข็งเย็นชืดสองร่างบนก้อนหิน เฟลมทิ้งตัวนั่งลงอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลพรากอาบใบหน้าจนเปียกโชกชุ่ม

“เป็นเพราะความไม่เอาไหนของข้าพวกเจ้าถึงได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้” เฟลมพูดเบาๆพลางลูบมือไปบนก้อนศิลาทั้งสอง

“ข้าควรจะทำยังไงต่อไปดี เอิร์ธ ดาฟเน่ คมเขี้ยวแห่งสกอลล์ไม่อาจทำลายอิคิดน่าได้ แตร
มิโนทอร์ก็พังไปแล้ว เมล็ดแห่งไกอาก็ไม่มีเหลือ ข้าจะเอาอะไรไปต่อกรกับอิคิดน่ากัน”

“ความกล้าหาญไงล่ะ” เสียงหนึ่งตอบอยู่ในจิตใต้สำนึกของเฟลม เขาสะอื้น

“แค่นั้นไม่ทำให้อิคิดน่าตายได้หรอก” เขาเถียงกับตัวเอง แต่เสียงนั้นกลับตอบกลับมา

“เพราะเจ้าคิดอยู่แต่เพียงเรื่องฆ่าเท่านั้น”

“แล้วจะให้ข้าคิดอะไรกันในเมื่อนางมารนั่นสมควรได้รับผลกรรมแบบนั้นที่สุด” เฟลมพูดอย่างฉุนเฉียว

“ความเกลียดชังทำให้หัวใจของเจ้ามืดบอด เจ้าในตอนนี้นั้นไม่ต่างไปจากอิคิดน่าไปสักเท่าไหร่เลย เฟลม”

เสียงในความคิดดังแว่วออกมา เฟลมหยุดชะงักนิ่ง

“ข้า เหมือนอิคิดน่า” เขาทวนคำสองสามครั้งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่! ข้าไม่มีวันเหมือนนางแม่มดนั้น”

เฟลมตะโกนก้อง

“ข้าจะไม่มีวันเหมือนนาง!”

เสียงพูดในหัวของเขาเงียบหายไป เฟลมลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆและยกดาบขึ้น

“ต่อให้ต้องตายสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง ข้าก็จะขอจัดการกับเจ้าจนกว่าจะสิ้นซาก อิคิดน่า”

เฟลมหันกลับมามองดูร่างของเพื่อนทั้งสองอีกครั้ง เขาก้มหัวลงน้อยๆก่อนจะพูด

“ข้าขอสาบานต่อหน้าพวกเจ้าว่าข้าจะสังหารนางแม่มดร้ายให้สิ้นชีพและนำหัวของมันมาวางไว้ตรงหน้าพวกเจ้า”

เฟลมยกดาบขึ้นจรดกับอกเป็นการยืนยันคำสาบาน ก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินจากไป แสงสว่างสีเขียวส่งประกายออกมาเรืองรองจากทางด้านหลังของเขา เฟลมหันกลับไปดูอย่างสงสัย เด็กชายเบิกตากว้างอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอัญมณีที่ประดับบนหน้าผากของดาฟเน่ไม่ได้กลายเป็นหินเหมือนเครื่องประดับชิ้นอื่นซ้ำยังส่องแสงเจิดจรัสขณะที่ค่อยๆเลื่อนลอยออกมาจากร่างศิลาของเอลฟ์สาวเพื่อนของเขาและพุ่งวาบไปที่ด้ามของคมเขี้ยวแห่งสกอลล์ เฟลมยกดาบขึ้นมองดูทันที อัญมณีสีเขียวนั้นกำลังฝังตัวลงไปบนด้ามอย่างช้าๆ คมดาบที่เป็นสีเทาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินที่วาววับ ตัวอักษรรูนที่จารึกบนเนื้อดาบเปล่งแสงเรืองรองออกมา

“หัวใจของข้าจะร่วมเป็นหนึ่งกับสกอลล์” เสียงของดาฟเน่แว่วมาจากอัญมณีก้อนนั้น เฟลมกุมดาบในมือของเขาไว้แน่น

“ดาฟเน่”

เด็กชายเรียกชื่อเอลฟ์สาวเบาๆ ก่อนจะหันไปมองที่ร่างของเอิร์ธ กระบอกใส่ธนูที่ตกอยู่ข้างๆนั้นปริแยกออกเป็นสองเสี่ยงและอ่อนตัวแบนราบจนกลายเป็นแผ่นวงรีโดยมีห่วงจับอยู่ตรงกลาง เฟลมก้มลงหยิบขึ้นมาพินิจ

“ข้าจะเป็นโล่ปกป้องเจ้า” เสียงเอิร์ธดังมาจากโล่นั้น เฟลมยิ้มทั้งน้ำตา

“หัวใจแห่งความกล้าหาญและเสียสละรวมทั้งความมุ่งมั่นจะเป็นอาวุธสำคัญของเจ้า เฟลม”

เสียงของสกอลล์ดังขึ้นในจิตสำนึกของเฟลม เขาหัวเราะและมองจ้องไปยังปราสาทของอิคิดน่า

“ข้าและเพื่อนๆของข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้ว อิคิดน่า”


*/*/*/*/*/*/*/*




Create Date : 18 มีนาคม 2554
Last Update : 18 มีนาคม 2554 10:15:17 น.
Counter : 446 Pageviews.

1 comment
ศึกแม่มดมหัศจรรย์ บทที่ 15 นาร์ซิสซา
<15>

นาร์ซิสซา

ยิ่งเข้าใกล้ที่ตั้งของปราสาทอิคิดน่ามากเท่าใด ความยากลำบากในการเดินทางก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ด้วยสายลมที่หนาวเหน็บและหิมะที่ตกหนาจนแทบจะท่วมร่างของเด็กทั้งสาม แต่ด้วยพลังของเกราะจากทิวลิปสีน้ำเงินทำให้เฟลม เอิร์ธและดาฟเน่กลับไม่รู้สึกถึงความเย็นของหิมะและสายลมที่พัดกรรโชกรุนแรงอยู่ตลอดเวลา พวกเขาค่อยไต่ไปตามหน้าผาที่สูงและลื่นอย่างระมัดระวัง จนในที่สุดทั้งสามคนก็ได้มาหยุดยืนที่หน้าบ่อน้ำขนาดใหญ่ซึ่งน้ำในบ่อมีสีเขียวจัดและนิ่งสนิทแม้จะโดนสายลมพัดผ่านแต่ผิวน้ำนั้นกลับเรียบราวกับแผ่นกระจกอยู่ตลอดเวลา เงาทะมึนของปราสาทอิคิดน่าสะท้อนอยู่บนแผ่นน้ำนั้น เฟลมมองดูเงาสีเทาหม่นนั่นก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองดูยอดปราสาทที่ตั้งอยู่บนผาสูงด้วยสายตาคั่งแค้นเกลียดชัง

“ปราสาทของนางแม่มดร้ายอยู่ข้างหน้านี่แล้ว แต่พวกเราจะข้ามบ่อน้ำนี่ไปได้ยังไง เฟลม”
เอิร์ธถามพลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ

“ไม่มีอะไรพอจะสร้างเป็นแพข้ามไปได้เสียด้วย” ดาฟเน่พูดเบาๆ “มีแต่หินกับน้ำเท่านั้น”

“ไม่รู้ว่าจะมีอะไรอยู่ใต้น้ำนั่นบ้างหรือเปล่า” เฟลมพูดอย่างระมัดระวัง “เพราะนี่คงไม่ได้เป็นแค่สระว่ายน้ำของนางมารร้ายแน่”

“จะลองดูมั้ย” เอิร์ธถามและง้างธนูออก “จงระเบิดน้ำนี้ให้กระจุย”

เขาพูดกับลูกศรก่อนจะยิงมันลง ทันทีที่กระทบผิวน้ำมันก็ระเบิดออกน้ำในบ่อแตกกระจายจนระลอกคลื่นขนาดใหญ่วิ่งไล่กันมากระทบฝั่งก่อนจะเงียบสงบลงเหมือนเดิม เอิร์ธมองเพื่อนของเขาก่อนจะพูด

“คงไม่มีตัวอะไรข้างใต้นั่นแน่ๆ”

เฟลมอ้าปากจะตอบแต่ต้องหุบนิ่งก่อนจะมองข้ามไหล่เพื่อนของเขาไปด้วยสายตาฉงน เอิร์ธหันกลับไปมองตามทันทีทั้งคู่เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ เมื่อพบว่าด้านหลังของเขานั้นมีร่างของชายหนุ่มในเครื่องแต่งกายที่แสนจะวิจิตรสวยงามคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆจากริมบ่อ ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้าที่งดงามและหล่อเหลาเป็นอย่างมากหากไม่นับรวมถึงใบหน้าของเหล่าเอลฟ์ทั้งหลายในนครมิดการ์ด ดวงตาสีฟ้าใสมองดูเฟลม เอิร์ธและดาฟเน่ไล่เรียงไปทีละคนก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่ม

“พวกเจ้าเป็นใครกันมาทำอะไรกันแถวนี้”

“พวกข้า………..”เฟลมตอบคำถามของเขาแต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นจะไม่ได้สนใจฟัง เขามองหน้าเด็กชายและถามขึ้นแทบจะทันที

“ข้าดูหล่อไหม” เขาถาม “เป็นคนที่มีใบหน้าสวยงามที่สุดใช่หรือไม่”

เขาพูดพลางมองหน้าเฟลมและเอิร์ธก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“เจ้าสองคนหน้าตาธรรมดาเหลือเกิน ส่วนเจ้า” เขาเพ่งมองดาฟเน่อย่างพิจารณา “หากเจ้าคิดจะมาขอข้าแต่งงานล่ะก็ เสียใจด้วยเพราะข้าไม่สนใจผู้หญิง”

เขาพูดพล่ามไปเรื่อย เฟลมและเอิร์ธมองหน้ากันอย่างฉงนส่วนดาฟเน่ถึงกับอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึงไปเลยทีเดียว

“ข้านี่นะจะมาขอเจ้าแต่งงาน ตลกมากเลยเจ้ามนุษย์” ดาฟเน่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความดูถูก ชายผู้นั้นเลิกคิ้วที่ดกหนาได้รูปของเขา

“มนุษย์” ชายผู้นั้นทวนคำก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่ใช่มนุษย์ ข้าชื่อนาร์ซิสซา เป็นชายที่หล่อเหลาที่สุดในโลก”

นาร์ซิสซาหันหน้าไปทางบ่อน้ำทันทีที่พูดจบประโยคและชะโงกหน้าลงไปมอง คิ้วที่สวยงามขมวดมุ่นก่อนจะหันกลับมาที่เด็กทั้งสามอย่างรวดเร็ว

“เขาหนีไป!” นาร์ซิสซาพูดห้วนๆ “ใครทำให้น้ำในบ่อสั่นไหวจนทำให้เขาต้องหนีไป”

“ใครหนีไป” เฟลมถามอย่างงงๆ “เรายังไม่เห็นใครที่นี่เลยสักคน”

“ต้องมีสิ!” นาร์ซิสซาตะคอก ใบหน้าที่หล่อเหลาเริ่มแปรเปลี่ยนไป “เขาคนนั้นคนที่เป็นคนรักของข้า คนที่คอยมองข้าตลอดเวลาจากใต้น้ำนั่น เงาของข้า!”

เอิร์ธถอยหลังออกมาสองสามก้าวก่อนจะกระซิบกับเฟลมเบาๆ

“เจ้านี่มันคนบ้านี่เฟลม”

“ในเขตของอิคิดน่านี่น่ะหรือ” เฟลมกระซิบตอบ “ข้าว่ามันชักจะยังไงแล้ว”

เสียงหอบหายใจที่เกิดจากความโกรธแค้นของนาร์ซิสซาเริ่มรุนแรงขึ้น เขาฟาดแขนทั้งสองไปมาด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองขัดใจปากก็พร่ำพูดไม่ขาด

“คนรักของข้า เงาของข้า! มันหาย มันหายไป! พวกเจ้าพาเงาที่รักของข้าไปที่ไหนบอกมา!”

ร่างกายที่แสนหล่อเหลาและงดงามของนาร์ซิสซาค่อยๆยืดสูงขึ้น ใบหน้าที่สวยงามแปรสภาพไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีฟ้าสดใสเบิกกว้างจนแทบถลนออกมานอกเบ้า ริมฝีปากที่เรียวบางสวยได้รูปค่อยๆฉีกกว้างและยื่นออกมาข้างหน้า ผมสีทองที่ส่องประกายเริ่มหงิกงอและยืดยาวออกก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ร่างกายท่อนล่างนั้นเริ่มมีเกล็ดสีดำปกคลุมและยาวออก จากร่างของชายหนุ่มที่แสนงดงามนั้นบัดนี้กลายเป็นร่างของอสูรร้ายไปอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางสายตาตะลึงลานของเด็กทั้งสาม

“ตัวอะไรกันน่ะ”

เฟลมอุทานก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อมือที่มีกรงเล็บยาวแหลมคมกางออกและพุ่งเข้าใส่สหายทั้งสามอย่างรวดเร็วราวปานงูฉก เฟลมและเอิร์ธกระโดดหลบไปคนละทาง ส่วนดาฟเน่นั้นม้วนตัวหลบและดีดตัวขึ้นไปยืนบนก้อนหินใหญ่ที่อยู่บนริมผั่ง นางดึงดาบออกมาจากฝักและฟันเข้าใส่กรงเล็บที่พุ่งตามมาทันที มันขาดกระจุยกระจายไปคนละทาง ร่างอัปลักษณ์กรีดร้องโหยหวนขณะที่มันมองดูมือของตัวเอง

“เล็บที่แสนสวยงามของข้า” มันครวญ “นังตัวดี!แกกล้าดียังไงถึงมาตัดเล็บของข้า!”

นาร์ซิสซาพุ่งปราดเข้าใส่ดาฟเน่อย่างโกรธแค้น นางกระโดดลงจากก้อนหินและวิ่งหลบหลีกไปมาอย่างว่องไวทำให้อสูรร้ายยิ่งเดือดดาลมากขึ้น หางที่เป็นงูของมันม้วนเป็นวงและสะบัดใส่ดาฟเน่ที่วิ่งไปจนมุมยังก้อนหินก้อนหนึ่ง นางพยายามกระโดดหลบแต่ไม่ทัน ร่างเล็กๆกระเด็นหวือไปตามแรงทันที

“ดาฟเน่!”

เฟลมและเอิร์ธร้องด้วยความตกใจ เฟลมกระชับคมเขี้ยวแห่งสกอลล์แน่นก่อนจะวิ่งเข้าไปหานาร์ซิสซาทันทีพร้อมๆกับเงื้อดาบในมือขึ้นและฟันลงไปที่แขนซึ่งกำลังไล่คว้าร่างของดาฟเน่โดยแรง คมดาบชำแรกเนื้อตัดผ่านไปถึงกระดูกและขาดสะบั้นออก นาร์ซิสซาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

“แขนของข้า แขนที่เรียวงามผุดผ่องของข้า”

มันตะโกนก้องพร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งมาที่เฟลม เด็กชายตวัดดาบของเขาอีกครั้ง เลือดสีเขียวพุ่งกระฉูดออกมาจากแขนอีกข้างที่เหลือของนาร์ซิสซา มันถอยหลังลงไปที่บ่อและดิ้นพล่านจนน้ำแตกกระจาย

“ยิงตาของมัน เอิร์ธ” ดาฟเน่พูดทั้งที่ยังหอบหายใจ เอิร์ธที่กำลังประคองร่างของนางรีบลุกขึ้นฉวยธนูและเล็งไปที่ดวงตาของนาร์ซิสซาทันที ลูกธนูสองดอกเสียบทะลุเข้าไปในดวงตาของอสุรกายอย่างแม่นยำ นาร์ซิสซาส่งเสียงกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด มันดิ้นพล่านไปมาอย่างคุ้มคลั่งและหยุดนิ่งลงสิ้นชีพ ร่างกายอันใหญ่โตและยาวเหยียดของมันทอดยาวข้ามไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งของบ่อ เฟลมค่อยๆพยุงร่างของดาฟเน่ให้ยืนขึ้นพร้อมกับถามอย่างเป็นห่วง

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เอลฟ์สาวส่ายหน้าพลางเลื่อนมือไปกุมแถวบริเวณหน้าอก เอิร์ธรีบดึงขวดน้ำผึ้งสีทองออกมาและรินให้นางดื่มทันที เฟลมมองด้วยสายตากังวล

“ดาฟเน่”

“ข้าไม่เป็นไร น้ำผึ้งสีทองจะช่วยให้บาดแผลของข้าสมานกันได้อย่างรวดเร็ว”

เด็กชายผงกศีรษะก่อนจะหันไปมองอสูรร้ายที่นอนตายลอยอยู่ในบ่อ

“โฃคดีจริงที่เจ้านาร์ซิสซานอนตายพาดกลางบ่อแบบนี้” เฟลมพูด “พวกเรารีบอาศัยตัวของมันเป็นสะพานข้ามไปผั่งโน้นกันเถอะก่อนที่มันจะจมลงไปในน้ำอีกครั้ง”

“แน่ใจหรือว่าเราข้ามไปได้” เอิร์ธถามอย่างไม่ไว้วางใจ เฟลมมองหน้าเขา

“มันต้องลองดู” เขาตอบสั้นๆก่อนจะเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสองไปด้วยท่าทางมั่นใจ เอิร์ธมองดาฟเน่ก่อนจะถาม

“เจ้าไปไหวมั้ย ดาฟเน่”

“ข้าไปไหวเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเอิร์ธ เจ้ารีบข้ามไปก่อน แล้วข้าจะวิ่งตามไป”

เอิร์ธมองเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วงอีกครั้งก่อนจะเดินข้ามร่างของนาร์ซิสซาไปยังอีกฝั่ง
ดาฟเน่กระโดดขึ้นไปยืนบนแขนที่ขาดด้วนของซากอสูรและเดินข้ามไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เท้าของนางสัมผัสพื้น ร่างอันแสนอุบาทว์ของนาร์ซิสซาก็ค่อยๆจมหายลงไปในบ่อน้ำ

“ทางขึ้นปราสาทอิคิดน่า” เฟลมพูดหลังจากมองดูร่างปิศาจจมหายไปกับสายตาแล้วและหันกลับไปทางเส้นทางขึ้นสู่ปราสาทของแม่มดร้าย

“ไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรรอเราอยู่อีก” เอิร์ธพูดเบาๆ ดาฟเน่ยิ้ม

“ถ้ากลัวก็รอพวกเราอยู่ที่นี่ก็ได้”

“แล้วพลาดการตัดหัวนางมารร้ายนั่นน่ะเหรอ ไม่มีทาง” เอิร์ธตอบยิ้มๆ ดาฟเน่มองดูเขาและหันไปทางเฟลม

“เจ้าล่ะ เฟลม”

“ข้ารอเวลาที่จะไปจัดการกับนางจนแทบไม่ไหวแล้ว” เฟลมพูดพลางกระชับดาบในมือไว้แน่น “สกอลล์เองก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“งั้นจะมาพูดกันอยู่ทำไม ลุยเข้าไปเลยดีกว่า” เอิร์ธพูดขึ้น เด็กทั้งสามมองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะก้าวและเดินขึ้นสู่เส้นทางที่นำไปยังปราสาทอิคิดน่าพร้อมๆกัน

*/*/*/*/*/*/*




Create Date : 11 มีนาคม 2554
Last Update : 11 มีนาคม 2554 9:53:40 น.
Counter : 364 Pageviews.

0 comment
ศึกแม่มดมหัศจรรย์ บทที่ 14 คมเขี้ยวแห่งสกอลล์
<14>

คมเขี้ยวแห่งสกอลล์

อิคิดน่าเหวี่ยงลูกแก้วที่ใช้ส่องติดตามดูเฟลมลงบนพื้นปราสาทอย่างแรงจนแตกกระจาย นางกำมือแน่นก่อนจะหันมาทางครอบแก้วที่บรรจุดวงวิญญาณแม่ของเฟลมไว้แล้วคำรามด้วยความโกรธ

“ลูกเจ้าจะไม่มีวันได้เหยียบบันไดปราสาทของข้า ข้าจะไม่ยอมเป็นไปตามคำทำนายของเทพแห่งแดนเหนือเป็นอันขาด”

นางสะบัดเดินออกไปที่ยืนบนกำแพงหน้าปราสาทและยกมือชูขึ้นสูงก่อนจะร่ายมนต์ด้วยภาษาที่เก่าแก่ระรัวเร็ว กลุ่มเมฆสีเทาหม่นค่อยๆหมุนวนอยู่เหนือร่างของนาง แสงไฟแปลบปลาบอยู่ภายในเมฆนั้น เสียงดสะท้านครั่นครืนดังจนแผ่นดินสะเทือน ดวงตาของอิคิดน่าเพ่งมองจ้องออกไปเบื้องหน้าก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง

“เหล่าบริวารของข้า อสูรร้ายจากใต้พิภพ อสูรสัตว์จากก้นบึ้งแห่งอเวจี จงฟังข้า พวกเจ้าจงออกไปยับยั้งและทำลายเจ้าเด็กโอหังทั้งสามและก็อบลินที่ยะโสให้พินาศสูญสิ้น อย่าให้พวกมันล่วงล้ำเข้ามาเหยียบย่ำบนพื้นปราสาทของข้า จงไป บริวารที่สัตย์ซื่อและภักดี ไปและกัดกินพวกมันให้สิ้น!”

สิ้นเสียงของอิคิดน่า กลุ่มเมฆสีเทาก็เคลื่อนตัวไปยังทิศทางที่เฟลมกับพวกกำลังเดินทางทันที แผ่นดินโดยรอบเชิงเขาสั่นไหวกระเพื่อมราวกับมีชีวิตซึ่งกำลังเคลื่อนที่ตามหมู่เมฆเหล่านั้นและตรงดิ่งไปยังเฟลมและเพื่อนๆเช่นเดียวกัน
*/*/*/*/*/*

ดาฟเน่หยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินค้างนิ่ง นางเอียงหน้าน้อยๆพยายามฟังเสียงอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนเข้ามา สีหน้าของเอลฟ์สาวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะหันกลับมาทางเฟลม

“มีอะไรบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!”

“ไม่ใช่แค่อะไรบางอย่าง…แต่เป็นอะไรจำนวนมากต่างหาก” สกอลล์แก้ด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว “ข้าสัมผัสได้จากความสั่นสะเทือนของแผ่นดินที่ปลายเท้าของเฟลม!”

เอิร์ธจัดแจงขยับธนูของเขาและดึงลูกศรออกมาพาดสายไว้อย่างรวดเร็ว เฟลมมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง มือของเขากำแตรเขามิโนทอร์เอาไว้แน่นในขณะที่ดาฟเน่ดึงดาบของนางออกจากฝัก เป็นจริงอย่างที่สกอลล์พูด พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่นั้นเริ่มสั่นสะเทือนและแรงขึ้นจนทั้งสามแทบทรงตัวไว้ไม่ได้ เฟลมร้องบอกให้ก็อบลินเข้าไปหลบอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง ร่างอัปลักษณ์ของอสูรสัตว์ตัวหนึ่งบิดตัวขึ้นมาจากใต้พื้นดินและอ้าปากร้องคำรามลั่นก่อนจะยืดตัวสูงขึ้น เอิร์ธยิงธนูเข้าใส่มันทันที คมธนูชำแรกทะลุผ่านร่างของมันและฝังติดแน่น เจ้าปิศาจร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะยืดมือของมันออกมาหมายจะคว้าร่างของเอิร์ธ เขาม้วนตัวกลิ้งหลบได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะพาดธนูใหม่อีกครั้ง ดาฟเน่เงื้อดาบของนางและฟันลงไปที่ข้อเท้าของมันเต็มแรง เจ้าสัตว์ร้ายก้มตัวลงมาทันที เฟลมยกแตรเขามิโนทอร์ขึ้นเป่าสุดกำลัง เจ้าสัตว์ร้ายยกแขนของมันขึ้นปิดหูและร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดก่อนจะล้มลงนอนบิดตัวไปมาจนหิมะแถวนั้นกระจัดกระจาย

เอิร์ธรีบปีนขึ้นไปบนชะง่อนหินและพาดธนูเล็ง เปลวไฟสีแดงฉานสว่างวาบขึ้นที่ปลายของลูกศรนั้นและลุกติดโชติช่วง เขาปล่อยธนูเข้าใส่ร่างของปิศาจที่กำลังนอนดิ้นอยู่เบื้องหน้า มันร้องโหยหวนเมื่อไฟลุกไหม้จนท่วมร่าง เอิร์ธยิ้มออกมาอย่างสะใจก่อนจะกระโดดลงมา ยังไม่ทันที่เท้าของเขาจะได้แตะกับพื้นหิมะ มือที่เต็มไปด้วยเล็บที่แหลมคมก็แทงทะลุผ่านผิวดินขึ้นมาคว้าข้อเท้าของเขาไว้ อสูรกายที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์แต่ท่อนล่างกลับเป็นงูที่มีเกล็ดสีดำมะเมื่อมค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นมาจากใต้ดิน ลิ้นเป็นเมือกลื่นแลบออกมาจากปากราวกับลิ้นของงูปล่อยของเหลวสีแดงสดไหลออกมาจากปากที่กำลังแสยะอ้าออกและหยดลงบนหิมะ มันระเหยกลายเป็นไอไปในทันที เฟลมมองดูเจ้าสัตว์ร้ายด้วยสีหน้าที่ตื่นตะลึงก่อนจะหันไปมองดูเอิร์ธที่กำลังดิ้นอยู่ในอุ้งมือของมันด้วยสายตากังวล

“ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เอิร์ธ” เฟลมร้องตะโกนบอกก่อนจะหันไปทางดาฟเน่ “ขอยืมดาบของเจ้าหน่อย”

เขายื่นมือออกไปแต่เอฟล์สาวน้อยกลับส่ายหน้า

“ข้าจัดการกับเจ้านั่นเอง” พูดจบนางก็กระโดดขึ้นไปบนลำตัวของปิศาจครึ่งคนครึ่งงูและก้มตัวหลบกรงเล็บที่ไขว่คว้าเพื่อจะไล่จับนางอย่างว่องไวพร้อมกับไต่ไปบนลำตัวของมันอย่างรวดเร็ว

“ระวังตัวด้วยดาฟเน่ เจ้านี่คือไทฟอน” สกอลล์ร้องเตือน ดาฟเน่ขมวดคิ้วพร้อมกับตะโกนตอบกลับมา

“ข้ารู้แล้ว”

นางม้วนตัวกลิ้งไปบนไหล่ของไทฟอนและไถลตัวไปตามแขนของมันก่อนจะตั้งตัวยืนและเงื้อดาบขึ้นฟันไปบนข้อมือของมันสุดแรงจนข้อมือของมันขาดกระเด็น เลือดที่เป็นเหมือนกรดสาดกระจายไปจนทั่วบริเวณ ไอระเหยอันเกิดจากหิมะที่สัมผัสโลหิตอันร้อนแรงของมันลอยคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว ดาฟเน่ตะโกนร้องเตือนเพื่อของนางก่อนจะกระโดดลงมาจากแขนของปิศาจร้ายและวิ่งไปที่เอิร์ธซึ่งกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะให้หลุดพ้นออกจากมือที่ขาดสะบั้นของไทฟอน

“เร็วเข้ามันกำลังคลุ้มคลั่ง”

นางคว้าแขนของเอิร์ธและออกแรงดึงเขาออกมาจากกรงเล็บของไทฟอน ทั้งคู่วิ่งหนีห่างออกมาแต่เจ้าอสูรร้ายกลับหันมาทางพวกเขาและอ้าปากพ่นไฟออกมา เฟลมร้องอุทานลั่นและกระโดดเข้าไปหาเพื่อนทั้งสองของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับดึงลูกแก้วบอเรียของชาวเอลฟ์ออกมา

“จงกำบังพวกเข้าให้พ้นจากเปลวเพลิงด้วยเถิด!”

รัศมีสีฟ้าอ่อนแผ่กระจายออกมาจากลูกแก้วนั้น มันครอบคลุมคุ้มกันเด็กทั้งสามเอาไว้ภายใน เจ้าไทฟอนโกรธแค้นเป็นอย่างมากเมื่อไม่สามารถทำอะไรเฟลมและเพื่อนๆได้ มันสะบัดหางที่เป็นงูของมันไปมาและกระแทกไปที่เกราะลำแสงโดยแรงสองสามครั้ง แม้จะสั่นสะเทือนแต่เกราะไม่แตกแยกออกดังที่มันต้องการ เฟลมมองดูเอิร์ธและดาฟเน่ก่อนจะถามเสียงดัง

“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“พวกข้าปลอดภัยดี แต่เกราะกำแพงเวทย์นี่จะป้องกันเราไปได้นานแค่ไหนกัน” เอิร์ธถามด้วยสีหน้ากังวล เฟลมส่ายหน้า

“คงจนกว่าข้าจะหมดแรง” เขาตอบ “เจ้ามีวิธีจัดการเจ้าคนครึ่งงูนั่นมั้ย สกอลล์”

เฟลมร้องถามก็อบลิน อีกฝ่ายสั่นหน้า

“ไม่มี”

“พวกเราจะทำยังไงดี” ดาฟเน่ร้อง “ทำไมไม่ใช้เมล็ดแห่งแผ่นดินของไกอาอีกล่ะเฟลม”

“มันเหลือแค่สามเมล็ดและข้ายังไม่อยากจะใช้มันโดยไม่จำเป็น” เฟลมตอบ เอิร์ธแยกเขี้ยว

“ตอนนี้ยังไม่เรียกว่าจำเป็นอีกหรือ”

เฟลมนิ่งไปในทันที แม้พลังเกราะเวทย์จากลูกแก้วของชาวเอฟล์จะแข็งแกร่งแต่นั่นย่อมขึ้นอยู่กับพลังจิตของเขาด้วย ยิ่งปล่อยเวลาให้ล่าช้าเนิ่นนานตัวของเขาเองก็จะยิ่งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าลงซึ่งหากหมดแรง เกราะก็จะสลายหายไปในทันที เด็กชายนิ่วหน้าขณะคิดหาหนทาง

“หยิบถุงเมล็ดไกอาออกมาจากเสื้อของข้าที สกอลล์” เฟลมร้องสั่ง ก็อบลินมองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน

“เจ้าว่ายังไงนะ”

“ข้าบอกว่าให้เจ้าดึงถุงของไกอาออกมาจากเสื้อของข้า” เฟลมทวนคำพูดอีกครั้ง “แล้วหยิบเมล็ดแห่งแผ่นดินออกมาเมล็ดหนึ่ง”

“ไม่กลัวว่าข้าจะขโมยหรือ” สกอลล์ย้อนถามทีเล่นทีจริง เฟลมหัวเราะนิ่วหน้าพร้อมกับตอบเสียงห้วน

“ไม่ใช่เวลามาพูดเล่นกันนะสกอลล์”

สกอลล์ไม่โต้ตอบคำพูดของเฟลมอีก เขาค่อยๆดึงถุงเมล็ดของไกอาออกมาจากเสื้อของเด็กชายและล้วงมันออกมาหนึ่งเมล็ดก่อนจะดันถุงนั้นกลับลงไปในเสื้อของเขาดังเดิม

“ทำยังไงต่อล่ะ” สกอลล์ร้องถาม “เจ้าเมล็ดนี่น่ะจะฟังแต่คำอธิษฐานของเจ้าคนเดียวเท่านั้นนะ”

“ใจของเจ้าในเวลานี้ก็เหมือนใจของข้า ตอนนี้ข้าต้องทุ่มเทพลังใจทั้งหมดไปที่ลูกแก้วนี่ ถ้าต้องละจากตรงนี้ไปแล้ว เกราะเวทย์นี่จะต้องสลายลงไปแน่ๆ” เฟลมตอบ สกอลล์ถือเมล็ดแห่งไกอาไว้ในมือนิ่งเฉยอยู่จนเฟลมต้องร้องเตือน

“มัวทำอะไรอยู่สกอลล์ อธิษฐานอย่างที่เจ้าต้องการสิเร็ว”

ก็อบลินหลับตาและตั้งใจอธิษฐานด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นก่อนจะโยนเมล็ดแห่งแผ่นดินลงไปบนพื้นหิมะ มันจมหายลงไปทีละน้อย สกอลล์เพ่งมองดูด้วยหัวใจเต้นระทึกพลางพร่ำบ่นเบาๆ

“งอกขึ้นมาสิ เร็วๆ งอกขึ้นมาช่วยพวกเราด้วย”

ไทฟอนค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้วงรัศมีเกราะเวทย์และพ่นไฟใส่อีกครั้ง มันกางกรงเล็บของมือที่เหลืออีกข้างหนึ่งออกและตะกุยไปบนกำแพงเวทย์อย่างบ้าคลั่งโดยไม่ทันได้สังเกตว่าพื้นหิมะที่อยู่ใต้ร่างของมันค่อยๆแยกออกจากกันอย่างช้าๆ พืชบางอย่างที่มีสีแดงสดกำลังชำแรกผิวดินขึ้นมาเงียบกริบอย่างชนิดที่มันไม่รู้สึกตัว เฟลมมองดูสิ่งที่สกอลล์เรียกขึ้นมาจากพื้นดินด้วยความแปลกใจ เขามองหน้าเพื่อนของเขาที่กำลังยิ้มก่อนจะอธิบาย

“ข้าเคยได้ยินดอกไม้ยักษ์จากดินแดนที่ห่างไกลเลยคิดว่ามันน่าจะจัดการกับเจ้านี่ได้”

“ดอกอะไรของเจ้าน่ะสกอลล์” เอิร์ธถามอย่างสงสัยขณะที่มองดูกลีบดอกอันมโหฬารที่กำลังคลี่ขยายออกและเริ่มโอบล้อมร่างของไทฟอนเอาไว้

“ซาเฟรียอากริฟฟ์”

เจ้าดอกไม้ยักษ์สีแดงสดที่อยู่ภายใต้ร่างของไทฟอนในตอนนี้นั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่าสัตว์ร้ายนี่มาก กลีบอันมหึมาของมันค่อยๆยกขึ้นและเริ่มห่อหุ้มบีบรัดร่างของไทฟอนที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่ากำลังตกอยู่ในวงล้อมของกลีบดอกไม้มหากาฬ มันร้องเสียงดังสนั่นขณะที่ดิ้นรนหางสะบัดตีไปมาอยู่ภายในกลีบที่หนาของซาเฟรียอากริฟฟ์ พวกของเฟลมมองดูเจ้าอสูรร้ายที่ส่งเสียงร้องโหยหวนจนสะท้อนไปทั่วหุบเขาก่อนจะถูกดอกไม้ประหลาดนั่นลากกลับลงไปใต้พื้นดิน

“ดอกไม้ของเจ้าจะเอามันอยู่มั้ย สกอลล์” เอิร์ธถามเบาๆพลางชะโงกหน้ามองตามหลุมที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น สกอลล์ส่ายหน้า

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นข้าเพียงแต่คิดว่าอยากจะได้ดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่มาลากเจ้า
ไทฟอนนี่ไปเท่านั้น”

“จะยังไงก็ช่างเถอะ ข้าคิดว่าพวกเราควรจะรีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า” ดาฟเน่พูดขึ้นพลางมองดูกลุ่มเมฆสีเทาที่ลอยวนอยู่เหนือพวกเขา “ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไมรู้”

“ข้าเชื่อลางสังหรณ์ของพวกเอลฟ์นะ” สกอลล์รีบพูด “รีบไปจากที่นี่จะดีกว่าเฟลม”

เฟลมเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนๆ เขารีบเก็บลูกแก้วกลับเข้าไปไว้ในเสื้อตามเดิมก่อนจะรีบเดินออกจากบริเวณนั้น ยังไม่ทันจะได้ผ่านพ้นเกินสิบก้าว แผ่นดินที่อยู่ข้างใต้ก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆกับเสียงร้องคำรามที่ดังอย่างโกรธแค้น กลีบของซาเฟรียอากริฟฟ์ที่ถูกฉีกจนขาดกระจุยกระเด็นขึ้นมาจากหลุมที่ไทฟอนถูกลากลงไป สกอลล์รีบร้องบอกเพื่อนๆของเขาทันที

“เจ้าไทฟอนหลุดออกมาได้ รีบหนีเร็ว!”

โดยไม่รอช้าเหล่าเด็กๆพากันวิ่งหนีอย่างเร็วที่สุด ร่างที่น่ากลัวของไทฟอนค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ดวงตาสีแดงก่ำของมันสอดส่ายหาพวกของเฟลมด้วยความรู้สึกคั่งแค้น มันอ้าปากส่งเสียงร้องคำรามและตะกายขึ้นมาจากหลุมอย่างรวดเร็ว เฟลมหันกลับไปมองดูและร้องบอกเพื่อนๆของเขา

“ปีนขึ้นไปบนเนินหินนั่น เร็ว!”

ดาฟเน่กระโดดไปตามชะง่อนหินและขึ้นไปยืนอยู่บนเนินอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วส่วนเอิร์ธนั้นเหนี่ยวตัวตามไปติดๆในขณะที่เฟลมรีบปีนตามเพื่อนไปเป็นคนสุดท้าย ไทฟอนรีบเอื้อมมือเพื่อจะตะครุบร่างของเฟลมแต่เขาก้มตัวหลบอย่างรวดเร็ว กรงเล็บที่แหลมคมเฉี่ยวฉีกเสื้อด้านหลังของเขาจนขาดกระจุย ดาฟเน่ร้องออกมาอย่างตกใจก่อนจะร่ายเวทย์ระเบิดเพลิงสกัดกั้นไทฟอนไว้ไม่ให้ตามเฟลมได้ทัน แต่ดูเหมือนเจ้าอสูรครึ่งงูจะทนทานต่อพลังไฟ มันอ้าปากพ่นน้ำลายที่เป็นกรดอันร้อนแรงเข้าใส่ดาฟเน่ เด็กสาวพลิกตัวหลบอย่างว่องไวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูเฟลมอย่างเป็นห่วง

“มันตามเจ้าจะทันแล้ว เฟลม!”

ดาฟเน่ร้องบอกด้วยความหวาดวิตก เอิร์ธยิงธนูเพื่อสกัดการเคลื่อนที่ของไทฟอนแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เฟลมเอื้อมมือไปจับก้อนหินที่ยื่นออกมาและออกแรงดึงเพื่อจะเหนี่ยวตัวของเขาให้เลื่อนขึ้นไป แต่หินก้อนนั้นกลับหลุดติดมือเฟลมออกมา เขาเสียหลักและลื่นไถลลงมาเป็นระยะทางยาว สกอลล์ร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อเห็นกรงเล็บอันแหลมคมของไทฟอนกำลังกางออกเตรียมรอรับร่างของเด็กชายแต่เฟลมคว้าแง่หินไว้ได้ทัน สกอลล์ที่โผล่หน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อกลับเสียหลักและเลื่อนหลุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเฟลม

“สกอลล์!”

เฟลมร้องเรียกเพื่อนก็อบลินของเขาด้วยความตกใจ มืออีกข้างหนึ่งไขว่คว้าร่างจ้อยที่ลอยละลิ่วลงไปหากรงเล็บของไทฟอน แต่ไม่ทัน เด็กชายจึงปล่อยมือออกจากแง่หินให้ร่างของตนลอยตามร่างของสกอลล์ไปอย่างรวดเร็ว เขาคว้าร่างเพื่อนตัวเล็กของเขาไว้ได้แต่ทั้งเฟลมและสกอลล์ก็ตกลงไปในอุ้งมือของไทฟอนที่กำลังกางรอไว้ มันตะครุบเขาไว้ทันที

“เฟลม สกอลล์!” เอิร์ธและดาฟเน่ร้องเรียกเพื่อนของเขาพร้อมกัน เฟลมดิ้นรนไปมาอยู่ในอุ้งมือของปิศาจร้ายที่กำลังแสยะยิ้มจ้องมองดูเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ เฟลมจ้องมันพร้อมกับร้องบอกเพื่อน

“เจ้าหนีไปก่อนสกอลล์ ตัวของเจ้าเล็กไอ้ปิศาจนี่จับไม่ทันแน่”

“ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า” สกอลล์พูดเสียงดัง เขามองกรงเล็บของไทฟอนที่เริ่มบีบร่างของเฟลมและขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองจ้องอสูรร้ายอย่างครุ่นคิดชั่วอึดใจ

“ขอลูกแก้วเอลฟ์ของเจ้าหน่อย เฟลม” สกอลล์ร้องบอกก่อนจะแบมือของเขาไปข้างหน้า เด็กชายมองดูเขาอย่างไม่เข้าใจจนอีกฝ่ายต้องร้องบอกซ้ำอีกครั้ง

“มันอยู่ในเสื้อของข้า” เฟลมบอกพลางออกแรงดิ้นรนอีกครั้ง “เจ้าจะทำอะไรน่ะ สกอลล์”

“เจ้านี่น่ะมีเลือดและน้ำลายเป็นกรดไฟ ไม่มีอะไรในโลกนี้สามารถกักขังมันได้หรอก” สกอลล์ตอบพลางมุดเข้าไปในเสื้อของเฟลมและดันตัวออกมาพร้อมกับลูกแก้วบอเรียในมือจากนั้นเจ้า
ก็อบลินจึงแทรกตัวให้หลุดออกจากกรงเล็บของไทฟอน เขาชูของบางอย่างในมือขึ้น

“ข้าขอเมล็ดแห่งแผ่นดินนี่หนึ่งเมล็ดนะ”

สกอลล์พูดเสียงดังก่อนจะทิ้งมันลงไปบนพื้นดิน เถาวัลย์สีเขียวสดขนาดใหญ่งอกขึ้นมาและเริ่มรัดร่างของไทฟอนทันที มันร้องออกมาพร้อมกับคายของเหลวสีแดงสด ขณะเริ่มเถาวัลย์ละลายเถาวัลย์ เถาใหม่ของมันก็งอกขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งทำลายมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนยิ่งทำให้พืชชนิดนี้ยิ่งงอกงามมากขึ้น ลำต้นที่เหนียวเกี่ยวรัดร่างของไทฟอนอย่างรวดเร็ว เจ้าสัตว์อสูรร้องคำรามด้วยความโกรธและเริ่มฉีกเถาวัลย์อย่างดุร้าย สกอลล์เกาะนิ้วของมันไว้แน่นและหันไปทางเฟลมก่อนจะร้องสั่ง

“รีบกลิ้งตัวหลบไปทันทีที่เจ้าหลุดไปได้นะเฟลม”

“แล้วเจ้าล่ะ” เฟลมร้องถาม สกอลล์ยิ้มให้กับเขาก่อนจะหันไปทางไทฟอน

“ข้าจะทำให้เจ้านี่อยู่ในที่คุมขังที่ไม่มีวันสลายไปจนตลอดกาล” สกอลล์หันไปทางดาฟเน่พร้อมกับตะโกน

“ยิงพลังของเจ้าทำลายแขนของไทฟอนนี่เร็วๆ ดาฟเน่”

“แต่มันอาจจะพลาดไปโดนเฟลมได้นะ” ดาฟเน่ร้องตอบ สกอลล์ชูลูกแก้วในมือของเขาขึ้น

“ข้าจะใช้พลังของลูกแก้วบอเรียป้องกันร่างของเฟลมไว้ ยิงมาเดี๋ยวนี้เลย เร็ว!”

ดาฟเน่หันไปทางเอิร์ธอย่างลังเลก่อนจะรวบรวมสมาธิไว้ที่ปลายมือของนางและเล็งไปยังแขนของไทฟอน เพลิงสีเขียวสดพุ่งเป็นลำทำลายแขนข้างนั้นจนขาดกระจุยอย่างแม่นยำ เฟลมรีบตะกายออกจากกรงเล็บอย่างรวดเร็วและกลิ้งตัวหลบไปอีกด้านหนึ่งตามที่สกอลล์สั่ง เขาเงยหน้าขึ้นไปมองดูร่างจ้อยของก็อบลินที่กำลังไต่ขึ้นไปยืนอยู่บนหัวของไทฟอน มันกวัดแกว่งแขนที่ขาดด้วนไปมาขณะที่เถาวัลย์เลื้อยพันไปตามร่างกายของมันอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดร่างครึ่งงูของไทฟอนก็ถูกเถาวัลย์รัดตรึงเอาไว้ได้ทั้งหมด มันดิ้นรนไปมาและร้องอย่างคั่งแค้น สกอลล์หัวเราะร่าอย่างสะใจ

“แกไม่มีวันทำลายเถาวัลย์กินคนนี่ได้หรอก ไทฟอนยิ่งแกฉีกทึ้งเจ้าพืชนี่มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งงอกเพิ่มออกมามากเท่านั้น”

ไทฟอนปล่อยกรดออกมาทำลายเถาวัลย์อีกครั้ง แม้จะละลายและมอดไหม้แต่เจ้าพืชประหลาดนั้นก็งอกใหม่ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ลิ้นที่ยืดยาวของมันตวัดแลบเลียขึ้นไปบนหัวและพันรัดร่างของสกอลล์เอาไว้จนแน่นราวกับลำตัวของงูที่กำลังรัดเหยื่อ เสียงกระดูกของก็อบลินดังลั่นเหมือนกิ่งไม้หัก เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“ข้าจะไม่ปล่อยให้แกหลุดไปทำร้ายเพื่อนของข้าเป็นอันขาด” สกอลล์พูดเสียงดังก่อนจะชูลูกแก้วบอเรียขึ้น

“จงปล่อยพลังของท่านออกมาและกักขังเจ้าอสูรร้ายนี้ไปตลอดกาลเถิด”

แสงสองสีสว่างวาบขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือแสงสีเขียวซึ่งดาฟเน่ยิงออกมาเพื่อทำลายลิ้นของไทฟอนที่รัดร่างของสกอลล์เอาไว้ อีกแสงหนึ่งคือรัศมีสีฟ้าสดของลูกแก้วเอฟล์ที่เปล่งออกมาครอบคลุมร่างของไทฟอนไว้ทั้งร่าง มันร้องโหยหวนขณะที่ดิ้นรนและสะบัดตัวอยู่ภายในครอบพลังที่แข็งแรงซึ่งแม้จะพ่นเพลิงกรดออกมาก็ไม่อาจทำลายได้ ทั้งเถาวัลย์ซึ่งฝังรากลงไปในร่างของไทฟอนและตัวอสรูรร้ายถูกธรณีดึงให้จมลงไปอย่างช้าๆ ในที่สุดแผ่นดินในบริเวณนั้นก็ปิดสนิทลงและผนึก
ไทฟอนไว้ใต้ดินตลอดกาล เฟลมรีบลุกขึ้นและวิ่งตรงไปยังซากลิ้นของไทฟอน เขาทรุดตัวลงนั่งก่อนจะช้อนร่างอาบเลือดของสกอลล์ขึ้นมา

“สกอลล์ เจ้าปลอดภัยแล้ว ไทฟอนถูกขังไว้ในลูกแก้วเอลฟ์ตลอดกาลด้วยฝีมือของเจ้า”

ก็อบลินลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขามองดูเฟลมที่กำลังจ้องมองดูเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง ดาฟเน่และเอิร์ธวิ่งเข้ามาหาพร้อมๆกัน

“เขาบาดเจ็บมาก” ดาฟเน่พูดขึ้นและรีบใช้ผ้าของนางเช็ดเลือดของสกอลล์อย่างเร็ว “เราต้องรีบรักษาเขาให้เร็วที่สุด”

“ไม่จำเป็นหรอกดาฟเน่” สกอลล์พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้ารักษาข้าไม่ได้แล้ว กระดูกในกายของข้าถูกเจ้าไทฟอนบดจนละเอียดไปทุกส่วน”

“แต่เรามีน้ำผึ้งสีทอง” เอิร์ธรีบพูดขึ้นพร้อมกับดึงขวดแก้วเล็กๆที่เขาใส่น้ำผึ้งอันมีค่าออกมา “มันรักษาแผลได้ทุกชนิดไม่ใช่หรือ”

“ถ้าแผลนั้นไม่ได้มากมายเหมือนข้าในตอนนี้ เจ้าเก็บไว้ใช้เมื่อถึงเวลาจำเป็นดีกว่า เอิร์ธ” สกอลล์พูดเบาๆ เฟลมส่ายหน้า

“ตอนนี้ยังไม่เรียกว่าจำเป็นอีกหรือ สกอลล์” น้ำตาของเฟลมเริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตา “เจ้าเจ็บหนักขนาดนี้แล้วยังจะมามัวเกี่ยงงอนอะไรกันอยู่อีก”

สกอลล์ไอออกมาสองสามครั้งก่อนจะตอบเพื่อนของเขา

“ข้ารู้ตัวของข้าดีว่าเป็นยังไง เฟลม ข้าไม่รอดแล้ว ทั่วทั้งตัวของข้าแหลกละเอียดไปหมดแล้วเพราะพลังบีบเพียงครั้งเดียวของไทฟอน”

“เจ้าอย่าพูดแบบนั้นสกอลล์ เจ้าต้องไม่ตาย!” เฟลมร้องเสียงดัง “ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย เจ้าสัญญาเอาไว้แล้วไม่ใช่เรอะว่าจะร่วมเดินไปกับข้าจนถึงที่สุด”

“ข้ามาถึงที่สุดของเส้นทางข้าแล้วเฟลม” สกอลล์พูดเบาๆ เขาสำลักไออีกครั้ง เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากปากจนแดงฉาน ดาฟเน่ถึงกับปิดปากของนางแล้วร้องไห้

“ข้าไม่ให้เจ้าตาย” เฟลมสะอื้น “อย่าตายนะสกอลล์”

“ไม่มีใครสั่งห้ามความตายได้หรอกเฟลม” น้ำเสียงของสกอลล์เริ่มเบาลงขณะที่พูด “ไม่ว่าวันใดวันหนึ่งทุกๆคนก็จะต้องตาย เพียงแต่ว่าจะตายแบบใดและที่ไหนเท่านั้น”

“แต่ไม่ใช่ที่นี่และตอนนี้” เฟลมเถียงทั้งที่ร้องไห้ สกอลล์ลูบใบหน้าเพื่อนของเขาเบาๆราวกับปลอบใจ

“อย่าร้องไห้ไปเลยเฟลมเพื่อนรักของข้า ข้าไม่ได้กลัวความตายเลยสักนิด ตรงกันข้ามข้ากลับดีใจเสียด้วยซ้ำที่การตายของข้าทำให้พวกเจ้าปลอดภัย ข้าดีใจที่ได้พบกับเจ้าเฟลม ดีใจที่ได้ร่วมเดินทางมากับเจ้า และที่ดีใจมากที่สุดคือคำพูดของเจ้าที่ปกป้องเกียรติของข้าตอนอยู่ในดินแดนแห่งเอลฟ์ ข้าได้รู้จักกับคำว่าเพื่อนตายก็เพราะเจ้า และพวกเจ้าทุกๆคน” สกอลล์มองดูเด็กทั้งสามพร้อมกับยิ้มที่ดูอ่อนแรงลง

“พวกเจ้าคือเพื่อนรักของข้า ตลอดกาล”

มือที่กำลังลูบหน้าเฟลมค่อยตกลง ดวงตาของสกอลล์หรี่ปรือและปิดจนสนิท ลมหายใจที่อ่อนระรวยนั้นหยุดนิ่ง เฟลมกอดร่างของสกอลล์ไว้แนบอกพร้อมกับร้องไห้และพร่ำเรียกชื่อของเขา ดาฟเน่นั้นเบือนหน้าหนีไปอีกด้านด้วยความรู้สึกเศร้าใจในขณะที่เอิร์ธนั้นน้ำตาไหลเป็นทางอาบแก้ม

“ระงับความเสียใจของเจ้าไว้ดีกว่าเฟลม สกอลล์ตายอย่างกล้าหาญและสมเกียรติ เจ้าควรจะภูมิใจ” เด็กชายพูดเสียงเครือแต่เพื่อนของเขากลับสั่นหน้า

“ถ้าข้ารู้จักระวังตัวให้มากกว่านี้ สกอลล์คงไม่ต้องมาตาย เขาตายแทนข้าแท้ๆ” เฟลมเถียงทั้งน้ำตา ดาฟเน่สั่นหน้าพร้อมกับพูด

“อย่าได้คิดแบบนั้นเฟลม สกอลล์อุตส่าห์สละชีวิตเพื่อท่าน อย่าให้การเสียสละนั้นต้องสูญเปล่า”

“ใกล้ค่ำเต็มทีแล้ว พวกเราควรจะฝังร่างของสกอลล์และทำสุสานให้กับเขา ไม่อย่างนั้นแล้วพวกสัตว์ป่าหรือผีร้ายอาจจะมาขุดคุ้ยทำลายได้” เอิร์ธแนะ เฟลมกลืนก้อนสะอื้นกลับลงไปในคอก่อนจะพยักช้าอย่างเศร้าสร้อย ดาฟเน่มองดูพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะด้วยสีหน้าหนักใจ

“หิมะนี่หนามาก เราต้องขุดมันออกจนกว่าจะเห็นพื้นดินจึงจะทำสุสานได้ ไม่อย่างนั้นพอเข้าหน้าร้อนเมื่อหิมะละลาย ร่างของสกอลล์คงจะปรากฏขึ้นมาอย่างแน่นอน”

“ข้าจะขุดลงไปให้ถึงพื้นดิน ไม่ว่าจะต้องเสียเวลาแค่ไหนก็ตาม” เฟลมพูดและวางร่างของสกอลล์ลง เด็กทั้งสามช่วยกันขุดหิมะในบริเวณที่จะฝังร่างของสกอลล์จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าพวกเขาจะเจอพื้นแผ่นดินเบื้องล่าง เอิร์ธทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดแรง

“นี่มันลึกกว่าสามเมตรแล้วนะ” เขาร้อง “ทำไมหิมะมันหนาแบบนี้”

“เราจะมามัวขุดต่อไปอีกไม่ได้แล้วเพราะฟ้าเริ่มมืดเต็มที เรงคงต้องฝังเขาทั้งอย่างนี้แล้วเฟลม” ดาฟเน่เตือนแต่เฟลมกลับส่ายหน้า

“ข้าจะขุด ข้าไม่ยอมฝังร่างของเพื่อนข้าไว้ในหิมะเปล่าๆแล้วรอให้พวกสัตว์ป่าหรือสมุนของนางมารร้ายมากขุดลากออกมาทำลายแน่”

“แต่ว่าเจ้า…” ดาฟเน่แย้งขึ้นมา เฟลมเงยหน้ามองดูนางด้วยสายตาที่นิ่งสนิทจนเด็กสาวต้องหลุบสายตาหลบลง เอิร์ธมองดูเพื่อนของเขาก่อนจะถอนหายใจ

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ร่างของสกอลล์ต้องตกเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกสัตย์ร้าย แต่ตัวของเจ้าเองก็ไม่มีเวลามากพอถึงขนาดนั้นนะ เฟลม เจ้าต้องไปช่วยแม่ของเจ้า อย่าลืมสิ”

เฟลมมองดูเอิร์ธอย่างได้คิด เขาทิ้งตัวลงไปนั่งและมองดูร่างไร้วิญญาณของสกอลล์ ชั่วครู่ราวกับคิดขึ้นมาได้ เฟลมล้วงมือดึงถุงของไกอาออกมาและเทเมล็ดแห่งแผ่นดินที่เหลือลงบนมือของเขา

“จงนำร่างเพื่อนรักของข้าลงไปยังที่นิทราอันสงบในอ้อมอกของแผ่นดินดุจดั่งเป็นอุทรของมารดาโดยไม่มีใครไป รบกวนได้ตลอดกาลเทอญ”

สิ้นคำ เมล็ดแห่งแผ่นดินก็เต้นราวกับมีชีวิตและกระโดดลงไปในหลุมที่พวกของเฟลมขุดค้างไว้ ท่ามกลางความแปลกใจของเอิร์ธและดาฟเน่

“นั่นเป็นเมล็ดสุดท้ายแล้วไม่ใช่หรือ เฟลม” เอิร์ธถาม เฟลมผงกศีรษะรับ

“ใช่ และข้าคิดว่าสกอลล์ควรได้รับประโยชน์จากเมล็ดสุดท้ายนี่ หรือเจ้าไม่เห็นด้วย” เฟลมมองหน้าเอิร์ธนิ่ง เขาส่ายหน้า ดาฟเน่อุทานออกมาเบาๆ

“ดูที่หลุมนั่นสิ”

เฟลมและเอิร์ธหันกลับไปมองดูที่หลุมพร้อมๆกัน มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในนั้น บางสิ่งที่ดูเหมือนต้นไม้ที่งดงามและแปลกตาที่สุดเท่าที่เด็กทั้งสามเคยเห็น ต้นไม้นั้นค่อยๆงอกออกมาจากใต้ดิน เปลือกของมันมีสีเงินสวยสะดุดตา ลำต้นของมันยืดสูงขึ้น ใบสีเงินเริ่มผลิออกมาจากกิ่งก้านที่ยืดยาวออกราวกับแขนอันอ่อนโยนของสตรี มันค่อยๆช้อนร่างของสกอลล์และโอบรัดไว้ดุจอ้อมแขนของแม่ที่กำลังกอดลูกไว้แนบอก เปลือกของมันค่อยๆงอกออกมาและครอบคลุมร่างของสกอลล์ไว้ภายใน เพียงไม่นานต้นไม้สีเงินนั้นก็เติบโตเต็มที่และตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหิมะที่มีสายลมเย็นพัด แสงสีนวลสว่างของดวงจันทร์ข้างขึ้นส่องลงไปบนใบสีเงิน มันสะท้อนแวววาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เสียงใบไม้ที่แกว่งไกวกระทบกันนั้นฟังดูคล้ายระฆังเงินใบจิ๋ว เฟลม เอิร์ธและดาฟเน่นั้นแทบจะลืมหายใจขณะที่จ้องมองดูอย่างไม่กระพริบตา

“สุสานของสกอลล์” เฟลมพึมพำ “สวยจริงๆ”

“แผ่นดินรับฟังคำขอของท่าน เฟลม” ดาฟเน่พูดเบาๆ “ไกอาได้ยินเสียงของท่านจึงได้ส่งต้นไม้พิทักษ์วิญญาณนี่มา”

“วิเศษ” เอิร์ธพูดเหมือนคนละเมอ “ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ”

“สกอลล์คงนอนหลับได้อย่างสบายแล้ว” เฟลมพูดพลางลูบลำต้นของต้นไม้เบาๆ “จะไม่มีใครมารบกวนเจ้าได้อีกแล้ว สกอล์” เขากระซิบเบาๆที่เปลือกไม้สีเงิน ใบของมันสั่นระริกเบาๆราวกับรับรู้ในสิ่งที่เด็กชายพูด เฟลมยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหันมาทางเพื่อนๆของเขา

“พวกเราออกเดินทางกันต่อเถอะ” เขาทำท่าจะก้าวออกไปจากที่นั่นแต่เอิร์ธร้องเอะอะขึ้นมาเสียก่อน

“เฟลมดูนั่น!”

เฟลมหันไปมองตามมือของเอิร์ธที่ชี้ไปที่โคนต้นไม้สีเงินทันที ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างอย่างแปลกใจมากกว่าตกใจเมื่อเห็นยอดอ่อนของพืชชนิดหนึ่งกำลังค่อยๆแทงยอดผ่านหิมะขึ้นมา ดาฟเน่อ้าปากค้างก่อนจะอุทานออกมา

“ทิวลิป”

ต้นทิวลิปเจริญเติบโตขึ้นอย่างเชื่องช้า มันสูงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเลยหัวเด็กทั้งสามและเริ่มผลิดอกออกมา สีของดอกนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้มจัด เฟลมนึกขึ้นได้ในทันที

“ทิวลิปสีน้ำเงินของสกอลล์”

“ข้าจำได้ ทิวลิปนี่เป็นทิวลิปที่องค์มิวส์ราชินีแห่งนางฟ้าทรงประทานให้กับสกอลล์ก่อนพวกเราออกจากดินแดนของพระองค์” เอิร์ธพูดอย่างเร็ว “พระองค์ตรัสว่าให้ปลูกมันลงบนหิมะกลางคืนจันทร์เพ็ญแล้วจะได้พบกับสิ่งมหัศจารรย์ที่คาดไม่ถึง”

“นางคงไม่ได้หมายถึงการตายของสกอลล์หรอกนะ”

เฟลมพูดเสียงเศร้าทั้งที่ยังคงจับจ้องดูดอกทิวลิปสีน้ำเงินที่กำลังผลิบาน กลีบแต่ละกลีบของมันนั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะห่อหุ้มลำตัวของเด็กทั้งสามได้มิดชิด กลิ่นหอมจางๆรวยรินไปทั่วบริเวณ
เฟลมสูดลมหายใจเข้าลึกๆและรู้สึกแปลกใจที่ความรู้สึกเศร้าหมองภายในใจนั้นพลันมลายเหือดหายไปจนเกือบหมด เอิร์ธและดาฟเน่ต่างมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา

“เฟลม” ดาฟเน่พูดเบาๆ “ดูเกสรของดอกไม้สิ”

เฟลมหันไปมองดอกทิวลิปสีน้ำเงินอีกครั้ง กลีบอันใหญ่โตของมันคลี่ขยายออกจนเต็มที่และเผยให้เห็นเกสรสีเหลืองอร่ามเพียงเกสรเดียวที่อยู่ภายใน

“นั่นมันดาบนี่นา” เฟลมครางเบาๆก่อนจะเดินเข้าไปหาดอกทิวลิปนั้น ราวกับรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว ก้านของดอกค่อยๆเอนลู่ลงจนเกสรของดอกแกว่งไหวตรงหน้าของเด็กชาย

“รับดาบไปสิ เฟลม” เสียงของสกอลล์ดังแว่วมาตามสายลม เฟลมเหลียวมองไปรอบตัวทันที

“สกอลล์!”

“ทิวลิปสีน้ำเงินนี่อยู่ติดกับตัวของข้ามาโดยตลอด เมื่อร่างของข้าได้รับการโอบอุ้มจากต้นไม้แห่งไกอา เมล็ดนี้ได้เลื่อนลงไปสู่ใต้ดินและงอกงามตามแรงจิตของข้า” เสียงสกอลล์อธิบายเบาๆ เฟลมหันกลับมาทางดอกทิวลิปอีกครั้ง ดวงหน้ารางๆของสกอลล์ปรากฏอยู่ในเกสรดอกไม้ เขากำลังส่งยิ้มที่อ่อนโยนให้กับเด็กชาย

“ที่เจ้าต้องการคือดาบที่สร้างมาจากจิตใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและความเสียสละ” สกอลล์พูด “และดาบนั้นต้องมาจากสิ่งที่บอบบางที่สุด นั่นคือดอกไม้สีน้ำเงินนี่และชีวิตของข้า”

“ข้าไม่ต้องการดาบนั่น สกอลล์ ข้าไม่อยากได้มันหากข้าต้องเสียเจ้าไป” เฟลมแย้งแต่สกอลล์กลับยิ้ม

“มันถูกกำหนดไว้แล้ว เฟลมเพื่อนรัก ข้าถูกส่งมาเพื่อพิสูจน์ใจของเจ้า และช่วยเหลือเจ้าในวาระสุดท้าย เอาล่ะจงรับดาบนี่ไปและนำมันไปจัดการกับอิคิดน่าต้นเหตุแห่งความเศร้าทั้งปวง พลังแห่งธาตุทั้งสี่จะสามารถสะกดและทำลายนางผีร้ายนี้ให้ราบคาบลงไปได้”

“พลังแห่งธาตุทั้งสี่” เฟลมทวนอย่างไม่เข้าใจแต่สกอลล์กลับยิ้มน้อยๆ

“เจ้าจะรู้ได้เองเมื่อถึงเวลา จงจำไว้เพียงหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเชื่อใจ ความมุ่งมั่นและความเสียสละเท่านั้นจึงจะสามารถทำลายอิคิดน่าได้ ข้าลาก่อนเฟลม ขอให้เจ้าโชคดี”

ใบหน้าของสกอลล์ค่อยๆจางหายไปท่ามกลางเสียงร้องเรียกของเฟลม เขาปาดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปแตะเกสรดอกไม้ มันแตกกระจายส่งไอละอองสีทองฟุ้งไปจนทั่วก่อนจะหลุดออกจากก้านดอก เปลือกสีเขียวอ่อนค่อยๆแยกออกจากกันผยให้เห็นดาบสีเงินแวววาวที่อยู่ภายใน ตัวด้ามนั้นมีสีน้ำเงินเข้มเหมือนกลีบของดอกไม้ มันเรียบลื่นไร้ลวดลายใดๆ บนตัวดาบจารึกอักษรที่งดงามราวกับลายน้ำเอาไว้ เฟลมกวัดแกว่งดาบไปมาอย่างถูกใจ

“ตัวอักษรรูน ความหมายของมันก็คือคมเขี้ยวแห่งสกอลล์” ดาฟเน่พูดช้าๆเมื่อเห็นจารึกบนตัวดาบ “คงเป็นชื่อของดาบนี้”

“น่าแปลกเหลือเกินที่ดาบนี้มีชื่อเหมือนสกอลล์” เอิร์ธพูดเบาๆแต่ดาฟเน่ส่ายหน้า

“สกอลล์ที่ปรากฏบนดาบนั้นหมายถึงพญาหมาป่าสกอลล์แห่งแดนเหนือผู้กัดกินสุริยันและจันทรา” ดาฟเน่อธิบาย “ความหมายของดาบนี้ก็คือการทำลายวิญญาณให้กลับสู่ความมืดมิดตลอดกาล”

“เหมาะกับอิคิดน่าที่สุด” เฟลมพูดและชูดาบขึ้น “ข้าจะใช้ดาบนี่ตัดหัวของนางและปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหลายที่ตกเป็นทาสของนาง”

เอิร์ธพยักหน้าพร้อมกับดาฟเน่ กลิ่นหอมของดอกทิวลิปโชยมาอีกครั้ง คราวนี้กลีบสีน้ำเงินของมันค่อยๆหลุดออกจากขั้วและปลิวไปปะทะร่างของเอิร์ธ เขาคว้ามันเอาไว้อย่างตกใจและยิ่งตระหนกมากขึ้นเมื่อกลีบดอกนั้นอ่อนตัวลงและห่อหุ้มร่างของเขาไว้ก่อนจะกลายสภาพเป็นเกราะอ่อนสีน้ำเงินแวววาว กลีบดอกอีกสองกลีบที่หลุดออกจากก้านค่อยๆกลายเป็นเกราะห่อหุ้มร่างของเฟลมและดาฟเน่เช่นเดียวกัน ทำให้เด็กทั้งสามเกิดความมันใจ ความฮึกเหิมและมุ่งมั่นกลับคืนมาสู่พวกเขาอีกครั้ง
เฟลมหันไปทางต้นไม้สีเงินและพูดขึ้น

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง สกอลล์ ลาก่อนเพื่อนรักขอให้วิญญาณของท่านอวยพรให้พวกเรามีชัยด้วย”

สายลมเย็นพัดโชยมากระทบร่างของเด็กทั้งสาม แม้จะเป็นกระแสลมบนยอดเขาที่หนาวเหน็บ แต่กลับอบอุ่นเมื่อปะทะกับร่างของเฟลมและเพื่อน พวกเขายิ้มให้กันก่อนจะเริ่มออกเดินทางต่อไป

*/*/*/*/*/*/*



Create Date : 04 มีนาคม 2554
Last Update : 4 มีนาคม 2554 21:22:56 น.
Counter : 378 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog