ศาสตราแห่งเดราเนียร์ อดีตของฟอร์เซ็ตติ จบ
ฟอรัมเบิกตากว้างด้วยแรงโทสะ เขายกไม้เท้าขึ้นและชี้ไปยังร่างของเอลฟ์วัยเยาว์ซึ่งกำลังพยายามดันกายให้ลุกขึ้น

“จงแหลกละเอียดไปเถอะเจ้าเอลฟ์ชั่ว!”

แสงสีเขียวเจิดจ้าบาดตาพุ่งวาบออกจากปลายไม้กระแทกเข้าใส่ร่างของฟอร์เซ็ตติเต็มแรง เอลฟ์น้อยกรีดร้องเสียงดังก่อนคลื่นพลังจะระเบิดกระจาย ต้นไม้ที่อยู่รอบข้างถูกอำนาจของฟอรัมฉีกกระชากจนแหลกกระจุย จอมเวทผู้แสนเย่อหยิ่งลดไม้เท้าลงขณะที่ไครน์ซึ่งมีสีหน้าซีดเผือดเดินเข้าไปหา

“เจ้าสังหารเจ้าเอลฟ์นั่น” เขามองหน้าฟอรัม “เรื่องร้ายแรงขนาดนี้เราจะไปบอกองค์ราชินีว่าอย่างไร”

“ก็บอกว่าเจ้านั่นลอบทดลองพลังเวทแต่พลาด” ฟอรัมตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชาก่อนหมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าไปในราชวัง เขาต้องชะงักเมื่อกระแสลมปั่นป่วนรุนแรงพัดกรรโชกผ่านร่างของเขามาจากทางด้านหลัง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนร่างในชุดสีเทาจะหันกลับไปมอง ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างตระหนกเมื่อเห็นร่างของฟอร์เซ็ตติที่เขาคิดว่าแหลกละเอียดไปแล้วกำลังลุกขึ้น ฟอรัมขบกรามของตนเองด้วยความแค้นก่อนยกไม้เท้าและร่ายมนตร์เพื่อทำร้ายเอลฟ์น้อยอีกครั้ง

แสงสีเขียวพุ่งเข้าใส่ร่างของฟอร์เซ็ตติ เขาเพียงยกมือขึ้นปัดกลุ่มพลังเวทจนหันเหออกไปด้านข้างและระเบิดต้นไม้จนขาดเป็นสองท่อน ดวงตาของฟอรัมเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“นี่มันอะไรกัน”

จอมเวทในชุดเทาขยับกายหมายจะก้าวถอยหนีแต่ต้องพบกับความตระหนกสุดขีดเมื่อพบว่ากายของเขาแข็งขืนไปตลอดทั้งร่างราวกับต้องอาคม หัวใจของฟอรัมกระตุกวาบด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นฟอร์เซ็ตติฉีกยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มสยองที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ เพราะดวงหน้าของเอลฟ์น้อยยามนี้แปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ความน่ารักไร้เดียงสาถูกแทนที่ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอประกายดุดันเบิกกว้าง ริมฝีปากยิ้มกว้างอวดเขี้ยวคมภายในปาก เรือนผมสีเงินละเอียดราวกับไหมกลายเป็นสีขาวโพลน มันสะบัดกระจายไปมาราวกับมีชีวิตท่ามกลางกระแสลมที่พัดอย่างรุนแรง

“เจ้า” เสียงแหบพร่าแผ่วต่ำดังออกมาจากปากปิศาจ “ไอ้จอมเวทผยอง เจ้ากล้ากล่าวคำลบหลู่มารดาของข้าและบังอาจด่าทอบิดาของข้า”

มือสีขาวซีดยื่นออกมาข้างหน้า กรงเล็บทั้งห้ากางออก เปลวไฟสีแดงฉานปะทุอยู่ในอุ้งมือ มันหมุนวนราวกับมีชีวิต ฟอรัมพยายามดิ้นและร้องเรียกไครน์เสียงลั่น

“มัวยืนตกตะลึงอะไรกัน จัดการกับเจ้าปิศาจนั่นเร็ว!”

ไครน์รีบยกไม้เท้าของตนขึ้นและชี้ไปยังฟอร์เซ็ตติ เอลฟ์น้อยหันขวับมาทางเขาและแสยะยิ้มก่อนโบกมืออีกข้างปัดออกไปด้านข้าง ร่างจอมเวทผู้เป็นสหายของฟอรัมลอยไปกระแทกกับแท่นน้ำพุอย่างแรง ไครน์หมดสติไปในทันที

“ข้าต้องการจัดการกับเจ้าเท่านั้น” ฟอร์เซ็ตติพูดเสียงต่ำ ดวงตาวาววับขณะที่ยกลูกไฟในมือขึ้น “ตายเสียเถอะไอ้จอมเวททราม!”

เปลวเพลิงอันร้อนแรงพุ่งเข้าใส่ฟอรัม เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อไฟลุกท่วมร่าง
เอลฟ์กลายสภาพแสยะยิ้มและสะบัดมือของตน ร่างของฟอรัมลอยกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงวังอย่างแรง ฟอร์เซ็ตติเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับกางกรงเล็บทั้งสองข้างออกหมายจะฉีกกระชากจอมเวทโฉดให้ขาดเป็นสองท่อน

“หยุดเดี๋ยวนี้ฟอร์เซ็ตติ!”

เสียงทุ้มอันเฉียบขาดและดุดันดังขึ้น เอลฟ์กลายสภาพชะงักและเอี้ยวตัวหันไปมอง เพลิงในดวงตาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เข้ามาขัดจังหวะ

“อย่ามาขวางข้า!” ฟอร์เซ็ตติคำรามและหันกลับไปหาร่างของฟอรัม ไฟที่ลุกท่วมร่างของเขาถูกเวทของนูเอดาดับจนสนิท เอลฟ์น้อยส่งเสียงในลำคอด้วยความรู้สึกขัดใจ

“ช่วยมันทำไม” เขาหันมาถามจอมเวทแห่งเพลิงด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว นูเอดามองดูศิษย์ของตนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความปราณี

“ข้าไม่อยากให้เจ้าจมลงไปในความมืด” จอมเวทหนุ่มตอบ “หากเจ้าสังหารเขา หัวใจของเจ้าก็จะพบกับความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

“แต่มันบังอาจว่าร้ายมารดาของข้า” ฟอร์เซ็ตติพูดด้วยความโกรธ “มันยังพูดจาดูถูกท่านอีกด้วย”

“ก็เพียงแค่ลมที่ออกจากปากเหม็นเน่า เจ้าจะไปสนใจกับมันทำไม”

“มันเกลียดข้า!” เอลฟ์กลายร่างส่งเสียงกรีดร้อง “และข้าก็เกลียดมัน!”

เปลวเพลิงสีฟ้าสดลุกท่วมร่างของฟอร์เซ็ตติ นูเอดาเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกตระหนก เขาขยับจะเข้าไปหาฟอร์เซ็ตติแต่มืออันอ่อนนุ่มขององค์มีย์อาร์รั้งเข้าไว้

“เขากำลังขาดสติ” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตรัส ดวงตาสีทองจ้องมองเอลฟ์น้อยตรงหน้านิ่ง “ท่านไม่มีทางหยุดฟอร์เซ็ตติในตอนนี้ได้ ท่านนูเอดา”

“แต่ข้า.....” จอมเวทเพลิงมองราชินีของตน พระนางยิ้ม

“เราเองก็เป็นห่วงเขาเช่นเดียวกัน จงถอยไปอย่าได้เข้ามายุ่งเป็นอันขาด”

ร่างอันงดงามเดินเข้าไปหาฟอร์เซ็ตติ เขาเหลือบสายตามามองพร้อมกับยิ้ม

“องค์ราชินี”

“ฟอร์เซ็ตติ” พระสุรเสียงเปี่ยมไปด้วยความการุณย์ “สนุกมากพอแล้วนะ”

ไอสีทองอร่ามแผ่ออกจากกายของราชินีแห่งมาร์วัลลัส มันโอบล้อมร่างเพลิงของเอลฟ์น้อยเอาไว้ เขาร้องคำรามด้วยความโกรธและเหวี่ยงมือทั้งสองข้างออกโดยแรง ม่านพลังสีทองถูกฉีกออกจากกัน ฟอร์เซ็ตติเหวี่ยงมันไปอีกด้านอย่างไม่สนใจ เสียงระเบิดดังกึกก้องเมื่อรากฐานของวังถูกพลังของเอลฟ์กลายร่างปะทะอย่างรุนแรงจนแตกกระจาย ราชวังอันงดงามทรุดตัวลงทันที

“พรุ่งนี้เช้าเจ้าต้องมาซ่อมวังให้เรานะ” องค์มีย์อาร์ตรัสด้วยสีหน้าเรียบเย็นพร้อมกับยกหัตถ์ขึ้น เส้นเชือกสีทองห้าเส้นพุ่งวาบออกมาจากปลายนิ้วตรงเข้าไปรัดร่างของฟอร์เซ็ตติ เขาออกแรงดิ้นรนจนสุดกำลัง เปลวเพลิงสีฟ้ารอบกายเข้มขึ้นจนกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้าบาดตา เชือกสีทองสี่เส้นถูกพลังของเขาเผาจนสลายหายไป องค์มีย์อาร์สะบัดกรของพระนาง สายสีทองเส้นที่เหลือหมุนเป็นวงลอยตรงหน้าฟอร์เซ็ตติ เขาแยกเขี้ยวพร้อมกับกางกรงเล็บออก

“หยุดเถิดลูกรัก” น้ำเสียงแสนอ่อนโยนดังออกมาจากใจกลางวงเชือกสีทอง เอลฟ์น้อยชะงักทันที ดวงตาสีน้ำเงินเพ่งมองเงาร่างที่กำลังปรากฏอยู่ภายใน

“ท่านแม่”

“เจ้าคือแสงสว่างและความหวังของแม่” เสียงนานนาดังก้อง ร่างอันงดงามของนางก้าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยน

“อย่ามาใช้ภาพลวงบดบังตาของข้า” ฟอร์เซ็ตติคำรามพร้อมกับเหวี่ยงกลุ่มพลังเพลิงสีฟ้าเข้าใส่ร่างของราชินีแห่งมาร์วัลลัส นูเอดารีบพุ่งตัวเข้ามายืนขวางไว้ทันทีท่ามกลางความตกใจขององค์มีย์อาร์ เมื่อกลุ่มควันอันเกิดจากแรงระเบิดจางลง ร่างสูงของจอมเวทแห่งไฟก็ทรุดฮวบลงแทบพระบาทองค์ราชินี พระนางขมวดคิ้วเข้าหากันและมองไปยังร่างของเอลฟ์น้อยที่ยังคงลุกเป็นไฟ

“เจ้าเล่นมากเกินไปแล้ว” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตรัสพร้อมกับยกหัตถ์ทั้งสองขึ้นวาดบนอากาศสร้างเพลิงรูปวงกลมขึ้น มันลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งองค์มีย์อาร์โบกหัตถ์

“ของแบบนั้นจะทำอะไรข้าได้”

ฟอร์เซ็ตติคำรามและยื่นมือออกไปหมายจะฉีกเพลิงสีทองซึ่งลอยมาอยู่เหนือร่าง แสงไฟแลบแปลบปลาบออกมาทันทีที่เขาสัมผัสมัน เอลฟ์น้อยชักมือกลับอย่างเร็ว

“อย่าขยับหากเจ้าไม่ต้องการถูกกักขังอยู่ในนั้น”

“คิดว่าสามารถจับข้าได้เรอะ” ฟอร์เซ็ตติกางกรงเล็บและตวัดผ่านผิวของพลังเพลิงทรงกลมเต็มแรง ประกายไฟแตกกระจายออกมาพร้อมกับรอยแยกที่แผ่ขยายกว้างออก เอลฟ์น้อยยิ้มอย่างพอใจก่อนแปรเปลี่ยนไปเป็นตระหนกเมื่อกลุ่มเพลิงสีทองเคลื่อนตัวลงไปหาเขาและเริ่มกลืนกินร่างสยองของจอมเวททีละน้อยจนหมดทั้งร่าง เสียงร้องคำรามสลับกับเสียงดิ้นรนดังออกมาจากภายใน นูเอดาซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับพลังของฟอร์เซ็ตติมองดูก้อนแสงสีทองด้วยสายตาเป็นห่วง

“เขาจะถูกขังอยู่ในนั้นนานเท่าใดกันพระองค์”

“ไม่นานนัก” องค์มีย์อาร์ตรัสตอบพร้อมกับยิ้ม “กลุ่มพลังนี้ทำเพียงแค่ดูดซับพลังของเขาให้อ่อนลงเท่านั้น เมื่อฟอร์เซ็ตติหลับ เขาก็จะหลุดออกมาจากที่นั่นเอง”

พระเนตรจ้องเพลิงเวทสีทองซึ่งมีร่างของฟอร์เซ็ตติอยู่ภายในแน่วนิ่ง เสียงร้องคำรามเริ่มแผ่วลง การดิ้นรนอาละวาดผ่อนคลายและหยุดนิ่งไปในที่สุด ราชินีแห่งมาร์วัลลัสโบกหัตถ์ของพระองค์อีกครั้ง กลุ่มพลังสีทองจึงสลายตัวและจางหายไปเหลือไว้เพียงร่างของฟอร์เซ็ตติกำลังนอนหลับใหลราวสิ้นแรง นูเอดามองใบหน้าอันน่ารักของเอลฟ์น้อยด้วยความรู้สึกฉงนใจ

“เขากลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว” จอมเวทแห่งไฟพูดและหันไปทางองค์มีย์อาร์ “เกิดอะไรขึ้นกับฟอร์เซ็ตติกันแน่”

“เขาถูกหัวใจแห่งความชิงชังครอบงำ” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสทรงตรัสตอบและเดินไปยังร่างสาหัสยับเยินของฟอรัม พระนางยกหัตถ์ขึ้นพร้อมกับร่ายมาตราออกมา บาดแผลอันเกิดจากการถูกไฟลวกเชื่อมตัวประสานกันอย่างเชื่องช้า แต่ยังไม่หายสนิทดีนัก องค์มีย์อาร์เงยหน้าขึ้น เหล่าจอมเวทหลายคนทยอยเดินตรงเข้ามาหาพร้อมใบหน้าแสดงความตื่นตระหนก พวกเขามองฟอรัม ไครน์และฟอร์เซ็ตติสลับไปมา

“พวกเขาพยายามสอนเวทเพลิงให้กับฟอร์เซ็ตติแต่เกิดการผิดพลาดขึ้น” ราชินีอธิบายด้วยพระพักตร์นิ่งเรียบ “พาฟอรัมและไครน์ไปทำการรักษาและอย่าให้พวกเขากลับเข้ามาในเขตราชฐานอีกจนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากเรา”

องค์มีย์อาร์หมุนวรกายหันไปทางนูเอดาซึ่งกำลังช้อนร่างของฟอร์เซ็ตติขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

“นำเขาเข้าไปในวังของเรา”

พระนางตรัสและเดินนำจอมเวทแห่งไฟกลับคืนสู่ราชฐานของพระองค์

*/*/*/*/*/*

เสียงพูดคุยอันแผ่วเบาเรียกสติสัมปชัญญะของฟอร์เซ็ตติให้กลับคืนมาทีละน้อย ดวงตาสีฟ้ากระพริบสองสามครั้งเมื่อถูกแสงสว่างเจิดจ้าส่องมากระทบ เอลฟ์น้อยขยับแขนของตนเพื่อยกขึ้นมาปิดป้องแต่ต้องสะดุ้งเมื่อความเจ็บปวดรวดร้าวพลุ่งขึ้นมาจากแขนข้างนั้น

“อย่าขยับ”

เสียงทุ้มเบาเอ่ยขึ้น ฟอร์เซ็ตติลืมตามองหน้าของนูเอดาที่กำลังจ้องเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและถาม

“ที่นี่ที่ไหน”

“ห้องพำนักในราชวังขององค์มีย์อาร์” จอมเวทแห่งเพลิงตอบ เอลฟ์น้อยขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกแปลกใจระคนสับสน

“ทำไมข้าจึงเข้ามานอนอยู่ในราชวังขององค์มีย์อาร์ได้ ก็เมื่อวานนี้ข้า.....” ฟอร์เซ็ตติร้องครางออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นกุมศีรษะและออกแรงกดบนขมับทั้งสองข้าง นูเอดารีบดึงมือทั้งสองข้างของเขาออกและกล่าวอย่างเร็ว

“เจ้าเพียงแค่เกิดการควบคุมพลังของเทพอารักษ์เอาไว้ไม่ได้เท่านั้น”

“ไม่ใช่” ฟอร์เซ็ตติเถียง “ข้ามีสติดีทุกประการตอนที่เดินออกจากราชวัง ข้าจำได้ว่าพบกับฟอรัมตรงห้องโถงชั้นล่างและยังเดินเลี่ยงเขาออกไปจนถึงอุทยานด้านนอก จากนั้น....”

“จากนั้นเขาได้พูดจาเหยียดหยามดูแคลนเจ้า รวมไปถึงมารดาและบิดาไม่เว้นแม้แต่
นูเอดาผู้เป็นอาจารย์ หนำซ้ำยังใช้เวททำร้ายเจ้าอย่างรุนแรงไร้ความปราณีเพียงเพื่อต้องการบีบบังคับให้เจ้าออกไปจากมาร์วัลลัส”

พระสุรเสียงทรงอำนาจอธิบาย ฟอร์เซ็ตติหันไปมองราชินีแห่งมาร์วัลลัสซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

“พระองค์ทรงทราบ”

“เราไม่รู้จนกระทั่งได้อ่านใจของฟอรัมเมื่อตอนรักษาเขา” องค์มีย์อาร์ตรัสตอบ “เจ้าเกิดบันดาลโทสะจนถึงขนาดระงับเอาไว้ไม่อยู่จึงตอบโต้กลับอย่างรุนแรงจนเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด”

“ข้า....ไม่มีพลังมากถึงขนาดนั้น” เอลฟ์น้อยพูดด้วยสีหน้าตระหนก “พลังของข้าในตอนนี้มีไม่ถึงครึ่งของท่านฟอรัมเลยด้วยซ้ำ แล้วข้าจะทำร้ายเขาได้อย่างไรกัน”

“แต่เจ้าก็ทำลงไปแล้ว” รชินีแห่งมาร์วัลลัสกล่าว

“ข้าไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าทำอะไรลงไป” ฟอร์เซ็ตติกำมือสองข้างแน่น “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”

“เจ้าย่อมไม่สามารถจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้แน่ ฟอร์เซ็ตติ เพราะผู้ที่ทำร้ายฟอรัมและไครน์นั้นคือตัวตนอีกคนหนึ่งซึ่งแฝงเร้นร่างอยู่ในกายของเจ้าดุจเงาในแสงสว่าง”

ทั้งนูเอดาและฟอร์เซ็ตติมองหน้าองค์มีย์อาร์ด้วยความรู้สึกแปลกใจและฉงนฉงายในคำของพระนาง จอมเวทแห่งไฟเปรย

“ร่างเงาในกายแสง”

“จะเรียกเช่นนั้นก็ได้” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตรัสรับและมองหน้าเอลฟ์น้อยนิ่ง

“เจ้าเคยถามเราว่า เหตุใดจึงตั้งฉายาฟอร์เซ็ตติให้แก่เจ้า”

“ท่านตอบว่าข้าจะรู้ได้เองในไม่ช้า” ฟอร์เซ็ตติตอบ “แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี”

“ชาติกำเนิดของเจ้ามาจากชนสองเผ่าพันธุ์ที่ชิงชังต่อกันอย่างที่สุด หัวใจของฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยความมืดดำอันน่ารังเกียจในขณะที่อีกฝ่ายกลับเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งแสงสว่างของธรรมชาติ เลือดของทั้งสองฝ่ายได้ประจุลงไปในกายของเจ้าเมื่อครั้งยังอยู่ในครรถ์ของมารดา ความมืดและแสงสว่างวิ่งวนไหลเวียนต่อสู้กันเองอยู่ภายในใจของเจ้า

ฟอร์เซ็ตตินับเป็นโชคดีของเจ้าที่มีมารดาอันประเสริฐเช่นนานนา นางได้เลี้ยงดูอบรมให้เจ้ามีหัวใจที่ดีงามเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง ด้านมืดจึงถูกกดให้จมอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ มันรอเวลาที่จะออกอาละวาดทำลายทุกสิ่งมาโดยตลอดแต่ไม่อาจทำได้จนกระทั่งฟอรัมได้ปล่อยความริษยาของเขาออกมาปลุกความชิงชังให้ตื่นขึ้น มันครองกายเจ้าและเปลี่ยนสภาพอันงดงามให้กลายเป็นปิศาจร้ายทำลายทุกอย่างจนพินาศ พลังแห่งความชังนั้นรุนแรงเสียจนเราไม่กล้าลงมือกับเจ้าโดยตรงจึงต้องใช้วิธีกดพลังให้สงบและฝังกลับเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจเจ้าเช่นเดิม นับแต่นี้ต่อไปเจ้าจะต้องต่อสู้กับหัวใจของตนเองเพื่อรักษาดุลระหว่างความดีและความชั่วเอาไว้ให้เท่ากันดุจนามแห่งเทพฟอร์เซ็ตติผู้ทรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม”

“ฟังดูเหมือนข้าเป็นอสูร” เอลฟ์น้อยกอดไหล่ตนเองแน่น ร่างทั้งร่างสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เขามองหน้าองค์มีย์อาร์และนูเอดา น้ำตาใสไหลรินอาบแก้ม

“เจ้าเป็นศิษย์ที่แสนน่ารักของข้า” จอมเวทแห่งไฟกล่าวพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ฟอร์เซ็ตติ “สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นเพียงฝันร้ายที่เจ้าจะต้องเอาชนะมันให้ได้เท่านั้น”

“ข้าจะเอาชนะความชั่วช้าในใจของตนเองได้อย่างไรหากต้องพบกับถ้อยคำเหยียดหยามดูแคลนจากเหล่าจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสทุกคืนวันเช่นนี้”

“จะไม่มีผู้ใดกล้าว่าร้ายเจ้าอีกต่อไป” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตรัสพร้อมกับยื่นของสิ่งหนึ่งให้กับฟอร์เซ็ตติ เอลฟ์น้อยมองด้วยดวงตาตื่นตระหนก

“ไม้เท้าของจอมเวท”

“ถูกต้อง” องค์มีย์ทรงยิ้ม “รับไปเสียสิบุตรชายอันเป็นที่รักของเรา”

“แต่ข้าไม่ใช่จอมเวท....” ฟอร์เซ็ตติมองหน้านูเอดาและราชินีสลับไปมาด้วยความรู้สึกสับสน “ข้าไม่สมควรรับเครื่องหมายของพวกท่าน”

“เจ้าคือจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส” องค์มีย์อาร์ตรัส “และเจ้าจะเป็นจอมเวทที่เก่งกาจจนไม่มีผู้ใดเทียบเทียม”

“รับไม้เท้าของเจ้าเถิดฟอร์เซ็ตติ องค์มีย์อาร์ทรงสร้างมันขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ”

“เพื่อข้าโดยเฉพาะ” เอลฟ์น้อยกล่าวทวนคำพร้อมกับยื่นมือออกไปรับไม้เท้าสีขาวสะอาดมาจากหัตถ์ของราชินี เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส พลังอันมหาศาลวิ่งออกมาจากไม้เท้าพุ่งเข้าสู่กายของฟอร์เซ็ตติจนเขาสะท้านไปทั้งร่าง มือน้อยกุมกระชับไม้เท้าเอาไว้แน่นขณะที่พิจารณามันอย่างละเอียด”

“เป็นไม้เท้าที่แปลกมาก” ฟอร์เซ็ตติพูดเสียงเบา มือข้างหนึ่งลูบเลื่อนไปตามเนื้อไม้สีขาวเรียบลื่นไปจนถึงด้านปลายซึ่งมีก้านขนาดเล็กแยกออกไปสองข้าง ตรงกลางประดับด้วยคริสตัลสีฟ้าสดใสส่องประกายวาววับ

“ข้าไม่เคยพบไม้เท้าจอมเวทที่มีคริสตัลประดับบนยอดมาก่อน” จอมเวทน้อยมองพระพักตร์องค์มีย์อาร์ พระนางยิ้ม

“ไม้เท้าของเหล่าจอมเวททั่วไปนั้นมีไว้เพื่อเป็นจุดรวมสมาธิและสร้างพลัง แต่ไม้เท้าของเจ้าจะส่งผลตรงกันข้าม”

“ส่งผลตรงกันข้าม ข้าไม่เข้าใจ” ฟอร์เซ็ตติถามอย่างสงสัย

“เจ้ามีพลังสูงกว่าจอมเวททุกคนในมาร์วัลลัส ไม้เท้าของเจ้าจะสะกดพลังนั้นมิให้พลุ่งพล่านมากเกินไปจนบังคับเอาไว้ไม่ได้ มันจะช่วยให้สติของเจ้าคงอยู่กับตัวไม่จมหายไปในความมืด”

“ดีจริง” ฟอร์เซ็ตติยิ้มกว้างพลางกระชับไม้เท้าในมือของตนแน่น “ข้าจะได้เรียนรู้วิธีการร่ายเวทให้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลใจว่าจะทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน”

“ถ้าเช่นนั้น” นูเอดาขยี้ผมสีเงินละเอียดของศิษย์ตัวน้อย “วันนี้จงนอนพักผ่อนให้เต็มที่ เรพาะพรุ่งนี้ข้าจะสอนวิธีการร่ายเวทเฮลเบรนเนนให้กับเจ้าโดยไม่มีการหยุดพักแม้สักนาที”

“รวมถึงการรวมสมาธิอัญเชิญพลังแห่งเทพอารักษ์” องค์มีย์อาร์แย้มสรวล “เจ้าจะต้องฝึกฝนทั้งกายและใจให้แข็งแกร่งเพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงกำลังในการร่ายเวทแห่งองค์ซอนเนสซาร์อย่างไม่ติดขัด”

“ข้าพร้อมรับการสอนของท่านอาจารย์อยู่เสมอ” จอมเวทน้อยยิ้มและหันไปก้มศีรษะให้กับราชินีแห่งมาร์วัลลัส “และข้าจะตั้งใจศึกษาเวททุกบท มนตราทุกคำที่ท่านสั่งสอนอย่างตั้งใจ”

คำพูดของฟอร์เซ็ตติสร้างความปิติยินดีให้กับองค์มีย์อาร์เป็นอันมาก พระนางยิ้มอย่างอ่อนโยนและยื่นหัตถ์อันอบอุ่นลูบศีรษะของเอลฟ์น้อยพร้อมกับมองเขาด้วยสายพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความปราณี

“ดีมากฟอร์เซ็ตติ จงมุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียนและตั้งใจกระทำความดีให้มากที่สุด เพราะชะตากรรมอันยิ่งใหญ่กำลังรอเจ้าอยู่ในอนาคต”


*/*/*/*/*/*


END

จอมเวทแห่งไฟ นูเอดา




Create Date : 11 พฤษภาคม 2554
Last Update : 11 พฤษภาคม 2554 9:40:19 น.
Counter : 575 Pageviews.

0 comment
อดีตของฟอร์เซ็ตติ 1
อดีตของฟอร์เซ็ตติ


แสงแดดยามเช้าส่องผ่านใบไม้ลงมากระทบผืนดินขับไล่ไอเย็นออกไปและสร้างความอบอุ่นให้บังเกิดขึ้นกับทุกชีวิตในผืนป่า เหล่านกกาและสัตว์นานาชนิดต่างพากันออกจากรังเพื่อหาอาหารด้วยความสดชื่น พวกมันเดินเมียงมองร่างของเอลฟ์กลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนชุมนุมกันอยู่ที่ลานกว้างรูปวงกลม สีหน้าของชนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เงียบสงบไร้ความรู้สึก ยกเว้นนางเอลฟ์ผู้สวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดซึ่งยืนอยู่กลางกลุ่ม สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความหมองเศร้าราวกับว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก เบื้องหน้าของเอลฟ์สาวผู้นั้นมีร่างสูงโปร่งงดงามของอิสตรีผู้หนึ่ง เครื่องทรงของนางล้วนแล้วแต่เป็นสีทองอร่ามตาแลดูน่าเกรงขาม หัตถ์เรียวงามยกขึ้นลูบศีรษะของเอลฟ์วัยเยาว์อายุราวสามขวบซึ่งยืนอยู่ข้างกายของเอลฟ์สาวด้วยกิริยาเอ็นดูรักใคร่ สีหน้าของเอลฟ์สาวผู้เป็นแม่ยิ่งฉายแววโศกสลด นางมองดูอาคันตุกะด้วยสายตาวิงวอน

“บุตรชายของข้าจำต้องไปที่มาร์วัลลัสจริงๆหรือ” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สตรีในชุดทองยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เขามีชะตาอันยิ่งใหญ่รออยู่ในวันข้างหน้า ท่านนานนา โปรดอย่าได้กังวลใจไปเลย เราสัญญาว่าจะดูแลบุตรชายของท่านให้ดีเท่ากับตัวของท่านเลยทีเดียว”

“ข้าไว้ใจท่าน องค์มีย์อาร์” นานนากล่าวพลางลูบเรือนผมสีเงินสลวยของบุตรชาย “ข้ามั่นใจว่าท่านสามารถดูแลบุตรชายของข้าได้ แต่คนของท่านคงไม่ยินดีนักหากรู้ว่าเขาเป็นบุตรของใคร”

“แน่นอนพวกเขาจะต้องรู้” มีย์อาร์ ราชินีแห่งอาณาจักรมาร์วัลลัสกล่าว “และพวกเขาจะต้องยอมรับ”

“ข้าเกรงว่าพวกเขาคงทำใจยอมรับได้ยาก” นานนากล่าวด้วยใบหน้าเศร้า “ข้าไม่อยากให้ท่านนำบุตรของข้าไป”

“บุตรชายของท่านจำต้องได้รับการศึกษาด้านเวท เขามีพลังอันลึกล้ำมากกว่าชาวมาร์วัลลัส พลังของเขาสามารถสร้างสันติในเวลาเดียวกันอำนาจที่เขามีอยู่นันทรงพลังถึงขนาดทำลายอาณาจักรจอมเวทให้พังพินาศได้ภายในชั่วข้ามคืน”

“ถ้าอย่างนั้นเรายิ่งไม่ควรปล่อยเขาให้ไปกับท่าน” เอลฟ์หนุ่มตนหนึ่งเอ่ยขึ้น องค์มีย์อาร์แย้มสรวล

“เขายิ่งควรไปกับเราต่างหาก ท่านบลาร์กายน์ และหากท่านไม่ยินยอมเราคงต้องใช้กำลังบังคับ”

“พวกจอมเวทก็ดีแต่ใช้กำลังแย่งชิงของรักของผู้อื่น” บลากายน์กล่าวด้วยใบหน้าเคียดแค้น แต่นานนากลับโบกมือห้าม

“ท่านกล่าวว่าพลังของบุตรชายข้าสามารถทำลายอาณาจักรมาร์วัลลัสให้พังพินาศได้อย่างนั้นหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันเพราะข้าไม่เคยเห็นเขาใช้พลังอะไรได้เลยนอกจากเวทบงการธรรมชาติ”

“ฟอร์เซ็ตติมีพลังอีกด้านที่ท่านไม่รู้ นานนา” มือของราชินีแห่งมาร์วัลลัสไล้เรือนผมสีเงินละเอียด เอลฟ์ตัวน้อยเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกล่าวเสียงใส

“ทำไมท่านจึงเรียกข้าว่าฟอร์เซ็ตติ ข้าไม่ได้ชื่อนั้นสักหน่อย ชื่อของข้าคือ.........”

ปลายนิ้วอันเรียวงามวางจรดลงบนริมฝีปากสีชมพูที่น่ารัก องค์มีย์อาร์ทรงน้อมวรกายลงและกล่าวกับเอลฟ์น้อยด้วยน้ำเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความปราณี

“เหล่าจอมเวทจะไม่เอ่ยชื่อของตนให้ผู้อื่นรู้เป็นอันขาด”

“แต่ข้าไม่ใช่จอมเวท ข้าเป็นเอลฟ์แห่งป่ามนตราต่างหาก” เอลฟ์น้อยเถียงเสียงดัง เขาถอยหลังไปยืนข้างกายนานนาทันทีและมองจ้องราชินีมาร์วัลลัสด้วยสายตาขุ่นเคือง พระนางยิ้ม

“เจ้ามีสายเลือดของจอมเวทผู้เก่งกาจและทรงพลังที่สุด ฟอร์เซ็ตติ เจ้ามีพลังสูงส่งมากกว่าจอมเวททั้งหลายในมาร์วัลลัส พลังที่สามารถสยบทุกคนให้ยอมศิโรราบแก่เจ้าได้หากเจ้าต้องการ”

“ข้าไม่มีพลังที่ว่านั่น” เอลฟ์น้อยกล่าวเสียงห้วนและเงยหน้าขึ้นมองดูมารดาของตน “ท่านแม่บอกนางให้เข้าใจทีว่าข้าเป็นเพียงแค่เอลฟ์ธรรมดาไม่ใช่พวกจอมเวทดังที่เขาเข้าใจ”

นานนาขบริมฝีปากของตนเองจนแน่นพร้อมหลับตาลงคล้ายกำลังตัดสินใจก่อนลืมขึ้นและทรุดกายนั่งลงตรงหน้าฟอร์เซ็ตติ มืออันแสนอบอุ่นปัดไรผมที่ปรกหน้าบุตรชายก่อนเลื่อนลงมาไล้พวงแก้มใสอย่างแผ่วเบาราวปลอบโยน

“องค์มีย์อาร์กล่าวถูกต้องแล้วลูกรัก เจ้ามีสายเลือดของจอมเวทไหลอยู่ในกายครึ่งหนึ่ง”

“ไม่จริง!” เอลฟ์น้อยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาสีฟ้าใสมองหน้าผู้เป็นมารดาแน่วนิ่ง เมื่อเห็นแววตาอันจริงจังของนาง สีหน้าของเอลฟ์ผู้เยาว์จึงคลายลง

“ทำไมท่านไม่เคยบอกข้าสักคำ” เอลฟ์น้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายตัดพ้อ ดวงตาเลื่อนขึ้นไปมองใบหน้าของราชินีแห่งมาร์วัลลัส “หมายความว่าข้าจะต้องไปกับนางจริงๆ”

“แม่ไม่อยากให้เจ้าไป” นานนากล่าวพลางกอดบุตรชายเอาไว้แนบอก “แต่เจ้าสมควรได้รับรู้เรื่องราวของเหล่าจอมเวทเอาไว้บ้าง จงเรียนรู้ให้ทันพวกเขา และจงอยู่เหนือพวกเขาให้ได้นะ ลูกรัก”

“แต่ข้าไม่อยากไปมาร์วัลลัส” เอลฟ์น้อยสะอื้น เขาซุกหน้าลงบนทรวงของผู้เป็นมารดาและเริ่มต้นร้องไห้ “ข้าไม่อยากเป็นจอมเวท ชนพวกนั้นไม่มีอะไรดีเลยสักนิด”

หัวใจของนานนาแทบสลายเมื่อได้ฟังคำของบุตรชายตัวน้อยจบลง นางกอดร่างเล็กๆเอาไว้แน่นและเช็ดน้ำตากับเรือนผมสีเงินก่อนดันเขาออกห่างและลุกขึ้นหันไปทางองค์มีย์อาร์ซึ่งกำลังยืนมองนางนิ่ง

“ข้าขอให้ท่านรับปากว่า จะดูแลดวงใจของข้าให้ดียิ่งกว่าสิ่งมีค่าที่สุดในมาร์วัลลัส”

“ข้ารับปาก” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตรัสรับคำด้วยสีพระพักตร์จริงจัง “ฟอร์เซ็ตติจะพำนักในวังและเรียนรู้การใช้เวทจากผู้ทรงความรู้ที่สุดในพระนคร เขาจะมีพลังเหนือกว่าผู้ใดข้าให้สัญญา”

“และเมื่อใดข้าได้ยินว่าพวกท่านไร้ความเมตตาต่อเขา ข้าและพวกพ้องของข้าบุกเข้าไปในวังของท่านและแย่งชิงเขากลับคืนสู่ป่าแห่งมนตรา”

“พวกท่านจะไม่ได้ทำเช่นนั้นแน่ ท่านนานนา” องค์มีย์อาร์ตรัสพร้อมกับส่งรอยยิ้มแสนอ่อนโยนให้ฟอร์เซ็ตติ เอลฟ์น้อยมีสีหน้าบึ้งตึงขณะเกาะกุมมือมารดาของตนแน่น นานนาก้มหน้าลงมองดูเขา

“จงเชื่อฟังราชินีแห่งมาร์วัลลัส ให้เกียรติและมอบความไว้วางใจแก่พระนางเพียงผู้เดียว”

“ข้า...ไม่...”

“รับปากแม่”

น้ำตาของเอลฟ์ตัวน้อยไหลพรากอาบแก้ม เขาก้มหน้าลงพร้อมกับรับคำมารดาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ นานนาระบายลมหายใจของตนก่อนส่งบุตรชายให้กับองค์มีย์อาร์ พระนางกุมมือน้อยๆเอาไว้

“สายมากแล้ว เราคงต้องกล่าวคำอำลาพวกท่านเสียที” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสกล่าวกับนานนาและเหล่าเอลฟ์ของป่าแห่งมนตรา พวกเขาผายมือออก

“พวกเราจะไม่ย่างเท้าออกไปนอกเขตแนวป่า ดังนั้นโปรดอภัยที่จำต้องขอส่งท่านเสียตั้งแต่ตรงนี้”

องค์มีย์อาร์ทรงแย้มสรวลและหันไปทางนานนา นางมองดูบุตรชายด้วยสีหน้าและสายตาอาดูรก่อนยกมือขึ้นโบกอำลา

“ลาก่อนดวงใจของแม่”

ฟอร์เซ็ตติหันหน้าซึ่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำตากลับมามองมารดาของเขา เอลฟ์น้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเครือ

“ลาก่อนท่านแม่”

*/*/*/*/*


เหล่าจอมเวทผู้ทรงวัยวุฒิสี่ห้าคนพากันมองร่างของเอลฟ์วัยสามขวบซึ่งยืนเคียงข้างกายของราชินีด้วยสายตาแสดงความดูแคลนออกมาอย่างไม่ปิดบัง จอมเวทผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

“พระองค์จะให้พวกข้าสอนเวทให้กับเจ้าเอลฟ์น้อยตนนี้หรือ”

“ท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว ฟอรัม” องค์มีย์อาร์ตอบพลางก้มหน้าและส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับฟอร์เซ็ตติ เขายิ้มรับด้วยท่าทางขัดเขินก่อนเลื่อนสายตามองเหล่าจอมเวทที่กำลังยืนรายล้อมโดยรอบด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ฟอรัมเบ้หน้าเล็กน้อย

“ข้าไม่แน่ใจว่ามีความสามารถมากพอที่จะสอนเอลฟ์ได้” เขาถลึงตาใส่ฟอร์เซ็ตติ “ดังนั้นโปรดทรงให้อภัยด้วยหากเวทของเขาไม่ก้าวหน้ามากไปกว่าอาคมของชาวไร่รอบนอก”

“แล้วท่านจะแปลกใจ” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง มีเพียงดวงตาที่ส่องประกายวาววับน่าเกรงขาม ฟอรัมขยับไม้เท้าของเขาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด

“ถ้าเช่นนั้นพระองค์ประสงค์จะให้เขาเริ่มเรียนเมื่อใด”

“พรุ่งนี้” องค์มีย์อาร์ตรัสตอบ

*/*/*/*/*

“ใครบอกให้เจ้าร่ายเวทบทนี้กัน ฟอร์เซ็ตติ!” เสียงฟอรัมดังลั่นออกมาจากห้องดึงความสนใจจากเหล่าจอมเวทที่กำลังเดินผ่านไปมา บางคนถึงกับหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขันที่เห็นภาพของเอลฟ์น้อยหน้าตาน่ารักกำลังมีสีหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธจากการถูกตำหนิ

“ข้าเรียนคาถาบทนี้มาตลอดทั้งสามอาทิตย์” ฟอร์เซ็ตติเถียง “ในขณะที่จอมเวทคนอื่นเรียนเกินกว่าข้าไปตั้งหลายสิบบทแล้ว”

“เจ้ายังร่ายมนตร์ได้ไม่ดีนัก” ฟอรัมตบมือลงบนหนังสือ “ข้าจะให้เจ้าท่องมันจนไม่ลืมแม้ยามละเมอ”

“ข้าจำเวทบทนี้ได้ทั้งหมดตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ท่านสอน” เอลฟ์น้อยเถียงอย่างไม่ลดละ “ข้าเคยร่ายมันให้ท่านดูตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด”

“แค่ร่ายเวทง่ายๆก็ลำพองใจจนคิดว่าเก่งแล้ว แบบนี้อย่าหวังเลยว่าข้าจะยอมสอนเวทบทอื่นให้กับเจ้า จงท่องบทนั้นต่อไปอีกสักสองอาทิตย์เถอะ ฟอร์เซ็ตติ”

“ไม่!” เอลฟ์น้อยตะโกน “พอกันที!ข้าไม่เรียนแล้ว! ข้าจะไปบอกองค์มีย์อาร์ว่าจะกลับป่าแห่งมนตรา”

“รีบออกไปเสียตั้งแต่วันนี้เลยยิ่งดี!” ฟอรัมปิดหนังสือโดยแรง “ข้าจะไปทูลบอกถึงความดื้นด้านและโง่เง่าของเจ้าให้องค์ราชินีได้รับฟัง!”

*/*/*/*/*/*

องค์ราชินีแห่งมาร์วัลลัสทรงหันพระวรกายที่กำลังทรงมองดูทิวทัศน์ด้านนอกของวังพร้อมกับเลิกคิ้วเมื่อได้ฟังคำของฟอร์เซ็ตติและฟอรัมจบลง พระนางไล่สายตามองคนทั้งสองราวกับกำลังพิจารณาก่อนเอ่ย

“เจ้าว่า เจ้าสามารถจำเวทที่ท่านฟอรัมสั่งให้ท่องจนแม่นยำดีแล้วจริงหรือ”

“ข้าจำได้แม่นตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นมนตราบทนี้” ฟอร์เซ็ตติกล่าวด้วยใบหน้าขึงขังจน
องค์มีย์อาร์ทรงแย้มยิ้มด้วยความรู้สึกเอ็นดูก่อนหันไปทางฟอรัม

“ส่วนท่านกล่าวว่าฟอร์เซ็ตติทั้งดื้อด้านและไร้ปัญญาจนเกินกว่าจะเสี้ยมสอน”

“ข้ากล่าวเช่นนั้นจริง” ฟอรัมค้อมกายลงขณะกล่าว ราชินีแห่งมาร์วัลลัสทรงยิ้ม

“แสดงให้เราดูหน่อยว่าเจ้าจดจำเวทได้มากน้อยเพียงใด” พระองค์ทรงตรัสกับเอลฟ์น้อยด้วยน้ำเสียงปราณี เขาขบกรามตนเองแน่นก่อนหลับตาลงและร่ายเวทออกมา ฟอรัมแสยะยิ้มเหยียดอย่างนึกดูถูกโดยไม่ปิดบัง

“เจ้าไม่มีทางร่ายเวทได้แน่หากปราศจากไม้เท้า เจ้าเอลฟ์โอหัง”

แสงไฟสว่างวาบขึ้นทันทีที่ความคิดของจอมเวทผู้นั้นสิ้นสุดลง เพลิงสีฟ้าสุกสว่างรูปทรงกลมลอยอยู่เหนืออุ้งมือเล็กๆ ใบหน้าของฟอรัมซีดสลดลงต่างจากฟอร์เซ็ตติซึ่งกำลังยิ้มกว้างขณะจ้องมองดูไฟเวทในมือของตน

“ดูเหมือนเอลฟ์น้อยของเราจะเรียนรู้ได้มากกว่าตำราที่ท่านสอนเสียอีกนะ ฟอรัม”

องค์มีย์อาร์ทรงตรัสด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึม ฟอรัมโค้งกายลงจนต่ำพร้อมกับตอบ

“ข้าไม่ทราบว่าเอลฟ์น้อยตนนี้จะมีพลังมากถึงขนาดร่ายเวทได้โดยไม่ต้องอาศัยไม้เท้าช่วย ข้าจะรีบแก้ไขปรับปรุงการสอนให้มากขึ้นกว่าที่เป็นมา”

“เราคงไม่รบกวนท่านถึงขนาดนั้น” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตรัส “เพราะเราจะให้จอมเวทผู้อื่นเป็นคนสอนมนตราให้กับฟอร์เซ็ตติ”

“พระองค์จะทรงให้ผู้ใดมาสอนเขาแทนข้า” ฟอรัมรีบถามด้วยความรู้สึกตระหนกมากกว่าอยากรู้ องค์มีย์อาร์มองหน้าเขา

“นูเอดา”

“นูเอดา” จอมเวทผู้ยะโสเอ่ยทวนด้วยความรู้สึกฉงนใจ “แต่เขาเป็นจอมเวทแห่งไฟ เหตุใดถึงได้.....”

“เพราะฟอร์เซ็ตติเหมาะกับเวทแห่งไฟและแสงสว่างมากที่สุด”

*/*/*/*/*/*

นูเอดา จอมเวทหนุ่มผู้มีผมสีแดงเพลิงยืนมองฟอร์เซ็ตติ ศิษย์วัยห้าขวบกำลังยืนหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิในการร่ายเวทแห่งไฟ เขากระตุกยิ้มออกมาเมื่อเห็นเปลวเพลิงสีแดงฉานปะทุกขึ้นกลางอากาศ มันบิดม้วนตัวไปมาราวกับมีชีวิตและสลายไปเกือบจะทันที เอลฟ์น้อยขมวดคิ้วและลืมตาขึ้น

“ข้าจะลองเวทเพลิงเบรนเนนดูอีกครั้ง” เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง นูเอดากดไหล่ฟอร์เซ็ตติและกล่าวเสียงเรียบ

“การร่ายเวทแห่งเบรนเนนเลสไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำได้โดยง่าย เจ้านับเป็นจอมเวทอายุน้อยที่สุดที่สามารถร่ายเวทนี้สำเร็จ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะดึงดันทำให้ได้สมดังใจ”

“ข้าไม่ได้ดึงดัน” เอลฟ์น้อยพูด “เพียงแต่ข้าไม่ชอบละทิ้งสิ่งที่กระทำลงกลางคัน”

“ที่เจ้ามุมานะมิใช่เพียงเพราะความไม่ชอบทำสิ่งใดค้างคาไว้ หากแต่ต้องการเอาชนะสายตาดูแคลนของเหล่าจอมเวทที่คอยจับจ้องมองดูความล้มเหลวของเจ้าเพื่อนำไปเยาะเย้ยถากถางต่างหาก”

นูเอดากล่าวพร้อมกับวาดไม้เท้าในมือสร้างลูกไฟกลมโตสว่างเจิดจ้าขึ้นดวงหนึ่ง
ฟอร์เซ็ตติมองดูด้วยความสนใจและกระหายที่จะทำให้ได้เหมือนผู้เป็นอาจารย์ จอมเวทผมแดงยิ้ม

“ข้าสามารถสร้างกลุ่มเพลิงด้วยเวทแห่งเบรนเนนเลสได้ก็จริง แต่นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับจอมเวทเช่นข้าสามารถทำได้ แต่เจ้า...”

เขาจ้องดูศิษย์ตัวน้อยตรงหน้าด้วยสายตาแน่วนิ่ง

“ด้วยพลังที่มีอยู่ในตัวมาตั้งแต่เกิด เจ้าสามารถเรียกแม้กระทั่งเพลิงโลกันต์จากนรก แต่เจ้าจะไม่มีทางทำได้สำเร็จหากหัวใจของเจ้ายังคงมีแต่ความต้องการเอาชนะเพื่ออยู่เหนือคนอื่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดองค์มีย์อาร์จึงระบุให้ข้ามาสอนเวทเพลิงแก่เจ้า ทั้งที่พระองค์ก็ทรงสั่งสอนเจ้าอยู่แล้ว”

“เพราะพระนางไม่ชำนาญด้านเวทเพลิง” ฟอร์เซ็ตติตอบ นูเอดาสั่นหน้า

“องค์ราชินีทรงมีพลังเวทเหนือผู้ใดในอาณาจักรมาร์วัลลัส พระนางสามารถเรียกเวทเพลิงทุกบทได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เพียงแต่พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะทำต่างหาก” จอมเวทแห่งเพลิงหันไปทางลูกไฟที่เขาสร้างขึ้น “จงดูนี่”

ท่ามกลางความรู้สึกสงสัยของฟอร์เซ็ตติ นูเอดายื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปในเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วงแดงฉาน ดวงตาของเอลฟ์น้อยถึงกับเบิกกว้างอย่างตระหนก เขาอุทานเรียกชื่อของผู้เป็นอาจารย์พร้อมกับทำท่าคล้ายจะดึงแขนของนูเอดาออกมา แต่จอมเวทแห่งไฟกลับยิ้มพร้อมกับดึงแขนของเขาออกจากกลุ่มเพลิง ฟอร์เซ็ตติรีบคว้าแขนของผู้เป็นอาจารย์มาตรวจด้วยความห่วงใยแต่ก็ต้องรู้สึกพิศวงเมื่อพบว่าไม่มีริ้วรอยแผลใดปรากฏอยู่บนท่อนแขนกำยำข้างนั้น

“ไฟมิได้มีไว้เพียงเพื่อการแผดเผาหรือทำลาย” นูเอดากล่าวขณะที่ดึงแขนออกจากมือของเอลฟ์ตัวน้อย “ในบางครั้งเปลวเพลิงก็สามารถชำระล้างจิตใจและวิญญาณของเราให้สะอาดได้ด้วยเหมือนกัน”

“ข้าไม่เข้าใจ” ฟอร์เซ็ตติพูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความงงงัน “ไฟก็คือไฟ ไม่ว่าอย่างไรมันก็มีไว้เพื่อเผาสิ่งอื่นให้มอดไหม้พินาศ”

“ตราบใดที่เจ้ายังคงมีความคิดเช่นนี้ เจ้าก็จะไม่มีวันเรียกเพลิงแห่งเบรนเนนเลสได้ และจะไม่มีทางใช้เวทสูงสุดของเทพผู้เป็นอารักษ์ประจำตัวของเจ้าได้เช่นเดียวกัน”

“เทพผู้เป็นอารักษ์ประจำตัว” เอลฟ์น้อยขมวดคิ้ว “ข้ามีเทพประจำตัวด้วยหรือ”

“ใช่ว่าจอมเวททุกคนจะมีอารักษ์ประจำตน” นูเอดากล่าวพร้อมกับเดินตรงกลับไปยังปราสาทขององค์มีย์อาร์ “เทพอารักษ์จะปกปักรักษาเฉพาะผู้ที่มีหัวใจสะอาดและบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่จำเพาะเจาะจงว่าเขาจะเป็นจอมเวทชั้นใดและหากคนผู้นั้นเป็นผู้ไร้มลทิน เขาสามารถขอยืมพลังแห่งเทพอารักษ์ประจำตนมาใช้ได้ในบางกรณีหรือในคราวที่จำเป็น”

“แล้วท่านมีอารักษ์ประจำตัวหรือไม่” ฟอร์เซ็ตติถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา นูเอดายิ้มอย่างเศร้าสร้อย

“ข้ามี แต่มิอาจเรียกใช้พลังของพระองค์ได้”

“เพราะเหตุใด”

เสียงระบายลมหายใจอันหนักหน่วงจากผู้เป็นอาจารย์ทำให้จอมเวทตัวน้อยรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะไม่มีวันได้รู้คำตอบอย่างแน่นอน นูเอดาแหงนหน้าขึ้นมองท้องพระโรงซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของพระราชวัง

“องค์มีย์อาร์คงตอบคำถามของเจ้าได้ดีกว่าข้า” เขาเลื่อนสายตาลงมามองศิษย์ตัวน้อย “เลยยามเที่ยงไปมากแล้ว เจ้าควรรีบขึ้นไปหาพระนางเพื่อร่ำเรียนวิชาของพระองค์ต่อไป”

จอมเวทผมสีแดงเพลิงขยับไม้เท้าในมือของเขา ร่างน้อยๆของฟอร์เซ็ตติจึงลอยขึ้นไปยังด้านบนและหายเข้าไปในท้องพระโรง เมื่อเสียงบานประตูปิดลง นูเอดาจึงเดินจากไป


*/*/*/*/*

องค์มีย์อาร์ทรงยืนอยู่ที่หน้าต่างเมื่อตอนที่ฟอร์เซ็ตติก้าวเข้าไป สายพระเนตรของพระนางจ้องแน่วนิ่งไปทางทิศเหนือ ผ่านเลยเทือกเขาสูงไปยังดินแดนรกร้างว่างเปล่า ราชินีแห่ง
มาร์วัลลัสทรงะระบายลมหายใจออกมาก่อนหันมาทางจอมเวทน้อยซึ่งกำลังมองพระองค์ด้วยสายตาห่วงใย

“ดูเหมือนท่านจะมีเรื่องกังวลยู่ในใจ” ฟอร์เซ็ตติพูดพลางขมวดคิ้ว “ใครทำให้ท่านไม่สบายใจหรือ”

“เจ้าจะทำเช่นไรหากเราบอกนามของคนผู้นั้น” พระนางทรงตรัสถาม จอมเวทน้อยขบกรามตนเองก่อนตอบ

“ข้าจะเผาร่างของมันให้มอดไหม้เป็นจุณ ให้สาสมกับความผิดที่บังอาจทำให้ท่านต้องขุ่นข้องหมองใจ”

“ถ้าเช่นนั้นเราคงบอกอะไรแก่เจ้าไม่ได้” องค์มีย์อาร์ทรงดำเนินไปนั่งบนบัลลังก์ทอง
ฟอร์เซ็ตติมีสีหน้าบูดบึ้งขึ้นมาในทันที ราชินีแห่งมาร์วัลลัสจึงเอียงพระพักตร์และตรัส

“ดูเหมือนเจ้าเองก็มีเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน”

“ข้าเพียงแค่รู้สึกหงุดหงิดใจเท่านั้น” เอลฟ์น้อยตอบก่อนพ่นลมหายใจออกโดยแรง
องค์มีย์อาร์ทรงยิ้มราวกับรู้ทัน

“นูเอดาคงขัดใจเจ้า” พระนางตรัสขึ้น “เขาไม่ยอมสอนเวทบทใดให้กับเจ้าหรือ”

“ท่านอาจารย์ไม่เคยปฏิเสธเวทที่ข้าต้องการจะรู้ นอกจากเบรนเนน เวทเพลิงโลกันต์”

“แล้วเขาให้เหตุผลแก่เจ้าว่าอย่างไร”

“ท่านอาจารย์บอกว่าใจข้ายังมืดมนและไร้ความสะอาด” ฟอร์เซ็ตติมองหน้าองค์มีย์อาร์และถาม “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของท่านนูเอดาว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”

“คำตอบของเราอยู่ในคำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตอบ จอมเวทน้อยขมวดคิ้วแน่นขณะครุ่นคิด

“คำตอบอยู่ในคำพูดของข้า เมื่อครู่ข้าพูดอะไรออกไปบ้าง”

“จอมเวทที่ดีย่อมไม่ลืมคำพูดของตนเอง” องค์มีย์อาร์เปรยขึ้น “เจ้าจะมีหัวใจไม่ต่างไปจากเหล่าจอมเวทที่คอยดูถูกเหยียดหยามเจ้าหากไม่รู้จักจดจำในสิ่งที่ตัวเองพูดหรือกระทำลงไป”

“ข้าบอกว่าจะเผาผู้ที่ทำให้ท่านต้องขุ่นใจ” ฟอร์เซ็ตติกล่าวเสียงเบา ราชินีแห่งมาร์วัลลัสยิ้ม

“ดีจริงที่เจ้าจำคำของตนได้” สีพระพักตร์อันอ่อนโยนเคร่งขรึมขึ้น “เจ้ายังจำเรื่องราวของบิดาที่เราเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งก่อนได้หรือไม่ ฟอร์เซ็ตติ”

“ข้าจำได้ไม่มีวันลืม” เอลฟ์น้อยตอบ “ท่านบอกว่าหัวใจของบิดามีแต่ความมืดดำและเคียดแค้นชิงชังอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเทียบเท่า”

“หัวใจของเจ้าก็กำลังจะเป็นเช่นนั้น” องค์มีย์อาร์ตรัสต่อ “เพียงแค่ความคิดที่ว่าจะทำร้ายผู้อื่นแม้เพียงปลายก้อยก็สามารถสร้างความดำมืดให้บังเกิดขึ้นในจิตใจได้ และเมื่อใดที่มันสามารถครองใจเจ้า เมื่อนั้นเจ้าก็จะกลายไปเป็นอสูรร้ายที่รู้จักแต่การทำลายล้าง ฆ่าได้แม้แต่ผู้ที่เจ้ารักและคนที่รักเจ้า เจ้าอยากจะเป็นเช่นนั้นหรือ”

“ไม่” ฟอร์เซ็ตติตอบสั้นๆ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันคลายออก “ข้าไม่อยากกลายเป็นอสุรกายร้าย ข้าอยากจะเป็นจอมเวทที่ดีเหมือนท่านและอาจารย์ของข้า”

“ความดีเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางครั้งเราต้องผ่านการทดสอบอันหนักหนาสาหัสเพื่อพิสูจน์หัวใจว่าแน่วแน่และมั่นคงหรือไม่ แต่เมื่อเจ้าทำมันสำเร็จแล้ว จะไม่มีสิ่งใดลบล้างความดีของเจ้าให้หมดไป นอกจากตัวของเจ้าเอง”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ฟอร์เซ็ตติกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างน่ารัก “ข้าจะไม่ยอมให้หัวใจตกอยู่ภายใต้ความมืดดำเหมือนท่านพ่อหรือเจ้าพวกจอมเวทหัวเก่านั่นเป็นอันขาด”

“ดีมาก” องค์มีย์อาร์ทรงลูบเรือนผมสีเงินของเอลฟ์น้อยด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดู “จงจำไว้ว่าเจ้ามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่ในภายภาคหน้า ตั้งใจศึกษาเวททุกสาขาให้ดี ใช้มนตราทุกบทด้วยความรอบคอบ ช่วงชีวิตของเจ้ายืนยาวกว่าเหล่าจอมเวททั้งหลายในมาร์วัลลัสดังนั้นจงใช้เวลาทั้งหมดเรียนรู้ทุกสิ่งในพื้นปฐพีอย่าได้ย่อท้อต่ออุปสรรคใด”

“ข้าจะจำคำสอนของท่านตลอดไป” จอมเวทน้อยมองพระพักตร์องค์มีย์อาร์ด้วยความรู้สึกเคารพรักในตัวของพระนางอย่างที่สุด ราชินีแห่งมาร์วัลลัสทรงยิ้ม

“ดูเหมือนเจ้าจะมีคำถามที่ไม่กล้าเอ่ย”

“อาจารย์ของข้าพูดถึงเทพอารักษ์” ฟอร์เซ็ตติมีท่าทางลังเลใจเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “เขาบอกว่าข้าสามารถใช้พลังของพระองค์ได้”

“เจ้าไม่อาจใช้พลังของเทพได้ ฟอร์เซ็ตติ แต่เจ้าสามารถยืมพลังของพระองค์ผ่านร่างของตนโดยอาศัยเวทเป็นสื่อ”

“ข้าไม่เข้าใจ” จอมเวทน้อยทำสีหน้ายุ่งราวกำลังครุ่นคิดตาม “ข้าใช้อำนาจของเทพไม่ได้แต่กลับขอยืมพลังของพระองค์ได้ มันแตกต่างกันตรงไหน”

“พลังของเหล่าเทพนั้นมหาศาลนัก กายของเจ้าหรือเหล่าจอมเวทไม่อาจทานรับอำนาจโดยตรงของพระองค์ได้ แต่เจ้าสามารถเอ่ยนามของพระองค์เพื่อขอยืมพลังโดยอาศัยคำศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย และสร้างสมาธิอันเข้มแข็งให้บังเกิดขึ้นเพื่อรองรับอำนาจจากพระองค์โดยใช้พลังกายของตนแลกเปลี่ยนพลังเทพที่ถ่ายทอดผ่านเข้ามายังร่างของเจ้าก่อนปล่อยออกไป”

“ฟังดูไม่น่าจะยาก” ฟอร์เซ็ตติกอดอกและทำท่าคิด องค์มีย์อาร์ทรงเลิกคิ้วราวกับขบขันในท่าทางของเขา

“ในความเป็นจริงแล้วมันยากมาก เจ้าอาจจะทำได้หรือทำไม่ได้เลยชั่วชีวิต”

“ข้าอยากลอง” ฟอร์เซ็ตติลดแขนทั้งสองข้างลง “ท่านอาจารย์คงสอนข้าได้”

“เขาไม่สามารถสอนเจ้าได้” ราชินีทรงเอ่ยขัดขึ้น “ในนครแห่งนี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถอัญเชิญพลังของเทพผ่านกายของตนได้”

จอมเวทน้อยมององค์มีย์อาร์แน่วนิ่งด้วยเข้าใจในความหมายของพระนาง เขาจึงค้อมกายลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ

“โปรดเมตตาสอนวิธีอัญเชิญพลังเทพให้แก่ข้าด้วย”

“เราเมตตาต่อเจ้าเสมอ ฟอร์เซ็ตติ”

*/*/*/*/*/*

ฟอรัมและจอมเวทอาวุโสสามสี่คนยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ภายในอุทยานหลวงของพระราชวัง พวกเขาหยุดการเจรจาลงอย่างฉับพลันเมื่อเห็นร่างของเอลฟ์น้อยในชุดสีขาวสะอาดตากำลังเดินผ่านเข้ามา ฟอรัมเบ้หน้าของเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“นับวันอาณาจักรจอมเวทจะเสื่อมถอยความน่ายำเกรงลง”

จอมเวทซึ่งมีผมสีขาวทั้งหมดเพราะมากด้วยวัยขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกฉงน

“เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น ท่านฟอรัม”

“ท่านลองคิดดูให้ดีสิ ท่านไครน์ เมื่อก่อนสำนักราชวังของพวกเราเหล่าจอมเวท มีแต่ชนชั้นสูงผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอาคม มาบัดนี้นอกจากเจ้าลูกชาวไร่ชั้นต่ำแล้วยังมีพวกเอลฟ์ป่าไร้ศักดิ์เข้ามาร่ำเรียนมนตราร่วมกับพวกเราอีก หนำซ้ำยังได้รับสิทธิขึ้นไปเดินเล่นบนราชวังขององค์ราชินี อีกหน่อยพวกเรามิต้องก้มหัวเพื่อทำความเคารพพวกมันหรือ”

สายตาของไครน์และจอมเวทอีกสามคนตวัดมองไปทางฟอร์เซ็ตติที่กำลังหยุดยืนฟังคำพูดของฟอรัมนิ่ง สีหน้าของเอลฟ์น้อยเต็มไปด้วยความขุ่นใจแต่มิได้เอ่ยคำใดตอบโต้ออกมา ฟอรัมเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ

“พวกหูแหลมริอ่านสวมชุดจอมเวทสีขาว ฮึ! ข้าว่าน่าจะหาสีเขียวหรือสีอะไรก็ได้ที่ดูเป็นชาวป่ามาใส่ เพราะมันจะเหมาะกว่ามาก”

“เสื้อผ้าชุดนี้องค์มีย์อาร์ทรงมีเมตตาประทานให้กับข้า” ฟอร์เซ็ตติกล่าวเสียงเข้ม ดวงตาสีฟ้าใสจ้องหน้าฟอรัมแน่วนิ่งด้วยความโกรธ “พระนางกล่าวว่าสีขาวเหมาะกับหัวใจและพลังวิญญาณของข้ามากกว่าสีอื่น”

“ความหมายของพระนางน่าจะเป็นความขลาดเขลาเบาปัญญาของเจ้ามากกว่า” ฟอรัมแยกเขี้ยวเยาะ “สมองของเจ้าคงว่างเปล่าไร้สิ่งใดจึงได้รับชุดสีขาวมาเป็นสัญลักษณ์แทน”

“ถ้าเช่นนั้นชุดสีเทาดำด่างของเจ้าคงหมายถึงความริษยาอาฆาตที่บรรจุอยู่จนเต็มหัวใจคล้ายหมอกควันในเตา” ฟอร์เซ็ตติโต้กลับทันที ฟอรัมขยับไม้เท้าในมือของเขาด้วยความพิโรธ

“เจ้าเอลฟ์โอหัง!” เขาตะโกนเสียงก้อง “เจ้ากล้ามากที่บังอาจต่อปากต่อคำกับจอมเวทอาวุโสเช่นข้า”

“ก็แค่หน้าตาที่ดูแก่กว่าจอมเวททั่วไปเท่านั้น แต่ความคิดนั้นมิได้แตกต่างไปจากเด็กวัยสองขวบเลยสักนิด” จอมเวทตัวน้อยยิ้มเยาะขณะที่พูด ฟอรัมยกไม้เท้าของเขาขึ้นและชี้ตรงไปที่ฟอร์เซ็ตติทันที

“หากที่นี่เป็นป่าแห่งมนตรา ข้าจะระเบิดทั้งเจ้าและป่าชั่วช้านั่นให้พินาศ รวมทั้งพวกเอลฟ์โสโครกเหล่านั้นด้วย”

“หากที่นี่เป็นป่าแห่งมนตรา ข้าจะฉีกปากของเจ้าและลากลิ้นสกปรกในปากเหม็นเน่านั่นออกมาสับให้ละเอียดและเผาให้เป็นเถ้าธุลีต่อหน้าชนเอลฟ์” ฟอร์เซ็ตติคำรามลั่นด้วยความโกรธ ร่างน้อยสั่นระริกเพราะแรงโทสะ ฟอรัมยิ้มแสยะ

“เป็นความคิดชั่วช้าสมกับเลือดสามานย์ในกายของเจ้า เลือดผสมที่มาจากพวกชั้นต่ำสารเลวไร้แม้กระทั่งแผ่นดินจะอาศัยต้องไปซุกหัวหมกตัวอยู่ในเงามืดของป่า เจ้าน่าจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าเสีย เจ้าเอลฟ์ไพร สีขาวเช่นนี้ไม่เหมาะกับเลือดโสโครกเช่นเจ้า และเมื่อเปลี่ยนแล้วก็จงเร่งไสหัวซีดของแกออกไปให้พ้นเสียจากที่นี่โดยเร็ว!”

“มีเพียงองค์มีย์อาร์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ทรงรับสั่งให้ฟอร์เซ็ตติอยู่หรือไป” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ร่างสูงกำยำของนูเอดาก้าวเข้ามายืนข้างกายของฟอร์เซ็ตติ เสื้อคลุมสีดำสนิทของเขาสะบัดตามการเคลื่อนไหว ดวงตาสีแดงก่ำเปล่งประกายวาววับแลดูน่ากลัว ฟอรัมลดไม้เท้าในมือของเขาลงและจ้องจอมเวทแห่งไฟด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“อ้อ ท่านนูเอดา อาจารย์ผู้เก่งกาจของเอลฟ์” น้ำเสียงของเขาแสดงความดูถูกออกมาอย่างไม่ปิดบัง นูเอดากระตุกยิ้ม

“น่ายินดีจริงที่จอมเวทชั้นสูงเช่นท่านจดจำนามอันต่ำต้อยของข้าได้”

ฟอรัมพ่นลมหายใจออกมาโดยแรงพลางกระแทกไม้เท้าลงไปบนพื้น

“ใช่ว่าข้าอยากจะจำนามอันน่ารังเกียจของเจ้านัก หากแต่ต้องทนเรียกไปตามมารยาทเท่านั้นอย่าได้หลงลำพองใจไป เจ้าเลือดไพร่”

ฟอร์เซ็ตติกำมือของตนแน่นและทำท่าจะโต้ตอบคำของฟอรัม แต่นูเอดากลับกดไหล่ของเขาเอาไว้ จอมเวทแห่งไฟยิ้มอย่างใจเย็น

“ข้าเป็นเพียงแค่เลือดไพร่ คงไม่กล้าเผยอหน้าพูดคุยเจรจากับชนชั้นสูงเช่นพวกท่าน ดังนั้นจึงต้องขอกล่าวคำอำลาไปทำหน้าที่อาจารย์ตามรับสั่งขององค์ราชินี”

ร่างสูงก้มตัวลงเล็กน้อยก่อนดึงฟอร์เซ็ตติให้เดินตามท่ามกลางสายตาเคียดแค้นของฟอรัมและเหล่าจอมเวทที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น

“ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขับไล่พวกชั้นต่ำเลือดผสมออกไปให้พ้นจากมาร์วัลลัส”

ฟอรัมคำราม

*/*/*/*/*/*

ฟอร์เซ็ตติกระแทกลมหายใจออกมาโดยแรงเมื่อเดินพ้นจากกลุ่มเหล่าจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส เอลฟ์น้อยยกมือขึ้นปัดกิ่งไม้ที่ยื่นมาระหน้าของตนด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจก่อนหันไปทางนูเอดาซึ่งกำลังยืนกอดอกมองศิษย์ของตนด้วยสีหน้าขบขัน

“ดูเหมือนเจ้าจะอารมณ์ไม่ดี”

“แน่นอนว่าข้าอารมณ์ไม่ดี” จอมเวทน้อยตอบเสียงห้วน “ข้าไม่อยากหันหลังหนีจอมเวทพวกนั้น”

“เจ้าไม่ได้หนีพวกเขา” จอมเวทแห่งไฟกล่าวเสียงเนิบ “เพียงแต่เลี่ยงการปะทะคารมกันเท่านั้น”

“ท่านอาจารย์ทนฟังคำพูดหยามเหยียดเช่นนั้นได้อย่างไร”

“หยามเหยียด” นูเอดาพูดทวนแล้วยิ้ม “พวกเขาหยามเหยียดข้าตรงไหน”

“คำพูดทั้งหมดนั่น” เอลฟ์น้อยกระแทกเสียงตอบ ผู้เป็นอาจารย์หัวเราะ

“ทุกอย่างที่เขากล่าวล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริง ข้ามีชาติกำเนิดเพียงลูกชาวไร่รอบนอกพระนครที่บังเอิญมีพลังเวทสูงเท่านั้น ฟอรัมพูดถูกทุกอย่าง”

“ท่านทนฟังคำเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน” ฟอร์เซ็ตติบ่นด้วยใบหน้างอง้ำ นูเอดายิ้ม

“เพราะข้าไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ พวกเขาลำพองตนว่ามีเวทเหนือกว่าผู้ใดแต่กลับร่ายอาคมแห่งไฟไม่ได้สักบท ซ้ำยังไร้เวทแห่งเทพอารักษ์เพราะหัวใจอันแสนมืดดำบดบังความสามารถทั้งหลายไปจนสิ้น เจ้าอยากเป็นอย่างพวกเขาหรือฟอร์เซ็ตติ”

เอลฟ์น้อยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลงและตอบเสียงแผ่ว

“ข้าไม่อยากเป็นอย่างนั้น ข้าอยากจะเก่ง อยากเรียนรู้เวททุกบทและใช้มันอย่างเชี่ยวชาญให้สมกับความเมตตาขององค์มีย์อาร์ที่มีต่อข้า และที่สำคัญ ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ต้องเสียใจ”

นูเอดายิ้มและขยี้เรือนผมสีเงินของศิษย์ตัวน้อยด้วยความรักและเอ็นดูก่อนก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าว

“ถ้าเช่นนั้นจงรวบรวมสมาธิและแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้ามีพลังเหนือจอมเวทเหล่านั้น”

ฟอร์เซ็ตติสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดและผ่อนออกมาทีละน้อยจากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิ เขายกมือทั้งสองข้างขึนเสมออกและเริ่มร่ายเวทด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว นูเอดากุมไม้เท้าในมือของเขาแน่นเมื่อเห็นเปลวไฟสีแดงสดปะทุขึ้นกลางฝ่ามือของศิษย์ตัวน้อย พริบตามันระเบิดขึ้นกลายเป็นลูกไฟขนาดเท่ากับศีรษะของผู้ใหญ่และเต้นระริกหมุนวนอยู่บนมือของฟอร์เซ็ตติ จอมเวทน้อยลืมตาขึ้นและยิ้ม

“ข้าร่ายเวทเบรนเนนได้แล้ว” น้ำเสียงของฟอร์เซ็ตติเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจขณะจ้องมองดวงไฟในมือ เขารวมมือทั้งสองข้างเข้าหากัน เปลวไฟที่กำลังลุกโชนดับวูบลงและหายไป

“เก่งมาก” นูเอดากล่าวชม เขารู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นประกายตาประหลาดกำลังเต้นไหวอยู่ในดวงตาสีฟ้าใสของฟอร์เซ็ตติ ใบหน้าไร้เดียงสาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาดุดันวูบหนึ่งก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว จอมเวทแห่งเพลิงเรียกนามศิษย์ของเขาด้วยความตกใจ

“ฟอร์เซ็ตติ”

ร่างน้อยไหวเฮือกราวหลุดออกจากภวังค์ เอลฟ์น้อยหันมาส่งยิ้มให้กับผู้เป็นอาจารย์พร้อมกับกล่าว

“ข้าอยากจะเรียนเวทเฮลเบรนเนน”

“ต้องรอให้ร่างกายเจ้าเติบโตและแข็งแรงมากกว่านี้” นูเอดาตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ฟอร์เซ็ตติขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจแต่มิได้เอ่ยคำใดออกมา ดวงตาของเอลฟ์น้อยมองผ่านยอดไม้ตรงไปที่วังขององค์มีย์อาร์และพูดขึ้น

“ข้าจะต้องไปเรียนการเรียกพลังจากเทพอารักษ์แล้ว” เขาหันมาทางนูเอดา “ท่านอาจารย์จะกลับไปพร้อมกับข้าหรือไม่”

“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเดินผ่านฝูงจิ้งจอกเฒ่าไปตามลำพังแน่”

จอมเวทผมสีแดงเพลิงตอบพร้อมกับยิ้มและเดินเคียงคู่ไปกับฟอร์เซ็ตติ ในใจของนูเอดาบังเกิดความหวั่นวิตกในอาการแปลกประหลาดของศิษย์ตัวน้อยแต่เขามิได้แสดงกิริยาหรือคำพูดใดออกมา

“ฟอร์เซ็ตติ”

เอลฟ์น้อยขานรับในลำคอและเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ของเขา

“อย่าให้หัวใจของเจ้าจมลงไปในความมืดเป็นอันขาด”

แม้จะไม่เข้าใจในคำพูดของนูเอดา แต่ฟอร์เซ็ตติก็รับคำอาจารย์ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังมั่นคง

“ข้าจะไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่”

“เพื่อแม่และพวกพ้องของเจ้า”

นูเอดาย้ำ เอลฟ์น้อยผงกศีรษะรับ

“ทุกอย่างเพื่อท่านแม่ และพวกพ้องของข้าในป่าแห่งมนตรา”

“ดีมาก” จอมเวทแห่งเพลิงพูด “ข้าจะเชื่อมั่นในคำพูดทุกคำของเจ้า ฟอร์เซ็ตติ”

ราชินีมีย์อาร์ทรงทอดพระเนตรดูฟอร์เซ็ตติยืนหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิและพยายามร่ายเวทแห่งแสงและอัญเชิญนามแห่งเทพอารักษ์ เอลฟ์น้อยถอนหายใจและลืมตาขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

“ข้าจะลองดูอีกครั้ง” ฟอร์เซ็ตติโพล่งขึ้นแต่องค์ราชินีแห่งมาร์วัลลัสกลับโบกหัตถ์ห้าม

“วันนี้เจ้าได้พยายามมาเกือบทั้งวัน สมควรกลับไปพักผ่อนได้แล้วฟอร์เซ็ตติ”

“แต่ข้ายังไม่เหนื่อย”

“กายของเจ้าอาจไม่เหนื่อย แต่ดวงจิตของเจ้าล้าจนแทบสิ้นพลังแล้ว อย่าฝืนกำลังตนเองเพราะแทนที่จะเป็นการดีมันอาจกลับกลายเป็นผลร้ายจนสร้างหายนะให้บังเกิดขึ้นกับตัวของเจ้า”

“จิตของข้ายังกล้าแข็งอยู่” เอลฟ์น้อยกล่าวด้วยสีหน้าดื้อดึง ราชินียิ้ม

“แต่จิตทิพย์ของเรากลับสัมผัสถึงความอ่อนล้าแผ่ออกมาจากกายของเจ้า” พระนางยกหัตถ์งดงามขึ้นลูบเรือนผมของฟอร์เซ็ตติ

“ไปพักผ่อนให้สบายเถิดลูกรัก อย่าเคร่งขืนฝืนกายนักเจ้าจักอ่อนแอและล้มป่วยลงได้”

เอลฟ์น้อยเงยหน้าขึ้นมององค์มีย์อาร์ด้วยสายตาแสดงความรักและเคารพ ความลังเลเต้นไหวอยู่ในดวงตาสีฟ้าสวยก่อนตัดสินใจถาม

“เทพอารักษ์ของข้าคือใครกัน”

“องค์ซอนเนสซาร์ เทพแห่งแสงทั้งปวง” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสตอบ ฟอร์เซ็ตติขมวดคิ้ว

“แล้ว.....พระองค์เป็นเทพที่เก่งที่สุดหรือไม่”

“ไม่มีสิ่งใดเป็นที่สุด” พระนางมีย์อาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความปราณี “แต่พลังของเทพซอนเนสซาร์สามารถทำลายล้างทุกสิ่งให้พินาศเป็นเถ้าธุลีหรือชำระล้างจิตวิญญาณให้สะอาดเพื่อส่งไปยังดินแดนแห่งสันตินิรันดร์ของเหล่าเทพ ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าว่าจะเลือกใช้แบบใด”

“ข้าอยากทำได้ทั้งสองอย่าง” เอลฟ์น้อยตอบ ราชินีแห่งมาร์วัลลัสยิ้ม

“เจ้าทำได้แน่ฟอร์เซ็ตติ”

“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะถามท่านมานานแล้ว” เอลฟ์น้อยเอ่ยขึ้น “เหตุใดท่านจึงเรียกข้าว่าฟอร์เซ็ตติ”

“เจ้าจะรู้เหตุผลนั้นในไม่ช้า” องค์มีย์อาร์ตรัสตอบ “ตอนนี้จงไปพักผ่อนให้สบายเพื่อการฝึกฝนอันหนักหน่วงในวันรุ่งขึ้น”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขออำลา” ฟอร์เซ็ตติโค้งตัวให้กับพระนางก่อนเดินออกจากห้อง ร่างน้อยลอยเลื่อนลงมาจากท้องพระโรงด้านบนและเมื่อเท้าของเขาสัมผัสพื้นเสียงเยาะหยันดังขึ้น

“น่าแปลกที่ยังเห็นเจ้าอยู่ในวังแห่งนี้”

ฟอร์เซ็ตติหันขวับไปทางต้นเสียงทันที คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อพบฟอรัมกับไครน์กำลังยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่มองมายังเอลฟ์น้อยด้วยสายตามุ่งร้าย

“คำพูดนั้นน่าจะเป็นของข้ามากกว่า” ฟอร์เซ็ตติกล่าวเสียงห้วน เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูท้องพระโรงของวังก่อนตัดสินใจก้าวออกไปด้านนอก เสียงฟอรัมดังไล่หลัง

“สัญชาติพวกเอลฟ์ หันหลังหนีผู้อื่นราวกับคนขลาด”

ฟอร์เซ็ตติขบกรามของตนเองแน่นขณะพยายามเร่งฝีเท้าก้าวให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้พ้นไปจากจอมเวททั้งสอง แสงเพลิงสีเขียวพุ่งวาบเฉียดใบหน้าของเอลฟ์น้อยและระเบิดพื้นดินตรงฝ่าเท้าของเขาจนแตกกระจาย ฟอร์เช็ตติชะงักและหันไปมองผู้ปองร้ายทั้งสองทันที

“พวกเจ้าต้องการอะไร”

“ไล่เจ้าออกไปจากมาร์วัลลัส” ฟอรัมกล่าวเสียงเข้ม เอลฟ์น้อยกัดฟันตนเองแน่นเพื่อข่มความโกรธ

“ข้าไม่เคยทำสิ่งใดให้เจ้าต้องขุ่นข้องหมองใจ ทำไมจึงตั้งข้อรังเกียจข้านัก”

“เพราะเจ้าคือเอลฟ์” ฟอรัมคำราม “หนำซ้ำยังเป็นเอลฟ์เลือดผสมโสโครก แค่เห็นหน้าเจ้าข้าก็รู้สึกคลื่นเหียนจนแทบทนไม่ได้แล้ว”

“ในเมื่อทนไม่ได้แล้วทำไมจึงมาวุ่นวายกับข้า เจ้าเกลียดชังข้าก็จงอย่าเข้ามาในวังนี้”

“โอหัง!” เสียงไครน์ตวาดดังลั่น “พวกข้าอยู่ในมาร์วัลลัสแห่งนี้มาตั้งแต่เจ้ายังไม่เกิด กล้าดียังไงถึงได้สั่งห้ามพวกข้ามิให้มาในวังนี่”

“ข้าไม่ได้สั่งห้าม เพียงแค่เสนอข้อหลีกเลี่ยงที่ดีให้เท่านั้น” ฟอร์เซ็ตติกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่พยายามสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ ฟอรัมยกไม้เท้าของเขาขึ้น

“ความคิดชั่ว!” เขาชี้ไม้ของเขาไปทางเอลฟ์ตัวน้อย “ทำไมข้าต้องหลบหน้าเจ้าด้วย เจ้าเอลฟ์เลือดผสมชั้นต่ำ ชั่วช้าเหมือนกันทั้งเผ่าพันธุ์ ต่ำทรามทั้งพ่อแม่ลูก”

“อย่าได้บังอาจกล่าววาจาดูแคลนพ่อแม่ของข้า!” ฟอร์เซ็ตติตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ ฟอรัมกลับหัวเราะ

“พ่อแม่ของเจ้ามีสิ่งใดน่ายกย่องกัน แม่ของเจ้าเป็นเอลฟ์ใจทรามในขณะที่พ่อของเจ้ามีหัวใจและความคิดที่ไม่ต่างไปจากสัตว์ป่า อ้อ! แล้วยังอาจารย์เลือดไพร่ของเจ้าอีกคน”

“หุบปาก!” เอลฟ์น้อยตวาดเสียงกร้าว ดวงตาของฟอรัมวาวโรจน์จนแทบจะลุกเป็นไฟ เขาก้าวเท้าย่างสามขุมเข้าไปหาฟอร์เซ็ตติและยกมือขึ้นฟาดลงไปบนใบหน้าของเอลฟ์น้อยเต็มแรง ร่างเล็กกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้และไหลรูดลงไปนอนกองกับพื้น

“เจ้ากล้าสั่งให้ข้าหุบปากรึ!” จอมเวทคำรามลั่นด้วยความโกรธจัดอย่างที่สุด “เจ้ากล้าสั่งข้า ฟอรัม จอมเวทผู้เรืองอาคมเชียวหรือเจ้าเอลฟ์เลือดชั่ว! ช่างต่ำช้าสามานย์เหมือนพ่อแม่ของเจ้าไม่มีผิด!”

“อย่าบังอาจกล่าวคำล่วงเกินแม่และพ่อของข้า” ฟอร์เซ็ตติปาดเลือดที่ไหลย้อยออกมาจากมุมปาก “ไอ้จอมเวทหัวใจสกปรก!”



Create Date : 11 พฤษภาคม 2554
Last Update : 11 พฤษภาคม 2554 9:38:02 น.
Counter : 391 Pageviews.

0 comment

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี