เทวทูตที่รัก บทที่ 6 ลูซิเฟอร์ (1)

บทที่ 6 ลูซิเฟอร์

 

 

            เช้าวันรุ่งขึ้นน้ำทิพย์ลืมตาตื่นด้วยความสดชื่นมากกว่าทุกวัน ไม่ใช่เพราะอากาศที่แจ่มใสหรือเสียงนกที่มาตั้งแถวจับกลุ่มร้องเพลงกันบนสายไฟฟ้า แต่เพราะการปรับตัวราฟาเอลที่ก้าวหน้ามากกว่าเดิม

 

 

            จากที่ไม่เคยรับประทานอาหารอย่างมนุษย์ เย็นวานนี้เขาดูเอร็ดอร่อยกับแซลมอนแป๊ะซะฝีมือของเธอ ทั้งนี้รวมถึงการได้นั่งดื่มชาและพูดคุยถึงเรื่องราวในยุคสมัยต่างๆที่เขาเคยประสบ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งข่าวของกาเบรียลหรือการทรยศของลูซิเฟอร์จนเกิดสงครามระหว่างเหล่าเทวดา

 

 

            ความที่ไม่เคยได้ล่วงรู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับศาสนา น้ำทิพย์จึงเพิ่งรู้ว่าอัครเทวทูตอย่างราฟาเอลเป็นเทวดาสำคัญแต่ไม่ใช่ลำดับสูงสุด กลุ่มเทวทูตชั้นสูงซึ่งมีหน้าที่รับใช้พระเจ้านั้นคือกลุ่มเซราฟีม(Seraphim) ผู้มีหน้าที่ขับลำนำสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือ

 

ลูซิเฟอร์เคยเป็นหนึ่งในนั้น และเขายังเป็นเทวดาที่มีใบหน้าหล่อเหลางดงามมากกว่าเทพทุกองค์ แต่ที่สร้างความอัศจรรย์ใจต่อหญิงสาวมากที่สุดเห็นจะเป็นจำนวนปีกของเทวดา ถึงจะเคยเห็นภาพของชาวต่างชาติที่มักจะวาดให้เหล่าเทวทูตมีปีกตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงสามคู่ แต่เธอก็คิดแต่เพียงว่ามันเป็นเพียงจินตนาการที่ผู้วาดแต่งเติมเพื่อเพิ่มความศรัทธา จนเมื่อราฟาเอลกล่าวว่าภาพเหล่านั้นวาดตามความเป็นจริงเพราะลูซิเฟอร์จะมีปีกถึงหกคู่ในขณะที่คณะเซราฟีมท่านอื่นมีปีกเพียง 3 คู่เท่านั้น

 

 

            “ปีกเยอะขนาดนั้นไม่เกะกะแย่เหรอ”

 

 

            น้ำทิพย์จำได้แม่นว่าพอถามไปแบบนั้นแล้วสิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มเมตตาของราฟาเอล ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการฟังเรื่องราวของเหล่าเทวดาแล้วเธอคงละลายคาเก้าอี้หรือนอนระทดระทวยอยู่บนอกเทวดาเพราะรอยยิ้มที่ว่านั่น แต่สิ่งที่ได้ฟังต่อจากนั้นทำให้หญิงสาวลืมความตื่นเต้นกับใบหน้าอันหล่อเหลาของราฟาเอลไปจนหมด

 

 

            “ปีกทุกคู่ของเทวดาล้วนมีความหมาย สำหรับเหล่าเซราฟีม ปีกคู่หนึ่งมีไว้เพื่อปกป้องดวงตาจากการมองพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง อีกคู่มีไว้สำหรับโบยบินและอีกหนึ่งคู่มีเพื่อปกคลุมเท้า”

 

 

            “แล้วปีกของลูซิเฟอร์ล่ะ”

 

 

            น้ำทิพย์ซัก ราฟาเอลเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ยอมให้คำตอบ หญิงสาวจึงคิดเอาเองว่าเขาคงไม่อยากจะพูดถึงผู้ที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นไป

 

 

            การพูดคุยดำเนินไปอย่างเพลิดเพลินจนเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนน้ำทิพย์จึงยอมปล่อยให้เทวดาหนุ่มได้พักรักษาตัว ส่วนเธอเองกลับขึ้นห้องเพื่อทำการบ้านแต่วาดไปได้สักสองชั่วโมงก็ต้องนอนเพราะทนง่วงไม่ไหว ความที่มัวแต่คุยจนดึกทำให้หญิงสาวลืมตั้งนาฬิกาปลุกตอนแรกเธอคิดเหมือนกันว่าคงจะตื่นสายแต่พอหันไปมองเวลาเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้น แถมเธอยังกระปรี้กระเปร่าไม่ง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิด

 

 

            อาบน้ำแต่งตัวเสร็จหญิงสาวก็ลงมายังชั้นล่างเพื่อรดน้ำต้นไม้และให้อาหารปลา เสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าซึ่งก็เหมือนกับเมื่อวานคือขนมปังปิ้งไข่ดาว พิเศษขึ้นมาหน่อยตรงที่มีเบคอนทอดกรอบ ตอนที่กำลังจัดวางทุกอย่างลงบนโต๊ะเสียงราฟาเอลก็เอ่ยทัก

 

 

            “อรุณสวัสดิ์”

 

 

            “อรุณสวัสดิ์”น้ำทิพย์ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา”วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

 

 

            “ดีขึ้นมาก” อีกฝ่ายตอบพลางรับจานเบคอนไปวาง หญิงสาวจึงเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะรินนมสดให้เแต่เขากลับสั่นศีรษะ

 

 

            “ผมขอแค่ชาก็พอ”

 

 

            ทั้งสองนั่งลงรับประทานอาหารและสนทนากันแต่ครั้งนี้ราฟาเอลจะเป็นฝ่ายถามโดยส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องราวความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแผ่นดินที่เขาไม่คุ้นเคยซึ่งน้ำทิพย์ได้อธิบายให้เขาฟังอย่างเต็มใจ ทั้งประเพณี วัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมต่างๆของชาวไทย แม้จะเป็นความเชื่อที่แตกต่างกันแต่ดูเหมือนเทวดาหนุ่มจะทำความเข้าใจได้พอสมควร

 

 

            รับประทานอาหารเสร็จน้ำทิพย์จึงเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย ก่อนขึ้นรถเธอยังไม่วายหันกลับมากำชับราฟาเอลถึงเรื่องการพูดคุยกับคนแปลกหน้ากับห้ามเขาออกไปปรากฏตัวให้ใครเห็น เมื่อได้ยินอีกฝ่ายรับปากเป็นมั่นเหมาะแล้วหญิงสาวจึงขับรถออกไป

 

 

            การจราจรในวันนี้ไม่ติดขัดนักด้วยเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงหญิงสาวก็เดินทางถึงมหาวิทยาลัย ระหว่างกำลังเดินเข้าอาคารเรียนสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นกฤตชัยเข้าพอดี ความที่ไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับเขาหญิงสาวจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและเร่งเท้าก้าวขึ้นบันได โชคร้ายที่อีกฝ่ายหันมาพบเธอเข้าพอดี

 

 

            “คุณน้ำทิพย์”

 

 

            กฤตชัยเอ่ยเรียกและรีบเดินเข้ามาหา น้ำทิพย์เหลือกตาขึ้นมองเพดานก่อนจะปั้นหน้าแย้มยิ้ม

 

 

            “คุณคริส”

 

 

            “วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ” เขาทักด้วยท่าทางสนิทสนม หญิงสาวค่อยๆถอยออกห่างจากเขาก่อนจะตอบ

 

 

            “พอดีมีนัดกับเพื่อนค่ะ”

 

 

            กฤตชัยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพยายามขยับเข้าไปใกล้

 

 

            “พอจะบอกได้ไหมครับว่าเป็นใคร”เขาถามด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม น้ำทิพย์มองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ

 

 

            “คุณจะอยากรู้ไปทำไมกันคะ”

 

 

            “อย่าเพิ่งโกรธสิครับ ที่ถามเพราะความหวังดี ถ้าเกิดคุณมีนัดกับเพื่อนผู้ชายบางคนผมจะได้ตามไปเป็นเพื่อน”

 

 

            คำพูดก้อร่อก้อติกแบบไร้ยางอายทำให้น้ำทิพย์นึกรังเกียจจนอยากจะเตะเขาให้กระเด็นไปไกล แต่ความที่ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่เธอจึงทำเพียงแค่อมยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงที่กระด้างขึ้นกว่าเดิม

 

 

            “ทิพย์คิดว่าคงไม่ต้องรบกวนคุณคริสถึงขนาดนั้นเพราะเพื่อนที่ว่าเป็นผู้หญิงและเราก็สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม”

 

 

            คำพูดของเธอทำให้กฤตชัยหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เมื่อตั้งตัวได้เขาก็ฉีกยิ้มอีกครั้ง

 

 

            “คุณคงจะหมายถึงคนที่ชื่อจันทร...เอ่อ ขอโทษพอดีผมเป็นคนที่จำชื่อคนไม่ค่อยเก่ง แต่ผมต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าคบคนแบบนั้นคุณน้ำทิพย์อาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

 

 

            คำพูดของเขาทำให้น้ำทิพย์หน้าตึงขึ้นมาในทันที เธอมองหน้าชายหนุ่มเขม็งพร้อมกับถามอย่างไม่พอใจ

 

 

            “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันคะ”

 

 

            กฤตชัยรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นโบกพร้อมกับรีบพูด

 

 

            “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิครับ ผมไม่ได้หมายความว่าเพื่อนของคุณเป็นคนเลว เพียงแค่อยากจะเตือนเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงเพราะความสามารถของคุณน้ำทิพย์เหนือกว่าทุกคนในห้อง สองคนนั่นอาจคบคุณเพราะต้องการผลประโยชน์”

 

 

            “พูดจบหรือยังคะ” น้ำทิพย์ขัดขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเธอจึงพูด”ก่อนอื่นฉันต้องขอย้ำให้คุณฟังอีกครั้งว่า จรายุทธ จันทรนิภาและฉันเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม พวกเรามีความไว้วางใจกันมากกว่าที่คุณคิด ถึงฉันจะเก่งแต่ในด้านความคิดสร้างสรรแล้วยังด้อยกว่าจรายุทธ ส่วนจันทรนิภาถึงจะด้อยกว่าเรื่องการวาดรูป แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาการแล้ว ฉันไม่มีทางสู้ได้”

 

 

            เธอจ้องหน้ากฤตชัยด้วยความโกรธ

 

 

            “และถ้ามีใครพยายามเข้าใกล้ฉันเพื่อผลประโยชน์ คนนั้นก็คงจะเป็นคุณ อย่าพยายามทำตัวสนิทสนมกับฉันจะดีกว่านะคะ คุณกฤตชัย”

 

 

            พูดจบเธอก็สะบัดหน้าเดินจากไป ทิ้งให้กฤตชัยยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยความโมโห

 

 

            “ระวังตัวเอาไว้ให้ดีน้ำทิพย์” เขาพูดพลางจ้องหญิงสาวด้วยความแค้น”สักวันคุณจะต้องตกเป็นของผม และเมื่อวันนั้นมาถึงสมบัติทุกชิ้นของตระกูลจิตเกื้อการุณย์ก็จะกลายเป็นของนาย

 

กฤตชัยคนนี้แต่เพียงผู้เดียว”

 

           

 

            น้ำทิพย์เดินลงส้นเท้าเพื่อระบายความหงุดหงิดจนกระทั่งถึงหน้าห้องเรียนจึงหยุด หลังจากปรับอารมณ์ให้สงบลงแล้วหญิงสาวจึงก้าวเข้าไปในห้องพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินตรงไปหาเพื่อนรักทั้งสองที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

 

 

            “อรุณสวัสดิ์” เธอเอ่ยทักจันทรนิภาและนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นจรายุทธนั่งหน้าตาบูดบึ้งเหมือนไปเจออะไรบางอย่างที่ไม่สบอารมณ์

 

 

            “โมโหใครมานะเต่า”

 

 

            เธอถาม อีกฝ่ายกลับพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแทนคำตอบ จันทรนิภาจึงเป็นคนพูดแทน

 

 

            “เขากำลังโมโหเรื่องน้ำอัดลมน่ะ”

 

 

            “น้ำอัดลม ทำไมน้ำทิพย์ถามด้วยความสงสัย สาวแว่นหัวเราะเบาๆในขณะที่จรายุทธหันมาตอบ

 

 

            “มันหลอกผม”

 

 

            “น้ำอัดลมมันจะมาหลอกคนได้ยังไงนายเต่า” น้ำทิพย์ถามเพราะเริ่มงงหนักขึ้น จรายุทธไม่ตอบแต่ก้มลงหยิบขวดน้ำสีเขียวสดขึ้นมากระแทกบนโต๊ะ

 

 

            “ดูเอาเองก็แล้วกัน” พูดพลางชี้ไปที่ตัวอักษรและรูปบนฉลากข้างขวด หญิงสาวจึงก้มหน้าลงไปอ่าน

 

 

            “น้ำเมล่อนโซดา”เธอมองหน้าเพื่อน”มันหลอกอะไรนายตรงไหน”

 

 

            “ก็ตรงเมล่อนโซดานี่ไง ผมอุตส่าห์จินตนาการว่ามันต้องมีกลิ่นแสนหวานของเมล่อนกับความซาบซ่าของโซดา แต่พอซดเข้าไปจริงๆมันก็แค่น้ำเขียวดีๆนี่เอง”

 

 

            คำอธิบายของจรายุทธแทบจะทำให้น้ำทิพย์ลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยความขบขัน แต่พอเห็นสีหน้าของเพื่อนแล้วเธอจึงพยายามกลั้นเสียงหัวเราะพร้อมกับพูด

 

 

            “เขาก็บอกไว้ข้างขวดแล้วไม่ใช่เหรอว่า ภาพที่เห็นตกแต่งเพื่อการโฆษณาเท่านั้น ก็เหมือนพวกขนมขบเคี้ยวห่อละห้าบาทที่มีรูปไก่ ปลา ผักแต่ข้างในไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากแป้งนั่นแหละ”         

 

 

            จรายุทธนั่งกอดอกฟังน้ำทิพย์พูดจนจบ เขาถอนใจออกมาค่อนข้างแรง

 

 

            “ถึงจะรู้อย่างนั้นก็เถอะแต่มันอดเจ็บใจไม่ได้ เจ้าน้ำอัดลมเจ้าเล่ห์บังอาจมาหลอกเต่าน้อยน่ารักคนนี้ได้ คอยดูเถอะเลิกเรียนแล้วเราได้เห็นดีกันแน่”

 

 

            “นายจะทำอะไร ส่งเมล์ไปต่อว่าบริษัทเหรอ” จันทรนิภารีบถาม จรายุทธสั่นศีรษะ

 

 

            “เปล่า ผมจะเทน้ำเขียวๆนี่ทิ้งแล้วกรอกปัสสาวะผมลงไปแทน จากนั้นจะจับเจ้าขวดนี่มัดกับไม้กวาดทางมะพร้าวแล้วแห่ประจานรอบมหาวิทยาลัย”

 

 

            คำตอบของเพื่อนทำให้จันทรนิภาแทบอยากจะหยิบปากกาทุกด้ามในกระเป๋ามาปักบนศีรษะของเขาด้วยความหมั่นไส้

 

 

            “ไม่ทิ้งลายเสื่อมเลยจริงๆ”จากนั้นเธอก็หันกลับมาที่น้ำทิพย์และเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นสมุดร่างภาพวางอยู่บนกองตำราเรียน

 

 

            “วันนี้ไม่มีวิชาออกแบบนี่นา เธอหอบสมุดนี่มาด้วยทำไม”

 

 

            ไม่ถามเปล่ามือยังเอื้อมไปหยิบสมุดเพื่อนมาเปิดดูด้วยความสนใจกระทั่งถึงภาพหนึ่งจึงหยุดเพราะมันเป็นภาพร่างของใครบางคนที่มีลายเส้นยุ่งเหยิงจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร น้ำทิพย์มองสีหน้าสงสัยของจันทรานิภาแล้วยิ้ม

 

 

            “ลูซิเฟอร์น่ะ คิดไม่ตกสักทีว่าเขาควรจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน”

 

 

            “ไม่ยาก ก็วาดหน้าให้ดูเป็นปิศาจถ้านึกไม่ออกก็เอาอย่างผีตาโขน มีเขาแบบแพะ ปีกเหมือนค้างคาวหรือถ้าอยากจะเพิ่มความน่ากลัวก็ให้เขาถือปืนกล มีมิซายน์ห้อยคอกับขีปนาวุธคาดเอวเอาไว้ด้วยก็ได้”

 

 

            จรายุทธซึ่งยื่นหน้าเข้ามาดูตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เสนอความคิดจึงถูกปากกาในมือจันทรนิภาจิ้มเข้าไปในปาก

 

 

            “ของแบบนั้นเอาไปใช้กับลูซิเฟอร์ของนายเถอะ”

 

 

            กำราบเพื่อนเสร็จหญิงสาวก็หันไปที่น้ำทิพย์อีกครั้ง

 

 

            “ฉันเห็นเธอศึกษาข้อมูลตั้งเยอะ ยังคิดอะไรไม่ออกอีกหรือ” เธอถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายสั่นศีรษะจึงพูดต่อ”งั้นทำไมไม่ดูที่คนอื่นวาดล่ะ ในอินเตอร์เน็ตมีรูปลูซิเฟอร์สวยๆเยอะแยะไป”

 

 

            “สวยแค่ไหนก็ไม่ใช่งานของฉัน”น้ำทิพย์พูดพลางนึกถึงเรื่องราวบนสรวงสวรรค์ที่ได้ฟังจากราฟาเอล เธอทำยังไงก็นึกไม่ออกว่า ลูซิเฟอร์ที่มีใบหน้าหล่อเหลางดงามนั้นเป็นอย่างไร

 

 

”ฉันอยากจะวาดลูซิเฟอร์ในแบบของตัวเอง”

 

 

หญิงสาวสรุปเป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์เดินเข้าห้องพอดี แม้จะไม่เห็นกฤตชัยเข้ามาในห้องแต่น้ำทิพย์ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนักเพราะเขามักจะโดดเรียนเป็นประจำและที่สำคัญหลังจากที่โดนตอกหน้าไปแบบนั้นเป็นเธอก็คงไม่กล้าเข้ามา

 

 

หลังหมดชั่วโมงเรียนคาบบ่ายน้ำทิพย์พูดคุยกับเพื่อนรักทั้งสองอยู่พักใหญ่จึงขอตัวกลับ ซึ่งเมื่อถึงบ้านหญิงสาวก็ต้องพบกับความประหลาดใจที่ราฟาเอลเตรียมน้ำเย็นใส่แก้วไว้ให้เธอดื่ม พอถามเขาก็ยิ้มและตอบสั้นๆเพียงว่า เป็นหน้าที่ จากนั้นเขาก็ขอตัวเข้าห้องเพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง

 

 

ด้านน้ำทิพย์หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้วเธอจึงเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงจัดวางลงบนโต๊ะและเดินขึ้นห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอกลับลงมาหญิงสาวก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจที่วันนี้ราฟาเอลอยู่ในห้องนานกว่าปรกติ ความที่ไม่อยากรบกวนเธอจึงตัดสินใจเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน

 

 

            น้ำทิพย์นั่งออกแบบรูปโดยไม่สนใจเวลาว่าจะผ่านไปนานเท่าใด มารู้ตัวอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงกริ่งดังมาจากหน้าบ้าน เธอหันไปมองนาฬิกาและขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันเป็นเวลาห้าโมงเย็น เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้งหญิงสาวจึงวางเมาส์ปากกาลงบนโต๊ะและเดินไปที่ประตู คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อเห็นร่างของใครบางคนกำลังยืนอยู่นอกรั้ว แม้การแต่งกายจะดูสุภาพเรียบร้อยแต่ช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานจำพวกพนักงานขายของตามบ้านทำให้เธอไม่ยอมก้าวออกไปดู เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับหญิงสาวจึงร้องถาม 

 

 

“มีธุระอะไรหรือคะ”

 

 

อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับเลื่อนสายตามองผ่านลูกกรงรั้วเข้ามายังด้านในและเลยไปถึงภายในบ้าน แม้จะอยู่ในระยะค่อนข้างไกลแต่ความเย็นเยียบของดวงตาคู่นั้นสร้างความหนาวเยือกขึ้นมาอย่างฉับพลันจนน้ำทิพย์สั่นสะท้านไปทั้งตัว ลางสังหรณ์บางอย่างร้องเตือนให้เธอถอยห่างจากประตู แต่ยังไม่ทันได้ขยับหญิงสาวก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าบัดนี้อาคันตุกะแปลกหน้าได้เข้ามายืนอยู่ภายในรั้วเรียบร้อยแล้ว

 

 

“เขาเข้ามาได้ยังไง”

 

 

น้ำทิพย์พึมพำด้วยความตระหนกเพราะเธอไม่เห็นเลยว่าชายผู้นั้นเข้ามาในบ้านตั้งแต่ตอนไหน จะบอกว่าปีนรั้วเข้ามาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะไม่มีมนุษย์โลกไหนสามารถกระโดดข้ามรั้วสูงท่วมหัวได้ในพริบตา

 

 

ความฉงนแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเมื่อชายผู้นั้นกำลังก้าวอย่างเนิบนาบตรงเข้ามาหา สิ่งที่สะดุดตาน้ำทิพย์ไม่ใช่ใบหน้าที่หล่อคมเข้มดุดัน หากเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัวที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป สายลมที่พัดเอื่อยเมื่อครู่หยุดนิ่งอย่างฉับพลัน อากาศที่เคยเย็นสบายกลับหนักอึ้งเหมือนเธอกำลังลอยตัวอยู่ในสระ มันทั้งแน่นและกดดันอย่างรุนแรงจนเธอแทบจะหายใจไม่ได้ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือแสงสีเข้มสดของดวงตะวันยามเย็นที่อาบไล้บนร่างของเขา มันเปลี่ยนจากสีเหลืองส้มจนแดงฉานดุจเปลวเพลิง

 

 

ดูเหมือนผู้มาเยือนจะไม่ได้ใส่ใจกับน้ำทิพย์เท่าใดนักเพราะดวงตาคมกริบมองข้ามไหล่เธอไปทางด้านหลัง แม้ใบหน้าจะเฉยชาแต่ดวงตากลับเปล่งประกายของความปรีดาออกมาอย่างแจ่มชัด มันเต้นระริกอย่างเริงร่าเมื่อเห็นผู้ที่อยู่ด้านใน ลูซิเฟอร์ก้มศีรษะลงพอเป็นพิธีก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มน่าขนลุก

 

 

“สวัสดีราฟาเอล”

 




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2555 18:58:21 น.
Counter : 685 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog