เทวทูตที่รัก บทที่ 5 สัญญาณปิศาจ


บทที่ 5 สัญญาณปิศาจ

ร่างสูงตระหง่านของผู้ครองอาณาจักรแห่งความมืดทำให้ผู้ที่กำลังจะก้าวเข้ามาหาจำต้องชะงักเท้ายืนนิ่งเพราะแม้จะยังเห็นใบหน้าไม่ชัดแต่ปีกสีดำขนาดใหญ่ที่ขยับไปมาอย่างเชื่องช้าแสดงถึงอารมณ์ขุ่นมัวของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

 เบลเซบับยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปหาจ้าวนรก เขาค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมพร้อมกับกล่าว

 “ท่านลูซิเฟอร์”

 “มีอะไร”เสียงทุ้มห้วนดังตอบกลับมา แม้จะดูสงบราบเรียบแต่ผู้ฟังก็รู้ดีว่าอารมณ์ของผู้พูดในเวลานี้เปรียบเสมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดร่างทุกคนที่อยู่ใกล้ได้ทุกเวลา ดวงตาขนาดใหญ่ของเบลเซบับชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวงก่อนตอบ

 “ข้ามารายงานเรื่องของราฟาเอล”

 ปิศาจร้ายสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงดังสนั่นจากกำปั้นที่ทุบเปรี้ยงลงบนพนักบัลลังก์
ลูซิเฟอร์มองเขาด้วยแววตาที่พร้อมจะฉีกใครบางคนให้เป็นชิ้น

 “เจอตัวมันหรือยัง”

 “ข้าส่งปิศาจจำนวนมากออกไปค้นหา...”

 “แล้วพบมันไหม” ลูซิเฟอร์กระชากเสียงถาม เบลเซบับขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวและตอบด้วยเสียงที่เกือบจะดังอยู่แค่ในลำคอ

 “ยัง”

 เชือกสีดำพุ่งมารัดลำคอปิศาจแห่งแมลงและรัดจนแน่น ถึงจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่เบลเซบับก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นแตะมัน ลูซิเฟอร์จ้องด้วยดวงตาลุกโชนดุจเปลวเพลิง

 “ข้าสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามเจ้ากลับมาจนกว่าจะเจอตัวเจ้าราฟาเอล”

 “ข...ขออภัยแต่ถึงจะยังไม่พบตัวแต่ข้าก็เจอร่องรอยของมันแล้ว”

 เบลเซบับพูดเสียงขาดเป็นห้วง จ้าวแห่งความมืดหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้

 “ว่ามา”

 เชือกที่รัดลำคอคลายออกและหดกลับเข้าไปใต้บัลลังก์ เบลเซบับไอสองสามครั้งพร้อมกับรีบรายงาน

 “ปิศาจตัวหนึ่งบอกว่าพบม่านพลังประหลาดปกคลุมบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ แต่พอมันเข้าไปดูกลับไม่พบอะไรเลย”

 “แน่ใจหรือว่าปิศาจตัวนั้นดูไม่พลาด”

 ลูซิเฟอร์ถาม เบลเซบับส่ายหน้า

 “ข้าส่งปิศาจอีกสองตัวไปตรวจ พวกมันพบม่านพลังนั่นเหมือนกัน แต่พอลงไปดูก็ไม่เจออะไรผิดปรกติ ข้าเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกจึงรีบมารายงานให้ท่านทราบ”

 ผู้ครองนรกยกมือขึ้นลูกคางอย่างใช้ความคิด

 “เจ้าพวกเทวดามักใช้พลังลวงตาคนอื่น แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าม่านนั่นเป็นของปลอม บางทีเจ้าราฟาเอลอาจจะอยู่ในบ้านหลังนั้นและใช้พลังอำพรางร่างให้พ้นจากสายตาของพวกเรา”

 เขาลุกยืนขึ้น

 “ข้าไปดูเอง”

 “แต่บาดแผลของท่าน” เบลเซบับแย้งพลางรอยไหม้ขนาดใหญ่บนแผ่นอก แม้เนื้อบางส่วนจะประสานกันแต่มันก็ยังดูร้ายแรงจนน่ากลัว ลูซิเฟอร์ดึงผ้าคลุมมาปิดเอาไว้พร้อมกับคำราม

 “เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

 เจ้าแห่งความมืดก้าวออกจากห้องและเดินไปจนกระทั่งถึงระเบียงศิลาที่ยื่นออกไปจากตัวปราสาท ใบหน้างดงามราวเทพบุตรเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง

 “ราฟาเอล” ลูซิเฟอร์คำราม“ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้นด้วยมือของข้าเอง”

 เปลวไฟร้อนแรงระเบิดลุกท่วมร่างของจอมปิศาจและหมุนหายขึ้นสู่ด้านบนมุ่งหน้าตรงไปยังโลกมนุษย์ ดินแดนที่ซึมซับความมืดและแสงสว่างเอาไว้อย่างกลมกลืน

*/*/*/*/*

   เสียงดนตรีจังหวะร้อนแรงดึงน้ำทิพย์ให้หลุดจากนิทราอันแสนสุข หญิงสาวควานหารีโมตเพื่อปิดเครื่องเล่นเพลงที่เธอใช้แทนนาฬิกาปลุกและมุดเข้าไปในผ้าห่มเพื่อจะนอนอีกครั้งแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีชั่วโมงเรียนตอนเช้าหญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว

 ประทินโฉมเสร็จน้ำทิพย์จึงลงมายังชั้นล่างเพื่อต้มน้ำสำหรับชงกาแฟ ระหว่างรอเธอลงมือเตรียมอาหารเช้าซึ่งก็คือขนมปังปิ้งกับไข่ดาว ตอนแรกเธอคิดจะทอดไส้กรอกด้วยแต่พอนึกถึงสิ่งที่เห็นเมื่อวานตอนเย็นแล้วน้ำทิพย์จึงตัดสินใจจะเลิกกินอาหารชนิดนี้สักระยะ หญิงสาวชำเลืองตามองไปยังห้องของราฟาเอลที่ยังคงปิดสนิท แม้อยากรู้เหลือเกินว่าเขาตื่นแล้วหรือยังแต่ความที่กลัวว่าหากเปิดประตูเข้าไปอาจจะพบกับภาพบาดตาอีกครั้งทำให้เธอไม่กล้าแม้กระทั่งเคาะประตู กระทั่งอาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ยังไม่มีวี่แววว่าเทวดหนุ่มจะออกจากห้อง เธอจึงตัดสินใจเดินไปหยุดยืนที่หน้าประตูและเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง

 “ราฟาเอล”

 ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนไร้ผู้ใดอยู่ในห้อง น้ำทิพย์แนบหูเข้ากับบานประตูเหมือนต้องการจะฟังความเคลื่อนไหวแต่ทุกอย่างยังคงเงียบสงัด หญิงสาวจึงเรียกซ้ำด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม

 “ราฟาเอล”

 ไม่มีเสียงขานรับเหมือนครั้งแรก เธอจึงขยับเตรียมจะเรียกอีกครั้งโดยตั้งใจว่าหากคราวนี้อีกฝ่ายไม่ตอบเธอก็จะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่สนใจว่าคนที่อยู่ข้างในจะทำอะไรอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามความคิดหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของนกกระจอกดังมาจากหน้าบ้าน ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินออกไปดูและต้องยืนตกตะลึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสูงสง่าของราฟาเอลกำลังยืนอยู่กลางสนามหญ้าโดยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ฉาบด้วยแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ ดวงตาสีฟ้าสวยจ้องตรงไปยังกลุ่มเมฆสีขาวสะอาดคล้ายปุยฝ้ายที่กระจายเกลื่อนอยู่บนนภาสีครามดุจกำลังสวดอ้อนวอนต่อผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องบน เขายืนนิ่งไม่ยอมขยับปล่อยให้สายลมเย็นยามเช้าโบกสะบัดพัดผ่านร่างจนเรือนผมสีทองหยิกสลวยเป็นลอนคลื่นพลิ้วกระจาย และเมื่อพินิศดูให้ดีน้ำทิพย์จึงเห็นรัศมีสีสวยดุยสายรุ้งแผ่เรื่อเรืองออกมาจากร่างของเทวดาหนุ่ม มันเป็นแสงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสร้างความรู้สึกปลอดภัยจนนกนานาชนิดกล้าที่จะบินร่อนลงมายืนอยู่รายรอบและเปล่งเสียงขับขานบทเพลงกันอย่างเจื้อยแจ้ว ตอนนั้นเองที่เหมือนเวลาทั้งหมดหยุดนิ่ง มีเพียงเส้นผมที่ยาวสยายจรดแผ่นหลังของราฟาเอลเท่านั้นที่เคลื่อนไหว มันช่างเป็นภาพตรึงใจอย่างที่สุด แม้กระทั่งตัวของน้ำทิพย์เองก็ยังไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็น

 หญิงสาวยืนจ้องราฟาเอลอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงแตรรถยนต์ที่แล่นผ่านหน้าบ้านไป เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าเทวดาหนุ่มกำลังอยู่ในที่โล่ง ความตกใจทำให้เธอรีบพุ่งไปคว้าข้อมือเขาและลากกลับเข้ามาภายในบ้าน เมื่อกดล็อคประตูจนแน่นหนาดีแล้วน้ำทิพย์จึงมองหน้าราฟาเอล

 “ทำอะไรของคุณน่ะ” เธอถามพลางมองผ่านประตูกระจกออกไปด้านนอกและกวาดสายตามองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วหญิงสาวจึงปิดม่านและหันไปทางราฟาเอลซึ่งกำลังยืนทำหน้างงงัน

 “คุณพูดเรื่องอะไร”

 น้ำทิพย์เหลือกตาขึ้นและหลุดปากออกมาเบาๆว่า ให้ตายเถอะ ก่อนจะลดสายตากลับลงมาหาเทวดาหนุ่มอีกครั้ง

 “นึกยังไงถึงออกไปยืนข้างนอก”

 ตอนแรกราฟาเอลเกือบจะหลุดปากตอบเธอไปตามตรงว่าเขากำลังสวดภาวนาขอความช่วยเหลือจากมิคาเอล แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตระหนกและกังวลของน้ำทิพย์แล้วเขาจึงเปลี่ยนใจ

 “ผมเห็นอากาศดีจึงออกไปรับลมเล่น”

 “รับลมเล่น!”น้ำทิพย์ทวนพร้อมกับทำตาโต”คุณเป็นผู้ชายออกไปยืนหน้าบ้านหญิงสาวตัวคนเดียวแต่เช้าตรู่แบบนี้ถ้าเพื่อนบ้านเห็นเข้ามีหวังได้วิจารณ์กันเละว่าลูกสาวตระกูลจิตเกื้อการุณย์พาหนุ่มมานอนกกที่บ้าน งานนี้มีหวังฉันขายไม่ออกแน่”

ประโยคสุดท้ายพูดด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายแต่สีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเมื่อกล่าวประโยคต่อไป

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เพราะนั่นยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องของคุณ ออกไปยืนแบบนั้นถ้าเกิดลูซิเฟอร์มาเจอเข้าจะทำยังไง” 

“ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือว่า มีม่านกำบังตาพวกปิศาจเอาไว้”

“ถ้าเป็นพวกสมุนกระจอกฉันไม่เถียง แต่ลูซิเฟอร์ฉันไม่แน่ใจ เขาเป็นถึงจอมปิศาจม่านป้องกันของเทวดาที่กำลังอ่อนแรงแบบนี้ไม่มีทางปกปิดอะไรเขาได้อยู่แล้ว”

ราฟาเอลยืนนิ่งเพราะทุกสิ่งที่น้ำทิพย์กล่าวมานั้นถูกต้อง พลังที่เขามีอยู่ในตอนนี้สามารถป้องกันได้เพียงปิศาจระดับปลายแถวเท่านั้น หากลูซิเฟอร์บุกเข้ามาเขาคงไม่มีทางรับมือหรือป้องกันอะไรได้ แน่นอนว่าเทวดาหนุ่มไม่ได้กังวลถึงตัวเองเท่าใดนักเพราะอาร์คแอนเจิ้ล (Arch Angles) เช่นพวกเขายอมอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ผู้ที่เขาเป็นห่วงและต้องการปกป้องให้รอดพ้นจากเงื้อมมืออันเหี้ยมโหดของจอมมารก็คือน้ำทิพย์ หญิงสาวผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ สตรีที่เขาถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ

“ลูซิเฟอร์ไม่ลุกจากบัลลังก์เพียงเพราะเรื่องแค่นั้น”

เทวดาหนุ่มพูด น้ำทิพย์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“หมายความว่ายังไง”

“ผมหมายความว่า ลูซิเฟอร์จะใช้ให้บริวารออกมาควานหาตัวผมจนเจอเสียก่อน จากนั้นจึงจะลงมือ”

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ใจพวกปิศาจ บางทีเขาอาจจะออกมาตามหาคุณด้วยตัวเองก็ได้ สรุปว่าจากนี้ไปหากไม่จำเป็นแล้วห้ามคุณออกไปข้างนอก ถ้าอึดอัดอยากจะรับลมก็ไปที่เรือนกล้วยไม้หลังบ้าน”

“ตกลง”ราฟาเอลรับคำอย่างว่าง่าย หญิงสาวจึงยิ้มพลางจูงมือเขาเข้าไปในห้องอาหาร ตอนแรกเธอเตรียมกาแฟให้เขาหนึ่งถ้วยแต่พอเห็นเทวดาหนุ่มทำหน้าแหยเกเหมือนกำลังซดยาพิษแล้วหญิงสาวจึงเปลี่ยนเครื่องดื่มของเขาเป็นนมสด โชคดีที่ชาวสวรรค์ไม่มีปัญหากับขนมปังปิ้ง อาหารมือเช้าจึงผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นน้ำทิพย์จึงพาราฟาเอลไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อสอนวิธีการเปิดและเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ หญิงสาวมองเทวดาหนุ่มด้วยความแปลกใจเพราะแม้จะเขาจะดูทึ่งกับวิทยาการของมนุษย์แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก หลังจากอธิบายจนอีกฝ่ายเข้าในดีแล้วเธอจึงส่งรีโมตให้พร้อมกับกำชับ

“ถ้าอยากศึกษาเรื่องราวของพวกมนุษย์ขอให้เลือกช่องที่มีสารคดี อย่าได้ไปดูพวกละครเป็นอันขาดถ้ายังไม่อยากเป็นเทวดาสมองกลวง” 

พูดจบหญิงสาวก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายและเดินไปที่ประตูโดยไม่ลืมฉวยกุญแจรถติดมือไปด้วย ก่อนจะก้าวออกจากบ้านเธอหันกลับมาพูดกับราฟาเอลอีกครั้ง

“ปิดประตูให้สนิท ใครเรียกยังไงก็ห้ามเปิด ฉันรู้ว่าเทวดามีเมตตากับมนุษย์แต่คนเดี๋ยวนี้เจ้าเล่ห์มากกว่าที่ท่านคิดมาก”

“ผมเข้าใจ”เทวดาหนุ่มตอบด้วยใบหน้าที่ทำให้น้ำทิพย์แทบอยากจะกระโดดเข้าไปหยิกแก้ม แต่เธอก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มให้กับเขาพร้อมกับพูด

“งั้นก็ดี เอาไว้เย็นนี้ฉันจะกลับมาทำอาหารให้ทาน”

หญิงสาวโบกมือให้กับเขาก่อนจะก้าวขึ้นรถและขับออกไป ส่วนราฟาเอลเมื่อเห็นอีกฝ่ายพ้นไปจากสายตาแล้วเขาจึงกลับเข้าไปนั่งในห้องรับแขกและเริ่มต้นเปิดข่าวอย่างสนใจ ภาพสงครามและเหตุการณ์รุนแรงที่มีอยู่ทั่วโลกสร้างความกังวลต่อเทวดาหนุ่มเป็นอย่างมากเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากจิตใจด้านมืดของมนุษย์ที่ซึมซึบพลังชั่วจากนรกส่งผลให้พวกเขาสามารถกระทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย ยิ่งคนผู้นั้นคือผู้มีอำนาจทุกอย่างในมือด้วยแล้ว หายนะที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงจนสุดต้านทาน

หลังจากนั่งดูอยู่ได้พักใหญ่ราฟาเอลจึงเตรียมจะปิดโทรทัศน์และกลับเข้าห้องทำสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแต่ยังไม่ทันจะหยิบรีโมตเสียงประกาศแจ้งข่าวด่วนก็ดังขึ้น ภาพของรถบรรทุกที่มีไฟลุกท่วมปรากฏบนจอภาพพร้อมเสียงบรรยายของผู้รายงาน

“ขณะนี้เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกแก๊ซพลิกคว่ำ คาดว่าเกิดจากคนขับหลับใน ตอนนี้ไฟได้ลามไปยังรถที่อยู่ใกล้เคียงจนวอดไปแล้วกว่าสิบคัน อุบัติเหตุในครั้งนี้ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายเป็นจำนวนมากเพราะจากที่ค้นพบในเบื้องต้นพบร่างของผู้เสียชีวิตแล้วกว่าสิบรายและดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น...”

กลุ่มควันสีดำที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าท่ามกลางเปลวเพลิงลุกท่วมสร้างความสยดสยองต่อผู้สื่อข่าวสาวเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สร้างความตระหนกต่อราฟาเอลไม่ใช่ซากรถยนต์ที่กำลังมอดไหม้ หากแต่เป็นเงาของอะไรบางอย่างที่กำลังโบยบินอย่างเริงร่าอยู่ในกลุ่มควัน แม้จะมองเห็นไม่ชัดนักแต่สัมผัสของเทวดาทำให้ราฟาเอลรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเหล่าบรรดาปิศาจชั้นต่ำ บริวารอันแสนชั่วร้ายของลูซิเฟอร์

“พวกมันกล้าทำร้ายมนุษย์ด้วยตัวเองเลยหรือนี่” เทวดาหนุ่มพึมพำพลางสะบัดปีกทั้งสองข้างให้กางออก ความเจ็บแปลบวิ่งพล่านไปทั่วแผ่นหลังจนเขาต้องสะดุ้ง มือเลื่อนไปแตะปีกที่หักด้วยความเจ็บใจ

“สภาพแบบนี้เราคงทำอะไรไม่ได้”

ปีกทั้งสองจางหายไป ราฟาเอลทิ้งตัวไปบนเก้าอี้และถอนใจออกมา

“ตอนนี้คงได้แต่ภาวนาอย่าให้พวกมันเจอเราที่นี่ ไม่อย่างนั้นแล้วน้ำทิพย์จะพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย”

เทวดาหนุ่มปิดโทรทัศน์จากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้อง หลังจากปิดผ้าม่านจนแน่ใจว่าไม่มีช่องที่จะให้ใครมองเข้ามาได้แล้วเขาจึงนั่งบนเตียงและสยายปีกออกอีกครั้งจากนั้นจึงตั้งจิตรวบรวมสมาธิเรียกพลังเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง

*/*/*/*/*

อุบัติเหตุสยองขวัญส่งผลให้การจราจรติดขัดต่อเนื่องไปจนถึงถนนเส้นทางที่น้ำทิพย์วิ่งเป็นประจำ กว่าจะหลุดจากท้องถนนและวิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยได้ก็ใช้เวลานานกว่าปรกติถึงครึ่งชั่วโมง โชคดีที่หญิงสาวเผื่อเวลาเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วจึงไม่ได้กังวลใจอะไรนัก แต่ก็โชคร้ายตรงที่ความล่าช้าทำให้ลานจอดรถใกล้อาคารเรียนเต็มหมด เธอจึงจำต้องขับรถไปยังตึกที่อยู่ใกล้เคียงหลังจากวนอยู่สองสามรอบจึงหาที่จอดได้ เมื่อลงจากรถและตรวจดูจนแน่ใจว่าประตูทุกบานถูกล็อคเป็นที่เรียบร้อยแล้วน้ำทิพย์จึงสะพายกระเป๋าเดินตรงไปยังอาคารเรียนที่อยู่ห่างพอสมควร ระหว่างผ่านสวนหย่อม หญิงสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นกฤตชัยกำลังยืนพูดคุยอยู่กับชายแปลกหน้าสามคน ตอนแรกเธอคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนนักศึกษาด้วยกันแต่พอเห็นเครื่องแต่งกายกับหน้าตาท่าทางที่ออกไปในแนวนักเลงหัวไม้แล้วเธอจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าคนกลุ่มนี้คืออันธพาลก๊วนเดียวกับกฤตชัย

ปัญหาคือพวกเขาเข้ามาทำอะไรในนี้ จะบอกว่าเป็นการเข้ามาเยี่ยมเยือนตามวิสัยของพวกว่างงานก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะอาการหลุกหลิกลับๆล่อๆของคนทั้งสามบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เป็นการพูดคุยทักทายกันตามปรกติอย่างแน่นอน ตอนแรกหญิงสาวคิดจะไปแจ้งยามรักษาการณ์แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่มีหลักฐานว่าคนเหล่านั้นมีความผิด ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอควรจะทำในตอนนี้ก็คือเดินหนีไปให้เร็วที่สุดซึ่งดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะจังหวะนั้นเองที่กฤตชัยหันมาเห็นเข้าพอดี เขาพูดอะไรบางอย่างกับชายแปลกหน้าสองสามคำก่อนจะหันกลับมาที่เธออีกครั้งพร้อมกับร้องเรียก

“น้ำทิพย์”

หญิงสาวถอนใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินยิ้มเผล่เข้ามาหา ครั้นจะรีบหนีก็ดูจะเป็นการน่าเกลียดเกินไป สุดท้ายเธอจึงจำต้องส่งยิ้มตอบพร้อมกับพูด

“อ้าวคุณคริส ขอโทษทีค่ะพอดีทิพย์มัวแต่รีบเลยไม่ทันเห็นคุณ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะตอนนี้คุณก็ได้เจอกับผมแล้ว” กฤตชัยพูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันทั้ง 32 ซี่ น้ำทิพย์กลอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาก่อนจะหมุนตัวเตรียมออกเดิน

“เดินไปคุยไปกันดีกว่านะคะ” พูดทั้งที่ในใจพยายามคิดหาทางหนี ทีแรกเธอคิดจะใช้แผนเดิมแต่ก็ต้องล้มเลิกเมื่ออีกฝ่ายดักคอ

“หวังว่าคุณคงไม่แวะเข้าห้องน้ำกลางทางนะครับ”

“คุณคริสพูดแบบนี้ทิพย์เขินแย่เลย” พูดพลางแกล้งใส่จริตเล็กน้อยแต่พองาม อีกฝ่ายหัวเราะชอบอกชอบใจ

“แค่แหย่เล่นเท่านั้นครับอย่าคิดมาก” เขามองหญิงสาวด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม “คุณน้ำทิพย์ดูสวยกว่าทุกวัน มีอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ”

น้ำทิพย์แทบอยากจะสวนกลับไปว่า ฉันก็แต่งแบบนี้ทุกวันจะมีเปลี่ยนก็แค่สีของลิปสติกเท่านั้น มันสวยกว่าทุกวันตรงไหน

“ขอบคุณค่ะที่ชมแต่ทิพย์ก็แต่งตามปรกติเหมือนทุกวัน ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ”

หญิงสาวตอบด้วยถ้อยคำที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิด กฤตชัยจึงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดพร้อมกับแกล้งกุมมือของเธอ

“มือคุณน้ำทิพย์นุ่มจัง ใช้ครีมอะไรหรือครับ”

ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดกึก ใบหน้าของน้ำทิพย์แดงก่ำด้วยความโกรธ ช่วงที่กำลังคิดจะเหวี่ยงเท้าเตะสั่งสอนเจ้าคนบังอาจให้รู้สำนึกว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะเข้ามาจาบจ้วงได้ตามอำเภอใจอยู่นั้นเสียงสดใสน่ารักของใครบางคนก็ดังขึ้น

“พี่ทิพย์”

หญิงสาวหันไปมองและยิ้มอย่างโล่งอกเมื่อเห็นนักศึกษารุ่นน้องที่ชื่ออรอนงค์กำลังวิ่งเข้ามาหา ต่างจากกฤตชัยที่เบือนหน้าหนีพร้อมกับกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

“พี่ทิพย์พอมีเวลาหรือเปล่าคะ พอดีเนยมีเรื่องต้องปรึกษานิดหน่อย” อรอนงค์พูดโดยไม่มองฝ่ายชายที่กำลังยืนหน้าบึ้ง น้ำทิพย์ยิ้มกว้าง

“ว่างจ้ะ มีอะไรเหรอ”

“พูดตรงนี้ไม่ได้ค่ะ”อรอนงค์รีบพูด กฤตชัยจึงโพล่งอย่างเหลืออด

“เรื่องมากจริง อยากถามอะไรก็ว่ามาเลย”

นักศึกษาสาวไม่แม้แต่จะชำเลืองมองชายหนุ่ม เธอจ้องหน้าน้ำทิพย์ก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแข่งขัน ไม่สมควรให้คนนอกได้ยินค่ะ”

อรอนงค์เน้นคำว่า คนนอก อย่างจงใจ กฤตชัยขบกรามแน่นและคงจะโวยลั่นหากน้ำทิพย์ไม่รีบพูด

“งั้นทิพย์คงต้องขอตัวไปกับน้อง คงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” 

เธอมองเขาด้วยดวงตาเชิงอ้อนวอน กฤตชัยจึงจำต้องพยักหน้าพร้อมกับพูด

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคุยกับคุณวันหลังก็ได้” เขาส่งสายตาอาฆาตไปยังนักศึกษารุ่นน้องก่อนสะบัดหน้าเดินจากไป เมื่อเห็นชายหนุ่มอยู่ห่างไปพอสมควรแล้วน้ำทิพย์จึงถามอรอนงค์ที่ยังคงยืนเฉยอยู่

“น้องเนยจะปรึกษาพี่เรื่องอะไรเหรอคะ”

“ไม่มีหรอกค่ะ”รุ่นน้องสาวตอบหน้าตาเฉยและรีบอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้ว”เนยเห็นพี่ทิพย์ทำหน้าอึดอัดเลยเข้ามาช่วย คงไม่ได้เป็นการตัดสินใจผิดใช่ไหมคะ”

“เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและเข้าจังหวะที่สุดเลยค่ะ เพราะถ้าน้องเนยมาช้ากว่านั้นพี่อาจฆ่าคนไปแล้ว”

 พูดพลางถูมือข้างที่ถูกกฤตชัยจับกับสะโพกค่อนข้างแรงอย่างรังเกียจ อรอนงค์จึงเปิดกระเป๋าหยิบหลอดพลาสติกสีชมพูน่ารักยื่นส่งให้

 “ของแบบนี้ต้องล้างด้วยแอลกอฮอล์ค่ะ พี่ทิพย์เอาไปใช้ได้เลยเพราะเนยยังมีอีกหลายหลอด” เธอยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ น้ำทิพย์จึงหัวเราะก่อนจะรับเจลทำความสะอาดจากรุ่นน้องตัวแสบ

 “ขอบคุณน้องเนยมากค่ะ”

 “ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะพี่”อรอนงค์พูดพร้อมกับแสดงความคำนับในท่าถอนสายบัว”จวนได้เวลาเรียนแล้วเนยไปก่อนนะคะ ถ้ามีแมลงอะไรมารบกวนอีกพี่ทิพย์ยิงพลุขึ้นฟ้าเรียกเนยได้ตลอดเวลาอย่าได้เกรงใจ”

 พูดจบก็วิ่งตื๋อออกไป น้ำทิพย์มองตามและส่ายหน้าก่อนจะก้มลงมองหลอดเจลทำความสะอาดในมือ

 ”เห็นนิ่งๆนึกว่าจะเรียบร้อยที่แท้ก็ร้ายไม่เบา” 

 พูดพลางเก็บหลอดเจลที่รุ่นน้องมอบให้ใส่ลงกระเป๋าจากนั้นจึงเดินตรงไปยังอาคารเรียน เมื่อเห็นน้ำทิพย์ก้าวเข้าห้องกฤตชัยก็เตร่เข้าไปหาเพื่อพูดคุยกับเธออีกครั้งแต่พอถูกจรายุทธกับจันทรนิภากีดกันอย่างออกนอกหน้าเขาจึงจำต้องละความตั้งใจและเลี่ยงไปหานักศึกษาหญิงคนอื่นแทย เมื่อปราศจากสิ่งรบกวนน้ำทิพย์จึงเรียนได้อย่างเต็มที่ เมื่อถึงชั่วโมงที่ต้องส่งการบ้านการออกแบบตัวละครหลักของเกมส์ หญิงสาวถึงกับยิ้มหน้าบานเมื่อได้รับคำชมจากอาจารย์ว่าการออกแบบชุดเกราะเทวดาของเธอสมจริงอย่างน่าทึ่ง

 มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากชุดเกราะเทวดาตัวจริงเลยนี่นา

 น้ำทิพย์นึกในใจและคิดต่อไปว่าเย็นนี้คงต้องทำอาหารอร่อยๆให้ราฟาเอลสักหน่อย เพราะเขาแท้ๆทำให้เธอได้คะแนนเก็บสูงที่สุดในห้องแถมอาจารย์ยังขอผลงานของเธอไปเป็นตัวอย่างให้รุ่นน้องอีกด้วย

 ดังนั้นเมื่อหมดชั่วโมงเรียนหญิงสาวจึงรีบขับรถตรงไปยังห้างที่อยู่ภายในเมือง แม้จะค่อนข้างไกลและจำต้องฝ่าการจราจรที่ติดขัดแต่เพราะเธอต้องการวัตถุดิบชั้นดีประกอบกับต้องซื้อเสื้อผ้าที่มีขนาดพอดีกับตัวของราฟาเอล ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะร้านที่เป็นเป้าหมายของเธอนำเข้าเสื้อผ้าจากต่างประเทศ หลังจากเลือกอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจซื้อเสื้อยืดคอกลมครึ่งโหลกับกางเกงยีนอีกสามตัว รวมทั้งรองเท้าชนิดสวมอีกหนึ่งคู่เผื่อวันใดวันหนึ่งเขาออกมาเที่ยวนอกบ้านจะได้ไม่ลำบาก

 เสร็จจากการจับจ่ายหญิงสาวก็มุ่งตรงกลับบ้านทันที เมื่อไปถึงเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นราฟาเอลนั่งรออยู่ในความมืด ความเป็นห่วงเธอจึงรีบเข้าไปเปิดไฟแทบทุกดวงพร้อมกับถาม

 “ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ”

 “คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมอยู่ในบ้าน”

 คำตอบตรงไปตรงมาทำเอาคนถามต้องยืนกะพริบตาปริบๆ แต่ก็เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเพราะเธอยื่นถุงกระดาษสองสามใบให้เทวดาหนุ่ม เขารับมาถือไว้อย่างงงงันก่อนจะถาม

 “อะไร”

 “เสื้อ กางเกงแล้วก็รองเท้า ลองสวมดูว่าพอดีตัวหรือเปล่าถ้าคับฉันจะได้เอาไปเปลี่ยน”

 ช่วงที่รอราฟาเอลลองเสื้อน้ำทิพย์ก็หอบเครื่องปรุงอาหารเข้าไปในครัว ความที่เห็นว่าเทวดาหนุ่มยังกินอาหารได้ไม่คล่องนักเธอจึงตัดสินใจทำแป๊ะซะปลาแซลมอนกับแกงจืดสาหร่ายใส่ลูกชิ้นกุ้ง ตอนที่กำลังจะลงมีดบั้งปลาเสียงของราฟาเอลก็เรียกมาจากทางด้านหลัง เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็ต้องยืนตกตะลึงตาค้างเพราะแม้จะเป็นแค่เสื้อยืดกางเกงยีนแต่มันก็ช่างเหมาะเจาะต่อผู้สวมใส่อย่างเหลือเกิน ถึงเสื้อจะดูตึงไปสักนิดเพราะสรีระที่ค่อนข้างใหญ่ในแบบนักรบแต่มันกลับทำให้รูปร่างของเทวดาหนุ่มดูเร้าใจมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นต้นแขนที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามหรือปลายยอดของหน้าอกที่ดันเนื้อผ้าจนนูนออกมา

 “เป็นยังไง”ราฟาเอลถามเมื่อเห็นหญิงสาวยืนนิ่งไม่พูดอะไร น้ำทิพย์แทบจะปาดน้ำลายของตัวเองก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนคนละเมอ

 “หล่อมาก” 

“คุณพูดว่าอะไรนะ”

 เทวดาหนุ่มย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้วและเอียงหน้าเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน หญิงสาวสะดุ้งตอบอย่างเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน

 “ฉันบอกว่าดูดีมาก แบบนี้ค่อยเหมือนคนธรรมดาขึ้นมาหน่อย”

 พูดจบก็หันกลับไปทำอาหารต่อ ราฟาเอลมองชุดที่ตัวเองสวมด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะไม่ชอบใจเท่าใดนักก่อนจะเดินเข้าไปหาน้ำทิพย์และยืนดูเธอบั้งปลาอย่างสนใจ

 “กำลังทำอะไรอยู่หรือ”

 “แซลมอนแป๊ะซะ”หญิงสาวตอบด้วยหัวใจที่เต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เธอเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จะบอกว่าเพราะใบหน้าคมสันที่ก้มลงมาจนเกือบจะชิดหรือกลิ่นกายหอมกรุ่นที่โชยออกมาจากร่างของเขาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ก็เธอเคยเห็นอะไรต่อมิอะไรของเทวดามาจนหมดแล้ว จะมาตื่นเต้นกับเรื่องแค่นี้ไปทำไม 
น้ำทิพย์คิดพลางพลิกปลาเพื่อจะบั้งอีกด้าน แต่แทนที่คมมีดจะเชือดลงไปบนตัวปลามันกลับไถลเลื่อนขึ้นมาปาดหลังมือของเธอ หญิงสาวร้องอุทานลั่นและยกมือขึ้นกดปากแผลเพื่อห้ามเลือดที่กำลังไหลทะลักออกมาราวกับน้ำ ตอนแรกเธอเตรียมจะวิ่งไปหยิบเครื่องมือปฐมพยาบาลแต่ราฟาเอลกลับคว้าตัวเธอเอาไว้และดึงมือข้างนั้นมากุมไว้กับอก ใบหน้าของน้ำทิพย์แดงจัดด้วยความตระหนกและอาย หญิงสาวคิดจะดึงมือกลับแต่พอสัมผัสถึงความอบอุ่นที่กำลังไหลเข้ามาในมือแล้วเธอก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อราฟาเอลคลายมือออกเธอจึงพบว่าบาดแผลที่เกิดจากมีดประสานตัวกันจนหายสนิท ไม่มีเหลือแม้รอยเลือดสักหยด

“คุณทำได้ยังไง”

น้ำทิพย์ถามพลางพิศมือตัวเองด้วยความทึ่ง เทวดาหนุ่มส่งรอยยิ้มอ่อนละมุนมาให้

“แค่ตั้งจิตภาวนา”

“หมายความว่าพลังแห่งการเยียวยาของท่านกลับคืนมาแล้วใช่ไหม”

หญิงสาวพูดด้วยความยินดีแต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ

“สิ่งที่ผมทำก็คือการขอเพื่อคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้ง หากบาดแผลของคุณสาหัสกว่านี้ผมก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้”

คำตอบของราฟาเอลทำให้น้ำทิพย์จำต้องอึ้ง เพราะนั่นหมายความว่าเขายังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ การใช้พลังรักษาบาดแผลให้กับเธอนั้นนับเป็นการฝืนตนเองมากพอดู หญิงสาวถอนใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้มเมื่อคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากลูซิเฟอร์มาพบเขาในตอนนี้ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องการปกป้องเธอเพราะแค่รักษาตัวเองให้รอดก็หืดขึ้นคอแล้ว

“บอกแล้วไงว่าบ้านของคุณมีม่านพลังป้องกัน พวกปิศาจไม่มีวันหาตัวผมพบหรอก”

ราฟาเอลพูดขึ้น น้ำทิพย์ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

“คุณอ่านความคิดฉันใช่ไหม” ใบหน้าเข้มขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมาเธอโลมเลียเทวดาหนุ่มทางความคิดมาโดยตลอด ป่านนี้ราฟาเอลคงรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจบริสุทธิ์

“ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความคิดซึ่งมันก็ไม่เคยเกินเลยไปกว่านั้น และถ้าคุณไม่ใช่คนที่มีจิตใจงาม ก็คงไม่มีวันทำทุกอย่างเพื่อช่วยผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง” เทวดาหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่การอ่านใจคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ถ้าอยากอยู่ด้วยกันก็เลิกอ่านความคิดคนอื่นโดยเด็ดขาด”

คราวนี้ฝ่ายเทวดาต้องนิ่วหน้าด้วยความลำบากใจ

“ผมเองก็ไม่อยากทำแบบนั้น แต่พวกมนุษย์เองต่างหากที่ส่งความปรารถนาทั้งหลายไปยังสรวงสวรรค์โดยหวังจะให้เทวดาได้ยิน”

“แต่บางคนก็ไม่ได้อยากให้ใครล่วงรู้เรื่องราวที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจ คุณควรจะปิดกั้นพลังนี้”

น้ำทิพย์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง อีกฝ่ายถอนใจออกมาเบาๆแต่ก็ผงกศีรษะ

“ตกลง”

หญิงสาวจ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าใดนัก

“พูดจริงนะ”

“ผมพูดจริง ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองคิดอะไรดูสิ”

ราฟาเอลพูดด้วยใบหน้าอมยิ้ม น้ำทิพย์ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเฉยไม่กล่าวคำตอบโต้เธอจึงยื่นหน้าเข้าไปถาม

“ไม่พูดอะไรสักคำเหรอ”

“ผมไม่ได้ยินสิ่งที่คุณคิด เลยไม่รู้จะพูดอะไร”

 “ค่อยยังชั่ว” หญิงสาวพูดด้วยท่าทางโล่งใจและหันกลับไปยกจานปลาใส่หมอนึ่ง หลังจากโรยผักและยกขึ้นตั้งบนเตาแล้วเธอจึงเทสาหร่ายใส่กะละมัง ราฟาเอลมองการทำงานอย่างคล่องแคล่วของเธอด้วยสายตาชื่นชม

 “มีอะไรที่ผมพอจะทำได้บ้าง”

 เขาถามเหมือนอึดอัดที่ต้องยืนดูเฉยๆ น้ำทิพย์จึงส่งถุงลูกชิ้นกุ้งให้พร้อมกับพูด

 “สำหรับมือใหม่ ล้างลูกชิ้นพวกนี้แล้วใส่ตะกร้าพักไว้ ส่วนเรื่องการปรุงปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน” เธอเปิดน้ำใส่หม้อและหันมายิ้มเมื่อเห็นเทวดาหนุ่มทำตามที่สั่งจนครบ

 “คุณไปนั่งรอที่โต๊ะ เสร็จแล้วฉันจะยกไปบริการถึงที่ รับรองว่ามื้อนี่อร่อยแน่”

*/*/*/*/*

ด้านนอกบนท้องฟ้าเหนือหลังคาบ้านเงาดำของปิศาจกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้น พวกมันไม่รู้ว่าราฟาเอลอยู่ที่ไหนกันแน่แต่พลังที่เขาใช้เมื่อครู่คือสิ่งบ่งบอกว่าผู้ที่จอมปิศาจกำลังตามหาได้ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนี้ แม้จะน้อยนิดดุจหยดเลือดในทะเลกว้างแต่กลิ่นของมันก็มีอำนาจมากพอที่จะดึงดูดฉลามที่อยู่ห่างไกลให้เข้ามาได้ จะต่างกันก็ตรงที่แม้พวกปิศาจจะรับรู้ถึงพลังของคลื่นแต่พวกมันก็ไม่อาจมองเห็นหรือรู้ได้อย่างเด่นชัดว่าผู้ส่งอยู่ที่ใด เพราะผลจากอำนาจของม่านป้องกันที่ราฟาเอลสร้างไว้ตั้งแต่วันแรกที่ร่วงหล่นลงมา หลังจากบินวนเวียนค้นหาอยู่สักพักหนึ่งในนั้นจึงตัดสินใจนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่ลูซิเฟอร์ ส่วนพวกที่เหลือแยกย้ายไปดูตามบ้านไล่ไปทีละหลังโดยหวังผลงานว่าตัวเองคือผู้ค้นพบเทวดา

จะเป็นโชคดีของพวกปิศาจหรือโชคร้ายของราฟาเอลก็สุดจะเดาเพราะตอนที่ปิศาจค้นพบคลื่นพลังนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลูซิเฟอร์ขึ้นมาจากนรกพอดี หลังจากได้รับรายงานจากบริวาร จอมมารก็รีบเดินทางไปยังจุดที่น่าสงสัยและหยุดลงบริเวณที่ไม่ไกลจากบ้านของน้ำทิพย์เท่าใดนัก

ร่างที่ยืนอย่างสง่าอยู่กลางอากาศ แม้จะอยู่ท่ามกลางกระแสลมแต่ผ้าคลุมสีดำสนิทกลับทิ้งน้ำหนักห้อยลงไปตามลำตัว มีเพียงเรือนผมสีดำดุจรัตติกาลยาวสยายเท่านั้นที่กำลังพลิ้วไหวไปมา

“แน่ใจหรือว่าเป็นพลังของเจ้าราฟาเอล”

เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมไปด้วยอำนาจเอ่ยถาม ปิศาจที่มีหน้าตาเหมือนค้างคาวก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนตอบ

“ถึงจะเป็นพลังที่อ่อนมากแต่ข้าแน่ใจว่าเป็นมันแน่ ปัญหาก็คือถึงจะรู้ว่ามาจากไหนแต่ไม่ว่าพวกเราจะพยายามค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ”

“เจ้านั่นคงสร้างม่านพลังป้องกันเอาไว้” ลูซิเฟอร์กล่าวพลางเลื่อนสายตามองไปยังทิศทางที่บริวารบอก”พลังของเทวดาแม้จะน้อยนิดแต่ก็มีอำนาจมากพอที่จะบดบังสายตาพวกชั้นต่ำอย่างเจ้า”

ดวงตาสีเปลวเพลิงทอแสงลุกโชนขณะที่จอมปิศาจเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ผ้าคลุมที่แนบกับลำตัวเมื่อครู่เริ่มสะบัดไหวไปตามลม ลูซิเฟอร์แสยะยิ้มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายสัตว์ร้ายคำราม

“ขอเพียงเจ้าราฟาเอลเผยพลังออกมาอีกครั้ง ข้าจะไปเยี่ยมมันด้วยตนเอง”

จ้าวปิศาจส่งเสียงหัวเราะกระหึ่มในลำคอ เพลิงนรกลุกโชติช่วงหมุนวนรอบร่าง เมื่อสายลมกรรโชกผ่านมันก็ดับวูบลงและหายวับไปพร้อมกับจอมมาร

*/*/*/*/*

จอมปิศาจกำลังจะเจอตัวราฟาเอลแล้ว ไม่สิบทหน้าทั้งคู่ก็จะประจันหน้ากัน แต่มูนนี่จำเป็นต้องบอกว่า อาจจะลงช้ากว่าปรกติเพราะตอนนี้เริ่มลงมือเขียนนักล่าแห่งรัตติกาลภาคสี่ควบคู่ไปด้วย สรุปคือต้องเขียนสองเรื่องนี้พร้อมกัน ความที่เนื้อหาต่างกันอย่างสุดขั่ยทำให้คิดว่างานคงไปได้แบบกระดืบคืบคลาน ดังนั้นหาดล่าช้ามากไปมูนนี่ขออภัยด้วยนะคะ

 




Create Date : 02 ตุลาคม 2555
Last Update : 2 ตุลาคม 2555 8:05:05 น.
Counter : 891 Pageviews.

1 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 4 ความเปลี่ยนแปลง(2)
ความที่กลัวว่าจะเป็นการรบกวนราฟาเอลจึงนั่งมองน้ำทิพย์ทำงานอย่างเงียบๆอยู่สักพักกระทั่งภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไป จากตัวอักษรที่เรียงกันเป็นตับกลับกลายเป็นลายเส้นรูปร่างของคนที่ดูเหมือนจะเป็นนักรบ ความงดงามของภาพทำให้เทวดาหนุ่มลุกขึ้นมาดูด้วยความสนใจ

“เจ้าเป็นจิตรกรด้วยหรือ”คำถามที่ดังอยู่ข้างตัวทำให้น้ำทิพย์ชะงักมือ กิริยาของเธอทำให้ราฟาเอลก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับพูด”ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องเสียสมาธิ”

“ไม่เป็นไร”หญิงสาวตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเขา”นี่เป็นแค่การบ้านออกแบบตัวละครในเกมส์เท่านั้น ฝีมือฉันไม่เก่งจนถึงขนาดที่จะให้เรียกว่าจิตรกรหรอก”  

“การบ้าน?” เทวดาหนุ่มทวนคำอย่างไม่เข้าใจ น้ำทิพย์จึงหันหน้ากลับไปทำงานของเธอต่อพร้อมกับพูด

“ก็งานที่ต้องเอากลับมาทำที่บ้านตามคำสั่งของอาจารย์ พอถึงกำหนดก็ต้องส่ง” เธอมองหน้าราฟาเอลซึ่งกำลังทำหน้างงงัน”ท่านไม่เคยทำหรือ”

เทวดาหนุ่มส่ายหน้า หญิงสาวจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“อะไรกัน บนสวรรค์ไม่มีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเลยเหรอ”

“ไม่มี”

น้ำทิพย์วางเม้าท์ปากกาและมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะถามด้วยความสงสัย

“ไม่มีโรงเรียนแล้วพวกท่านอยู่กันได้ยังไง ฉันหมายถึงพวกเทวดาเด็กๆน่ะเขาจะเรียนรู้เรื่องราวจากไหนกัน”

“ความรู้ทุกอย่างแล้วแต่พระเจ้าจะทรงประทาน พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเราแต่ละคนเหมาะสมกับงานแบบไหน ความรู้ในแบบของมนุษย์ไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่อยู่บนสวรรค์ เพราะพวกเรามีทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์อยู่แล้ว อีกอย่างการสรรสร้างสิ่งต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกมนุษย์รังแต่จะสร้างกิเลสก่อให้เกิดความอยากได้ใคร่มีอย่างไม่รู้จบ นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเจ้าห้ำหั่นกันเอง”

น้ำเสียงเจือความสังเวชเหมือนจะบอกให้รู้ว่าผู้พูดมีความอนาถกับพวกมนุษย์ น้ำทิพย์ถึงกับนั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกเพราะมีความคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเหล่าเทวดาระอากับความโลภของมนุษย์จนถึงขนาดทอดทิ้งหรือทำลายทุกชีวิตเหมือนกับเมืองโซดอม กอมโมราห์ที่เธอเคยอ่านจากหนังสือ ดูเหมือนราฟาเอลจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่เธอคิดทั้งหมด เขาอมยิ้มน้อยๆพร้อมกับพูด

“น้ำพระทัยของพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยความการุณย์ ต่อให้พวกมนุษย์ทำผิดมากแค่ไหน พวกเขายังได้รับการให้อภัยเสมอ”

น้ำเสียงนุ่มน่าฟังกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาช่างงดงามจนยากจะหาคำใดมาเปรียบ หัวใจของน้ำทิพย์เต้นเร็วจนแทบไม่เป็นจังหวะ แม้จะประทับใจในคำพูดแต่ก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรมากนัก สิ่งเดียวที่หญิงสาวรู้ก็คือ ทำไมราฟาเอลถึงหล่อบาดใจอะไรอย่างนี้

“เจ้ายังสงสัยอะไรอยู่อีกหรือ”

เทวดาหนุ่มเอ่ยถาม น้ำทิพย์สะดุ้งและรีบส่งยิ้มอย่างขวยเขิน

“ไม่มี” เธอนิ่งไปเล็กน้อย”ไม่สิมีบางอย่างที่ฉันสงสัย ท่านเป็นเทวดาฝรั่งทำไมถึงเข้าใจภาษาที่ฉันพูด”

“ข้าไม่ได้ฟังสิ่งที่เจ้าพูดแต่เข้าใจในความคิดต่างหาก ภาษาของพวกมนุษย์อาจจะมีมากมายหลายแบบแต่หากกล่าวถึงความหมายแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก”

หญิงสาวพยักหน้าหงึก ๆก่อนจะถามต่อ

“แล้วที่บอกว่าเทดาไม่ต้องกินอาหารเหมือนมนุษย์ แต่ทำไมตอนนี้ท่านจึงรู้สึกหิว”

คำถามดังกล่าวทำให้ราฟาเอลต้องขมวดคิ้ว หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงพูดด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่มั่นใจเท่าใดนัก

“อาจจะเป็นเพราะข้าตกลงมาในสภาพสูญสิ้นพลังซ้ำปีกข้างหนึ่งยังเสียหายจนใช้การอะไรไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยสิ่งใดมันทำให้ข้าต้องอยู่ในร่างเนื้อแบบมนุษย์ไปสักพัก หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนเจ้าจนเกินไป”

“มันก็ไม่ได้เป็นการรบกวนอะไรหรอก แต่ถ้าต้องอยู่ด้วยกันท่านก็ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง”

น้ำทิพย์พูดอย่างอารมณ์ดี เทวดาหนุ่มมองเธอก่อนจะถามด้วยความสงสัย

“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”

“เลิกใช้คำพูดแทนตัวว่าข้ามันดูโบราณเกินไป ประเทศของฉันผู้ชายมักจะแทนตัวเองว่าผมหรือไม่ก็ฉัน ส่วนคู่สนทนาถ้าสุภาพหน่อยก็ควรจะเป็นคำว่าคุณ หรือถ้าเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักจะใช้คำว่าเธอก็ได้”

“แล้วที่เจ้าเรียกว่าว่าท่านล่ะ มันมีความหมายว่าอะไร”

ราฟาเอลถามด้วยความอยากรู้ หญิงสาวส่งยิ้มให้กับเขาก่อนอธิบาย

“นั่นเป็นคำเรียกที่ใช้สำหรับผู้ที่เราให้เกียรติหรือแสดงความเคารพ ในความคิดของพวกเราเทวดาคือผู้สูงส่ง ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะใช้คำแทนแบบคนธรรมดาทั่วไป”

“แต่ตอนนี้ข้าอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างไปจากมนุษย์คนหนึ่ง จะเป็นการดีอย่างยิ่งหากเจ้าเรียกด้วยถ้อยคำที่เป็นปรกติธรรมดา”

ข้อเสนอของเทวดาหนุ่มทำให้น้ำทิพย์ต้องนั่งนิ่งด้วยความลังเลใจเพราะถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความจริงแล้วเขาก็เป็นอัครเทวทูตผู้สูงส่ง การใช้คำเรียกอย่างสนิทสนมนับเป็นการไม่สมควร ตอนแรกหญิงสาวเตรียมจะปฏิเสธแต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่ดูจริงจังกับคำพูดของตนเองจากของราฟาเอลแล้วเธอจึงเปลี่ยนใจ

“งั้นเอาเป็นว่าฉันจะเรียกท่านว่าคุณ และคงต้องขออนุญาตเรียกชื่อบ้างในบางครั้ง”

“ข้าก็ต้องขอเรียกชื่อของเจ้าด้วย”เทวดาหนุ่มพูดและขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านของหญิงสาวเขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอชื่ออะไร

“จริงสิข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร”

“น้ำทิพย์” หญิงสาวตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “น้ำทิพย์ จิตเกื้อการุณย์ หรือจะเรียกสั้นๆว่าทิพย์ก็ได้”  

“น้ำทิพย์”ราฟาเอลทวนชื่อของเธอ”ฟังดูเหมือนเป็นชื่อที่ดี พอจะบอกได้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอะไร”

“ของเทวดา ดีวิเศษอย่างเทวดาหรือถ้าเอาไปประกอบกับคำอื่นจะได้ความหมายทำนอง ดีวิเศษเหนือปรกติธรรมดา ชื่อน้ำทิพย์ของฉันก็คือน้ำวิเศษที่เทวดาประทาน”

“ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมกับเธอมาก”เทวดาหนุ่มพูด”หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาจิตของเธอเปรียบเสมือนน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ นั่นเป็นสิ่งที่ดึงให้ข้าตกลงมายังที่แห่งนี้”

“ผม”น้ำทิพย์เตือนด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก ราฟาเอลก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะพูดทวนประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง

“นั่นเป็นสิ่งที่ดึงให้ผมตกลงมาที่นี่”

“ค่อยน่าฟังขึ้นมาหน่อย”หญิงสาวพูด”ถ้าเข้าใจกันแล้วฉันต้องขอตัวทำงานที่ค้างให้เสร็จเพราะพรุ่งนี้อาจารย์สั่งให้ส่งตัวอย่างรอบแรก ระหว่างนี้คุณก็นั่งฟังเพลงไปก่อน ถ้าเบื่อหรือไม่ชอบจะเปลี่ยนไปดูทีวีหรือฟังรายการวิทยุก็ได้”

พูดพลางหยิบรีโมตส่งให้ราฟาเอล เขาสั่นศีรษะ

“ผมไม่รู้จักของเหล่านั้น”

“อ้าวเหรอ ทีวีก็คือ”น้ำทิพย์ตั้งท่าจะอธิบายแต่อีกฝ่ายกลับแตะมือเธอเบาๆพร้อมกับพูดตัดบท

“ตอนนี้ผมอยากฟื้นพลังของตัวเอง”

หญิงสาวมองหน้าเขาก่อนจะผงกศีรษะอย่างเข้าใจ

“แล้วแต่ท่าน เอ้อ คุณก็แล้วกัน”

พูดจบเธอก็หันหน้ากลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์และลงมือทำงานต่อโดยไม่กล่าวอะไรอีกเลย ราฟาเอลยืนดูการทำงานของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องและยืนครุ่นคิดด้วยความวิตกเพราะหากอาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายสนิทย่อมไม่เป็นผลดีต่อน้ำทิพย์และมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ถึงเขาจะสร้างม่านพลังขึ้นป้องกันพวกปิศาจแต่มันก็ไม่สามารถบดบังสายตาอันคมกริบของลูซิเฟอร์ได้ตลอดไป เมื่อได้ที่เขาถูกจอมปิศาจเจอตัวหายนะอันเลวร้ายก็จะเคลื่อนเข้ามาคุกคามน้ำทิพย์

เมื่อนึกถึงความสยดสยองนานัปการที่ลูซิเฟอร์จะประเคนให้กับหญิงสาวแล้วราฟาเอลถึงกับถอนใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม สิ่งเดียวที่จะช่วยไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ก็คือเขาจะต้องกระตุ้นพลังแห่งการเยียวยาให้กลับคืนมาและออกให้ห่างจากน้ำทิพย์โดยเร็วที่สุด คิดดังนั้นแล้วเทวดาหนุ่มจึงเริ่มปลดเสื้อผ้าออกจากร่างกายและสยายปีกกางออก รัศมีสีทองทอแสงเรืองรองออกมาและเพิ่มความเจิดจ้าขึ้นจนไม่อาจมองเห็นร่างของผู้ที่อยู่ภายใน    

*/*/*/*/*/*




Create Date : 27 กันยายน 2555
Last Update : 27 กันยายน 2555 18:31:01 น.
Counter : 508 Pageviews.

0 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 4 ความเปลี่ยนแปลง
บทที่ 4 ความเปลี่ยนแปลง

น้ำทิพย์ขับรถไปมหาวิทยาลัยอย่างไม่เร่งรีบนักเพราะวิชาที่เรียนในวันนี้มีเพียงพื้นฐานการคิดและวิเคราะห์เพื่อการออกแบบ  วิชาเดียวแถมยังเรียนในช่วงบ่าย ความจริงแล้วเธออยากจะอยู่ดูแลราฟาเอลอีกสักนิดแต่เพราะต้องเข้าร่วมประชุมกับชมรมเทควันโดซึ่งนัดก่อนเที่ยงทำให้เธอต้องออกจากบ้านเร็วกว่าทุกครั้งแต่ก็ยังช้ากว่าที่ตั้งใจเอาไว้ โชคดีที่การจราจรในช่วงสายมักจะไม่ติดขัดเพราะจำนวนรถที่เคยคับคั่งลดจำนวนลง อาจจะเนื่องมาจากเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เข้าที่ทำงานกันไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่สร้างความลำบากต่อยวดยานส่วนบุคคลอย่างรถยนต์ของน้ำทิพย์ก็คือมันเป็นเวลาของยานพาหนะขนาดใหญ่จำพวกรถบรรทุก เพราะไม่เพียงขนาดมหึมาและบรรทุกสินค้ากันอย่างเกินพิกัดแล้วแต่ละคันวิ่งตะบึงกันมาในแบบ ข้าใหญ่ใครอย่าขวาง บางจังหวะน้ำทิพย์ต้องชะลอความเร็วลงและยอมชิดซ้ายปล่อยให้พวกขุนศึกทางหลวงห้อตะบึงแซงหน้าไปก่อนเพื่อความปลอดภัย

เมื่อถึงมหาวิทยาลัยน้ำทิพย์รีบคว้ากระเป๋ากับตำราเรียนวิ่งเข้าห้องชมรมเทควันโดซึ่งการประชุมในวันนี้คือการส่งรายชื่อผู้ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในระดับประเทศ ทั้งอาจารย์และโค้ชพร้อมใจกันเสนอชื่อของน้ำทิพย์แต่เธอปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องการเรียน สุดท้ายทางชมรมจึงตัดสินใจส่งนักกีฬาปีหนึ่งชื่ออรอนงค์หรือน้องเนยที่น้ำทิพย์เคยเจอตอนงานแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยลงไปแทน

เสร็จจากการประชุมน้ำทิพย์รีบวิ่งเข้าไปในโรงอาหารเพื่อหาอะไรรองท้องก่อนเข้าเรียน อารามเร่งรีบเธอจึงเลือกอาหารชนิดด่วนรวดเร็วอย่างแซนวิชทูน่ากับกาแฟดำ หญิงสาวเดินไปรับประทานอาหารไปอย่างไม่กังวลเรื่องความสวยแต่เธอกลับรู้สึกว่าเป็นความซวยเมื่อเห็นกฤตชัยเดินยิ้มเผล่ตรงเข้ามาหา

“ทานอะไรอยู่ครับคุณน้ำทิพย์”

เขาเอ่ยปากทักทายเมื่อเห็นหญิงสาวส่งแซนวิชชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เธอยิ้มตามมารยาทก่อนตอบ

“อาหารแบบเร่งด่วนค่ะ”

กฤตชัยมองห่อพลาสติกในมือของเธอพลางเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ

“ทานแซนวิชถูก ๆแบบนี้ระวังท้องเสียนะครับ”เขาพูดเชิงดูถูกและมองหญิงสาวด้วยความสงสัย”ว่าแต่วันนี้เรียนแค่ช่วงบ่ายวิชาเดียวทำไมคุณน้ำทิพย์ถึงทานข้าวเช้าสายนักครับ”

ถึงจะไม่ชอบใจในน้ำเสียงและรู้สึกรำคาญกับกิริยาก้อร่อก้อติกของเขาแต่น้ำทิพย์ก็ยังคงยิ้ม

“พอดีทำการบ้านเพลินไปหน่อยเลยลืม”เธอแกล้งยกนาฬิกาขึ้นมาดู กฤตชัยยิ้มมุมปากเหมือนรู้เจตนาของเธอ

“เรายังมีเวลาอีกยี่สิบนาที ตอนนี้หาที่นั่งคุยกันก่อนหรือถ้าคุณรีบจะเดินไปพร้อมกันก็ได้”

ถึงจะถูกอีกฝ่ายรู้ทันแต่น้ำทิพย์ก็ยังคงไม่ยอมให้รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพอให้น่าดูน่ารักก่อนจะพูดเสียงหวาน

“อ๋อเปล่าหรอกค่ะ พอดีเมื่อเช้ารีบจนลืมทำธุระเลยคิดว่าจะแวะเข้าห้องน้ำก่อน คงใช้เวลานานสักหน่อย ถ้าไม่รังเกียจคุณจะไปยืนรอที่หน้าห้องก็ได้นะคะ”

รอยยิ้มของกฤตชัยเจื่อนไปเล็กน้อย เขารีบสั่นศีรษะพร้อมกับพูดด้วยท่าทางที่ดูเหมือนอยากจะอยู่ให้ห่างจากหญิงสาวโดยเร็วที่สุด

“งั้นผมคงต้องขอเข้าห้องเรียนก่อน เชิญคุณน้ำทิพย์ตามสบายเลยครับ”

พูดจบก็เดินจากไปทันที น้ำทิพย์ยืนอมยิ้มพลางมองตามอย่างนึกสมเพชเพราะถึงจะพยายามทำตัวให้ดูน่าประทับใจมากแค่ไหน แต่สุดท้ายตัวกฤตชัยเองนั่นแหละที่มักจะเผลอทำหน้ากากสุภาพบุรุษสุดเท่หลุดเผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนเช่นไร

“บอกแล้วว่าหมอนั่นเป็นเกย์”เสียงจรายุทธดังมาจากพุ่มไม้หนาข้างอาคารเรียน”จ่ายมาเลยหญิงกุ้ง”

เสียงตุ้บตั้บดังขึ้นสองสามครั้งตามมาด้วยเสียงโอดครวญ จันทรนภาก้าวพรวดออกจากพุ่มไม้ด้วยใบหน้าบูดบึ้งโดยจรายุทธเพื่อนจอมกวนเดินตามหลังมาติดๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นคลำหัวป้อยในขณะที่เจ้าตัวบ่นงึมงำ น้ำทิพย์มองเพื่อนทั้งสองด้วยความแปลกใจ

“พวกเธอเข้าไปทำอะไรในนั้น”

“นั่งสังเกตการณ์” จันทรนิภาตอบพลางส่งค้อนให้จรายุทธวงใหญ่”เป็นความคิดของพวกจิตเสื่อมบางคนที่วางแผนจะโดดเข้ามาช่วยเธอตอนสถานการณ์ฉุกเฉิน”

น้ำทิพย์เลิกคิ้วสูงพลางเลื่อนสายตาไปยังเพื่อนนักศึกษาหนุ่มที่ยืนห่างจากจันทรนิภาราวหนึ่งช่วงแขน

“สถานการณ์ฉุกเฉินอะไร” เธอถาม จรายุทธยักไหล่

“ก็อย่างเช่นถ้าเกิดนายคริสเกิดอยากว่องไวผสมพันธุ์ขึ้นมา เราจะได้พุ่งออกมาช่วยได้ทัน แต่ผมบอกหญิงกุ้งแล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอกเพราะหมอนั่นสนใจไม้ป่าเดียวกันมากกว่า”

“เธอสองคนเลยพนันกัน”พูดพลางมองธนบัตรละยี่สิบยับยู่ยี่ที่โผล่พ้นกระเป๋าเสื้อออกมา
”ให้ตายเถอะแทนที่จะรีบออกมาช่วย ดันเล่นอะไรกันก็ไม่รู้”

“หมอนั่นไม่มีทางสู้เธอได้อยู่แล้ว”จรายุทธพูดด้วยใบหน้าอมยิ้มและมองจันทรนิภาด้วยหางตา

”แต่ใครบางคนไม่เชื่อเลยต้องพนันกันนิดหน่อย”

“ถึงนายกฤตชัยจะสู้ยายทิพย์ไม่ได้แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ฉันไม่ไว้ใจคนแบบนั้น”

จันทรนิภาพูดเสียงห้วน นักศึกษาหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“เกย์ตาขาวแบบนั้นน่ะเหรอ”จรายุทธพูดพลางแบะปากอย่างดูถูก”ขืนแต๊ะอั๋งทิพย์มีหวังโดนลูกเตะฟ้าคำรนเสยเข้าปลายคางหงายเก๋งไม่เป็นท่า”

ไม่พูดเปล่ายังทำท่าทางประกอบ น้ำทิพย์หัวเราะด้วยความขบขัน

“จำไม่ได้ว่ามีท่าเตะชื่อนั้นด้วย ไปเอามาจากไหน”

“คิดเองอยู่แล้ว”จรายุทธตอบอย่างภาคภูมิและมองน้ำทิพย์อย่างนึกแปลกใจเพราะการถูกผู้ชายน่ารำคาญอย่างกฤตชัยมาก่อกวนอย่างน้อยเธอก็น่าจะแสดงอาการหงุดหงิดออกมาบ้าง แต่จากที่เห็นดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิดแถมยังดูอารมณ์ดีมากกว่าทุกครั้ง เรียกว่าอยู่ในอาการร่าเริงเลยก็ว่าได้

“ผมว่าวันนี้ทิพย์ดูแปลกไป” เขาพูดออกมาตามตรง น้ำทิพย์เลิกคิ้วสูง

“แปลกตรงไหน ฉันก็สวยเหมือนทุกวันนั่นแหละ”

คำตอบกวนอารมณ์ของเพื่อนทำให้จรายุทธจุ๊ปากเบาๆ

“ถ้าเป็นคำพูดของหญิงกุ้งผมคงไม่มีวันเชื่อ”

เสียงตุ้บดังขึ้นทันทีที่จรายุทธพูดจบ จันทรนิภาแยกเขี้ยวพร้อมกับเงื้อกำปั้นขึ้น

“พูดแบบนี้อยากเจ็บตัวใช่ไหมนายเต่า”

“ก็เจ็บไปแล้วนี่ครับ”เพื่อนหนุ่มพูดเสียงอ่อย อีกฝ่ายจึงลดมือลงมากุมรอบลำคอของเขาพร้อมกับพูด

“งั้นเปลี่ยนเป็นตายเลยก็แล้วกัน”

ไม่พูดเปล่าจันทรนิภายังออกแรงบีบจนจรายุทธต้องร้องลั่น

“อย่าฆ่าผมเลยครับ นึกว่าสงสารลูกเต่าตาดำๆเถอะ”

“อยากให้ปล่อยต้องทำยังไง” ฝ่ายหญิงพูดเสียงเข้ม ชายหนุ่มหลับตาปี๋และพูดด้วยน้ำเสียงละห้อย

“หญิงกุ้งสวยที่สุดในสามโลกครับ”

หางเสียงลากยาวเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายบังเกิดความสงสาร แต่จันทรนิภากลับฉีกรอยยิ้มโหด

“ดีมาก”เธอคลายมือออกและตบไหล่เพื่อนรักสองสามครั้งก่อนจะหันกลับมาทางน้ำทิพย์

“ฉันก็คิดเหมือนนายเต่านะว่าทำไมวันนี้เธอดูอารมณ์ดีจังไปเจออะไรมาเหรอ”

หญิงสาวมองเพื่อนด้วยความสงสัย น้ำทิพย์ทำท่าอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเปิดรอยยิ้มกว้าง

“ไม่มีอะไร แค่ได้ฟังข่าวดีจากคุณพ่อเท่านั้น”

“ข่าวดีที่ว่าคงไม่ใช่เรื่องคู่หมั้นนักธุรกิจใหญ่คนนั้นใช่ไหม” จันทรนิภาดักคอ น้ำทิพย์รีบส่ายหน้าพร้อมกับตอบอย่างเร็ว

“ไม่ใช่หรอก อีกอย่างเรื่องคู่หมั้นอะไรนั่นก็เป็นแค่ข่าวลือ ถึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจแต่คุณพ่อคุณแม่ของฉันก็ไม่นิยมการคลุมถุงชน พวกท่านปล่อยให้ฉันตัดสินใจเลือกคู่ครองเอง”

“แบบนี้ผมก็มีสิทธิ์น่ะสิ” จรายุทธพูดแทรกขึ้นมาเลยโดนสันมือจันทรนิภาสับลงบนต้นคอค่อนข้างแรง

“พูดอีกทีสินายเต่า”

“ผมหมายถึงสิทธิในการช่วยดูผู้ชายให้เพื่อนต่างหาก หญิงกุ้งนึกไปถึงไหน” จรายุทธโอดครวญพลางคลำต้นคอ”โดนแบบนี้บ่อยๆมีหวังอัมพาตเรียกหา ถ้าผมเกิดเดินไม่ได้ขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”

“ฉันไง จะช่วยเชือดให้นายหมดเคราะห์ไปเลย”

จันทรนิภาพูดด้วยดวงตาวาวก่อนจะหันไปทางน้ำทิพย์อีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป”เธอตัดบทพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึนมาดู”อีกห้านาทีจะถึงเวลาเข้าเรียน รีบไปกันเถอะ”

พูดจบจันทรนิภาก็คว้าคอเสื้อจรายุทธแล้วเดินลากออกไป น้ำทิพย์มองเพื่อนรักทั้งสองแล้วยิ้มออกมาอย่างโล่งอกที่ทั้งคู่ไม่สนใจจะซักถามอะไรมากไปกว่านั้น อีกอย่างเธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกกับพวกเพื่อนว่าตอนนี้มีเทวดารูปหล่อมาพักรักษาตัวอยู่ในบ้านเพราะรู้ดีว่าถึงบอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ

น้ำทิพย์ยิ้มให้กับตัวเอง หากเป็นตอนก่อนที่จะพบกับราฟาเอลเธอเองก็คงจะมีความคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน

แน่ละ ใครจะไปคิดว่าเทวดามีจริง

เธอก้มลงมองสมุดที่ร่างภาพเทวดาเอาไว้ก่อนจะยกขึ้นมากอดไว้แนบอก ความงดงามอันแสนบริสุทธิ์ที่เธอเป็นผู้ค้นพบก่อให้เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ มันไม่ใช่สิ่งสวยงามอย่างคำว่าความรักหรืออะไรทำนองนั้นหากแต่เป็นความต้องการปกป้องมิให้ผู้ใดได้เห็น จะบอกว่าเป็นความหวงแหนก็ไม่เชิงนักเพียงแต่หญิงสาวรู้สึกว่าไม่อยากจะให้คนอื่นได้ยลหรือสัมผัสสิ่งมหัศจรรย์ที่บังเอิญตกลงมาอยู่ในบ้านของเธอ

เห็นแก่ตัว

เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในจิตใจ น้ำทิพย์ส่ายหน้าและบอกกับตัวเองว่าเธอเพียงแค่ไม่อยากให้ใครเข้าไปรบกวนราฟาเอล แม้จะเป็นถึงอัครเทวดาคนสำคัญแต่ในตอนนี้เขาเป็นเพียงคนเจ็บที่ต้องการนอนพักและสมควรจะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ซึ่งผู้ที่เหมาะสมต่อหน้าที่นี้มีแต่เธอเพียงคนเดียว

เมื่อคิดถึงตรงนี้น้ำทิพย์ก็ยิ้มออกมาอย่างลืมตัว เพราะเท่าที่เห็นราฟาเอลไม่ได้งดงามเพียงใบหน้า ร่างกายของเทวดาหนุ่มยังสมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อหนั่นแน่นไร้ที่ติ ยิ่งนึกถึงตอนที่เธอลูบไล้แผ่นอกของเขาเพื่อทำความสะอาดบาดแผลแล้วหัวใจของหญิงสาวก็เต้นแรงขึ้น เลือดในตัวฉีดพล่านและมีหวังได้พุ่งออกมาจากตัวแน่หากจันทรนิภาไม่ร้องเรียก

“ยืนใจลอยไปถึงไหนน่ะยายทิพย์ จะได้เวลาเรียนอยู่แล้วนะ”

จินตนาการที่กำลังเตลิดไปไกลถูกดึงกลับเข้ามาอีกครั้ง น้ำทิพย์สูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับสติอารมณ์ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เพื่อนและรีบวิ่งเข้าไปในอาคารเรียน

ถึงจะเป็นวิชาที่ว่าด้วยการสร้างแผนภูมิทางความคิด แต่สำหรับน้ำทิพย์แล้วมันเป็นแค่ตัวช่วยส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะหากเป็นคนจำพวกไร้ความคิดสร้างสรร ต่อให้เรียนวิชาอะไรก็ไม่ได้ทำให้มีจินตนาการที่ดีขึ้นมาเลย ดูเหมือนกฤตชัยจะเป็นคนจำพวกนั้นเพราะตลอดวเลาเกือบสองชั่วโมงเขาเอาแต่นั่งเสยผมทำตัวให้ดูหล่ออยู่เสมอแถมยังคอยส่งสายตาหวานฉ่ำให้กับเพื่อนนักศึกษาสาวภายในห้อง ต่างจากจันทรนิภาที่ฟังและบันทึกทุกสิ่งที่อาจารย์สอนอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนจรายุทธมีวิธีเรียนที่ออกจะแหวกแนวกว่าเพื่อน นั่นก็คือหลับตลอดทั้งชั่วโมงเรียน แต่ที่น่าแปลกก็คือเขารู้และเข้าใจทุกอย่างที่อาจารย์สอน เมื่อน้ำทิพย์ถามว่าเขาทำได้ยังไง ชายหนุ่มก็มักจะยิ้มพร้อมกับตอบแบบกวนๆตามนิสัย

“ผมเป็นเทพเต่า ใช้จิตฟังก็เข้าใจแล้ว”

หญิงสาวยิ้มพลางหันไปให้ความสนใจกับคำบรรยายของอาจารย์อีกครั้ง ผ่านไปราวสองชั่วโมงการเรียนอันน่าเบื่อหน่ายจึงจบลง เพื่อนนักศึกษาหลายคนเริ่มปรึกษากันถึงเรื่องการนัดเที่ยว จันทรนิภาซึ่งเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงหันมาทางน้ำทิพย์พร้อมกับถาม

“รีบกลับหรือเปล่าทิพย์”

“ก็นิดหน่อย ถามทำไมเหรอ”

“วันนี้ฉันอยากกินข้าวปั้นหน้าไข่ปลาแซลมอน เลยนัด:-)ับเต่าว่าจะไปหลังเลิกเรียน ถ้าเธอไม่สะดวกพวกเราจะได้เลื่อนไปวันอื่น”

“แค่ฉันคนเดียวจะเลื่อนทำไม พวกเธอไปกันก่อนวันหลังค่อยนัดรวมพลกันอีกทีก็ได้” น้ำทิพย์รีบพูด จันทรนิภาจึงหันไปทางจรายุทธ

“เอาไงดีนายเต่า”

“ช่วงนี้เสือหาเวลาว่างยาก คงต้องทำตามที่ทิพย์พูด”

ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นงานเป็นการ สาวแว่นผงกศีรษะและหันกลับไปที่น้ำทิพย์อีกครั้ง

“งั้นก็ตกลงตามนี้ แต่ครั้งหน้าเธอห้ามปฏิเสธและต้องเลี้ยงพวกเราด้วย”

“ก็ได้”น้ำทิพย์พูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อตกลงกันได้แล้วหญิงสาวจึงขอตัวกลับบ้าน ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถน้ำทิพย์ก็อดคิดถึงเรื่องของราฟาเอลขึ้นมาไม่ได้ เพราะความที่เขาเป็นถึงอัครเทวดาทำให้เธอไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี แต่จากการพูดคุยกันในครั้งแรกดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ถือตัวอะไรมากนัก แต่เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นเธอคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร

“พวกเทวดาต้องกินอาหารหรือเปล่านะ” น้ำทิพย์พูดกับตัวเองด้วยความสงสัยเพราะเท่าที่เห็นจากการ์ตูนหรือนิยาย เทวดามักจะทำอะไรหลายอย่างคล้ายกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ทั้งหมดนั่นคือเรื่องราวที่เกิดจากจินตนาการของมนุษย์ ไม่เคยมีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเทวดามีอยู่จริง และไม่ปรากฏหลักฐานสักชิ้นว่าพวกเขาดำรงอยู่ได้อย่างไร แล้วเธอจะซื้ออะไรไปให้เขาดี

“ถ้าเขากินอาหารเหมือนกับคน ก็คงจะเป็นอาหารฝรั่งอย่างพวกสเต็ก มันบดหรืออะไรทำนองนั้น ว่าแต่ที่บ้านมีอะไรเหลือบ้างนะ”

หญิงสาวคิดและขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในตู้เย็นไม่มีของสดเหลืออยู่เลย เธอจึงตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในห้างเพื่อซื้ออาหารและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเทวดา ที่หลายคนบอกว่าไม่มีเพศ แต่ดูยังไงเขาก็คือผู้ชายคนหนึ่ง

แถมมีหน้าตาหล่ออย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีกต่างหาก

น้ำทิพย์อมยิ้มกับความคิดสุดท้าย เมื่อนำรถเข้าบ้านแล้วเธอจึงรีบปัดความคิดพิศดารออกจากหัวและปรับสีหน้าให้ดูราบเรียบสมเป็นกุลสตรี จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“ฉันกลับมาแล้ว”

หญิงสาวกวาดสายตามองไปจนทั่วแต่ก็ไม่พบคนที่อุตส่าห์นั่งคิดถึงแม้แต่เงา เธอจึงคิดว่าเขาอาจจะยังคงนอนอยู่ในห้อง ความเป็นห่วงน้ำทิพย์จึงเปิดประตูโดยไม่ได้ส่งเสียงเรียก ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปด้านในหญิงสาวก็ต้องยืนตกตะลึงตาค้าง เพราะแทนที่จะเห็นเทวดาหนุ่มนอนระทดระทวยอยู่บนเตียง สิ่งที่เห็นกลับเป็นร่างแสนสง่ากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศท่ามกลางแสงสีทองอร่ามงามจับตา

แสงสว่างที่ว่าเปล่งออกมาจากปีกที่กำลังห่อหุ้มร่างของราฟาเอลเอาไว้ดุจดักแด้ นั่นเป็นสิ่งที่สร้างความทึ่งต่อน้ำทิพย์ไม่ใช่น้อย เพราะจากที่เห็นในตอนแรกเธอก็พอจะรู้ว่าปีกของเทวดาไม่ได้มีขนาดเล็กเหมือนที่เห็นกันตามโบสถ์ แต่ไม่นึกเลยว่าขนาดของมันจะใหญ่โตจนสามารถปกคลุมร่างผู้เป็นเจ้าของได้มิดชิดขนาดนี้ ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง หญิงสาวจึงนึกขึ้นมาได้ว่าปีกข้างหนึ่งของราฟาเอลนั้นหัก แต่จากที่เห็นสภาพของมันก็ดูเป็นปรกติดี

หรือว่าอาการบาดเจ็บของเทวดาผู้นี้หายไปจนหมดแล้ว

เท้าขยับก้าวไปข้างหน้าพร้อมความคิดและหยุดชะงักอยู่แค่นั้นเมื่อแสงเจิดจ้าเริ่มอ่อนจางลง ร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศเลื่อนกลับมายืนกับพื้นห้องเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปีกทั้งสองข้างคลี่ออกและโบกสะบัดอย่างเชื่องช้า น้ำทิพย์จึงเห็นว่าปีกข้างที่หักยังคงบิดเบี้ยวผิดรูป ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยปากพูดอะไรเสียงทุ้มน่าฟังก็เอ่ยปากตอบข้อสงสัยของเธอ

“ข้ายังไม่หายดี”

ราฟาเอลหมุนกายหันมาทางน้ำทิพย์ เธอรีบส่งยิ้มให้แต่ต้องคลายออกเมื่อพบว่าเทวดาหนุ่มอยู่ในสภาพไร้อาภรณ์ใดปกปิด หญิงสาวยืนตกตะลึงตาค้างจ้องร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนอย่างลืมตัวกระทั่งดวงตาไปสะดุดกับตำแหน่งกึ่งกลางของลำตัวเธอจึงรีบเบือนหน้าหนีพร้อกับปิดตาแน่นและส่งเสียงร้องดังลั่น

“ทำอะไรของท่านกันน่ะ”

พูดจบก็หมุนตัวออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูดังโครม น้ำทิพย์ยืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้นอยู่ครู่ใหญ่ มือยกขึ้นทาบอกเหมือนต้องการจะกดหัวใจที่กำลังเต้นแรงไม่ให้ปะทุออกมาในขณะสมองพยายามทบทวนถึงเรื่องราวที่เคยอ่าน ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนหรือนิยาย ทุกเรื่องมักจะบอกเหมือนกันหมดว่าวิธีการรักษาบาดแผลของผู้มีพลังพิเศษคือการหาที่วิเวกเพื่อรวบรวมสมาธิจากนั้นร่างของเขาก็จะเปล่งแสงหรือปล่อยรัศมีออกมา ไม่คิดเลยว่าวิธีรักษาของเทวดาตัวจริงคือการเปลือยกายล่อนจ้อนแบบนี้

เปลือยกายล่อนจ้อน !

ประโยคท้ายวิ่งวนอยู่ในความคิด ภาพของราฟาเอลในสภาพเปลือยเปล่าผุดขึ้นมาในหัวเหมือนภาพยนต์ที่ฉายซ้ำไปมา หัวใจที่เพิ่งสงบลงกลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความแกร่งของแผ่นอกหรือมัดกล้ามอันงดงามบนหน้าท้อง หากแต่เป็นตำแหน่งประจำกายที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของลำตัว น้ำทิพย์นึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ศึกษาค้นคว้ามาไม่ว่าจะเป็นตำรา นิยายหรือแม้แต่กระทั่งสิ่งที่อาจารย์เพิ่งบอกไปเมื่อวันวาน ทุกคนล้วนกล่าวตรงกันว่าเทวดาทางฝั่งตะวันตกนั้นไม่มีเพศ

โกหกชัดๆ แล้วสิ่งที่เธอเห็นเมื่อครู่ล่ะ มันคืออะไร !  

พวงแก้มปลั่งมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา น้ำทิพย์พยายามสะบัดหน้าเพื่อต้องการไล่ภาพเร่าร้อนออกจากหัวแต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะยิ่งไม่อยากจะนึกก็เหมือนเป็นการตอกหมุดให้ติดตรึงเอาไว้ในความทรงจำ ขณะที่กำลังคิดว่าตนเองต้องเสียสติคุ้มคลั่งไปกับสิ่งที่เห็นเสียงของราฟาเอลก็ดังมาจากทางด้านหลัง

“ขอโทษที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ”

น้ำทิพย์สะดุ้งสุดตัวและเกือบจะหันหน้ากลับไปมองเทวดาหนุ่ม ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านความคิดของเธอออกเพราะเขารีบพูดต่อ

“สิ่งที่ข้าพอจะหามาห่อหุ้มกายได้มีเพียงผ้าผืนนี้ คิดว่าคงจะพอทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้าง”

คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยก่อนจะหันหน้ากลับไปมอง หญิงสาวแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้เมื่อเห็นราฟาเอลใช้ผ้าแพรสีชมพูสดพันร่างของตัวเองเอาไว้โดยพาดปลายส่วนหนึ่งไว้บนไหล่ มองเผินๆแล้วคล้ายกับวิธีนุ่งผ่าของพวกขุนนางกรีกหรือโรมันในยุคโบราณ

“เข้าใจทำนะท่าน แต่นี่มันผ้าแพรที่เอาไว้ห่ม ใช้แทนเสื้อผ้าไม่ได้หรอก”น้ำทิพย์พูดอย่างนึกขำก่อนจะเดินนำเทวดาหนุ่มเข้าไปในห้องนั่งเล่นระหว่างนั้นหญิงสาวก็พูด

“นึกว่าเทวดาจะเสกเสื้อผ้าได้เองเสียอีก”

“ข้าทำได้หากมีพลังเพียงพอ” ราฟาเอลตอบ น้ำทิพย์จึงผงกศีรษะและหยิบของที่เธอซื้อออกจากถุง

“คิดแล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น”พูดพลางคลี่เสื้อยืดคอกลมสีขาวออก”ฉันกะขนาดไม่ถูกเลยเลือกตัวใหญ่ที่สุดมา น่าจะใส่ได้นะ”

เมื่อเทวดาหนุ่มรับเสื้อไปจากเธอแล้วหญิงสาวจึงดึงกางเกงขายาวออกมากาง เธอมองราฟาเอลไล่ตั้งแต่เอวไปจนถึงข้อเท้าและนิ่วหน้าเมื่อพบว่ากางเกงที่ซื้อมามีขนาดเล็กเกินไป

“ทั้งที่เลือกตัวใหญ่สุดมาแล้วแท้ๆ”น้ำทิพย์บ่นพลางทาบกางเกงเข้ากับตัวของเทวดาหนุ่มและจุ๊ปากอย่างหงุดหงิดเมื่อพบว่าขนาดของมันเล็กกว่าถึงสองนิ้วแถมขายังสั้นเต่อขึ้นมาจนเกือบถึงหัวเข่า

“ไม่ใช่แค่ตัวเล็ก ขายังสั้นอีกต่างหาก แบบนี้ท่านคงใส่ไม่ได้แน่ๆ”หญิงสาวพูดด้วยความหนักใจก่อนจะวางกางเกงตัวนั้นลงและหยิบห่ออะไรบางอย่างออกมาแกะ

“ยังไงก็คงต้องใส่ตัวในไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย”เธอพูดขณะส่งกางเกงชั้นในสีขาวสะอาดให้เทวดาหนุ่ม เขารับไปถืออย่างงงงัน

“มันคืออะไร”

“กางเกงชั้นในของผู้ชาย”น้ำทิพย์ชะงักคำพูดเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนขึ้น แน่ละถึงอีกฝ่ายจะเป็นเทวดาและตัวเธอเองเป็นผู้หญิงยุคใหม่ แต่การแนะนำเรื่องกางเกงชั้นในให้กับผู้ชายก็ยังเป็นเรื่องน่าอายอยู่ดี หญิงสาวสูดลมหายใจเพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติก่อนจะอธิบายต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายวางกางเกงตัวน้อยลงด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก เธอจึงฉวยมันขึ้นมาพร้อมกับพูดเสียงเข้ม

“ของพวกนี้อาจจะไม่จำเป็นสำหรับเทวดา แต่ถ้าจะต้องอยู่กับมนุษย์และไม่อยากให้คนอื่นเห็นของสำคัญประจำตัวท่านก็ต้องสวมมันเอาไว้”

ไม่พูดเปล่าเธอยังยัดห่อกางเกงรวมทั้งตัวที่เพิ่งถูกวางเมื่อครู่ใส่มือของราฟาเอลส่วนปากก็ยังคงพูด

“วิธีใช้ก็เหมือนกับกางเกงทั่วไปเพียงแต่ท่านต้องเอาด้านนี้ไว้ข้างหน้า”

หญิงสาวย้ำเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายเข้าใจและมองร่างกายที่ค่อนข้างจะมอมแมมของเทวดาหนุ่มก่อนตัดสินใจพูด

“ถ้าจะใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ท่านก็ควรอาบน้ำก่อน”

พูดจบน้ำทิพย์ก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนและกลับลงมาพร้อมกับเสื้อคลุมอาบน้ำและกางกางขายาวสีจัดจ้านตัวหนึ่ง

“ถอดผ้าห่มนั่นออกแล้วใส่เสื้อตัวนี้แทน” หญิงสาวพูดและร้องลั่นเมื่อเห็นเทวาหนุ่มเตรียมจะดึงผ้าแพรคลุมตัวออก “ท่านจะทำอะไรน่ะ”

“ก็เจ้าบอกให้เปลี่ยนเสื้อ”

“มันก็ใช่แต่ไม่ได้ให้ถอดตรงนี้”เธอพูดด้วยใบหน้าสีเข้มพลางชี้มือไปทางด้านหลัง”เข้าไปเปลี่ยนในห้องนั้นเสร็จแล้วฉันจะพาไปที่ห้องน้ำ”

ราฟาเอลพยักหน้าและเดินไปตามที่หญิงสาวแนะนำ เมื่อเขากลับออกมาก็พบว่าน้ำทิพย์กำลังยืนรออยู่หน้าห้องพร้อมเสื้อผ้าในมือ ฝ่ายหญิงสาวพอได้เห็นเทวดารูปร่างสูงใหญ่ภายใต้เสื้อคลุมอาบน้ำตัวจ้อยแล้วเธอจึงยิ้มอย่างขบขัน ถึงจะออกแนวหวาดเสียวอยู่บ้างว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาให้เห็นในช่วงจังหวะก้าวเดินแต่มันก็เป็นความน่าลุ้นที่ชวนให้ระทึกใจ

“ตามฉันมาทางนี้”เธอพูดพร้อมกับเดินนำเข้าไปในห้องน้ำและเริ่มต้นอธิบาย นี่เป็นอ่างล้างหน้า ส่วนอันนั้นเป็นชักโครกเอาไว้สำหรับขับถ่ายซึ่งฉันคิดว่าเทวดาคงไม่จำเป็นต้องใช้ สายยาวๆนี่เป็นฝักบัวสำหรับอาบน้ำ ก๊อกด้านนี้เป็นน้ำอุ่นส่วนอีกด้านเป็นน้ำเย็น จำให้แม่นเพราะถ้าขืนหมุนผิดท่านได้กลายเป็นไข่ลวกแน่”

พูดพลางหมุนก๊อกประกอบ ราฟาเอลผงกศีรษะและมองไปยังอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ น้ำทิพย์จึงพูดอย่างรู้ทัน

“ถ้าอยากจะนอนแช่น้ำก็คงต้องรอให้แผลหายสนิทดีก่อน” เธอหยุดคำพูดและขมวดคิ้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้”พูดถึงแผล ฉันยังไม่ได้ดูเลยว่ามันเป็นยังไงบ้าง”

 หญิงสาวหันไปทางราฟาเอลและร้องห้ามเมื่อเห็นเทวดาหนุ่มทำท่าจะถอดเสื้อคลุมของเขา

“ไม่ต้องถอดแค่ปลดแขนเสื้อทั้งสองข้างลงก็พอ”

เมื่อรอจนราฟาเอลปลดเฉพาะส่วนบนของเสื้อคลุมออกแล้วเธอจึงแก้ผ้าที่พันเอาไว้รอบลำตัวของเขาออก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเพราะบาดแผลฉกรรจ์ที่เธอเห็นเมื่อคืนบัดนี้เลือนหายไปจนหมดไม่เหลือแม้รอยขีดข่วน

“เหลือเชื่อ”น้ำทิพย์พึมพำพลางไล้มือไปตามลำตัวของราฟาเอลอย่างอัศจรรย์ใจก่อนจะมองหน้าเขา”ท่านหายดีแล้วนี่”

“แค่ภายนอกเท่านั้น” อีกฝ่ายตอบเสียงละมุน หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“หมายความว่ายังไง”

“หมายความว่าถึงบาดแผลจะหายไปแต่พลังส่วนใหญ่ของข้ายังไม่ฟื้นคืนกลับมา คงต้องรอจนกว่าปีกข้างนี้จะหายเป็นปรกติซึ่งข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลานานพอสมควร”

คำอธิบายของเทวดารูปงามทำให้น้ำทิพย์เผลอมองปีกซึ่งบัดนี้ถูกซ่อนเอาไว้ให้พ้นจากสายตาของมนุษย์

“พลังของท่านอยู่ที่ปีกอย่างนั้นหรือ”

“พลังของข้าขึ้นอยู่กับความศรัทธากับพระประสงค์ ส่วนปีกเป็นทั้งสื่อและสัญลักษณ์แต่ก็ใช่ในเรื่องที่ว่ามันคือสิ่งสำคัญ หากไร้ปีกแล้วเทวดาก็เกือบจะเหมือนมนุษย์ทั่วไป”

“ยังไงฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”น้ำทิพย์พูดหลังจากราฟาเอลกล่าวจบ”ท่านสามารถรักษาบาดแผลของตัวเองจนหายดีแต่กลับรักษาปีกไม่ได้”

“ข้าทำได้แต่ต้องรวบรวมจิตให้สงบนิ่งและใช้พลังเป็นจำนวนมาก แต่อย่างที่บอกกับเจ้าในตอนแรก ข้าใช้พลังอย่างมหาศาลไปกับการต่อสู้ ส่วนที่เหลือเพียงน้อยนิดก็หมดไปกับการสร้างม่านกำบังและรักษาแผลทางกาย ตอนนี้ข้าจึงไม่มีอำนาจในการเยียวยาหลงเหลืออยู่เลย”

ถึงจะรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างแต่หญิงสาวก็ยังยืนฟังอย่างตั้งใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้เทวดาหนุ่มชนิดใบหน้าแทบจะชิดกับแผ่นอก แต่เมื่อราฟาเอลหยุดพูดและมองหน้าเธอนิ่งน้ำทิพย์จึงแกล้งทำเป็นกระแอมออกมาเบาๆพร้อมกับพูด

“สรุปก็คือท่านต้องอยู่ที่นี่อีกสักระยะ” เธอยิ้มพลางหันมองรอบตัว”ถึงยังไงฉันก็อยู่บ้านนี้คนเดียวอยู่แล้วมีเทวดามาเพิ่มอีกสักคนจะเป็นไรไป”

ดวงตาเลื่อนมาหยุดที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของราฟาเอล

“เชิญท่านอาบน้ำให้สบายตัว เสร็จแล้วค่อยมาทานข้าวกัน”

พูดจบน้ำทิพย์ก็ก้าวออกจากห้องและเริ่มอุ่นอาหารที่เธอซื้อมา ความที่ไม่รู้ว่าเทวดารับประทานอาหารประเภทไหนหญิงสาวจึงเตรียมทั้งสลัดผัก สปาเก็ตตี้ผัดซอสและสต็กหมูพริกไทยดำ แต่หลังจากยืนคอยอยู่นานคนที่ถูกเฝ้ารอก็ยังไม่ออกมาเสียที ด้วยความสงสัยน้ำทิพย์จึงเดินเข้าไปดูจึงพบว่าเทวดาหนุ่มซึ่งบัดนี้สวมเสื้อเรียบร้อยแล้วกำลังสาละวนอยู่กับกางเกง

“ทำอะไรอยู่หรือท่าน” น้ำทิพย์ถาม ราฟาเอลจึงเงยหน้าขึ้นมาตอบ

“ข้าสวมกางเกงของเจ้าไม่ได้”ไม่พูดเปล่าเทวดาหนุ่มยังกางส่วนเอวของกางเกงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติให้ดู หญิงสาวจึงยิ้ม

“ลืมบอกไป กางเกงขาก๊วยเขานุ่งกันแบบนี้”เธอก้าวเข้าไปและคว้าขอบกางเกงมาทบกันจากนั้นจึงม้วนอีกหนึ่งรอบเพื่อกันไม่ให้มันหลุด

“เป็นเสื้อผ้าที่แปลก” ราฟาเอลพูดพลางดึงเสื้อยืดที่สวมอยู่ก่อนจะก้มหน้าลงมองกางเกงด้วยสายตาที่แสดงความประหลาดใจ น้ำทิพย์ยักไหล่

“ก็กางเกงตัวที่ซื้อมามันเล็กเกินไปฉันเลยหยิบตัวนี้มาให้ท่านใช้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”พูดจบเธอก็ก้าวนำออกไปจนถึงห้องรับประทานอาหารและผายมือไปยังอาหารที่อยู่ในจาน

“ฉันไม่รู้ว่าเทวดาทานอาหารแบบไหนเลยเตรียมไว้สามอย่าง เชิญท่านเลือกได้ตามสบาย”  

ราฟาเอลมองอาหารตรงหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงสั่นศีรษะ

“ข้าไม่จำเป็นต้องกินอาหารเหมือนพวกมนุษย์”

น้ำทิพย์กะพริบตาปริบๆ เธอมองอาหารบนโต๊ะกับใบหน้าของเทวดาสลับกันไปมาพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะ

“น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก ถ้าไม่กินข้าวแล้วพวกท่านกินอะไร”

ราฟาเอลขยับปากเพื่อจะตอบแต่เสียงโครกครากที่ดังออกมาจากท้องทำให้เขาต้องชะงักและก้มลงมองด้วยความแปลกใจ ส่วนหญิงสาวซึ่งในตอนแรกเลิกคิ้วด้วยความฉงนแต่สุดท้ายเธอก็ต้องรีบสะกดกลั้นรอยยิ้มก่อนจะพูดน้ำเสียงเจือหัวเราะ

“ดูเหมือนท้องท่านจะบอกอีกอย่าง” เธอเลื่อนจานสลัดไปไว้ตรงหน้าเทวดาหนุ่ม”ถ้าไม่เคยกินอาหารแบบมนุษย์ก็น่าจะเริ่มต้นด้วยสลัด”

พูดพลางส่งส้อมให้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับไปถือเอาไว้แต่ไม่ยอมทำอะไรหญิงสาวจึงจิ้มมะเขือเทศสดฉ่ำไปจ่อไว้ที่ริมฝีปาก

“กรุณาทานเข้าไป อย่าให้ฉันต้องบังคับ”

ถึงจะไม่เต็มใจนักแต่ราฟาเอลก็ยอมให้หญิงสาวส่งมะเขือเทศเข้าปากแต่โดยดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงนั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป น้ำทิพย์จึงต้องบอก

“เคี้ยวแล้วกลืนเข้าไป”

รสเปรี้ยวอมหวานที่กระจายอยู่ในปากทำให้เทวดาหนุ่มเบ้หน้าด้วยความรู้สึกไม่คุ้น เหมือนจะเดาความคิดออก น้ำทิพย์รีบยื่นมะเขือเทศไปไว้ตรงหน้าเขาอีกสองลูกพร้อมกับกำชับ

“ท่านได้เจอเพิ่มเป็นสองลูกแน่ถ้าคายมันออกมา”

ความเกรงใจทำให้ราฟาเอลจำต้องกลืนมะเขือเทศลูกนั้นลงคอ เขาใช้ส้อมเขี่ยผักในจานก่อนตัดสินใจรับประทานอย่างช้าๆทีละชิ้นจนเกือบหมด หญิงสาวมองอย่างพอใจ

“ทานเยอะๆจะได้หายเร็วๆ”

เธอพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจากนั้นจึงลงมือรับประทานในส่วนของตัวเองจนหมด เมื่อถึงตอนล้างจานราฟาเอลอาสาจะช่วยแต่ความที่ไม่เคยทำอะไรแบบมนุษย์มาก่อนสิ่งที่เขาทำจึงดูเหมือนคนเงอะงะจนน้ำทิพย์ต้องเอ่ยปากเชิญให้ออกไปรอที่ห้องนั่งเล่น ส่วนตัวเธอเมื่อทำความสะอาดครัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตามไปสมทบ สิ่งแรกที่หญิงสาวทำก็คือเปิดเพลงฟัง เมื่อเลือกอัลบั้มที่ถูกใจแล้วเธอจึงเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน



Create Date : 27 กันยายน 2555
Last Update : 27 กันยายน 2555 18:29:40 น.
Counter : 702 Pageviews.

0 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 3 ราฟาเอล
บทที่ 3 ราฟาเอล

เสียงขับขานอันไพเราะของนกกางเขนที่บินลงมาอาหารบนสนามหญ้าปลุกน้ำทิพย์ให้รู้สึกตัวตื่นขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่พบว่าตัวเองนั่งหลับอยู่ในห้องรับแขกแต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นเธอจึงรีบหันไปมองเก้าอี้ด้านตรงกันข้ามและถอนหายใจยาวเมื่อเห็นบุรุษลึกลับยังคงนอนหลับไม่ได้สติ ความเป็นห่วงทำให้เธอรีบลุกขึ้นไปดูแต่ต้องหยุดชะงักในทันทีเพราะเห็นสิ่งผิดปรกติบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้ที่เธอเชื่อว่าเป็นเทวดา

แสงสว่างเรืองรองเปล่งประกายออกมาจากร่างของคนที่นอนอยู่ตรงหน้า มันเป็นแสงที่สวยงามอย่างที่น้ำทิพย์ไม่เคยเห็นจากที่ใดมาก่อน แม้จะเต็มไปด้วยความแจ่มจรัสแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนละมุนให้ความรู้สึกอบอุ่นและสุขสงบได้อย่างน่าประหลาดใจ หญิงสาวแน่ใจว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นคือรัศมีของเทวดา ความงดงามของมันทำให้เธอเผลอมองอย่างลืมตัวไปครู่ใหญ่ เมื่อนึกขึ้นได้น้ำทิพย์จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาบันทึกภาพเก็บเอาไว้ แต่ความประทับใจในสิ่งที่เห็นก่อให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างท่วมท้น น้ำทิพย์จึงหยิบสมุดวาดภาพกับดินสอขึ้นมาและลงมือร่างภาพเทวดาที่กำลังหลับใหลอยู่ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เสียงเพลงจากนาฬิกาปลุกทำให้น้ำทิพย์หลุดจากภวังค์ เธอนั่งมองผลงานของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจแต่ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดแผกไปจากเมื่อคืน

“มีบางอย่างแปลกไป” หญิงสาวพึมพำพลางเลื่อนสายตาไปยังราฟาเอลซึ่งบัดนี้รัศมีที่เปล่งประกายได้จางหายไปจนหมด ร่างกึ่งเปลือยที่นอนทอดกายอยู่ตรงหน้าสร้างความดึงดูดใจได้อย่างประหลาด น้ำทิพย์วางสมุดในมือลงและก้าวเข้าไปหาเขาราวต้องมนต์ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งเธอจึงพบว่าตนเองกำลังลูบไล้แผ่นอกที่เต็มแน่นไปด้วยมัดกล้าม ความตกใจทำให้เธอเตรียมจะดึงมือกลับแต่สัมผัสแกร่งของผิวเนื้อบนปลายนิ้วช่างมีมนต์เสน่ห์จนเธอไม่อาจตัดใจละมือไปจากกายของเทวดาผู้นี้ได้ น้ำทิพย์จึงเลื่อนมือไปตามโครงสร้างอันแสนงดงามพลางจินตนาการไปถึงการบ้านที่เธอกำลังทำ ภาพเทวดาแสนเท่ในชุดนักรบอวดแผงอกกำยำ มือข้างหนึ่งกุมดาบในท่าเตรียมรุกในขณะที่มืออีกข้างชูธงอันเป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ที่กำลังสะพัดพลิ้วไปข้างหน้า หากเธอวาดได้ตามที่คิดคงเป็นภาพเทวดาที่สวยงามยิ่งกว่าภาพวาดใด

สมองคิดภาพอย่างเพลิดเพลินขณะที่มือลูบไล้ไปบนร่างกายของราฟาเอล ตอนนั้นเองที่น้ำทิพย์พบว่ารอยช้ำทั่วร่างของเขาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงบาดแผลบนลำตัวซึ่งสาหัสที่สุด แต่จากสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ทำให้หญิงสาวเริ่มคิดว่าบางทีบาดแผลเหล่านั้นอาจจะหายสนิทดีแล้วด้วยเช่นกัน คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความอยากรู้เพราะแผลทั้งหมดอยู่ภายใต้ผ้าที่เธอพันเอาไว้อย่างดี สิ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ข้อสงสัยนั้นมีเพียง

“ต้องแก้ผ้า”

มือขยับไปข้างหน้าพร้อมกับความคิด แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงมือหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

“เจ้าจะทำอะไร”

ราฟาเอลซึ่งรู้สึกตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เอ่ยถาม ดวงตาสีฟ้าแกมเขียวมองมาอย่างฉงน
น้ำทิพย์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหดมือกลับและส่งรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรที่สุดให้กับเขา

“รู้สึกตัวแล้วเหรอ” เธอถาม อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับไล่สายตาสำรวจร่างกายของตัวเองและขมวดคิ้วเมื่อเห็นบริเวณลำตัวถูกพันด้วยผ้าสีขาว

“เจ้าทำแผลให้ข้า”

เขาถามพลางตวัดดวงตากลับมายังน้ำทิพย์อีกครั้ง ความที่ยังงงว่าทำไมเทวดาฝรั่งถึงพูดและฟังภาษาไทยออกทำให้หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ ราฟาเอลค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่งและหันมองรอบตัว

“ข้าอยู่ที่ไหน”

“บ้านฉันเอง” น้ำทิพย์ตอบ เทวดาหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจ

“ตอนนั้นข้าตั้งสมาธิให้ตกลงมายังที่ปลอดภัย ทำไมถึงเป็นบ้านของเจ้า” เขามองเธอนิ่งราวกับต้องการจ้องทะลุเข้าไปให้ถึงจิตใจ ใบหน้าที่เคร่งขรึมคลายลงเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว เพราะที่นี่เป็นที่อยู่ของมนุษย์ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์”

น้ำทิพย์ขมวดคิ้วพร้อมกับถามด้วยความสงสัย

“ท่านหมายถึงฉันอย่างนั้นหรือ”

ราฟาเอลผงกศีรษะรับอย่างเคร่งขรึมพลางลุกขึ้นแต่สภาพของร่างกายทำให้เขายืนซวนเซและคงจะล้มลงกระแทกกับเก้าอี้หากน้ำทิพย์ไม่ถลาเข้าไปประคอง

“ท่านบาดเจ็บอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวจะดีกว่า”

หญิงสาวพูดพลางจัดหมอนให้ราฟาเอลได้หนุนหลังแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลนักเพราะปีกขนาดใหญ่ของเขาค้ำเอาไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูผ่อนคลายลงแล้วเธอจึงตัดสินใจถาม

“ขออภัยหากสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้เป็นการรบกวนท่าน แต่ฉันสงสัยว่าท่านเป็นใคร เข้ามาอยู่ในบ้านฉันได้ยังไง”  

น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจังของเธอทำให้ราฟาเอลอมยิ้มอย่างเอ็นดู

“ไม่ต้องใช้คำพูดเป็นทางการถึงขนาดนั้นก็ได้ ข้าชื่อราฟาเอล หนึ่งในเจ็ดอัคเทวทูตแห่งสรวงสวรรค์ ระหว่างที่กำลังนำทัพเข้าต่อสู้กับกองทัพปิศาจข้าถูกพลังของลูซิเฟอร์ทำร้ายจนร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน ส่วนทำไมถึงเป็นที่บ้านของเจ้าก็คงเพราะมันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนั้น”

น้ำทิพย์ตกตะลึงอ้าปากค้าง ถึงเธอจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเทวดาแต่ไม่คิดว่าจะเป็นหนึ่งในอัครเทวทูตอันสูงส่ง หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากเหมือนต้องการห้ามไม่ให้ตนเองเผลอส่งเสียงร้องออกมาพลางมองใบหน้าที่แม้จะเปรอะเปื้อนคราบเลือดและดินแต่ยังคงความหล่อเหลาในแบบสวยงาม เธอหวนคิดถึงเรื่องราวของเทวดาที่เพื่อนชาวตะวันตกของพ่อแม่มักจะเล่าให้ฟังตอนเป็นเด็กทั้งจากพระคัมภีร์หรือนิทาน แม้ตอนนี้เธอยังสนุกกับเรื่องราวแบบนี้อยู่แต่ก็คิดเสมอว่ามันเป็นเพียงกุศโลบายอย่างหนึ่งที่จะสอนให้มนุษย์ทำความดี เธอไม่คิดเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะมีจริง
ดูเหมือนราฟาเอลจะอ่านความคิดทั้งหมดของเธอได้เพราะเขาส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นพร้อมกับกล่าว

“มนุษย์มักจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตนเห็นหรือสัมผัสได้เท่านั้น ถึงจะมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับพวกข้ามากมาย มันก็เป็นแค่สิ่งมหัศจรรย์เท่านั้น มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าเทวดามีจริง”

“นั่นสินะ”น้ำทิพย์พึมพำแต่เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เทวดาหนุ่มร่วงลงมาจากสวรรค์แล้วเธอจึงเบิกตาโพลง

“เมื่อครู่ท่านบอกว่าถูกลูซิเฟอร์ทำร้าย แล้วฉันจะทำยังไงถ้าเขาตามมาถึงที่นี่”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลแต่ราฟาเอลกลับส่ายหน้าพร้อมกับเหยียดปีกข้างที่เป็นปรกติออก

“ข้าปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้และสร้างม่านบังตารอบบ้านของเจ้า ต่อให้มีปิศาจหลุดหลงเข้ามาก็ไม่มีวันหาพบ”

น้ำทิพย์กะพริบตาปริบ ๆถึงจะเชื่อในเหตุผลที่อีกฝ่ายอธิบายแต่จากที่เห็นเขาสิ้นสติมาตลอดทั้งคืน แล้วเทวดารูปหล่อคนนี้สร้างพลังที่ว่าตอนไหน อีกครั้งที่ราฟาเอลอ่านความคิดของเธอออกเพราะเขาอมยิ้มน้อย ๆ

“ข้าสร้างพลังที่ว่านั่นทันทีที่ตกลงมา”

น้ำทิพย์ขมวดคิ้วยุ่งและจ้องปีกของราฟาเอลเขม็ง

“เอาเป็นว่าพวกปิศาจหาท่านไม่พบ แต่ลงมาอยู่บนโลกมนุษย์แบบนี้เกิดมีใครมาเห็นเข้ามีหวังจับท่านออกทีวีแน่”

เทวดาหนุ่มมองเธออย่างงุนงง แต่เมื่อเห็นสายตาที่จ้องเขม็งมายังปีกของเขาแล้ว
ราฟาเอลจึงผงกศีรษะและหลับตาลง ชั่วพริบตาเดียวปีกขนาดใหญ่ทั้งคู่ก็เลือนหายไป

“แค่นี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

เขาพูดเสียงนุ่มในขณะที่น้ำทิพย์นั่งอ้าปากค้าง เมื่อตั้งสติได้เธอจึงรีบถาม

“อย่าบอกนะว่าท่านคิดจะอยู่ที่นี่”

“ตอนนี้ข้าอ่อนแอมาก พลังที่มีอยู่ตอนนี้ก็ใช้ไปกับการสร้างอาณาเขตและลบปีกออกจากสายตาของมนุษย์จนหมด ความจริงก็ไม่อยากจะรบกวนเจ้านักหรอกแต่ขืนออกไปตอนนี้ลูซิเฟอร์ต้องเจอข้าแน่”

น้ำทิพย์อยากจะบอกว่าไม่ถือเป็นการรบกวนเลยสักนิด ดีเสียอีกที่จู่ๆมีเทวดาหล่อกระชากใจหล่นเข้ามาในบ้าน แต่ความกลัวทำให้เธอไม่กล้าที่จะตอบตกลงเพราะจากเรื่องเล่าและสิ่งที่ได้ยินมาทำให้หญิงสาวรู้ดีว่าลูซิเฟอร์มีความน่ากลัวมากเพียงใด

“ฉันก็อยากจะให้ท่านอยู่หรอกนะ แต่ว่า...”น้ำทิพย์เตรียมจะแย้งแต่คำพูดทั้งหมดกลับถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อดวงตาสีฟ้าแสนสวยมองกลับมาเป็นเชิงอ้อนวอน

“หากเจ้ากลัวลูซิเฟอร์ ข้าก็จะยอมจากไป”

ปล่อยให้เทวดาหนุ่มรูปงามออกจากบ้านไปโดยมีแผลเหวอะหวะไปทั้งตัวแบบนี้นะหรือ น้ำทิพย์ถามตัวเองและรีบโพล่งคำตอบออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัว

“ฉันไม่ยอมให้ท่านไปไหนทั้งนั้น” เสียงดังจนอีกฝ่ายต้องหยุดชะงักและมองด้วยความแปลกใจ หญิงสาวจึงเม้มปากและลดน้ำเสียงของตัวเองลง

“ฉันหมายถึงท่านอยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะหายดี”

คำพูดของเธอเหมือนจะตรงกับสิ่งที่ราฟาเอลคาดเอาไว้ล่วงหน้าเพราะเขาส่งยิ้มให้กับเธอพร้อมกับกล่าวสั้นๆ

“ขอบใจเจ้ามาก”

พูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้และทำท่าจะเอนตัวลงนอน น้ำทิพย์ร้องถามเสียงหลง

“ท่านจะทำอะไร”

“ก็เจ้าบอกว่าให้ข้าพักที่นี่” ราฟาเอลตอบตามตรง หญิงสาวคว้าข้อมือเขาและดึงให้ลุกขึ้น

“ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ท่านจะนอนตรงนี้ไม่ได้”

“ทำไม”

“ก็” น้ำทิพย์ชะงักคำพูดค้างเพราะขืนบอกไปว่าเพราะเธอเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว คงไม่เหมาะนักหากมีใครเห็นว่ามีผู้ชายอยู่ร่วมชายคาบ้าน ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเทวดาฝรั่งที่เธอเคยได้ยินมาว่าไม่มีเพศก็เถอะ แต่พูดไปก็คงไม่ใครฟัง ก็แน่ละใครเขาจะเชื่อกันว่าเทวดามีจริง

ดูเหมือนความคิดทุกอย่างของน้ำทิพย์จะถูกราฟาเอลอ่านออก เพราะเขาพยักหน้าอย่างแช่มช้าพร้อมกับถาม

“แล้วเจ้าจะให้ข้าไปอยู่ที่ไหน”

หญิงสาวนิ่งคิด ความจริงบ้านของเธอมีถึงห้าห้อง ห้องหนึ่งเป็นของบิดามารดา ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นของเธอ ที่เหลือเป็นห้องทำงานของคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเก็บสิ่งของสำคัญเอาไว้มากมาย ห้องสุดท้ายอยู่ชั้นล่างนอกจากจะเอาไว้เก็บข้าวของเครื่องใช้ในการเรียนแล้วบางครั้งก็จะให้แขกนอนพักค้างคืน หลังจากคิดทบทวนอย่างรอบคอบแล้วน้ำทิพย์จึงตัดสินใจ

“ท่านนอนห้องข้างล่างก็แล้วกัน”

ราฟาเอลผงกศีรษะรับอย่างว่าง่ายและขยับตัวลุกขึ้นแต่ความอ่อนแรงทำให้เขาซวนเซจนเกือบจะล้ม ดีที่น้ำทิพย์ระวังอยู่แล้วจึงพยุงเขาไว้ได้ทัน เธอดึงแขนเทวดาหนุ่มมาพาดบ่าเอาไว้พร้อมกับพูด

“เกาะไหล่ฉันก็ได้”

ราฟาเอลยอมทำตามคำแนะนำแต่โดยดี ระหว่างเดินไปด้วยกันหญิงสาวสังเกตว่าแม้เนื้อตัวของเทวดาหนุ่มจะเปรอะเปื้อนมอมแมม แต่เธอกลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วตั้งแต่ตอนที่ลงมือทำความสะอาดร่างกายให้เขา แม้จะมีบาดแผลเหวอะหวะเลือดไหลโกรกราวกับน้ำ แต่เธอกลับไม่สัมผัสถึงกลิ่นคาวเลยสักนิด หญิงสาวแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายพลางคิดว่าอาจจะเพราะเขาเป็นเทวดาซึ่งไม่มีเหงื่อไคลแบบมนุษย์จึงทำให้ร่างกายของเขาผุดผ่องปราศจากกลิ่นเหม็นสาบหรืออะไรทำนองนั้น ที่น่าอัศจรรย์ก็คือกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยออกมาจากกายของเทวดาหนุ่ม มันไม่ใช่ความหอมแบบปรุงแต่งเฉกเช่นมนุษย์ หากเป็นกลิ่นหอมอันแสนบริสุทธิ์ราวกับกลิ่นของไอหมอกบนยอดเขาสูงยามเช้า

กลิ่นหอมที่ทำให้น้ำทิพย์ต้องเผลอตัวสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความหลงใหลอยู่หลายครั้งและคงจะทำเช่นนั้นอีกต่อไปหากทั้งคู่ไม่ไปถึงหน้าห้องซึ่งถูกใช้เป็นที่พักเสียก่อน

“ขอโทษที่ห้องรกไปหน่อย”น้ำทิพย์ออกตัวขณะเก็บอุปกรณ์การเรียนออกจากเตียงจากนั้นจึงเปิดเครื่องปรับอากาศและเดินไปหยิบหมอนกับผ้าห่มออกจากตู้ส่งให้กับราฟาเอล เขาอมยิ้มน้อยๆ

“ไม่เป็นไร”

“เดี๋ยวฉันจะเอาน้ำมาให้เผื่อตอนไม่อยู่ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากออกจากห้อง” พูดจบหญิงสาวก็ทำท่าจะเดินออกไปทันทีแต่เทวดาหนุ่มกลับร้องห้าม

“ไม่ต้องหรอก”

เธอมองหน้าเขาเหมือนจะถามย้ำ เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่ต้องการตามที่พูดแล้วน้ำทิพย์จึงพยักหน้าและผายมือไปยังด้านข้าง

“ห้องน้ำอยู่ด้านนี้ จะให้ฉันเปิดไฟไว้ไหมคะ”เธอถามด้วยความหวังดีเพราะห้องที่เธอนำราฟาเอลมาพักมีผ้าม่านที่หนาทึบ หากปิดเอาไว้จะทำให้ห้องค่อนข้างมืดแม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม แต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ

“ข้ามองเห็นทุกอย่างได้ตลอดเวลา”

คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวต้องนิ่งไปเล็กน้อยแต่เพราะเข้าใจว่าเขาหมายถึงดวงตาของเทวดาที่สามารถมองเห็นทุกอย่างแม้ในความมืด เธอจึงละความสงสัยและเดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องหญิงสาวก็หันกลับมาส่งยิ้มให้กับเขาอีกครั้ง

“ฉันต้องรีบไปเรียน ท่านนอนพักรักษาตัวให้สบาย ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพยายามออกจากห้องเดี๋ยวพวกปิศาจจะมาเจอ ตอนเย็นค่อยพบกัน”

เธอเผลอโบกมือให้กับเขาอย่างลืมตัว อีกฝ่ายได้แต่ส่งยิ้มให้และนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นแม้หญิงสาวจะออกจากห้องไปนานแล้ว ราฟาเอลรอจนกระทั่งเสียงรถยนต์เคลื่อนออกจากบ้านจึงสยายปีกทั้งคู่ออกมาและคลายผ้าพันแผลออก เขาวางมือลงบนจุดที่หักด้วยสีหน้าหนักใจ

“สาหัสขนาดนี้คงต้องใช้เวลารักษานานกว่าที่คิด” เขาหันไปทางหน้าต่างที่มีผ้าม่านทึบ แม้จะถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิดแต่ด้วยดวงตาของเทวดาทำให้ราฟาเอลสามารถมองทะลุผ่านออกไปด้านนอกได้ เขาเลื่อนสายตาขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งบัดนี้ปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมหา เทวดาหนุ่มจึงรู้ว่าบัดนี้กองทัพทั้งฝ่ายเทพและปิศาจต่างถอยร่นกลับไปจนหมดแล้ว แต่ความสงบจะคงอยู่ได้นานเพียงใด มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้

“ข้าต้องรีบกลับไปก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้นอีกครั้ง” ราฟาเอลพึมพำพลางลดสายตากลับลงมายังห้องที่ตนเองพำนัก “และก่อนที่พวกปิศาจจะรู้ว่าเวลานี้ข้าอยู่ที่ใด เพื่อความปลอดภัยของสตรีผู้มีจิตใจอันงดงาม”

คิดดังนั้นแล้วเทวดาหนุ่มจึงหลับตาลงและรวบรวมจิตเพื่อดึงพลังแห่งความศรัทธาออกมารักษาบาดแผลของตัวเอง

*/*/*/*/*/*/*




Create Date : 21 กันยายน 2555
Last Update : 21 กันยายน 2555 20:51:53 น.
Counter : 443 Pageviews.

0 comment
เทวทูตที่รัก บทที่ 2 ขนนกที่ร่วงลงจากสวรรค์
บทที่ 2 ขนนกที่ร่วงลงจากสวรรค์

แสงแดดอันสดใสของยามเช้าสาดส่องลงบนพื้นล่างสร้างความชื่นบานให้กับผู้คนจนสามารถทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉง แต่ความแจ่มใสก็ดำเนินไปได้เพียงครึ่งวันเพราะจู่ๆท้องฟ้าก็พลันมืดมิดลง เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นดูก็ต้องพบกับความฉงนที่เห็นเมฆทะมึนกลุ่มใหญ่เคลื่อนเข้ามาครอบคลุมทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว แสงสว่างวาบจากสายอสนีบาตพาดผ่านไปมาระหว่างกลุ่มเมฆสีเทาทึบบังเกิดเสียงลั่นครืนคล้ายกลองศึกดังกึกก้อง สายฟ้าบางเส้นพุ่งลงมายังด้านล่างระเบิดต้นไม้ใหญ่จนฉีกกระจุย เสียงกัมปนาทกับเปลวเพลิงที่ปะทุขึ้นสร้างความอลหม่านทันที ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งเข้าไปหลบในอาคาร พวกเขาพากันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากำลังปั่นป่วนอย่างกะทันหันด้วยความแปลกใจเพราะแม้จะมีทั้งลมพายุและฟ้าผ่าแต่กลับไม่มีฝนตกลงมาแม้สักหยด หลายคนพึมพำว่าอาจจะเป็นแค่พายุฤดูร้อนธรรมดาแต่บางคนเชื่อว่ามันคือลางแห่งหายนะที่ปิศาจชั่วร้ายบันดาลขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณเตือนพวกมนุษย์

ซึ่งก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะหากมีใครสักคนสามารถมองผ่านทะลุกลุ่มเมฆขึ้นไปยังด้านบน เขาก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือผลจากการรบระหว่างแสงสว่างกับความมืด เมฆสีเทาทึบคือกองทัพอันเกรียงไกรของทั้งสองฝ่ายที่ยกกำลังเข้าประจันหน้ากัน นักรบที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตนับแต่อดีตและเป็นเช่นนี้ไปจนตลอดกาล

เทวดากับปิศาจ

เสียงดาบกระทบกันดังบาดแก้วหูสลับกับแสงไฟอันเกิดจากพลังของทั้งสองฝ่ายที่พุ่งเข้าใส่กันอย่างสับสน เสียงร้องตะโกนสาปแช่งด้วยถ้อยคำอันหยาบคายของพวกปิศาจดังลั่น ต่างจากคำพูดของฝ่ายเทวดาที่ดังก้องกระตุ้นความฮึกเหิมของทหารชาวสวรรค์ให้โหมเข้าปะทะกับศัตรูอย่างไร้ความเกรงกลัว

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติและยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ในตอนแรกเทวดาเป็นฝ่ายได้เปรียบในเชิงรุกตีทหารปิศาจจนแตกพ่ายถอยร่นไม่เป็นกระบวน จนเมื่อ
เบลเซบับ จอมปิศาจจ้าวแห่งแมลง หนึ่งในแม่ทัพชั้นเอกซึ่งประจำการอยู่ในทัพหลวงก้าวออกมา พลังอันมหาศาลที่แผ่ออกมาโดยรอบระเบิดร่างนักรบเทพจนแหลกเป็นผุยผงสร้างความตระหนกต่อกองทัพของชาวสวรรค์เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อเบลเซบับวาดมือเพียงข้างหนึ่งก็สามารถสร้างเพลิงโลกันต์เผาผลาญทหารเทพจนดับดิ้นนับร้อยคน การปรากฏตัวของจอมมารจ้าวแห่งแมลงสร้างความระส่ำระสายให้กับกองทัพชาวสวรรค์ จากที่เคยรุกไล่ก็กลับกลายเป็นฝ่ายถอยร่นจนไม่เป็นกระบวน ไม่ช้าทหารแห่งแสงสว่างก็ถูกทำลายจนเหลือกำลังพลเพียงน้อยนิดและตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของฝูงปิศาจไปในที่สุด

แม้จะตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู นักรบชาวสวรรค์ทุกคนยังคงมีใจสู้ไม่แปรเปลี่ยนโดยเฉพาะผู้นำทัพซึ่งอยู่ในชุดเกราะสีทองงามสง่า เขากวาดตามองนักรบเทวดาที่กำลังยืนประจันหน้ากับข้าศึกอย่างปราศจากความกลัวเกรง ถึงจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในความกล้าหาญของพวกเขาแต่สภาพร่างกายที่บอบช้ำจนสุดที่จะใช้พลังแห่งทวยเทพรักษาทำให้จอมทัพเทวดารู้ดีว่าเวลานี้ทุกคนอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าจนแทบไม่มีแรงสู้ ทางรอดของพวกเขามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือการปลิดชีพเบลเซบับ จอมปิศาสผู้เป็นหัวหอกสำคัญ ผู้นำกองทัพชาวสวรรค์ขมวดคิ้วด้วยความหนักใจเพราะหากเป็นเวลาปรกติ พลังของเขาสามารถดับชีวิตจ้าวแห่งแมลงได้ไม่ยากแต่หลังจากการต่อสู้อันหนักหน่วงและยาวนานทำให้เขาต้องสูญเสียพลังวิญญาณไปมากาเกินควร ยิ่งประกอบกับอาการบาดเจ็บจากบาดแผลที่มีอยู่ทั่วกายแล้วเขาแทบมองไม่เห็นบานประตูแห่งชัยชนะ ขณะที่กำลังครุ่นคิดหาวิธีนำกองทัพแหวกวงล้อมข้าศึกออกไปอยู่นั้น เบลเซบับก็เคลื่อนเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า ดวงตาปูดโปนคล้ายแมลงวันกวาดมองนักรบเทวดาทุกคนอย่างดูแคลนก่อนจะหยุดลงที่แม่ทัพเกราะสีทอง

“ราฟาเอล” เสียงคำรามดังก้อง เบลเซบับแสยะยิ้ม “ถ้าเดาไม่ผิดเจ้ากำลังคิดหาวิธีหนีอยู่ใช่หรือไม่”

“ข้ากำลังหาวิธีส่งวิญญาณเจ้ากลับไปยังนรกต่างหาก เบลเซบับ”

ราฟาเอลตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางกางปีกสีขาวขนาดใหญ่ออกเป็นเชิงข่มขู่ ผู้นำทัพปิศาจบดเขี้ยวด้วยความโกรธ

“ความตายอยู่ตรงหน้ายังกล้าทำปากดี ข้าจะจับเจ้าตีตรึงเอาไว้กับแผ่นไม้และกรีดเปลือกตาออกเพื่อจะได้ดูพวกข้าสังหารเทวดาทีละคน”

“เจ้าไม่มีวันได้ทำเช่นนั้นแน่”

ราเฟาเอลพูดพร้อมกับชูดาบในมือขึ้น ใบมีดสีเงินเปล่งแสงสว่างเรืองรองออกมา ชั่วพริบตามันก็แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงเจิดจ้าเผาปิศาจจำนวนครึ่งหนึ่งให้มอดมลายกลายเป็นผุยผง เมื่อเขาลดดาบลงจึงพบว่าพลังทำลายที่ปลดปล่อยออกไปแม้ไม่สามารถคร่าชีวิตของเบลเซบับแต่ก็ทำให้มันได้รอยแผลสาหัส จอมทัพปิศาจพยายามยกดาบขึ้นเพื่อเรียกพลังฟื้นตัวแต่บาดแผลทั่วร่างนั่นมากเกินกว่าจะเยียวยา เจ้าแห่งแมลงวันจึงคำรามด้วยความแค้นใจ

“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้ายังมีพลังหลงเหลืออยู่” มันพูดพลางจ้องราฟาเอลเขม็ง อีกฝ่ายขยับเข้าไปหาพร้อมกับใช้ปลายดาบวางจรดบนลำคอ

“พระผู้สร้างคือพลังของข้า ตราบใดที่พระองค์ทรงเมตตา ข้าก็มีพลังสำหรับสังหารความชั่วได้อย่างไม่มีวันหมด”

เบลเซบับยิ้มและเชิดหน้าขึ้นประสานตากับผู้ที่เหนือกว่าอย่างปราศจากความเกรงกลัว

“ถ้าอย่างนั้นจะมัวรออะไรอยู่ ดับลมหายใจของข้าเลยสิ”

“คุณธรรมมีไว้เพื่อปกป้อง มิใช่เพื่อปลิดชีวิตผู้คน”ราฟาเอลพูดเสียงเรียบ”ความชั่วร้ายของเจ้าอาจจะเหมาะสมกับความตาย ตัวข้าถึงจะเป็นอัครเทวดาแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ปลิดชีวิตผู้ใดได้ตามใจ ดังนั้นจึงจะลงโทษเจ้าด้วยการตัดแขนทั้งสองข้างและส่งกลับไปหาจอมปิศาจเพื่อเตือนให้เขาสำนึกและเลิกทำร้ายพวกมนุษย์”

“มีแต่คนโง่ที่ทำแบบนั้น” เบลเซบับพูดและแผดเสียงร้องดังลั่นเมื่อคมดาบของราฟาเอลฟันฉับลงบนแขนทั้งสองข้าง เลือดสีเขียวเข้มไหลทะลักพรั่งพรูออกจากบาดแผลฉกรรจ์ เจ้าแมลงวันรีบลอยตัวถอยออกห่างจากผู้ลงดาบอย่างรวดเร็ว

“เจ้ายังไม่ชนะข้าหรอก ราฟาเอล” มันตะโกนและหายวูบเข้าไปในกลุ่มเมฆ
ราฟาเอลเก็บดาบกลับเข้าฝักและหันกลับไปยังกลุ่มนักรบ หนึ่งในนั้นรีบเอ่ยปากถาม

“จะดีหรือท่านราฟาเอลที่ปล่อยเบลเซบับไปแบบนั้น”

“เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตใคร อีกอย่างในสภาพเช่นนั้น เขาคงไม่มีวันทำร้ายผู้ได้อีก”

แม่ทัพเทวดาตอบ นักรบคนเดิมจึงขยับเตรียมจะแย้งแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีคลื่นพลังบางอย่างพุ่งเข้ามากระทบ แรงปะทะของมันทำให้นักรบสวรรค์ถึงกับล้มกลิ้ง ส่วนราฟาเอลรีบยกดาบขึ้นตั้งรับแต่ก็ต้านไว้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อคลื่นลึกลับมีแรงกระแทกเพิ่มมากขึ้น แรงอัดของมันทำให้แม่ทัพของเหล่าเทวดาถึงกับเซถอยหลังไปสองสามก้าวและทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง ทันทีที่ราฟาเอลล้มลง เสียงหัวเราะก็ดังก้องออกมาจากกลุ่มก้อนเมฆอันหนาทึบ มันม้วนตัวหมุนเป็นวงกลมราวกับลูกข่างกระทั่งมีเงาเลือนลางของใครบางคนปรากฏขึ้น พลังอันมหาศาลของผู้มาใหม่สร้างความตระหนกต่อราฟาเอลจนเขาถึงกับเบิกตากว้าง อำนาจทำลายล้างอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากกลุ่มก้อนเมฆแทบจะบดขยี้หัวใจของผู้นำทัพฝ่ายเทพให้แหลกกระจุย เสียงหัวเราะต่ำทุ้มทรงพลังดังกึกก้อง บุรุษสูงใหญ่ในชุดเกราะสีดำสนิทภายใต้ผ้าคลุมสักหลาดผืนใหญ่สีเดียวกันก้าวออกมาจากกลุ่มเมฆและหยุดยืนนิ่ง ดวงตาสีฟ้าเข้มคมกริบจ้องแม่ทัพแห่งทวยเทพเขม็งขณะที่ริมฝีปากเหยียดรอยยิ้มแสนเย็นชา

“ราฟาเอล” เสียงทุ้มเอ่ยทัก อีกฝ่ายรีบลุกยืนขึ้นพร้อมกับหมุนดาบในท่าเตรียมรับการจู่โจม

“ลูซิเฟอร์”

ราฟาเอลขานนามจ้าวปิศาจด้วยน้ำเสียงที่ฟังเหมือนจะราบเรียบ แต่หากนักรบสวรรค์คนไหนฟังออกก็จะพบกับความวิตกที่แฝงเอาไว้อย่างเจือจาง ลูซิเฟอร์มองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าและเผยอยิ้ม

“ถึงจะจัดการเบลเซบับได้แต่เจ้าก็บาดเจ็บไม่น้อย คิดว่าสภาพแบบนี้จะรับมือข้าได้หรือ”

“อยากรู้ก็เข้ามา” ราฟาเอลพูดและขยับดาบในมือ ลูซิเฟอร์ไม่พูดอะไรแต่กลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกเปลี่ยนอากาศรอบตัวให้กลายเป็นคลื่นพุ่งเข้าโจมตีกองทัพเทวดา ราฟาเอลตวัดดาบไปข้างหน้าผ่าคลื่นจนแตกออกเป็นสองเสี่ยงก่อนจะแหลกสลายหายไป ลูซิเฟอร์เลิกคิ้วเล็กน้อย

“ยังมีพลังเหลืออยู่ แบบนี้ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย” เขาพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มอำมหิตพลางสะบัดผ้าคลุมไปข้างหลังและยกมือขึ้นเรียกไฟพิฆาตขึ้นมาในมือ ดวงตาจ้องราฟาเอลแค่เพียงแว่บเดียวก่อนจะเหวี่ยงกลุ่มเพลิงเข้าใส่กองทัพชาวสวรรค์ ราฟาเอลรีบใช้พลังปัดมันออกและเตรียมจะพุ่งเข้าไปโจมตีจอมปิศาจแต่ต้องชะงักเมื่อไฟสีดำอีกกลุ่มวิ่งตามมา แม่ทัพหนุ่มจึงใช้ดาบปัดแต่ด้วยระยะกระชั้นเพลิงกลุ่มนั้นจึงแตกกระจายออกและพุ่งเข้าใส่นักรบที่ยืนอยู่ด้านหลังเผาผลาญพวกเขาจนมอดไหม้ไปหลายคน ราฟาเอลถึงกับขบกรามด้วยความโกรธในขณะที่ลูซิเฟอร์เปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันเสียงดังลั่น

“สีหน้าของพวกเทวดาเวลาโกรธก็น่าดูเหมือนกัน” ใบหน้าแย้มยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างฉับพลัน เปลวไฟร้อนแรงระเบิดรอบร่างและพุ่งเข้าใส่ราฟาเอลอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายรีบพลิกตัวหลบพร้อมกับดีดตัวเข้าไปหา คมดาบเงื้อง่าขึ้นหมายจะฟันจอมปิศาจให้ขาดเป็นสองท่อนแต่อีกฝ่ายกลับรับมันเอาไว้ด้วยมือเปล่า เขามองแม่ทัพเทพที่กำลังยืนตกตะลึงและโน้มตัวเข้าไปหาพร้อมกับกล่าวเสียงเบาราวกระซิบ

“เจ้าไม่มีวันทำอะไรข้าได้หรอก ราฟาเอล”

มืออีกข้างเหวี่ยงกลุ่มไฟเข้าใส่นักรบเทพ ราฟาเอลเบิกตากว้างด้วยความตระหนก เขาหันกลับไปหาลูซิเฟอร์อีกครั้องพร้อมกับตะโกนห้าม

“อย่า”

เพลิงอีกกลุ่มถูกซัดเข้าใส่นักรบของเขาทันที เสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกไฟคลอกทั้งเป็นทำให้ราฟาเอลถึงกับขบกรามด้วยความแค้น เขาจ้องลูซิเฟอร์เขม็งและตัดสินใจทำบางอย่างแม้แต่จอมปิศาจเองก็คาดไม่ถึง

“เพลิงสวรรค์!”

สิ้นคำ แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมาจากเกราะของราฟาเอลดูดกลืนพลังเพลิงปิศาจจนแตกสลาย ลูซิเฟอร์เบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อเห็นเสื้อคลุมของเขาเริ่มมอดไหม้ จอมปิศาจรีบผลักแม่ทัพเทพให้ถอยอกห่างแต่อีกฝ่ายกลับยึดร่างเขาไว้แน่น ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มแสนเย็นเยือก

“ไฟนี่เกิดจากพลังวิญญาณของข้า จงมอดไหม้ไปพร้อมกันเถิดลูซิเฟอร์”

คำพูดของราฟาเอลทำให้จอมปิศาจหัวเราะเบาๆในลำคอ

“งั้นมาดูกันว่าระหว่างไฟเทวดากับเพลิงปิศาจ สิ่งใดจะร้อนแรงกว่ากัน”

เพลิงสีแดงสดลุกโชนขึ้น มันดูดกลืนไฟสีทองของราฟาเอลให้มอดลงทีละน้อย แต่ก่อนจะมันจะดับลงผู้นำทัพของเหล่าเทวดาได้ตัดสินใจวางมือลงบนอกของจอมปิศาจ แสงสีขาวเจิดจ้าบาดตาก็สว่างวาบขึ้นตามมาด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้อง พลังของมันทำให้กลุ่มเมฆแตกกระจายออกเป็นวงกว้าง ลูซิเฟอร์ซึ่งบัดนี้เหลือร่างกายเพียงซีกเดียวมองราฟาเอลที่กำลังร่วงหล่นลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง

“เจ้าราฟาเอล” มืออีกข้างยกขึ้นแตะลำตัวขาดวิ่นขณะดวงตาจ้องร่างที่ลอยห่างออกไป จอมปิศาจขบกรามแน่นและออกคำสั่ง

“ตามไปดูว่ามันตกไปที่ไหน ถ้าพบแล้วให้รีบมารายงานข้า ห้ามปิศาจทุกตัวทำร้ายมัน”

ดวงตาสีเข้มทอประกาย

“ผู้ทำลายราฟาเอลคือข้าเพียงคนเดียว”
*/*/*/*/*

อาถรรพ์อย่างหนึ่งของชาวเมืองหลวงก็คือเมื่อมีเม็ดฝนการจราจรก็เริ่มติดขัด เหตุการณ์ที่ว่าแพร่ระบาดไปจนถึงเขตชานเมืองเพราะเพียงแค่ฝนที่โปรยปรายลงมาไม่กี่นาทีถนนที่เคยวิ่งได้คล่องกลับเคลื่อนไปได้ทีละนิดยิ่งกว่าเต่าคลาน

น้ำทิพย์ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเพราะเธอติดอยู่บนถนนมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้านแต่เพราะการชะลอตัวของรถทำให้การเดินทางเป็นไปได้ล่าช้า กว่าจะหลุดจากท้องถนนจนเลี้ยวเข้าบ้านได้เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบห้าโมงเย็น

เมื่อจอดรถเสร็จเรียบร้อยน้ำทิพย์ก็ต้องพบกับความแปลกใจที่จู่ๆท้องฟ้าที่เคยมืดมัวกลับสว่างไสวขึ้นมาเสียเฉยๆ พอเงยหน้าขึ้นเธอจึงได้รู้ว่าเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาอย่างมืดทะมึนเมือครู่บัดนี้สูญสลายหายไปจนหมด ไม่เหลือเค้าของพายุเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่ตลอดเวลาทำให้น้ำทิพย์ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก พอเข้าบ้านได้เธอก็รีบอาบน้ำ รับประทานอาหารเย็นจากนั้นจึงเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำรายงาน

นั่งร่างลายเส้นไปได้พักใหญ่น้ำทิพย์ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงโครมดังสนั่นมาจากสวนหลังบ้าน ตอนแรกเธอคิดว่าอาจจะเป็นแมวดำข้างบ้านที่มักจะชอบย่องเข้ามาจับปลาสอดที่เลี้ยงไว้ในอ่างบัวด้านหลังแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าบริเวณนั้นถูกต่อเติมเป็นเรือนสำหรับเลี้ยงกล้วยไม้ไม่มีทางที่สัตว์หรือมนุษย์คนใดจะเล็ดลอดเข้ามาได้แน่ ถึงจะคิดแบบนั้นแต่หญิงสาวก็ยังเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อหาที่มาของเสียงเพราะบางทีอาจจะเป็นกล่องเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทำสวนตกลงมาจากชั้นก็ได้

บ้านของน้ำทิพย์แม้จะไม่ใหญ่โตโอฬารดั่งคฤหาสถ์แต่ก็เป็นบ้านเดี่ยวที่มีขนาดกว้างขวางสมฐานะ แต่ละหลังจะอยู่ห่างกันพอสมควรชนิดหน้าต่างไม่ชนกัน บริเวณด้านหน้าและด้านหลังของบ้านจะเป็นสนามหญ้าซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ในส่วนบ้านของน้ำทิพย์พื้นที่หน้าบ้านปลูกต้นไม้ไว้อย่างร่มรื่น ด้านหนึ่งเป็นบ่อปลาคาร์ฟซึ่งมีซุ้มไม้ดอกกับชิงช้าเอาไว้สำหรับนั่งพักผ่อน ความที่คุณพ่อของเธอเป็นคนรักธรรมชาติและชื่นชอบกล้วยไม้เป็นพิเศษจึงสร้างเรือนเลี้ยงไว้ที่สนามด้านหลังซึ่งทางเข้าออกจะมีอยู่สองทางคือจากสวนด้านหน้ากับประตูครัว

เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืนน้ำทิพย์จึงเลือกที่จะใช้ประตูภายในบ้าน เมื่อเปิดสวิชท์ไฟเธอจึงกวาดสายตาไล่สำรวจชั้นวางของซึ่งก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดร่วงหล่นลงมา ด้วยความสงสัยน้ำทิพย์จึงเดินเข้าไปในส่วนที่เลี้ยงกล้วยไม้ ตอนแรกก็ไม่พบสิ่งใดผิดปรกติแต่พอมีสายลมพัดมากระทบตัวหญิงสาวจึงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะโรงเลี้ยงกล้วยไม้ของเธอจะเป็นระบบปิด ไม่มีช่องทางที่ลมจะพัดผ่านเข้ามาได้ เธอจึงมองไปที่ประตูด้านที่เปิดออกไปยังสวนเพราะคิดว่าอาจจะเผลอเปิดทิ้งไว้แต่ก็พบว่ามันปิดสนิทเรียบร้อยดี

“แล้วลมเข้ามาในนี้ได้ยังไง”

หญิงสาวพูดพึมพำพลางเงยหน้าขึ้นมองหลังคา คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่ามันเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่เหมือนมีอะไรทะลุผ่านลงมา ความสงสัยทำให้เธอรีบก้าวเท้าเข้าไปดูแต่ก่อนจะไปถึงเธอก็ต้องหยุดเมื่อเห็นคนในเครื่องแต่งกายแปลกตานอนกองอยู่บนพื้นท่ามกลางกระถางกล้วยไม้ที่แตกเกลื่อนกระจาย

 ขโมย !

คำแรกวิ่งเข้ามาในความคิด น้ำทิพย์กำหมัดในท่าเตรียมพร้อมพลางย่องเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง และคิดว่าหากหมอนั่นลุกขึ้นมาเธอจะประเคนทั้งมือและเท้าใส่แบบไม่ยั้ง ให้มันกลับลงไปกองกับพื้นอีกครั้งก่อนจะเรียกตำรวจมาจัดการ

ขณะวางแผนอยู่เสียงร้องครางจากคนที่นอนอยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้วและหยุดยืนห่างจากเขาพอสมควร ดวงตาไล่สำรวจตัวบุคคลลึกลับอย่างพิจารณา เครื่องแต่งกายที่แสนประหลาดทำให้เธอล้มเลิกความคิดในเรื่องขโมยเพราะมันไม่ใช่เสื้อยืดหรือกางเกงแบบที่คนธรรมดาสวมใส่ แต่เป็นชุดเกราะนักรบที่ดูเหมือนจะเป็นโลหะสีทองอร่าม ที่สำคัญใบหน้าของคนผู้นั้นดูแตกต่างจากคำว่า คนไทย อย่างสิ้นเชิง

ถึงร่างกายจะถูกชุดเกราะห่อหุ้มอย่างมิดชิดแต่ใบหน้าที่โผล่พ้นจากหมวกเกราะบอกว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษ แม้จะมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนไปครึ่งหนึ่งแต่ก็พอจะดูออกว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีพอสมควร น้ำทิพย์ขยับเข้าไปใกล้อีกนิดและเอื้อมมือไปสัมผัสเขาเบาๆแต่ดูเหมือนการกระทำของเธอจะสร้างความเจ็บปวดไม่ใช่น้อยเพราะอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว ตอนนั้นเองที่หญิงสาวได้ยินเสียงแสกสากเหมือนเสียงไม้กวาดลากไปบนพื้น เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นไปมองเธอก็ต้องขนลุกเมื่อเห็นอะไรบางอย่างผิดไปจากธรรมดา

อะไรบางอย่างที่ว่าก็คือปีกสีขาวขนาดใหญ่ที่กางเหยียดขึ้นไปเหนือศีรษะ แม้จะซ่อนอยู่ในเงามืดแต่น้ำทิพย์ก็พอจะดูออกว่ามันมีขนาดใหญ่โตจนแทบจะหุ้มห่อร่างของคนที่เป็นเจ้าของ ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าอาจจะเป็นปีกของปลอมที่พวกคอสเพลย์นิยมใช้แต่เมื่อเห็นว่ามันกำลังขยับไปมาอย่างเชื่องช้า เธอจึงรู้ว่าปีกที่เห็นเป็นของจริง

ถ้าเช่นนั้นชายแปลกหน้าคนนี้เป็นใคร

คำถามผุดขึ้นมาในหัว ความหวาดกลัววิ่งเข้ามาเกาะกุมจิตใจแต่ก็ชั่วครู่หนึ่งเพราะเมื่อนึกให้ดีแล้วคนมีปีกกับชุดเกราะนักรบที่มีเครื่องหมายกางเขนศักดิ์สิทธิ์อยู่กลางแผ่นอกเช่นนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

เทวดา
เท้าขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว หากเป็นเทวดาจริงแล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง น้ำทิพย์คิดพลางเงยหน้าขึ้นมองหลังคาที่ทะลุเป็นช่องโหว่และจ้องเลยขึ้นไปยังท้องฟ้าที่กลาดเกลื่อนไปด้วยดวงดาว ตอนนั้นเองที่เธอนึกถึงหัวข้องานที่กำลังทำอยู่ในเวลานี้

สงครามระหว่างเทวดากับปิศาจ

น้ำทิพย์สะบัดหน้าพลางลดสายตาลง มันจะเป็นไปได้ยังไงเพราะเท่าที่เคยเห็นในภาพยนต์ต่างประเทศ การต่อสู้ระหว่างนรกกับสวรรค์มักจะสร้างความพินาศให้กับมนุษย์อย่างใหญ่หลวง แต่เท่าที่เห็นในเวลานี้ทุกอย่างก็ยังเป็นปรกติดี ไม่มีระเบิดเพลิงพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ไม่มีเสียงโห่ร้องเอาชัย ไม่มีแสงไฟวิ่งวูบวาบให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

คิดถึงตรงนี้น้ำทิพย์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนบ่ายมีเมฆฝนกลุ่มใหญ่ตั้งเค้าอย่างน่ากลัว หรือว่านั่นคือผลจากการสู้รบระหว่างเทพกับปิศาจ และถ้าหากเป็นสงครามที่ว่าจริงและเทวดาผู้นี้ร่วงลงมาจากสวรรค์ย่อมหมายความว่าสิ่งที่ต่อสู้กับเขาก็น่าจะติดตามลงมาด้วย ทันทีที่คิดได้หญิงสาวจึงรีบกวาดตามองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง นอกจากความมืดกับเสียงจั๊กจั่นแล้วเธอก็ไม่พบสิ่งใด หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปรกติบุกรุกเข้ามาภายในบ้านแล้วเธอจึงเบนความสนใจกลับไปยังเทวดาตรงหน้าอีกครั้ง เลือดที่ไหลออกมาจากชุดเกราะกับปีกที่บิดเบี้ยวผิดรูปทำให้หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากพอดู

“เอายังไงดี”

น้ำทิพย์พูดกับตัวเองด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะถ้าขืนส่งเทวดาไปโรงพยาบาล มีหวังได้แตกตื่นกันทั้งประเทศ ดีไม่ดีอาจจะโดนจัดเข้าไปอยู่ในประเภทสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวัตถุมงคลซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะถูกผู้มีศรัทธารุมโรยแป้งถอนขนขูดเลขขอหวยกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วหญิงสาวต้องเบ้หน้าด้วยความสยอง แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อเสียงครืดของปีกที่ขยับไปโดนเศษกระถางดึงเธอให้กลับมาสนใจผู้ที่นอนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ในที่สุดน้ำทิพย์จึงตัดสินใจ

“เพื่อเทวดาหน้าหล่อ เป็นไงก็เป็นกัน”

หญิงสาวพูดพร้อมกับกำมือทั้งสองข้างอย่างมุ่งมั่นจากนั้นจึงเข้าไปประคองคนที่นอนอยู่ตรงหน้า ความที่อีกฝ่ายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเธอมากกว่าจะพยุงกึ่งลากเข้าไปในบ้านได้ก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ เมื่อจับเขานอนลงบนเก้าอี้นวมแล้วหญิงสาวจึงมองชุดเกราะของเขาอย่างหนักใจ

“ถ้าถอดชุดพวกนี้ออกจะโดนเทวดาโกรธหรือเปล่านะ”    

เธอพึมพำกับตัวเองพลางไล่นิ้วสำรวจไปทั่วร่าง หญิงสาวจึงพบว่าเกราะด้านข้างของลำตัวมีรอยเปิดกว้างเหมือนถูกอะไรบางอย่างฉีกกระชากออกไป เลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่ขาดแสดงให้เห็นว่ามันเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ความเป็นห่วงทำให้หญิงสาวจำต้องตัดสินใจ

“เอาไว้ขอโทษเขาทีหลังก็แล้วกัน”

คิดได้ดังนั้นน้ำทิพย์จึงถอดชุดของราฟาเอลออกทีละชิ้นซึ่งค่อนข้างจะลำบากเพราะเธอไม่รู้จักวิธีสวมใส่เครื่องแต่งกายชนิดนี้และต้องคอยระวังไม่ให้กระทบกระเทือนถึงบาดแผลทำให้หญิงสาวทำงานได้ไม่เร็วนัก เมื่อเกราะชิ้นสุดท้ายหลุดออกมา น้ำทิพย์จึงมองร่างที่เหลือเพียงเสื้อผ้าเนื้อบางเบา หญิงสาวมองอย่างลังเลก่อนตัดสินใจฉีกผ้าชิ้นสุดท้ายออก แผ่นอกที่แม้จะชุ่มไปด้วยเลือดแต่ความแน่นของกล้ามเนื้อทำให้เธอต้องหยุดชะงักและกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว เมื่อได้สติหญิงสาวจึงกลับไปให้ความสนใจกับอาการบาดเจ็บของเขาอีกครั้ง ทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอทำให้ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะอย่างน้อยนั่นก็เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่

เพราะคราบเลือดและเศษดินที่เปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งตัวทำให้น้ำทิพย์จำต้องทำความสะอาดร่างกายให้คนเจ็บก่อนทำการรักษา หญิงสาวใช้ผ้าชุดน้ำเช็ดเลือดบนตัวของเขาอย่างเบามือ เมื่อเห็นว่าสะอาดดีแล้วเธอจึงดูบาดแผลอีกครั้งเพื่อใส่ยา ตอนนั้นเองที่น้ำทิพย์เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขาเปลี่ยนแปลงไป บาดแผลที่เคยกว้างจนแทบจะใส่มือเข้าไปได้ตอนนี้หดเล็กลงจนมีขนาดไม่ถึงสามนิ้ว เลือดที่ไหลรินอย่างน่ากลัวเมื่อครู่แห้งเหือดไปจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

“หรือว่าเขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้” หญิงสาวพึมพำพลางมองใบหน้างดงามที่ยังคงหลับสนิท แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงใช้สำลีแต้มยาแตะลงไปบนปากแผลอย่างระมัดระวังจากนั้นก็พันผ้าทับอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าปากแผลจะไม่เปิด เมื่อทำการรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้วน้ำทิพย์จึงเลื่อนมือไปแตะปีกที่งอพับบิดเบี้ยว

“คงต้องหาอะไรดามไว้ก่อนแต่ปีกใหญ่ขนาดนี้จะพันแผลกันยังไง”

พูดพลางมองอย่างใช้ความคิด สุดท้ายเธอจึงเดินไปหลังบ้านหยิบแผ่นพลาสติกยาวขนาดเท่าฝ่ามือกลับเข้ามาเมื่อประกบเข้าด้วยกันและพันด้วยผ้าจนแน่นมันก็กลายเป็นเฝือกยามจำเป็นที่ดูไม่เลวนัก หญิงสาวยืนมองผลงานของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะถอยไปนั่งเก้าอี้ด้านตรงกันข้ามและจ้องราฟาเอลไม่วางตา แม้ในหัวจะเต็มไปด้วยคำถามแต่ความเครียดผนวกกับความอ่อนล้าจากการรักษาอาการบาดเจ็บทำให้น้ำทิพย์เผลอตัวนั่งสัปหงกและผล็อยหลับไป

*/*/*/*/*




Create Date : 21 กันยายน 2555
Last Update : 21 กันยายน 2555 20:50:23 น.
Counter : 746 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog