All Blog
รักประกาศิต ตอนที่ 9 (ต่อ)




เวลาต่อมา ภูชิชย์ นริศรา และเจมส์นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่โรงอาหาร
“เธอคิดหรือยังว่าจะปลูกอะไรคู่กับกาแฟ เพื่อจะช่วยให้มันคอยเป็นร่มเงาให้กาแฟ แล้วก็ป้องกันการพังทลายของดินด้วย” ภูชิชย์ถาม
“ในหนังสือบอกว่าปลูกต้นกล้วยก็ได้ ผมว่าอันนี้เหมาะสุด” เจมส์เสนอ
“แต่ฉันตั้งใจว่าจะเป็นต้นมะม่วงค่ะ”
ภูชิชย์กับเจมส์ทวนคำพร้อมกัน “มะม่วง?”
“มะม่วงมันหวาน มดแดงได้มาขึ้นนะสิ” ภูชิชย์ว่า
“นั่นแหล่ะค่ะที่ฉันต้องการ เพราะถ้าเราจะไม่ใช้สารเคมีช่วยเราก็ต้องให้ธรรมชาติช่วย มดแดงจะช่วยกัดกินเชื้อราที่จะมาขึ้นต้นกาแฟ” นริศราบอก
“ว๊าว...วิธีของพี่นิดนี่ดีมาก ประหยัดเงิน เวลา รักษาสิ่งแวดล้อม” เจมส์ชม
“เป็นความโชคดีของคนไทยที่ในหลวงท่านพระราชทานปรัชญาในการทำการเกษตรบนพื้นฐานของความพอเพียงและให้ธรรมชาติดูและกันเอง” นริศราพูด
“นริศรา ฉันยอมแพ้เธอแล้ว เธอเก่งจริงๆ”
ภูชิชย์พูดแล้วยิ้มให้ เจมส์กับนริศราตาโตมองหน้ากันเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

อีกด้านหนึ่ง แม่อุ้ยกับพรกำลังตักข้าวให้คนงานที่มายืนต่อแถว ทั้งสองสะกิดกันให้ดูภูชิชย์ที่กำลังตักกับข้าวให้นริศรากับเจมส์ แม่อุ้ยกับพรถึงกับมองตาค้าง ลุงปั๋นที่กำลังยืนรอทั้งสองตักข้าวให้ทักขึ้น
“เฮ้ย...ฉันจะกินข้าววันนี้นะเว้ย”
“เดี๋ยวก่อน ขอดูฉากพระเอกนางเอกก่อนสิวะ ดูนั่นสิ พ่อเลี้ยงกับคุณนิดเขาญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่อุ้ยแปลกใจ
“ไม่ได้ดีธรรมดานะ ถึงกับตักอาหารให้กันนี่ ฉันว่าต้องดีเป็นพิเศษเลยล่ะ” พรเสริม
“ข้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน จู่ๆวันนี้พ่อเลี้ยงก็ดีกับคุณนิดมากเลย แต่เป็นแบบนี้ก็ดีนะ น่ารักดี” ลุงปั๋นบอก
“น่ารักเหรอ...จริงด้วย คู่นี้ดูๆไปก็น่ารักจริงๆ” แม่อุ้ยเชียร์
“แต่จะน่ารักได้กี่วันก็ไม่รู้”
“อ้าวนังพร ปากเสียแล้วไหมล่ะ”
“ก็จริงไหมล่ะ ดูโน่นสิมีคนหนึ่งที่คงไม่คิดเหมือนพวกเรา” พรชี้ให้ทุกคนมองไป
ทุกคนหันไปก็เห็นบัวเกี๋ยงที่นั่งอยู่กับคนงานอีกมุมกำลังนั่งจ้องนริศราตาเขม็ง
“จ้องตาเขียวแบบนี้ เดี๋ยวถึงหูคุณเล็กแน่” ลุงปั๋นกังวล
พูดไม่ทันขาดคำบัวเกี๋ยงก็ลุกขึ้นเดินถือจานไปโยนใส่กาละมังจากนั้นก็เดินจ้ำออกไปทันที
“ว่าแล้วปะไร” ลุงปั๋นพูด

แม้บัวเกี๋ยงจะนำเรื่องของนริศรามาฟ้องถึงที่ห้องนั่งเล่น แต่สุพัฒนาก็นอนเอนหลังอ่านหนังสือต่อไปอย่างไม่เดือดร้อนอะไร
“ช่างมันสิ มันมีความสุขก็ดีแล้ว” สุพัฒนาพูดเรียบๆ
บัวเกี๋ยงงง “ช่างมันได้ยังไงกันคะ มันกำลังแย่งพ่อเลี้ยงไปแล้วนะคะ”
“แล้วไง” สุพัฒนาถามกลับ
“ก็ทำไมคุณเล็กไม่ไปตบมันล่ะคะ ตบๆๆ ตบๆๆๆ พูดแล้วบัวเกี๋ยงคันมือยิกเลย”
“ตบเหรอ...ไม่ล่ะ...ขี้เกียจ เสียเวลา”
บัวเกี๋ยงหน้าเหวอ “คุณเล็ก”
บัวเกี๋ยงอ้าปากจะโวยต่อ แต่สุพัฒนารีบตัดบทขึ้นมาก่อน
“หุบปาก ไปชงชามิ้นท์มาให้ฉันกินหน่อย”
“หา! จะกินชา โอ๊ย อะไรกันเนี่ยคุณเล็ก”
“ฉันสั่งให้แกทำอะไรก็ไปทำสิ ถ้าไม่ไปฉันตบแกแทนนังนิด”
บัวเกี๋ยงไม่เข้าใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้านาย เธอจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก รู้สึกอึดอัดคล้ายอกจะแตกตาย แล้วบัวเกี๋ยงก็เดินฟึดฟัดออกไป
สุพัฒนาหน้ามีรอยยิ้มแต่มือกำหนังสือจนสั่นระริกแล้วเธอก็ฉีกหนังสือทั้งๆ ที่ยังยิ้มอยู่
“ตบทำไมให้ฉันเจ็บมือ” สุพัฒนาพูดอย่างเยือกเย็น

บัวเกี๋ยงเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งในครัวอย่างหงุดหงิด
“โอ้ย อีคุณเล็กนี่ก็บ้า ให้ไปด่านังนิด กลับมาด่าเราซะงั้น ทำยังกับจะไปญาติดีกับมัน สมควรแล้วที่ต้องไปรักษาโรคบ้า” บัวเกี๋ยงยื่นมือจะหยิบกาต้มชา แล้วเธอคิดขึ้นมาได้ “ไม่ได้ ถ้ามันดีกันแล้ว ทีนี้เราจะใช้ใครกำจัดนังนิดล่ะ”
บัวเกี๋ยงทุบโต๊ะด้วยความโมโห

นริศรานั่งคิดและเขียนงานลงสมุดบันทึกอยู่ในห้องพัก จู่ๆ เธอก็เผลอนึกถึงภูชิชย์แล้วยิ้มออกมา

ภาพเหตุการณ์ในวันนี้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ขอโทษทำไม ฉันก็ทำเธอไว้เยอะจริงๆ ตอนนี้ฉันยังแก้ไขทันใช่ไหม” ภูชิชย์พูด
นริศรางง “พ่อเลี้ยงจะแก้ไขอะไรคะ”

ภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้นย้อนกลับมาในหัวของนริศรา
ภูชิชย์ยิ้มให้แล้วส่งต้นกล้าให้นริศราต้นหนึ่ง
“ขอให้เธอทำสำเร็จนะ ฉันเป็นกำลังใจให้”

แล้วอีกภาพเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นในหัวของนริศรา
“นริศรา ฉันยอมแพ้เธอแล้ว เธอเก่งจริงๆ” ภูชิชย์พูดยิ้มๆ

นริศรานั่งนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้นก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว
“แปลกคน บทจะดีก็ดีใจหาย” นริศรานึกขึ้นได้ “หรือว่าจะนิสัยเหมือนน้องสาว พอรู้ว่าเราเป็นลูกนายพลก็เลยดีด้วย เฮ้อ...นายภูชิชย์นายจะเป็นคนอย่างนั้นจริงเหรอ”
นริศราถอนใจแล้วเหม่อมองไปด้านข้างแล้วเธอก็ตกใจที่เห็นพรซึ่งผัดแป้งหน้าขาววอกนั่งอยู่ข้างๆ
“ว๊าย พร ตกใจหมดเลย มาเมื่อไหร่”
“มาตั้งนานแล้วค่ะ จนเอาผ้าเช็ดตัวไปตากแล้วก็มานั่งฟังคุณนิด” พรบอก
นริศราตกใจ “แล้วพร...เอ่อ...ได้ยินอะไรหรือเปล่า”
พรพูดทวนคำของนริศราทันที “แปลกคน บทจะดีก็ดีใจหาย” พรนิ่งนึกแล้วพูดต่อ “หรือว่าจะนิสัยเหมือนน้องสาว พอรู้ว่าเราเป็นลูกนายพลก็เลยดีด้วย เฮ้อ...นายภูชิชย์นายจะเป็นคน อย่างนั้นจริงเหรอ” พรทำท่าทางเลียยแบบ “ว๊าย พร ตกใจหมดเลย มาเมื่อไหร่”
นริศราเซ็ง “ครบเลย จะขาดสักคำก็ได้นะ”
“แล้วตกลงคุณนิดเป็นลูกนายพลเหรอคะ”
“ถึงตอนนี้คงปิดพรไม่ได้แล้ว ถ้าฉันเล่า...พรไม่ต้องไปบอกใครนะ”
พรพยักหน้าตาแป๋ว

คนงานทุกคนที่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหารมีท่าทีตกใจ
“ห๊า...ลูกนายพล เรียนเมืองนอก” พวกคนงานพูดเกือบจะพร้อมกัน
พรพยักหน้ารับอย่างภูมิใจที่รู้ข่าวก่อนใคร คนงานเริ่มคุยฮือฮากันยกใหญ่
“ไม่ใช่ระดับนังพร ไม่มีใครมีทางรู้ข่าวนี้นะ” พรพูดแล้วนึกได้ “อ้อ...แล้วห้ามบอกต่อเชียวนะ”
“เอ่อ...พี่พรครับ ตอนพี่เรียกพวกเราพี่บอกให้มาให้หมดไม่ใช่เหรอครับ” เจมส์ทักขึ้น
“ใช่” พรตอบ
“แล้วมันจะเหลือใครในไร่ให้บอกต่อล่ะครับ” เจมส์ถาม
พรค้อน “แหม...ฝรั่งขี้เม้าท์นะเนี่ย”
“นึกแล้วว่าคุณนิดต้องเป็นลูกชาติลูกตระกูล โถแม่คุณ จะมาเป็นเลขากลับต้องมาทำไร่” แม่อุ้ยเห็นใจ
“แต่ฉันละนับถือเลย ผู้หญิงอะไรอดทนมาก” หนานบอก
“ถูกพวกเราแกล้งก็หลายครั้ง แต่ก็ยังรักพวกเราดูแลพวกเราดี” เป็งพูด
“นึกๆแล้วก็สงสารเธอนะ พ่อเลี้ยงไม่น่าแกล้งเธอเลย ตอนนี้ความจริงเปิดมาแล้ว ต่อไปพ่อเลี้ยงคงดีกับเธอเนอะ” ฝ้ายแสดงความเห็น
ลุงปั๋นพูดกับแม่อุ้ย “เป็นไงล่ะ หายสังสัยหรือยังว่าทำไมพ่อเลี้ยงกับคุณนิดถึงดีกัน”
“แหม...พูดแบบนี้ก็แสดงว่าพ่อเลี้ยงดีกับคุณนิดเพราะเธอมีหัวโขนน่ะสิ” แม่อุ้ยว่า
“คุณนิดก็แอบคิดนะ” พรบอก
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงใครสักคนดังขึ้น “แต่ฉันว่าพวกเราไม่ควรคิดแบบนั้นนะ”
คนงานทุกคนหันไปก็เห็นนิพนธ์เดินเข้ามารวมกลุ่ม
นิพนธ์มองไปที่เจมส์ “มาไม่กี่วันก็เอากับเขาด้วยนะ”
เจมส์หน้าเสีย “แฮ่ะๆๆ ผมกำลังปรับตัวครับ”
นิพนธ์ยิ้ม “เรื่องคุณนิดจะคิดกับพ่อเลี้ยงมันก็อาจเป็นได้ เพราะเธอเป็นคนมาใหม่ แต่กับพวกเราอยู่ที่นี่กันมานาน คิดว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนที่คบคนที่หน้าตา ฐานะงั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น พ่อเลี้ยงคงไม่เลี้ยงดูพวกเราไปจนถึงส่งลูกหลานบางคนเรียนหนังสือหรอก”
พวกคนงานพยักหน้าและพูดคุยกันในทำนองเห็นด้วย
“อีกอย่างนะ ที่พ่อเลี้ยงดีกับคุณนิดเพราะพ่อเลี้ยงก็เหมือนพวกเรา คือแพ้ความดีและความอดทนตั้งใจทำงานของคุณนิด” นิพนธ์บอก
“แบบนี้ถ้าคุณนิดเข้าใจพ่อเลี้ยงผิดก็จะไม่ดีสิครับ” ลุงปั๋นพูด
พวกคนงานเห็นด้วยกับลุงปั๋น
“ตอนนี้พ่อเลี้ยงรู้จักคุณนิดแล้ว ก็คงต้องถึงเวลาที่คุณนิดจะรู้จักพ่อเลี้ยงบ้างล่ะ” นิพนธ์บอก
“ไม่เป็นไรค่ะ พรจะช่วยเชียร์เอง”
คนงานฮือขึ้นมาว่าจะช่วยเชียร์กันยกใหญ่
“เฮ้ยๆๆ นี่จะทำอะไรกัน” นิพนธ์ปราม
คนงานไม่สนใจฟังนิพนธ์ ทุกคนต่างพูดคุยวางแผนกันยกใหญ่
“ท่าทางพ่อเลี้ยงจะมีแนวร่วมแล้วครับ” เจมส์บอกนิพนธ์

บัวเกี๋ยงยืนเทนมสดใส่แก้วอยู่ในครัว โดยมีสุพัฒนายืนอยู่ข้างๆ
“คุณเล็กจะทำอะไร บัวเกี๋ยงไม่เข้าใจ พ่อเลี้ยงไม่ทานอะไรก่อนนอนคุณเล็กก็รู้” บัวเกี๋ยงถาม
“เหอะน่า...ฉันจะหาวิธีปรับความเข้าใจกับพี่ภู” สุพัฒนาบอก
“ปรับความเข้าใจ...ยังไงคะ”
“ก็แกลองคิดดูสิ หลังๆมานี่ เวลาเราจะเล่นงานนังนิดทีไร พี่ภูต้องช่วยมันทุกครั้ง แล้วก็ทะเลาะกับฉัน ถ้าฉันยังโกรธกับพี่ภูอยู่ วันที่นังนิดมันไปพี่ภูก็ต้องช่วยมันอีก”
“หา...นี่คุณเล็กถึงกับกำหนดวันที่นังนิดมันจะไปจากที่นี่เลยเหรอคะ” บัวเกี๋ยงดีใจ
“ใช่....และวันนั้นพี่ภูก็จะหมดหนทางช่วยมัน”
“ตกลงคุณเล็กมีแผนชั่วอะไรอีกค่ะเนี่ย” บัวเกี๋ยงถาม
สุพัฒนาได้ยินก็ค้อนบัวเกี๋ยง

ภูชิชย์นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเปิดประตูเข้ามาแล้วเอาแก้วนมวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของภูชิชย์
“สองสามวันนี้เราไม่ได้คุยกัน คุณเล็กรู้สึกไม่ดีเลย เลยอยากขอโทษพี่ภูค่ะ”
สุพัฒนาพูดพร้อมกับตีหน้าเศร้า ภูชิชย์ลุกขึ้นมาจับหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“พี่ดีใจนะที่คุณเล็กหายโกรธพี่” ภูชิชย์ยิ้ม “นี่พี่ทานเพราะคุณเล็กนะเนี่ย”
ภูชิชย์ดื่มนมจนหมดแก้ว สุพัฒนาดีใจรีบเข้าไปกอด
“คุณเล็กรักพี่ภูที่สุด”
“ถ้ารักพี่ก็อย่าดื้อกับพี่อีกนะ”
“วันนี้ได้ข่าวว่าพี่ภูกับนิด ทำงานกันได้ดีเหรอคะ”
ภูชิชย์ชะงักไปเล็กน้อย “เอ่อ...ใช่จ้ะ”
สุพัฒนายิ้ม “นิดเขาเก่งนะคะ ทำงานในไร่ก็ได้ ทำงานเอกสารก็เก่ง นิพนธ์ยังชมเลย”
“นี่คุณเล็กไม่โกรธนริศราแล้วเหรอ”
“คุณเล็กมาคิดๆดู เราจะเกลียดคนเก่งไปทำไมคะ ทำให้เราเสียประโยชน์เปล่าๆ นิดเองก็น่าสงสาร คงมาจากครอบครัวต่ำๆ คุณเล็กไม่ควรไปซ้ำเติมเขา”
“ไม่นะ นริศราเขามาจากครอบครัวดีเลยล่ะ” ภูชิชย์รีบบอก
สุพัฒนางง “ครอบครัวดี?”
ภูชิชย์หยิบแฟ้มเอกสารประวัติของนริศราส่งให้สุพัฒนาอ่าน บัวเกี๋ยงทนไม่ไหวลุกขึ้นมาอ่านด้วย
“นริศราเป็นลูกสาวนายพล” ภูชิชย์บอก “พี่ชายก็เป็นทหาร แล้วเขาก็เคยเรียนที่อเมริกา เพียงแต่ว่าเขายังเรียนไม่จบ พ่อของเขาเสีย เลยไม่ได้กลับไปเรียนต่อ”
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงพลิกเปิดดูประวัตินริศราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

สุพัฒนาเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วนั่งที่เตียง บัวเกี๋ยงตามเข้าแล้วรีบลงมานั่งข้างๆ
“คุณเล็ก คุณเล็กขา” บัวเกี๋ยงเรียก
สุพัฒนาหงุดหงิด “จะเรียกทำไมนักหนา”
“ก็บัวเกี๋ยงเป็นห่วงน่ะสิคะ ตั้งแต่อ่านประวัตินังนั่นจบคุณเล็กก็เงียบไปเลย บัวเกี๋ยงกลัว”
“กลัวอะไร?” สุพัฒนาถามกลับ
“บัวเกี๋ยงกลัวว่าพอคุณเล็กรู้ว่านังนิดเป็นลูกนายพลแล้วจะเปลี่ยนไปอยู่ข้างมันค่ะ”
“ใครบอก ฉันเกลียดมันมากขึ้นด้วยซ้ำ”
“จริงเหรอคะ บัวเกี๋ยงก็เกลียดมากขึ้นด้วยเหมือนกันค่ะ”
“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ถ้ามันคิดจะทำให้พี่ภูรักแล้วแย่งพี่ภูไปจากฉัน ฉันก็จะเกลียดมัน”
“บัวเกี๋ยงดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะคะ แล้วแผนคุณเล็กจะเริ่มเมื่อไหรล่ะคะ”
“พรุ่งนี้” สุพัฒนาตอบ
บัวเกี๋ยงได้ยินก็ดีใจและตื่นเต้นจนตาโต

ภูชิชย์ยืนมองไปที่นอกหน้าต่างห้องนอนซึ่งเป็นทิศเดียวกับบ้านพักคนงานหญิง
“นริศรา เธอคงดีใจนะที่รู้ว่าคุณเล็กเลิกโกรธเกลียดเธอแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงมือถือของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์หยิบมาดูหน้าจอ พอเห็นชื่อเจ้าน้อย เขาก็รู้สึกสับสน แต่ก็กดรับ “ครับเจ้า”
เจ้าทิพย์ดารานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนของเธอ
“เอ...วันนี้ภูงานยุ่งมากเหรอคะ”
“ครับ พอดีผมไปช่วยนริศราเขาลงกาแฟที่ท้ายไร่น่ะครับ เลยเพิ่งได้ทำงานของตัวเองเมื่อค่ำนี้เอง”
“มิน่า วันนี้น้อยเลยไม่ได้ยินเสียงภู”
“เอ่อ...ผมขอโทษนะครับเจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ภูอย่าหายไปแบบนี้บ่อยๆนะคะ...น้อย...น้อยคิดถึง”
“ครับ” ภูชิชย์ตอบ
แล้วต่างคนก็ต่างเงียบไปครู่ใหญ่
“เอ่อ...แล้วเจ้าน้อยมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ภูชิชย์ถามขึ้น
“พรุ่งนี้น้อยอยากไปซื้อของมาเตรียมเพ้นท์เสื้องานประมูลหาทุนงานฤดูหนาว ภูไปกับน้อยนะคะ”
“ผม เอ่อ..ผมต้องช่วยคุณนิดดูเรื่องกาแฟของเขาน่ะครับ”
“เหรอคะ...งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“เจ้าน้อย...คือผมขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะภู น้อยเข้าใจ ฝันดีนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราวางสายด้วยสีหน้าเศร้า
ภูชิชย์เริ่มคิดหนัก เขาหยิบรูปเจ้าทิพย์ดาราขึ้นมาดูแล้วถอนใจ ก่อนจะมองกลับไปยังทางบ้านพักคนงานหญิงเช่นเดิม

สุพัฒนาจะเอนตัวลงนอน บัวเกี๋ยงมาช่วยห่มผ้าให้พร้อมกับพูดประจบ
“คุณเล็กจะไม่บอกสักนิดเหรอคะ ว่าคุณเล็กคิดแผนอะไรอยู่”
“แกจะเซ้าซี้ถามไปทำไม บอกแล้วไงคนโง่อย่างแกไม่มีวันรู้เรื่องหรอก” สุพัฒนาด่า
จู่ๆ มือถือของบัวเกี๋ยงก็ดังขึ้น บัวเกี๋ยงหยิบออกมาดู แล้วมองไปที่สุพัฒนาก็เห็นว่าเจ้านายสาวกำลังจ้องเธอตาขุ่น
“ใคร” สุพัฒนาถามเสียงขุ่น
บัวเกี๋ยงอึกอัก “พ่อน่ะค่ะ”
สุพัฒนาโมโห “ทำไมพ่อแกชอบโทรมากลางคืนนักหา!”
บัวเกี๋ยงเริ่มจ๋อย “แกคงมีธุระด่วนน่ะค่ะ”
“ไปบอกพ่อแกนะ ว่าฉันซื้อโทรศัพท์เอาไว้ให้ฉันคุยกับแก ไม่ได้ให้สาแหรกของแกมาโทรคุยกันได้ตามสบายแบบนี้”
“ค่ะ” บัวเกี๋ยงเดินออกไปจากห้อง
สุพัฒนามองตามด้วยความหงุดหงิด

บัวเกี๋ยงเดินออกมาคุยโทรศัพท์นอกห้องสุพัฒนา
“พี่ผล โทรมาทำไมบ่อยๆ คุณเล็กด่าฉันแล้วนะ”
“ด่าทำไม พี่ไม่ได้โทรหาคุณเล็กสักหน่อย” ผลตอบ
“ก็นี่มันเครื่องของเขา เขาไม่ให้คนอื่นโทรมา แค่นี้นะ” บัวเกี๋ยงตัดบท
“เฮ้ย อย่าเพิ่ง เอาเงินออกมาให้หน่อย พี่รออยู่ที่หน้าไร่” ผลสั่ง
“เงิน? โอ๊ย ฉันไม่มีหรอก”
“ไม่มีแล้วพี่จะเอาอะไรกิน” ผลถาม
“พี่ก็ไปหางานทำเอาสิ”
“ก็มันหาไม่ได้นี่โว้ย ถึงต้องมาขอไง” ผลเริ่มฉุน
“นี่อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ ฉันบอกไม่มีก็คือไม่มี ไว้มีแล้วจะโทรไป”
“อีบัวเกี๋ยง เอ็งกล้าเหรอ อย่าให้ข้าโมโหนะ เอาเงินมาให้เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าบุกเข้าไร่ประจานเอ็งแน่”
บัวเกี๋ยงได้ยินก็หงุดหงิด เธอกัดฟันด้วยความเจ็บใจ

บัวเกี๋ยงย่องออกมาที่หน้าไร่ในยามดึกสงัด ผลที่แอบอยู่ชะเง้อมองพอเห็นว่าเป็นบัวเกี๋ยงก็กระชากตัวเข้ามา บัวเกี๋ยงตกใจจะร้องแต่ผลปิดปากเธอไว้ บัวเกี๋ยงกระชากมือผลออกด้วยความโมโห
บัวเกี๋ยงส่งเงินให้ “เอาไป มีแค่นี้แหล่ะ”
ผลกระชากเงินจากมือบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงจะเดินไปแต่ผลดึงแขนเธอไว้
“อะไรอีกล่ะ ถ้าไม่เชื่อจะค้นตัวฉันก็ได้นะ มีแค่นี้จริงๆ”
“คืนนี้พี่จะเข้าไปนอนด้วย” ผลบอก
บัวเกี๋ยงตกใจ “อะไรนะ พี่จะบ้าเหรอ” บัวเกี๋ยงทำเสียงอ่อน “พี่ผล อย่าทำแบบนี้เลยนะ เราจะอดตายทั้งคู่”
“แล้วเอ็งจะปล่อยให้พี่ตายคนเดียวเหรอ คืนนี้พี่ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน กลับบ้านก็ไม่ได้ พวกในบ่อนมันตามล่าพี่อยู่”
บัวเกี๋ยงมองหน้าผล แล้วตัดสินใจถอดสร้อยทองเส้นเล็กเท่าหนวดกุ้งที่คอให้ผล
“พอใช้หนี้ไหม” บัวเกี๋ยงถาม
ผลคว้าหมับทันที “อย่างงี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย”
“รีบไปสิ เดี๋ยวใครมาเห็น”
ผลมองซ้ายขวาแล้วก็เผ่นออกไปทันที บัวเกี๋ยงถอนใจด้วยความเซ็ง
“เมื่อไหร่ไอ้เห็บไอ้เหาตัวนี้มันจะตายๆไปจากชีวิตฉันซะทีวะ”

อากาศยามเช้าที่แปลงดอกไม้เต็มไปด้วยความสดใส สุพัฒนามานั่งดมกลิ่นดอกไม้อยู่ที่ริมแปลง สักพักนิพนธ์ที่ถือพลั่วอยู่ในมือก็ยืนขึ้นกลางแปลง เขามองสุพัฒนาที่กำลังดมดอกนั้นดอกนี้อย่างมีความสุข สุพัฒนาเงยหน้าขึ้นมองนิพนธ์ นิพนธ์สะดุ้งแล้วก็เขิน
“อ้าวนิพนธ์” สุพัฒนาเดินเข้าไปหาโดยตามองไปที่อุปกรณ์ “พี่ภูให้เธอมาทำแปลงดอกไม้ให้ฉันเหรอ”
นิพนธ์อึกอัก “ครับ.คุณเล็ก ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”
“อืม ฉันรู้สึกว่าวันนี้สดชื่นกว่าทุกวัน” สุพัฒนาบอก
“วันนี้คุณเล็กอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“คงเพราะจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับฉันมั้ง”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็นัง..” สุพัฒนาจะหลุดพูดออกมาแต่ก็เปลี่ยนเรื่องได้ทัน “เอ่อ...ก็อากาศดีแบบนี้ ฉันก็อารมณ์ดีสิ แล้วยิ่งมาอยู่ใกล้ๆ ดอกไม้สวยๆพวกนี้ ฉันยิ่งอารมณ์ดีเลย”
นิพนธ์ยิ้ม “มันเหมือนภาพที่ผมเห็นคุณเล็กตอนนั้นเลย”
“เหรอ ตอนไหนอ่ะ”

ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในหัวของนิพนธ์
วันนั้นภูชิชย์กำลังบรรยายให้กลุ่มนักศึกษาที่มาดูงานในไร่ฟัง โดยมีนิพนธ์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“ที่ไร่องุ่นนี้ นอกจากเราจะปลูกองุ่นส่งให้ตลาดแล้ว ในอนาคตเราก็ยังมีโครงการทำโรงบ่มไวน์เอง เพื่อทำให้ครบวงจร และเป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชนเพิ่มมากขึ้น น้องๆปีสี่ที่กำลังจะจบแล้ว ใครความสนใจอยากร่วมงานกับเราก็มาศึกษางานที่ไร่ของผมได้นะ แต่ว่าตอนนี้เชิญน้องๆทานน้ำทานขนมกันตามสบายเลยนะครับ”
แม่อุ้ยกับฝ้ายเดินถือน้ำและขนมเข้ามา แล้วสุพัฒนาในชุดนักศึกษาก็ถือถาดขนมตามมาเป็นคนสุดท้าย นิพนธ์หันไปเห็นก็ปิ๊งทันที
“อ้าวคุณเล็ก เลิกเรียนแล้วเหรอ” ภูชิชย์ถามน้องสาว
“ค่ะ พอเลิกเรียน คุณเล็กก็รีบกลับมาช่วยพี่ภูเลยนะคะ” สุพัฒนาตอบ
“ขอบคุณค่ะ” ภูชิชย์ลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู
สุพัฒนารินน้ำและส่งขนมให้กลุ่มนักศึกษา เธอทั้งยิ้มแย้ม ทั้งน่ารักและสดใสจนนิพนธ์รู้สึกประทับใจและมองไม่วางตา พอถึงคิวนิพนธ์ สุพัฒนาก็ส่งน้ำและยิ้มให้ นิพนธ์ดีใจจนยิ้มค้าง สุพัฒนาไม่ได้สนใจ หันไปหยิบขนมให้พี่ชายต่อไป

นิพนธ์เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้สุพัฒนาฟัง แต่เธอฟังแล้วก็หัวเราะออกมา
“ตอนนั้น เธอคงดูแย่มากจนฉันจำไม่ได้เลย” สุพัฒนาว่า
“คงจะใช่ครับ ผมมันดูแย่เสมอ” นิพนธ์จ๋อยจึงเปลี่ยนเรื่องทันที “คุณเล็กอยากได้ดอกไม้หรือเปล่าครับ ผมจะตัดให้”
“ไม่ล่ะ ฉันชอบดูมันอยู่กับต้นเยอะๆแบบนี้มากกว่า”
“ครับ”
นิพนธ์จะนั่งลงทำสวนต่อ แต่สุพัฒนามาจับมือเขาไว้ นิพนธ์อึ้งแล้วสุพัฒนาก็ดึงพลั่วจากมือนิพนธ์
“ฉันช่วย” สุพัฒนาบอก
“อย่าเลยครับคุณเล็ก เลอะเทอะเปล่าๆ”
“ไม่เอา แปลงดอกไม้ของฉัน ฉันก็ต้องมีส่วนทำให้มันสวยด้วยสิ”
ทั้งสองช่วยกันตัดแต่งกิ่ง รดน้ำ พรวนดินแปลงดอกไม้ สักพักสุพัฒนาก็เจอหนอนเลยสะดุ้งตกใจ นิพนธ์เห็นเข้าก็หัวเราะ นิพนธ์แกล้งทำท่าเหมือนจะจับหนอนมาหลอกสุพัฒนา สุพัฒนาจึงไล่ฉีดน้ำใส่นิพนธ์
สักพักสุพัฒนาก็เห็นแมลงปอและผีเสื้อบินวนดอกไม้ เธอวิ่งไล่จับอย่างมีความสุข นิพนธ์แอบมอง สุพัฒนาไม่ได้สนใจนิพนธ์ พอวิ่งสักพักสุพัฒนาก็เริ่มเหนื่อย
“ไม่ไหวแล้ว” สุพัฒนาว่า
นิพนธ์ยิ้มและขำ “อะไรกัน เห็นไล่จับแต่ผีเสื้อ เหนื่อยแล้วเหรอครับ”
“แหม ฉันก็พรวนดินให้ตั้งหลายต้นแล้วนะ”
“ครับๆ เหนื่อยก็ไปนั่งพักเถอะครับ”
สุพัฒนาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ นิพนธ์เดินตามไป

สุพัฒนานั่งพักตรงเก้าอี้ใต้ต้นไม้ นิพนธ์เดินเปิดขวดน้ำดื่มแล้วนำมายื่นให้ สุพัฒนารับมาดื่ม
“นี่ รู้หรือยัง ว่านริศราเขาเป็นเด็กนอก แล้วก็เป็นถึงลูกนายพลเชียวนะ” สุพัฒนาถาม
“ทราบแล้วครับ” นิพนธ์ตอบ
“ขอถามครั้งสุดท้ายนะ ตกลงนายจะจีบแม่นั่นไหม”
“ผมขอยืนยันเหมือนเดิม ว่าไม่ครับ” นิพนธ์พูดพร้อมมองตาสุพัฒนานิ่ง
สุพัฒนายักไหล่ “ก็ดี”
นิพนธ์งง “คุณเล็กหมายความว่ายังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”
สุพัฒนายิ้มแล้วเดินหนีไป

มัลลิกามานั่งรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ไอว่าพี่วัสเขาคงสงสัยยูแน่ๆ ถึงได้มาถามอย่างนั้น” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
“I know” มัลลิกาตอบ
“แล้วตกลงเขามีลูกมีเมียแน่แล้วใช่ไหม” เพื่อนอีกคนถาม
“50 50” มัลลิกาตอบ
“จะมา ห้าสิบอะไรล่ะ ก็ไปเจอกับผู้หญิงกับเด็กคนนั้นแล้วนี่ ทำไมไม่ถาม”
“ไอไม่กล้า” มัลลิกาบอก
เพื่อนคนหนึ่งตกใจ “อะไรนะ สาวมั่นอย่างมอลลี่น่ะเหรอไม่กล้า”
มัลลิกานั่งเงียบ
“มอลลี่ ชีวิตมอลลี่ต้องเดินต่อไปนะ จะคิดจะทำอะไรก็ทำซะเถอะ การอยู่เฉยๆ เขาถือว่าเป็นการถอยหลังนะ” เพื่อนคนนั้นกล่าว
มัลลิกานิ่งอึ้งไม่ตอบอะไร เธอวางช้อนลงแล้วครุ่นคิดด้วยความหนักใจ

เจ้าทิพย์ดารายืนเลือกสี เลือกกระดาษ และอุปกรณ์เพ้นท์ผ้าอยู่ในร้านเครื่องเขียนขนาดใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ เธอถือของหลายอย่างพะรุงพะรังจนของหลุดมือ ไม่นานนักก็มือใครคนหนึ่งเข้ามาช่วยเก็บ
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเนพิสุทธิ์ “อ้าว คุณโป๊ะ”
“สวัสดีครับเจ้า มาซื้อของไปเพ้นท์เสื้อแน่ๆเลย” พิสุทธิ์ทัก
“ค่ะ แล้วคุณโป๊ะมาซื้ออะไรเหรอคะ”
“ผมก็มาซื้อของไปเพ้นท์เสื้อเหมือนกันครับ” พิสุทธิ์ถือของให้เจ้าทิพย์ดารา แล้วทั้งคู่ก็เดินดูของกันต่อ “แต่ซื้อให้นิดเขานะครับ เห็นเขาไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก ไม่รู้ว่าพวกกระดาษพวกสีของเขาจะหมดหรือยัง ขืนทำไร่อย่างเดียวคงเบื่อแย่”
“โห คุณโป๊ะนี่เอาใจน่าดูเลย” เจ้าทิพย์ดาราชื่นชม
“แต่ก็ไม่รู้ว่านิดเขาจะรำคาญมั่งหรือเปล่า ผู้หญิงบางคนก็ไม่ชอบคนเอาใจมาก”
“แต่น้อยชอบ...น้อยอยากให้ภูเอาใจน้อยแบบนี้บ้าง”
“พ่อเลี้ยงคงงานยุ่งมากน่ะครับ”
“ยุ่งยังไงก็ยังมีเวลาเอาใจคุณเล็กมากกว่าใครๆเสมอ” เจ้าทิพย์ดาราตัดพ้อ
“มิน่า ยัยนั่นถึงได้เอาแต่ใจผิดมนุษย์ขนาดนั้น”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มและขำกับมุกของพิสุทธิ์
-

ภูชิชย์สั่งงานนิพนธ์อยู่ภายในห้องทำงานของเขา
“เดี๋ยวทำจดหมายตอบทางจังหวัดเรื่องตอบรับงบสนับสนุนงานฤดูหนาวนะ”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น สุพัฒนาเดินเข้ามา ภูชิชย์เห็นน้องสาวก็ยิ้ม
“อ้าว คุณเล็ก มีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่า”
“คุณเล็กอยากกลับมาทำงานค่ะ” สุพัฒนาบอก
ภูชิชย์ดีใจ “จริงหรือเปล่า”
“จริงสิคะ คุณเล็กบอกนิพนธ์ไปแล้ว”
“ครับคุณเล็กบอกผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” นิพนธ์ยืนยัน
สุพัฒนาพยักหน้า นิพนธ์พลอยยิ้มไปด้วย
“พี่ดีใจนะ ที่พี่จะมีคุณเล็กกลับมาช่วยงานเหมือนเดิม” ภูชิชย์บอก
“แต่คุณเล็กขอเริ่มงานเบาๆช่วยนิพนธ์ก่อนได้ไหมคะ”
นิพนธ์ยิ้มอย่างมีความสุข แต่สุพัฒนาแอบยิ้มเพราะมีแผน

นิพนธ์กุลีกุจอเก็บโต๊ะตัวเองให้สุพัฒนา แล้วก็หันไปพูดกับเธอ
“คุณเล็กนั่งโต๊ะผมไปก่อนนะครับ ไว้ผมจะจัดให้ใหม่”
“ขอบใจนะ เธอทำงานของเธอไปเถอะ” สุพัฒนาบอก
“ครับ” นิพนธ์นั่งลงที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แล้วก็เปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน
สุพัฒนาทำเป็นหยิบแฟ้มนิพนธ์ขึ้นมาดูงาน แล้วก็ทำเป็นนึกได้
“เอ้อ...นิพนธ์ ไปเอาแฟ้มที่พี่ภูเซ็นมาหรือยัง จะได้มาเคลียร์งาน”
นิพนธ์มองแฟ้ม แล้วยิ้มเจื่อนๆ “ยังเลยครับ ผมทำไม่ทันน่ะครับ”
“แหม...เธอนี่ พี่ภูไปประชุมตั้งนานแล้วยังไม่ไปเอาอีก เกิดตั้งเบิกค่าแรงคนงานได้ช้าละพี่ภูโกรธตาย”
“ผมจะไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันทำให้นะ” สุพัฒนาอาสา

สุพัฒนาหอบแฟ้มออกมาจากห้องของภูชิชย์แล้วเปิดดู เธอเห็นลายเซ็นต์ภูชิชย์ในเอกสารเบิกเงินค่าล่วงเวลาของคนงาน สุพัฒนายิ้มร้าย แล้วเดินออกไป

สุพัฒนาเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะหยิบ Flash Drive ในลิ้นชักขึ้นมา สุพัฒนาเสียบ flash drive เข้าไปในเครื่องแล้วทำเป็นนั่งทำงานไป ครู่หนึ่งเธอก็ทำเป็นสงสัย
“เอ๊ะ นิพนธ์...เธอได้เช็คเรื่องการเบิกค่าล่วงเวลาคนงานหรือเปล่า”
“เปล่าครับ มีอะไรเหรอครับ” นิพนธ์ตอบแล้วก็รีบลุกขึ้นมาดู
“ก็นี่ไง วันที่ 25 มีการเบิกค่าล่วงเวลา ฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่นายเจมส์นักศึกษาฝึกงานมาถึงไม่ใช่เหรอ”
นิพนธ์หยิบปฏิทินมาดู “ใช่ครับ”
“แล้ววันนั้นเราก็มีงานเลี้ยงต้อนรับ พี่ภูให้ทุกคนเลิกงานก่อนเวลา แล้วมันจะมีการเบิกค่าล่วงเวลาได้ยังไง นริศราเป็นคนทำใช่ไหม”
“เอ่อ..ครับ” นิพนธ์ตอบ
“นี่ถ้าปกติเธอไม่เช็ค พี่ภูก็เซ็นไม่ดู เท่ากับนริศราจะได้เงินไปหลายหมื่นเข้ากระเป๋าเลยนะ”
“คุณนิดเธอคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าทำหรือเปล่า เธอไปตามนริศรามาเดี๋ยวนี้ ฉันจะโทรเรียกพี่ภูเอง” สุพัฒนาสั่ง

นริศรากำลังใช้อุปกรณ์เช็คความหวานขององุ่นอยู่ที่ไร่องุ่น สักพักลุงปั๋นก็วิ่งมาตาม
“คุณนิดครับ คุณนิด เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะลุงปั๋น” นริศราตกใจ
“คุณเล็กให้ตามตัวคุณนิดไปที่สำนักงานด่วนครับ” ลุงปั๋นบอก
นริศรางง “คุณเล็กเหรอ? ลุงปั๋นรู้ไหมว่ามีเรื่องอะไร”
ลุงปั๋นหน้าเสีย “ที่จริงผมก็ไม่ทราบหรอกครับ แต่นังบัวเกี๋ยงมันไปโพนทะนาแล้วว่า คุณเล็กจับทุจริตคุณนิดได้ครับ”
นริศราตกใจ “ฉันทุจริตเหรอ”

สุพัฒนา ภูชิชย์ และนิพนธ์มองนริศราที่มายืนอยู่ในห้องทำงานภูชิชย์เป็นตาเดียว แฟ้มใบหนึ่งกางอยู่บนโต๊ะ ภูชิชย์และนิพนธ์มีสีหน้ากังวล
“นี่หมายความว่ายังไง” สุพัฒนาถาม
นริศรางง “ฉันจำได้ว่าไม่มีการเบิกโอทีให้คนงานของวันที่ 25 แน่ๆค่ะ ขนาดของฉันเองที่พ่อเลี้ยงบอกจะให้เพราะเป็นวันหยุดของฉัน ฉันยังไม่ได้ทำให้ตัวเองเลย”
“จริงสิ พี่ยังไม่เห็นใบเบิกโอทีของนริศราเลย” ภูชิชย์นึกขึ้นได้
สุพัฒนาหน้าเสียไปเล็กน้อยแต่ก็รีบพูดกลบเกลื่อน
“อาจจะทำให้ตายใจก็ได้นี่ ของเธอมันจะกี่ร้อยบาท แต่ของคนงานรวมๆกันเป็นหมื่นๆ แล้วเงินโอทีมันมีการทำเบิกแทบทุกวัน เธอก็คงฉวยโอกาสที่พี่ภูกับนิพนธ์ไม่ค่อยตรวจละเอียดมั่วนิ่ม”
“ไม่จริงค่ะ ฉันยืนยันว่าไม่ได้ทำ” นริศรายืนกราน
“ดูดีๆสิว่านี่มันลายเซ็นเธอหรือเปล่า” สุพัฒนาถาม
นริศราหยิบแฟ้มมาเปิดดู พอเห็นเป็นลายเซ็นตัวเองเธอก็อึ้งและพูดอะไรไม่ออก






Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 9:29:04 น.
Counter : 284 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]