All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 7




ไม้จัดการหมอคงจนล้มลงได้ในที่สุด สร้อยพระเป็นพวงที่คอหมอคงขาดกระเด็น หมอคงล้มลง ส่วนพวกซากผีที่ถูกปลุกขึ้นมาต่างหันมาสนใจหมอคงแทน หมอคงไล่แต่พวกผีไม่สนใจ ต่างก็รุมทึ้งหมอคงที่ล้มลงมึนหัวอยู่

ไม้หันมาอีกทีก็ไม่เห็นลูกผู้ชายและกุมารทองแล้ว เหลือแต่ไม้ตะพดวางนิ่งอยู่
“พ่อ”
ด้านเมฆฟื้นอีกทีในที่มืดมิด คลำไปเจอไฟแช็ค เมฆจุดไฟแช็คแล้วถอดสิ่งที่อำพรางหน้าตนออก เมฆมองไปทั่วเห็นเป็นที่แคบมากล้อมไปด้วยผนังไม้ปิดทึบ เมฆส่องไฟไปเห็นตัวเองนอนทับโครงกระดูกของศพนึงอยู่ เมฆตกใจแล้วก็ตั้งสติได้
“นี่ต้องเป็นโลงศพแน่ๆ เลย”
ขณะนั้นไม้ถือไม้ตะพดเดินไปทั่วป่าช้า ตะโกนเรียกหาเมฆ
“ลูกผู้ชาย ลูกผู้ชาย” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ “ลูกผู้ชายอยู่ที่ไหน ลูกผู้ชาย” ไม้เป็นห่วงพ่อมากขึ้น
“ลูกผู้ชาย ... พ่อ ... พ่อ”
เมฆอยู่ในโลงได้ยินเสียงไม้ รู้สึกดีใจ
“ไม้ ไม้ ไม้”
เมฆทุบโลงดังปังๆ เสียงดัง แต่ไม้กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร
“พ่อ พ่ออยู่ไหน พ่ออยู่ตรงไหนน่ะ ส่งเสียงมานิดนึงก็ยังดีผมจะไปช่วย”
“ไม้ พ่ออยู่นี่ ได้ยินมั้ย”
เมฆตะโกนบอกแล้วทุบโลงอีกปังๆ แต่ไม้ได้ยินเพียงเสียงแผ่วๆ เท่านั้น ไม้เดินตามหาแหล่งกำเนิดของเสียงนั้น
“นั่นพ่อรึเปล่า พ่ออยู่ตรงไหน พ่อ พ่อ”
เมฆได้ยินเสียงไม้ตะโกนแว่วๆ เช่นกัน
“พ่ออยู่นี่ ไม้”
เมฆทุบฝาโลงอีก เมฆทุบฝาโลงจนเจ็บแผล ไม้ยังได้ยินเสียงปึงๆ อยู่
“พ่ออยู่ไหน พ่อ พ่อ เสียงเหมือนบางอย่างกระแทกกับไม้กระดาน”
ไม้มองไปตามโลงศพ ค้นดูตามโลงศพหลายโรงก็ไม่มี ไม้เริ่มกลัวพ่อจะเป็นอะไรแล้วเขาก็มองเห็นรอยเท้าของเด็กบนพื้น
“กุมาร”
ไม้เดินตามรอยเท้าเด็กไป ไม้เดินตามรอยเท้าเด็กไปหยุดอยู่ที่หลุมศพของเด็กคนหนึ่งซึ่งก็คือกุมารทองนั่นเอง
“นี่มันไอ้เด็กที่เป็นกุมารทองเมื่อกี้นี่” ไม้ดูพื้นดินบริเวณนั้นมันต่างจากบริเวณอื่น เพราะเหมือนเพิ่งถูกขุดใหม่ๆ “ตรงนี้แน่” ไม้เริ่มขุด “พ่อรอเดี๋ยวนะ ชั้นมาช่วยแล้ว”
ไม้รีบขุดเพื่อช่วยพ่อ
เมฆมองดูแผลของตัวเองที่เลือดไหลออกมา เขาไม่สบายใจ ขณะที่ไม้ก็รีบขุดดินเพื่อไปช่วยพ่อตนให้ได้ ไฟแช็คที่เมฆจุดค่อยๆ หมดจนมืดไป
“พ่ออย่าเป็นอะไรนะ ชั้นมาช่วยพ่อแล้ว พ่อ” ในที่สุดไม้ก็ขุดไปเจอโลงที่ฝังอยู่จนได้ ไม้พยายามงัดมันออกก็ไม่ได้ “พ่อ พ่อ พ่ออยู่ในนั้นมั้ย”
เสียงตอบของเมฆตอบออกมาให้ได้ยิน
“ไม้ นั่นไม้เหรอลูก”
“พ่อ ชั้นจะรีบหาอะไรมาเปิดไอ้โลงนี้ให้ได้”
ไม้มองซ้ายมองขวาไม่มีอะไรที่พอจะใช้ได้เลย เขานึกได้ถึงไม้ตะพดในมือ ไม้ใช้อำนาจไม้ตะพดทำลายฝาโลงศพจนแตกออก แล้วก็เห็นเมฆนอนอยู่ภายใน สองพ่อลูกโผเข้ากอดกัน
เมฆกับไม้ ยืนมองโครงกระดูกที่อยู่ในโลง ในโลงเต็มไปด้วยธูปเทียนและหัวกะโหลกก็ถูกเจาะแผ่นกะโหลกด้านหน้าหายไปเป็นวง
“กุมารนั่นคงอยากให้เราเจอสิ่งนี้”
“ไอ้หมอคงนี่ร้ายจริงๆ คนตายไปแล้วก็ยังแอบมาทำพิธี เอาไปทำกุมารเป็นทาสรับใช้ตัวเอง”
“ชั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะ ว่าเรื่องไสยศาสตร์พวกนี้จะเป็นเรื่องจริง” ทั้งคู่ช่วยกันปิดฝาโลง เมฆเจ็บแผลผ่าตัดของตน “พ่อเป็นอะไรรึเปล่า”
“เรารีบไปจากที่นี่เถอะ ก่อนที่ใครจะเห็นลูกผู้ชายตอนนี้”
เมฆกับไม้รีบกลับบ้าน ไม้พยุงเมฆเข้ามาในบ้าน
“พ่อนั่งก่อน พ่อเป็นยังไงบ้าง”
“ทนได้..แต่วันนี้ไม้ทำดีมากนะ”
“จริงเหรอพ่อ” ไม้ยิ้มภูมิใจ
“พ่อน่ะอ่อนแอเต็มทีละ มันคงถึงเวลาที่พ่อต้องมอบภาระสำคัญให้กับลูกจริงๆ ซักที”
“แต่ชั้นยังไม่เก่งขนาดนั้นนะพ่อ”
“พ่อเชื่อว่าลูกจะเก่งกว่าที่พ่อเห็นวันนี้อีก” ไม้ยิ้มภูมิใจ
วันต่อมาไม้กับเมฆมาที่ตลาด ไม้พยุงเมฆมาที่ร้านขายของชำ
“พ่อน่ะดื้อ บอกว่าไม่ต้องมาก็ไม่เชื่อ”
“มันทางผ่านอยู่แล้ว ไม่งั้นไม้ต้องไปส่งพ่อแล้วเดินย้อนกลับมาที่นี่อีก”
แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องตกใจ ที่จู่ๆ หมอคงก็โผล่มาประชิดเมฆกับไม้ หมอคงจ้องเมฆไม่ขยับ
“ลูกผู้ชาย แกคือลูกผู้ชาย”
ไม้กับเมฆหน้าซีด ชาวบ้าน คนขายของต่างหันมาดูตามเสียง เมฆกับไม้ อึกอัก ทำอะไรไม่ถูกคนขายหัวเราะ
“ไม่ต้องตกใจพี่เมฆ ไอ้หมอคงน่ะอยู่มันก็กลายเป็นบ้า”
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่ามีคนไปเจอมันนอนสลบอยู่แถวป่าช้าน่ะ สงสัยจะไปทำอะไรไม่ดี แต่โชคร้ายของเข้าตัวไปซะก่อน”
“แล้วหมอคงนี่มันพูดเรื่องอะไรอีกรึเปล่า”
“ก็ไม่นะ พูดถึงแต่ลูกผู้ชายเนี่ยแหละ คนหนอคน...กรรมแท้ๆ”
ทุกคนหันไปดูหมอคงที่ดูเลอะเลือนสติไม่ดี

คืนนั้นขณะที่ทิวาเดินผ่านหน้าห้องเก็บของ ทิวาได้ยินเสียงบางอย่างดังจากห้องเก็บของ
เสียงเหมือนการท่องคาถา มนต์ดำอะไรบางอย่าง
“เสียงอะไรน่ะ”
ทิวาเปิดประตูเข้ามาในห้องเก็บของ แล้วมองซ้ายมองขวาแต่ไม่เห็นอะไร เห็นมีเพียงตู้ใบหนึ่งที่ปิดอยู่ ทิวาเดินเข้าไปดู ทิวายิ่งใกล้ตู้เหมือนยิ่งถูกดูดพลัง พอทิวาสัมผัสกับตู้ เขาก็ได้ยินเสียงประหลาด
“ตำราหนังเสือของข้า พาข้าไปพบฤๅษี ตำราของข้า”
ทิวาเปิดประตูตู้ ก็มีตัวประหลาดแว่บออกมา
ทิวาสะดุ้งตื่นเป็นเวลาเช้าแล้วเขาถอนหายใจโล่งอก
“ฝันถึงตัวประหลาดนี่อีกแล้ว ...ตำราหนังเสือ อะไรของมัน”
แพรวากับราตรีนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอาการ พันเทพเดินเข้ามานั่งที่หัวโต๊ะ
“ทิวาไปไหน”
“ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่เห็นเลยค่ะพ่อ”
“แล้วเราล่ะเป็นยังไงบ้างทำงานที่วินรถตู้น่ะ” พันเทพถามราตรี
“น่าเบื่อ ไม่มีอะไรเลย พ่อให้ราตรีไปทำอย่างอื่นแทนได้มั้ย”
“มัวแต่เลือกงานแบบนี้ จะเก่งได้ยังไงล่ะ เพิ่งเริ่มต้นทำงานก็บ่นแล้ว” ราตรีหน้างอ “แพรวา...เดี๋ยวเย็นนี้ หัวหน้าพรรคจะเลี้ยงผู้สมัคร เดี๋ยวลูกไปกับพ่อหน่อย”
“ออกงานเหรอ ราตรีไปด้วยสิคะ”
“ไม่ต้องหรอก งานนี้เป็นงานใหญ่งานโต ต้องมีบัตรเชิญถึงจะเข้าได้เท่านั้น”
“แล้วแพรวามีบัตรเชิญไปงานรึไง”
“ลูกชายท่านรัฐมนตรีน่ะอยากพบกับแพรวา” พันเทถยิ้มภูมิใจ
“แต่พ่อคะ...”
“นี่ การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญกับพ่อมากนะ”
แพรวานิ่งเงียบไม่อยากขัดใจพ่อ ราตรีไม่พอใจ ทิวาเดินมานั่งที่โต๊ะ
“ขอโทษครับ พอดีผมตื่นสาย”
“เป็นอะไร ทำไมตื่นสาย”
“ไม่มีอะไรครับ แค่ฝันแปลกๆ”
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรก็อย่าผิดวินัยของบ้าน”
“ขอโทษครับ”
“พักนี้...พ่อดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะคะ เครียดเรื่องเลือกตั้งเหรอคะ”
“อืม...ก็หลายเรื่อง”
หลังจากทานอาหารเสร็จ พันเทพกลับเข้าห้องทำงานแล้วนั่งดูผลโพลที่ออกมาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ปรากฏว่าคะแนนเขาตามมาเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งทิ้งห่างจากคู่แข่ง พันเทพหงุดหงิด
“เสียเวลาหาเสียงขนาดนั้น โพลยังออกมาแค่ที่สอง แบบนี้มันได้ยังไงกัน” พันเทพนั่งเครียด แล้วก็คิดถึงเวตาลขึ้นมา “ไอ้เวตาลมันต้องรู้วิธี”
พันเทพเดินเข้ามาในห้องเก็บของ เขย่าตู้ที่ล็อค
“เวตาล เจ้าเวตาล แกยังอยู่ในนั้นชั้นรู้”
“เจ้าเอาอาหารมาให้ข้าใช่รึไม่”
“แกตอบมา ว่าการรวมตัวของไม้ตะพดสองอัน สามารถครองงำจิตใจคนได้รึเปล่า ชั้นสามารถสั่งให้ใครทำอะไรก็ได้เมื่อชั้นมีไม้ทั้งสองอันใช่มั้ย”
“ใจเย็นๆ ก่อนเพื่อนข้า เจ้าคิดจะมาถามข้อมูลโดยไม่ปล่อยข้าออกไป ให้ได้กิน ได้เป็นอิสระบ้างรึ”
“เจ้าทรยศ ชั้นจำเป็นต้องทำโทษให้เข็ดหลาบ แกตอบชั้นมาก่อนสิแล้วชั้นจะปล่อย”
“ย่อมได้ ... พลังของไม้ตะพดทั้ง 2 อันเมื่อรวมตัวกันนั้นมหาศาล เจ้าสามารถใช้พลังของมันทำในสิ่งที่ปรารถนาได้ทั้งนั้น”
“ดี ถ้างั้น ชั้นต้องได้ไม้ตะพดอีกอันมาก่อนการเลือกตั้ง”
“ถ้ามันทำได้ง่ายๆ แบบนั้น เจ้าคงได้ไม้ตะพดอีกอันมาครอบครองนานแล้วจริงรึไม่ ข้าว่าเจ้าต้องการผู้ช่วย”
พันเทพนิ่งคิด มองกุญแจ
ขณะนั้นแพรวาอยู่ในห้อง แพรวาเปิดตู้ดูเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปงาน ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“ทำเป็นทำท่าว่าไม่อยากไปงานกับพ่อ แต่ก็กลับเข้ามาเลือกเสื้อผ้า”
“เข้ามามีอะไร”
“ก็แค่เข้ามาปรึกษาว่าเธอน่ะทำยังไง ถึงได้หว่านเสน่ห์ผู้ชายไปทั่วได้ ไม่ว่าจะคนกระจอกอย่างไอ้ไม้ หรือกระทั่งลูกชายรัฐมนตรี”
“ชั้นก็แค่อยู่เฉยๆ ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับใคร”
“นี่เธอว่าชั้นเหรอ”
“เปล่านี่ เธอร้อนตัวไปเอง”
“เธอคิดว่าเธอแน่รึไง เราเป็นแฝดกัน เธอไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าชั้นหรอก”
“ชั้นก็ไม่ได้คิดอย่างงั้นนี่”
“แต่เธอทำ เธอทำทุกอย่างเพื่อให้เธอเหนือชั้น ทำทุกอย่างให้ทุกคนมาสนใจเธอ ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองนอกละ ทั้งในโรงเรียนหรือจะตอนอยู่กับแม่ พอชั้นจะย้ายกลับมาเมืองไทย เธอก็ยังจะ ตามมาด้วย ทำไมไม่อยู่กับแม่ที่โน่นซะล่ะ ทำไมต้องตามมาแย่งความรักจากชั้นไปอีก”
ราตรีระเบิดอารมณ์ใส่แพรวา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นพันเทพยังอยู่ที่ห้องเก็บของ
“เจ้ามีแผนอย่างไร” เวตาลถามพันเทพ
“ชิงไม้มาจากลูกผู้ชาย” เวตาลหัวเราะ “หัวเราะอะไร”
“แผนเจ้ามันช่างโง่สิ้นดี คนอย่างลูกผู้ชายถ้าไม่สิ้นลมก็คงไม่ปล่อยไม้ให้มาอยู่กับเจ้าหรอก”
“แล้วต้องทำยังไง”
“ฆ่ามันเสียสิ แล้วเจ้าจะหมดเสี้ยนหนาม”
“ฆ่า...”
“หากเจ้าได้ตำราหนังเสือกลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะบอกวิธีฆ่ามันให้ แล้วเจ้าจะได้เป็นเจ้าของไม้ตะพดทั้งสองสมใจ”
“ดี...ชั้นเชื่อแก”
พันเทพจะเดินออกไปจากห้อง
“ทีนี้เจ้าปล่อยข้าออกไปจากตู้นี่สิ ข้าหิวเหลือเกิน”
“เอาไว้ให้แกทำความดีความชอบมากกว่านี้ก่อนสิ เลือดของชั้นที่แกมาแอบดูดกินคงอิ่มไปได้หลายวันน่า”
พันเทพหัวเราะแล้วเดินออกจากห้อง เวตาลโมโหทุบตู้ปึงปัง
“เจ้า เจ้าหลอกข้า คอยดูเถิด เจ้าไม่มีวันได้ไม้ตะพดสมใจหรอก คอยดู”
ขณะนั้นราตรียังอยู่ที่ห้องแพรวา แพรวาพยายามอธิบายเหตุผลกับราตรี
“ชั้นบอกเธอไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วราตรี ว่าชั้นไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น เธอคิดของเธอคนเดียว”
“งั้นก็ให้ชั้นไปพบลูกชายรัฐมนตรีแทนเธอสิ”
“จะทำยังงั้นได้ยังไง พ่อให้ชั้นไป เธอก็ได้ยิน”
“ก็ให้ชั้นปลอมตัวเป็นเธอไปก็ได้นี่ ไม่เห็นจะยาก”
“ถึงคนอื่นไม่รู้ เธอคิดเหรอว่าพ่อจะดูไม่ออก”
“นั่นไง เธอพยายามทำทุกอย่างให้เหนือชั้น พยายามจะกีดกันชั้น ไม่ต้องมาปฏิเสธ” แพรวาทำหน้เเบื่อ “ไม่ต้องมาทำท่าทางแบบนั้นเลยนะแพรวา เธอคอยดูเถอะ ชั้นจะแย่งทุกอย่างมาจากเธอให้หมด”
ราตรีอาละวาด มือปัดกรอบรูปที่ทั้งคู่ถ่ายด้วยกันบนโต๊ะแพรวาหล่นลงพื้น พอกรอบรูปแตกราตรีก็เห็นรูปที่ซ่อนอยู่ด้านหลังโผล่ออกมา ราตรีเก็บขึ้นมาจึงเห็นเป็นรูปไกร ราตรียิ้มออกมาแพรวาแย่งรูปคืนไป ราตรีทำหน้าเจ้าเล่ห์
“อย่ายุ่งกับคุณไกรนะ”
“คิดว่าชั้นจะเชื่อมั้ยล่ะ”
ราตรียิ้มแล้วเดินออกไป แพรวาไม่สบายใจ
ทางด้านพันเทพหลังออกจากห้องเก็บของ พันเทพก็พาสมุนมาบ้านเมฆ สมุนคนหนึ่งไปดูที่ประตู ปรากฏว่าล็อคกุญแจ
“ประตูบ้านล็อค ไม่น่ามีใครอยู่ครับ” สมุนหันมาบอกพันเทพ
“งั้นก็ดี พังเข้าไปค้นให้ทั่วว่ามันเก็บตำราหนังเสือไว้ไหน ยิ่งถ้าเจอไม้ตะพดยิ่งดี”
สมุนกรูเข้าไปพังบ้านเมฆ แล้วลุยเข้าไป พันเทพยืนดู
ขณะนั้นเมฆกับไม้อยู่ที่ชายป่า เมฆยื่นชุดลูกผู้ชายพร้อมหนังเสือที่ถูกพับเรียบร้อยให้ไม้
“ฝากลูกทำหน้าที่นี้แทนพ่อด้วย”
“ครับพ่อ”
“พ่อไม่มีอะไรจะสอนลูกอีกแล้ว ต่อจากนี้ลูกจงฝึกฝนด้วยตัวเองให้หนัก”
ไม้พยักหน้ารับ
“ผมสงสัยอย่างนึงครับพ่อ”
“เรื่องอะไร”
“ตระกูลของเราได้ไม้ตะพดมาครอบครองได้ยังไง”
“เรื่องมันเกิดตั้งแต่สมัยทวดของลูกน่ะ ทวดเป็นพรานที่ชอบตระเวนล่าสัตว์ในป่าต่างๆ มีป่าแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกกันว่าป่าอาถรรพ์ ทุกคนที่เข้าไปไม่มีวันได้กลับมา”
“ทวดเข้าไปในป่าอาถรรพ์เหรอครับ”
“ใช่ ด้วยนิสัยกล้าหาญ ไม่ฟังใคร ทวดเลยเข้าไป ทวดหายไปนาน แล้วก็กลับออกมา...ไม่มีใครรู้ว่าทวดเจออะไรบ้าง เพราะทวดเหมือนกับคนเสียสติ แต่ทวดออกมาพร้อมกับไม้ตะพดที่บอกกับปู่ของลูกว่าต้องเก็บรักษามันให้ดีที่สุด”
“แล้ว...ป่านั่น มีใครเคยเข้าไปหาความจริงรึเปล่า”
“ไม่มี เพราะพอทุกคนเห็นอาการของทวด คนๆ เดียวที่กลับออกมาได้ แต่กลับเสียสติทุกคนยิ่งขยาดเกินกว่าจะเข้าไป”
“มันอาจจะมีความลับบางอย่างซ่อนไว้ก็ได้”
“แต่มันอาจจะเสี่ยงเกินไปที่จะเข้าไป”
“ก็จริง”
“เอาล่ะ เราไปจากที่นี่เถอะ พ่อจะพาลูกไปเอาสิ่งสุดท้ายที่ลูกควรจะได้”
“ไม้ตะพด”
เมฆพาไม้ไปเอาไม้ตะพด ระหว่างนั้นอบเชยเดินถือปิ่นโตมาที่บ้านเมฆ
“ทำบัวลอยเผือกมาฝากลุงเมฆด้วย น่าจะชอบนะ”
อบเชยเดินเข้าไปในบ้านแล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพันเทพและพวกกำลังรื้อบ้านเมฆกระจุยกระจายไปหมด
“พวกแกทำอะไรกันน่ะ”
พันเทพหันขวับมาตามเสียง
“จับมันไว้”
อบเชยต่อสู้กับเหล่าสมุนพันเทพโดยต้องประคองไม่ให้บัวลอยในปิ่นโตหกด้วย อบเชยรับมือสมุนพันเทพอย่างมีชั้นเชิง โดยที่ของในปิ่นโตไม่หกเลยและก็สู้กับสมุนได้
“ดีนะยังไม่หกเลย” อบเชยหันไปตวาดสมุนพันเทพที่ล้มอยู่กับพื้น “แกรู้มั้ยบัวลอยทำยากนะ ถ้าหกไป เลือดพวกแกก็ทดแทนไม่ได้”
“งั้นเลือดเธอคงทดแทนได้สินะ”
พันเทพใช้ร่มคู่กายตีปิ่นโตล้มคว่ำ ของที่อยู่ในปิ่นโตทะลักออกมา อบเชยโกรธมาก
“ไอ้พันเทพ แกรู้มั้ยของทั้งหมดนั่นชั้นตั้งใจทำแค่ไหน ลูกแกน่ะไม่มีปัญญาทำให้แกกินหรอก”
อบเชยเข้าสู้กับพันเทพอย่างไม่กลัว แต่ด้วยร่มของพันเทพทำให้อบเชยแพ้สิ้นท่า อบเชยกระเด็นชนข้างฝา นอนจุก
“ปากดีนัก... จับมันมัดไว้” พันเทพบอกสมุน สมุนเข้าไปจับอบเชยที่นอนสิ้นฤทธิ์กับพื้น “ดีเหมือนกัน ชั้นหาตำราหนังเสือไม่เจอ แต่แกคงช่วยชั้นได้”
เมฆกับไม้มาที่ท่ารถบขส. เมฆพาไม้ขึ้นมาบนรถ
“ชั้นเคยพยายามหาไม้ตะพดบนรถนี่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“มันอยู่ข้างกายพ่อมาตลอดเวลา ลูกลองไปนั่งที่เบาะคนขับสิ”
ไม้เดินไปนั่งที่เบาะคนขับ แล้วมองหา
“ก็ยังไม่เห็นอยู่ดี”
“ใช้สัมผัสของลูกสิ”
ไม้หลับตาเอามือวางบนคันเกียร์โดยอัตโนมัติ แล้วไม้ก็ได้กลิ่นหอมของไม้ ไม้สูดดมไปที่คันเกียร์ “อยู่กับพ่อตลอดเวลา คันเกียร์นี่ใช่มั้ย”
เมฆพยักหน้า ไม้ นึกถึงตอนที่เขาสู้กับพันเทพด้วยคันเกียร์นี้
“ถึงว่าสิ ตอนนั้นผมถึงชนะไอ้พันเทพได้ เพราะเกียร์นี่ คือไม้ตะพดนี่เอง”
“ลูกต้องเก็บรักษามันไว้ยิ่งชีวิต อย่าให้มันตกไปอยู่ในมือคนชั่วเด็ดขาด ไม่งั้นละก็เราไม่มีทางต้านทานอำนาจมันได้แน่ๆ”
“ครับพ่อ”
ศรนานายณ์เดินอยู่ที่ตลาดแม่ค้าพ่อค้าต่างเอาของที่ตนขายให้ศรนารายณ์ฟรี
“เอานี่มีดพกนะพี่ศรนะ พกไว้สู้กับศัตรูนะ” พ่อค้าเอามีดใส่กระเป๋าเสื้อศรนารายณ์ “พี่น่ะฮีโร่ในดวงใจของผมเลย”
“แหม เราก็พูดเกินไป”
“ลูก ไปขอลายเซ็นลุงศรสิลูก”
เด็กหลายคนเข้ามาขอลายเซ็นศรนารายณ์ ศรนารายณ์รับสมุดมาเซ็นแทบไม่ทัน
“ไม่ต้องแย่งกัน ได้ทุกคน ได้ทุกคน”ศรนารายณ์ยิ้มมีความสุข “ยังกับตอนที่ได้แชมป์ใหม่ๆ เลยนะเนี่ย”
ส่วนที่บ้านเมฆ อบเชยถูกมัดกับเสากลางบ้าน มีพันเทพและสมุนพันเทพยืนล้อมอยู่
“พวกแกเอาตำราหนังเสือไปซ่อนไว้ไหน”
“ไม่รู้”
พันเทพตบอบเชย
“ยังจะไม่รู้อีก ชั้นรู้ว่าแกเอามาจากบ้านชั้น ไม่งั้นคืนนั้นแกจะบุกรุกบ้านชั้นไปทำอะไร”
“ตำราหนังเสือคืออะไร ชั้นยังไม่รู้จักเลย”
“โกหก” พันเทพตบอบเชยอีก
“แกนี่มันชั่วจริงๆ ทำได้กระทั่งผู้หญิง”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ตำราหนังเสืออยู่ไหน”
“ก็บอกว่าไม่รู้ไง ก็แค่หนังเสือชั้นจะเอาไปทำอะไรล่ะ ชั้นยังไม่เห็นประโยชน์ซักนิด”
“ก็เพราะพวกแกคิดจะฆ่าชั้นน่ะสิ”
“ชั้นจะเอาหนังเสืออะไรนั่นมารัดคอแกตายรึไง ชั้นไม่โง่ขนาดนั้นหรอก”
“ก็เพราะแกรู้ว่าคนที่ถือไม้ตะพดทั้ง 2 คนไม่สามารถฆ่ากันเองได้น่ะสิ แกเลยต้องรวบรวมตำราหนังเสือและอีกหนึ่งของวิเศษ เพื่อฆ่าชั้นใช่มั้ยล่ะ อย่าคิดว่าชั้นจะรู้ไม่ทันหรอกนะ”
“ไม้ตะพดฆ่ากันเองไม่ได้งั้นเหรอ...” อบเชยพึมพำออกมา
“ตอบมา ตำราหนังเสืออยู่ที่ไหน”
“ชั้นไม่รู้”
พันเทพหยิบของที่กระจัดกระจายในบ้านมาชิ้นหนึ่ง ใช้ของตบไปทีที่หน้าอบเชย อบเชยหน้าหัน เลือดกลบปาก
เมฆกับไม้เดินกลับมาถึงบ้านก็เห็นประตูพังอยู่ ไม้ตกใจจะรีบเข้าไปดูแต่เมฆห้ามไว้
“ไม้อย่าเพิ่ง พ่อว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ ลูกอยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพ่อเข้าไปดูเอง”
“ชั้นจะปล่อยให้พ่อเข้าไปได้ยังไง”
“นี่เป็นอีกบททดสอบของการเป็นลูกผู้ชายที่ลูกต้องเรียนรู้ ...พ่อจะเข้าไป ลูกแอบดูอยู่ด้านนอกนี่ ถ้าเกิดเรื่องไม่ดี ลูกรู้ใช่มั้ยว่าจะต้องเข้าไปแบบไหน”
ไม้พยักหน้ารับ เมฆเดินเข้าไปในบ้าน
อบเชยเลือดกลบปากในขณะที่เมฆเข้าไปเห็น
“พวกแกทำอะไรกันน่ะ”
“อ้าว...เจ้าของบ้านกลับมาแล้ว เชิญ เชิญ หาน้ำหาท่ากินให้ใจเย็นก่อน” เมฆจะเดินเข้าไปหาอบเชย แต่สมุนพันเทพจับตัวเมฆไว้ “บอกให้นั่งพักก่อน จะรีบร้อนไปไหนเล่า”
“อบเชยเป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ไม้ที่แอบยืนดูอยู่ด้านนอกร้อนใจเพราะเป็นห่วงอเบชย
“อบเชย”
ไม้มองดูชุดลูกผู้ชายในถุงที่อยู่ในมือ
ระหว่างนั้นศรนารายณ์เดินถือข้าวของที่ได้จากชาวบ้านพร้อมกับถุงใส่เสือผ้าแปลงเป็นชายนิรนามมาตามถนน
“ของเยอะแยะขนาดนี้ แวะเอาไปฝากพี่เมฆกับไม้ด้วยดีกว่า”
ศรนารายณ์เดินยิ้มไปทางบ้านเมฆ
ส่วนที่บ้านเมฆขณะนั้นสมุนพันเทพจับเมฆไปมัดรวมกับอบเชย
“ดี มาสองคนก็ดี มันจะต้องมีซักคนที่รู้เรื่องนี้ล่ะใช่มั้ยเมฆ”
“แกน่ะมันเลวมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่” พันเทพหัวเราะ
“ถือเป็นคำชมที่ดี”
“ปล่อยอบเชยไป อบเชยไม่เกี่ยว”
“อย่ามาทำพระเอกน่า บอกมาว่าตำราหนังเสืออยู่ไหน”
“ตำราหนังเสืออะไรอีก ชั้นไม่รู้”
“อย่ามาไขสือ มันต้องอยู่ที่นี่แหละ ไม้กับนางนี่มันเอามาซ่อน”
“รู้ได้ไงว่าอยู่ที่นี่ ไหนล่ะหลักฐาน”
“หลักฐานเหรอ นี่ไง” พันเทพต่อยหน้าเมฆ เมฆเลือดกลบปาก “คราวนี้เห็นชัดขึ้นมารึยังล่ะ ว่าอยู่ไหน”
ลูกผู้ชายปรากฏตัวขึ้น
“หยุดทำร้ายคนอื่นซะที”
พันเทพมองลูกผู้ชายแล้วมองไปที่เมฆ แปลกใจที่เมฆและลูกผู้ชายอยู่พร้อมกันสองคน
“ลูกผู้ชาย..เป็นไปได้ไง” พันเทพสับสนมองลูกผู้ชายสลับเมฆ
ศรนารายณ์เดินมาถึงหน้าบ้านเมฆ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงดังข้างใน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
ศรนารายณ์แอบดูภายในบ้านก็ตกใจที่เห็นพันเทพมาบุกบ้านเมฆ แต่มุมที่ศรนารายณ์เห็นนั้น มีของบังลูกผู้ชายพอดี ศรนารายณ์จึงไม่เห็นลูกผู้ชาย ศรนารายณ์ดูถุงใส่ชุดฮีโร่ของตัวเอง
ภายในบ้านลูกผู้ชายกับพันเทพกำลังเผชิญหน้ากัน เมฆกับอบเชยถูกจับมัดไว้
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะลูกผู้ชาย ที่บาดเจ็บคราวก่อนหายแล้วเหรอ”
“ไม่ต้องมาพูดมาก ปล่อยสองคนนั่นก่อนดีกว่า อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“คราวนี้ลูกผู้ชายดูท่าทีเปลี่ยนไปนะ”
“เวลาผ่านไป... มีแต่แกนั่นแหละที่ยังเลวไม่มีวันเปลี่ยน”
พันเทพหัวเราะ
“ถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันนะ”
พันเทพกับลูกผู้ชายกำลังจะเริ่มสู้กัน อยู่ๆ ก็มีฮีโร่อีกคนโผล่มา
“ข้าคือผู้ผดุงความยุติธรรมมาช่วยทุกคนแล้ว” ทั้งหมดหันไปมองศรนารายณ์งงๆ ศรนารายณ์หันไปเห็นลูกผู้ชายก็ตกใจ “เฮ้ย...”
“ใครอีกน่ะ”
ศรนารายณ์อึ้ง เลิ่กลั่ก มองคนโน้นที คนนี้ที ตาปริบๆ แล้วก็วิ่งหนีจากไป
ศรนารายณ์วิ่งมาแอบหลังบ้าน ถอดหมวกโม่งออก
“ลูกผู้ชายกลับมาทำไมวะเนี่ย เรากำลังจะได้เป็นฮีโร่ประจำตำบลอยู่แล้วเชียว”
ศรนารายณ์รีบถอดชุดแล้วออกไป โดยลืมถุงของที่ชาวบ้านให้ไว้
ทุกคนหันความสนใจกลับมาจากศรนารายณ์
“อยากรู้นักว่า...ลูกผู้ชายคนนี้ ฝีมือจะเป็นยังไง”
“เดี๋ยวก็รู้”
ลูกผู้ชายบุกเข้าหาพันเทพ ทั้งคู่ต่อสู้กันโดยมีสมุนพันเทพเข้าร่วมด้วย แต่ทุกครั้งที่ไม้ตะพดลูกผู้ชายกับพันเทพกระทบกัน เมฆจะเจ็บแปลบที่แผลขึ้นทันที และเสียงโอดโอยถึงความเจ็บปวดดังมาจากตู้ที่ขังเวตาลไว้เช่นกัน
พันเทพกับลูกผู้ชายยังต่อสู้กันต่อเนื่อง เมื่อไม้กระแทกกันจังๆ หลายๆ ทีเมฆถึงกระอักเลือด แผลเก่าซึมเลือดออกมาอีก
“ฝีมือไม่เลวเลยนี่”
อบเชยพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกเพื่อไปช่วยลูกผู้ชาย เมฆก็ช่วยกันกับอบเชย ทั้งที่ตนก็เจ็บแผลทุกครั้งที่ไม้ตะพดกระทบกัน แต่ก็อดกลั้นไว้ อบเชยพยายามเอาเท้าเขี่ยมีดที่หล่นอยู่มาจนได้ เอามาตัดเชือกจนขาด ระหว่างที่ลูกผู้ชายต่อสู้ อบเชยหลุดไปได้ เธออาศัยทีเผลอแทงพันเทพ โดนต้นแขนข้างถนัดพอดี พันเทพบาดเจ็บเลยต้องล่าถอยไป
“พวกแกใช้วิธีหมาหมู่ ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“ที่แกกับสมุนรุมลูกผู้ชายทีเดียวตั้งหลายคน เค้ายังไม่ว่าอะไรเลย”
พันเทพกับสมุนกลับไป อบเชยมองหน้าลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายหลบตา
“จบเรื่องแล้ว ชั้นขอตัว”
ลูกผู้ชายรีบออกไปทันที อบเชยจะห้ามไว้ก็ไม่ทัน
“ลูกผู้ชาย ลูกผู้ชาย...”
“ปล่อยเค้าไปเถอะ” เมฆบอก
“คำขอบคุณก็ไม่ยอมฟังรึไง”
“ลูกผู้ชาย มาช่วย คงไม่ได้หวังอะไรหรอก”
อบเชยมองตามอย่างสงสัย
“แล้วนี่ไม้ไปไหนละคะ”
“ไม้ ... ก็ไปช่วยงานคุณไกรละมั้ง”
อบเชยมองไปเห็นถุงของบางอย่างวางกับพื้นแอบๆ ประตู อบเชยหยิบมาดู
“นี่มันของของใครซื้อมาเนี่ย ทำไมมาวางไว้ตรงนี้”
“เอ ไม่รู้เหมือนกันนะ หรืออาจจะเป็นของไอ้โม่งคนที่โผล่มาคนนั้น”
“จริงสิ”
อบเชยก้มไปเปิดดู เป็นของหลายอย่างที่ชาวบ้านให้ แต่มีสมุดเล่มนึงมีลายมือเด็กเขียนไว้ว่า ให้ลุงศรนารายณ์ อบเชยเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ เธอนึกถึงตอนที่เจอถุงใส่เสื้อผ้าพร้อมไอ้โม่งในบ้าน

“พ่อ ... พ่อคือไอ้โม่ง...”










Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 1:59:27 น.
Counter : 607 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]