All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 1 (ต่อ)




สมุนของทิวาทั้งสองคนวิ่ง ไล่ตามอบเชยมาติดๆ อบเชยหนีไปตามตลาดอย่างคล่องแคล่ว เหยียบตามนั่งร้านขายผัก เตะผักนานาชนิดใส่สองวายร้าย เมื่อผ่านร้านขายผลไม้ก็หยิบกล้วยมาปอกกินแล้วโยนเปลือกลงพื้นจนสมุนคนหนึ่งเหยียบแล้วลื่นล้มไป อีกคนหนึ่งยังไล่ตามอบเชยไม่ลดละ

อบเชยหลอกล่อให้สมุนมายืนหน้าร้านขายปลา แล้วจึงเข้าไปซ่อนในเข่งเศษผัก เอาผักมาบังสุมไว้ สมุนทิวาจึงมองหาอบเชยไม่เห็น

“หายไปไหนวะ”
พอจังหวะสมุนเผลอ อบเชยก็โผล่จากเข่ง ตั๊นหน้าสมุนจนล้มหงายลงไปในถังปลาไหล
และปลาไหลไหลเลื้อยเข้าไปตามเสื้อผ้า สมุนรังเกียจปลาไหลถึงกับดิ้นพล่าน อบเชยยิ้มอย่างสะใจ
“พี่ป้าน้าอาทั้งหลายไม่ต้องตกใจนะ นายคนนั้น” อบเชยชี้ไปที่ทิวา “มาหาเรื่องชั้น ความเสียหายทั้งหลายไปเก็บได้ที่พันเทพ พ่อของนายคนนั้นได้เลย”
อบเชยสะใจเดินออกไป เสื้อนักเรียนสีขาวไม่เปื้อนเปรอะแม้แต่นิดเดียวแต่ชายเสื้อลุ่ยหลุดจากกระโปรง แต่สภาพสมุนและทิวานั้นมอมแมมตามๆกัน

ไม้เดินไปโรงเรียนผ่านหน้าตลาด ในจังหวะที่อบเชยเดินออกมาพอดี อบเชยเห็นไม้จึงวิ่งเข้าไปหา
“ไม้ ไปเรียนเหรอ”
ไม้เห็นเสื้อนักเรียนอบเชยหลุดจากกระโปรง
“นี่ไปทำอะไรมา ทำไมเป็นแบบนั้น”
“ออกกำลังนิดหน่อย...” อบเชยบอกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ “นี่ไม้หายโกรธกับพ่อรึยัง”
“ไม่รู้ ไปถามพ่อสิ”
“เออ...ไม้เคยบอกว่าอยากให้พ่อชั้นสอนมวยให้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้ว่าพ่อจะว่าไง ยิ่งไม่อยากให้ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ด้วย”
“ให้ชั้นไปขอพ่อไม้ให้เอามั้ย”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นเพิ่งก่อเรื่องไปเมื่อวาน รออีกหน่อยดีกว่า”
“ตามใจ”
“ไปเรียนก่อนละ” ไม้เดินแยกไป อบเชยเดินตาม “จะไปไหนน่ะ”
“ก็ไปเรียนไง”
“โรงเรียนเธอน่ะอยู่ทางโน้น” ไม้ชี้มือไปอีกทาง
“อ้าวเหรอ ลืม” อบเชยบอกยิ้มๆ
“ไปเลย”
อบเชยส่งยิ้มหวานให้ไม้ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง ไม้ยิ้มกับพฤติกรรมอบเชย
ขณะนั้นทิวาในสภาพเนื้อตัวมอมแมมยืนกำหมัดแน่นแอบดูไม้กับอบเชยอยู่อีกฝั่งถนน โดยมีสมุนยืนประกบ
“ไอ้ไม้ แกอีกแล้ว”
ทิวานึกแค้นจังหวะนั้นมีมอเตอร์ไซค์ขับมาเฉี่ยวทิวาที่เอาแต่ยืนมองอีกฝั่งถนนหนึ่งอยู่โดยไม่สนใจรถ ทิวาล้มคะมำอีกที มอเตอร์ไซค์ขับหนีไป สมุนคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“อย่าหนีนะ”
สมุนอีกคน วิ่งตามมอเตอร์ไซค์ไป ขณะที่ทิวายังล้มอยู่ริมถนน รถบขส.ขับมาจอดเอี๊ยดหน้าทิวา
เมฆกระเผลกลงมาจากรถ ลงมาช่วยทิวา ชาญก็ตามลงมาดูด้วย
“เป็นไงบ้างหนู”
เมฆพยุงทิวาลุกขึ้น พอลุกขึ้นได้ทิวาสะบัดแขนเมฆ
“อย่ามาแตะต้องตัวชั้น” ทิวามองเมฆหัวจรดเท้า “จนแล้วยังพิการอีกน่าสมเพช”
“ปากเหรอน่ะที่พูด” ชาญบอกอย่างไม่พอใจ
“ช่างเค้าเถอะน่าชาญ” เมฆปราม
“ที่ชั้นพูดมีตรงไหนบ้างไม่จริง ก็ไอ้นี่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” ทิวาบอก
“คนที่แกเรียกว่าไอ้นี่เนี่ย เค้าแก่กว่าแกคราวพ่อนะ”
“แล้วมันใช่พ่อชั้นรึเปล่าล่ะ”
“ไอ้พวกลูกคนรวย แต่ทำตัวเหมือนคนไร้การศึกษา”
“เฮ้ย...พูดแบบนี้นี่แปลว่าอยากมีเรื่องใช่มั้ย”
“ก็เอาซี่”
ทิวากวักมือเรียกสมุนโดยไม่ได้สังเกตว่าสมุนไม่อยู่แล้ว ทิวากวักอยู่สองสามทีสมุนไม่มาจึงหันไปดู แต่ไม่เห็นใคร
“เฮ้ย ไปไหนหมดวะ เออ คราวนี้ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ทิวารีบเดินหนีออกไป
“ดีแต่ปาก เดี๋ยวปั๊ด”
ชาญจะตามไปเล่นงานทิวา เมมฆห้ามชาญไว้
“พอเถอะ ไปทำงานได้แล้ว”
เมฆเดินกระเผลกนำไปขึ้นรถบขส. ชาญเดินตามแต่ยังหันมองทิวาที่เดินหนีไป
ที่ท่ารถบขส. เมฆนั่งเหม่อจนกระทั่งชาญถือกระบอกตั๋วเขย่าก๊อกแก๊กตามสไตล์เดินมานั่งด้วย
“ไอ้เด็กนั่นมันน่าหมั่นไส้จริงๆ”
“ถ้าจะทำงานที่นี่อย่าเที่ยวไปมีเรื่องกับใคร”
“แต่ลูกพี่ก็เห็นนะ มันกวนประสาทสุดๆ”
“ช่างเค้า เราอย่างไปใส่ใจ”
“แหม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันซักหน่อย”
“แต่เมื่อวานที่พาลูกชายชั้นไปตีกันหลังวัดน่ะมันมี”
“อ๋อ…ไม่พอใจเรื่องนั้นนี่เอง ลูกพี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยมันแค่ยืนเป็นกรรมการ พูดแล้วก็เปรี้ยวปากไอ้เด็กเมื่อวานจริงๆ ยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะเลย”
“นี่ยังไม่หยุดอีกใช่มั้ย ถ้าอยากทำงานกับชั้นอย่าทำนิสัยอันธพาล”
“อันธพาลอะไร เมื่อวานมันก็แค่ประลอง”
เมฆส่ายหน้า ไม่เห็นด้วย
“ลูกผู้ชายเขาต่อสู้เพื่อคนอื่น… การต่อสู้เพื่อคนอื่นมันสร้างคุณค่าให้มนุษย์นะ ส่วนไอ้คนที่เอาแต่สู้เพื่อตัวเองน่ะ มันเหมือนหมากัดกัน” ชาญเถียงไม่ออก
ที่บ้านพันเทพ ขณะที่พันเทพกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ทิวาในชุดมอมแมมก็เดินเข้ามาโวยวาย
“พ่อ...พ่อต้องช่วยผม”
“ทิวา ทำไมไม่ไปโรงเรียน แล้วนี่...ทำไมสภาพเป็นแบบนี้”
“ผมโดนไอ้ไม้มันแกล้งมา มันอัดผมเละเทะเลย”
“ไม้...”
“ก็ไอ้ไม้ ลูกคนขับรถบขส.ในตลาดไง”
“แต่ไม้มัน ชกต่อยไม่เป็นซักหน่อยนี่”
“ทำไม พอรู้เรื่องไอ้ไม้”
ทิวาถามอย่างแปลกใจ พันเทพกลบเกลื่อน
“เอ่อ...คือ ก็พ่อเคยส่งคนไปเล่นพวกมันหลายที เห็นมันเอาแต่หนีหัวซุกหัวซุน”
“เออน่า...เอาเป็นว่ามันต่อยผมก็แล้วกัน พ่อต้องช่วยผม”
“จะให้พ่อทำยังไง”
“ก็ส่งคนไปกระทืบมันให้เละเลยสิ”
“เรื่องของเด็กๆ พ่อไม่อยากเข้าไปยุ่งหรอก พ่อกำลังจะลงสมัคร สจ.สมัยหน้าด้วย ยังไม่อยากมีเรื่องตอนนี้”
“พ่ออ่ะ...”
“ให้พ่อช่วยอย่างอื่นดีกว่า”
ทิวานึกถึงภาพตนกับอบเชย ที่โดนอบเชยทำร้ายตลอด
“ผมอยากเรียนมวย” จู่ๆ ทิวาก็บอกขึ้นมาพันเทพถึงกับหัวเราะ
“เอาวะ ไอ้ลูกคนนี้มันมีเลือดนักสู้ เลี้ยงไม่เสียข้าวสุกจริงๆ”
“พ่อต้องหาครูมวยคนที่เก่งที่สุดมาสอนผมให้เร็วที่สุด”
“ได้สิ ใครไม่อยากเห็นลูกเป็นนักสู้ล่ะ”
ทิวาและพันเทพต่างยิ้มพอใจ
เย็นวันเดียวกันนั้นที่หน้าโรงเรียนเทคนิค ไม้เดินออกจากโรงเรียน จู่ๆ ก็ถูกของแข็งปาใส่หัว ไม้หันมองหาจึงเห็นเป็นจันทร์นั่นเอง
“โดนพ่อด่าเป็นไงมั่งวะไม้”
“ชิน”
“พ่อแกนี่ดุชะมัด”
“ปกติก็ไม่ดุหรอก ดุแค่เรื่องต่อยตีเนี่ยแหละ”
“นี่ ชั้นว่าจะนัดไอ้ชาญประลองอีก”
“อย่าเลย”
“อ้าว แล้วเรื่องพิสูจน์ความจริงเรื่องลูกผู้ชายล่ะ”
“ชั้นขอพักไว้ก่อนดีกว่า ไม่อยากก่อเรื่องให้พ่อไม่สบายใจบ่อยๆ”
“โธ่เอ้ย พ่อแกน่ะแค่คิดไปเอง แกไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครซะหน่อย”
“เอาเถอะ...ถ้าแกอยากรู้เรื่องลูกผู้ชายไม้ตะพด ชั้นแนะนำให้แกไปที่วัดหลวง”
“อย่าบอกนะว่าตัวจริงของลูกผู้ชายเป็นพระ ปลงอาบัติกันทั้งวันละทีนี้”
“ไม่ใช่ วันก่อนชั้นได้อ่านหนังสือคัมภีร์ใบลาน นี่” ไม้หยิบหนังสือออกจากกระเป๋า “พระท่านคัดมาจากพระธุดงค์ จากพม่า ถ้าแกไปถาม อาจจะรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมก็ได้”
“มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยเหรอ เรื่องนี้ชักน่าสนใจขึ้นแล้วสิ นักวิทยาศาสตร์อย่างชั้นต้องพิสูจน์ให้ได้”
“เดี๋ยว แกเป็นนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แกเรียนช่างยนต์”
“แกน่ะไม่รู้อะไร นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เริ่มจากซ่อมเครื่องยนต์นี่แหละ”
จันทร์บอกด้วยแววตามุ่งมั่น มีความหวัง

จันทร์มาที่วัดหลวงแล้วเดินเข้าไปหาเจ้าอาวาสที่กำลังกวาดลานวัดอยู่
“โยมมีธุระอะไรกับอาตมารึ”
เจ้าอาวาสถาม จันทร์หยิบหนังสือขึ้นมา
“หลวงพ่อจำหนังสือเล่มนี้ได้รึเปล่าครับ”
“อาตมาเป็นคนเขียนรึ”
“เปล่าครับ แต่มันเป็นหนังสือของวัดนี้”
“ขออาตมาดูหน่อยซิ”
จันทร์ยื่นหนังสือให้เจ้าอาวาสดู เจ้าอาวาสหยิบแว่นขึ้นสวมแล้วพินิจดูหนังสือเล่มนั้น
“ใครบอกว่าเป็นของวัดนี้”
“เพื่อนชั้นยืมจากที่นี่”
“หนังสือมันเกี่ยวกับอะไร”
“ตำนานไม้ตะพดครับ”
เจ้าอาวาสพยักหน้า
“อาตมาอ่านแล้วน่าสนใจดี เลยให้เณรเค้าคัดให้ จากต้นฉบับใบลาน”
“แล้วเณรรูปนั้นเป็นใครละครับ”
“เณรรูปนั้น... อาจจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตำนานมากกว่าหนังสือเล่มนี้”
“ดีเลย แล้วเณรรูปนั้นอยู่ไหนละครับ”
“โอ้โห...โยมเอ้ย ปีๆ นึงมีเณรบวชภาคฤดูร้อนไม่ต่ำกว่า 200 รูป อาตมาจำไม่ได้หรอก”
“พยายามนึกก็นึกไม่ออกเลยเหรอหลวงพ่อ” เจ้าอาวาสพยายามนึก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า “เอาเถอะ ผมเข้าใจ แต่ถ้าหลวงพ่อนึกออกเมื่อไหร่ ต้องบอกผมเลยนะ”
เจ๊กีเดินเข้ามาเรียกหลวงพ่อเสียงดังตามประสาคนจีน
“หลวงพ่อ...”
“นี่มันวัดนะโยม พูดเบาๆ ก็ได้”
“โทษที อั๊วะไม่รู้ว่ากำลังมีแขก”
“ไม่เป็นไร ไอ้หนูนี่มันกำลังจะกลับแล้ว”
“ลาแล้วหลวงพ่อ”
จันทร์ยกมือไหว้เจ้าอาวาสแล้วเดินออกไป เจ๊กีมองเจ้าอาวาสยิ้มแฉ่ง
เจ๊กีมานั่งคุยกับเจ้าอาวาสในกุฏิ
“โยมมีธุระอะไรล่ะวันนี้”
“อั๊วะจะนิมนต์หลวงพ่อไปเจิมล้างซวยให้ที่บริษัทซักหน่อย”
“มีเรื่องอะไรรึ”
“ก็พวกไอ้พันเทพน่ะสิ ส่งคนมาทำลายรถ บขส.อั๊วเสียหายหมดเลย”
“อาตมาไปเจิมจะช่วยให้ไม่โดนหาเรื่องงั้นรึ”
“อั๊วะก็อยากสบายใจ นี่อาไกรก็จะกลับจากเมืองนอกมาแล้ว ทำบุญต้อนรับลูกชายซะหน่อย”
“ทำเป็นทำบุญขึ้นบ้านใหม่ไปได้”
“ลูกชายอั๊วะเป็นหนุ่มแล้วนา หลวงพ่อจำได้มั้ย”
“เออ...ลูกชายเอ็งมันเคยมาบวชเมื่อหลายปีก่อนนี่นา”
“ใช่แล้วหลวงพ่อ”
“เออ ๆ จำได้ว่ามันหัวดีกว่าใครเพื่อนเลย พระธุดงค์มาปักกลดที่วัดทีไร เจ้านี่เป็นต้องไป
สนทนาธรรมกับเค้า”
“เดี๋ยวนี้ก็ยังฉลาดเหมือนเดิม”
เจ๊กียิ้มภูมิใจลูกตัวเอง
เย็นวันเดียวกันนั้นที่บ้านศรนารายณ์ อบเชยกำลังง่วนเกี่ยวกับการทำกับข้าว ศรนารายณ์แอบมองดูลูกตัวเอง แล้วก็แอบเดินเข้าไปเงียบๆ อบเชยทำกับข้าวนิ่ง เหมือนไม่รู้ว่าศรนารายณ์เข้ามา ศรนารายณ์กำหมัดจะต่อยลูกตัวเองกลางหลัง แต่อบเชยจากที่หันหลังทำกับข้าวก็หลบควับแล้วเอาทัพพีตีข้อมือศรนารายณ์
“เล่นแบบนี้อีกแล้วนะพ่อ”
“ก็แค่จะลองดูว่าที่สอนๆ ไปน่ะได้ฝึกบ้างรึเปล่า”
อบเชยหันไปทำกับข้าวต่อ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าพ่อ ชั้นไม่ทำเสียชื่อลูกสาวแชมป์มวย 14 สมัยหรอก”
“บ๊ะ พูดจาถูกใจจริง แล้วนี่ทำอะไรกลิ่นหอมฉุยเชียว”
“มีกลิ่นพริกแกง ปนกับกลิ่นคาวปลาจางๆ แบบนี้ก็มีอยู่อย่างเดียวแหละพ่อ แกงส้มผักรวม”
“โอ๊ย...ใครจะไปจมูกดีเหมือนลูกล่ะที่ดมกลิ่นก็รู้ไปหมดว่ากลิ่นอะไรเป็นกลิ่นอะไร”
“ถ้าพ่อสอนมวยท่าไม้ตายชั้นเมื่อไหร่ ชั้นจะสอนให้ดมกลิ่น”
“ดมกลิ่นน่ะเป็นพรสวรรค์ ใครก็เลียนแบบใครไม่ได้หรอก พ่อรู้ตัวดีว่าเก่งไปซะทุกเรื่องแต่เรื่องจมูกต้องยอมลูกจริงๆ”
“จ้า...คนเก่ง แต่ยังไงพ่อก็ต้องสอนท่าไม้ตายชั้น”
“รอให้ลูกโตกว่านี้ ร่างกายและจิตใจพร้อมกว่านี้ดีกว่า พ่อจะสอนให้”
“นี่ก็โตแล้วนะ”
“ถ้าถึงเวลาแล้วพ่อจะบอกเอง”
อบเชยทำหน้าเซ็งๆ
อีกด้านหนึ่งที่ร้านอาหารไม้เอาจานที่เก็บจากโต๊ะมาใส่ในอ่างล้าง โดยมีเมฆยืนล้างจานที่รับต่อจากไม้
“ขยันจริงนะพี่เมฆ ว่างจากขับรถก็ยังมารับจ้างล้างจานอีก” คนครัวบอก
“อยู่บ้านว่างๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรน่ะ” เมฆบอก ขณะนั้นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาตามไม้
“ไม้ ไปจัดการห้องน้ำชายหน่อยไป มันตัน”
“ได้ครับ”
“ไม้ไม่ต้องหรอกลูก ไม้ไปเสิร์ฟเถอะ จานตอนนี้ยังไม่เยอะเดี๋ยวพ่อไปจัดการห้องน้ำให้เอง”
“ก็ดีเหมือนกัน แต่เร็วๆ เข้าล่ะ แขกเริ่มมากันแล้ว”
“ครับ”
ไม้มองตามเมฆที่เดินออกไป ตนก็เดินออกไปทำงานเช่นกัน
ที่หน้าร้านอาหารขณะนั้นทิวากับพันเทพและสมุนกำลังเดินเข้ามาในร้านอาหาร
“เดี๋ยวลูกไปรอพ่อที่โต๊ะเลยนะ เดี๋ยวพ่อไปเข้าห้องน้ำก่อน” พันเทพบอกลูกชาย
“ครับพ่อ”
ทิวาและพันเทพต่างเดินแยกกันไป
ทิวาเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ไม้เดินเอาเมนูมาให้แล้วพูดอาหารแนะนำ
“อาหารแนะนำของเราก็มี แป๊ะซะปลาช่อน ปลาคังนึ่งมะนาว แล้วก็...”
ทิวาเห็นว่าเป็นไม้ก็อารมณ์ขึ้นทันที
“ไอ้ไม้...”
ส่วนที่ห้องน้ำพันเทพเดินเข้ามาในห้องน้ำ เมฆไม่ทันเห็นว่าใครจึงตะโกนออกมาจากส้วม
“แป๊บนึงนะครับ ผมจัดการใกล้จะเสร็จพอดี”
พันเทพเดินมองเข้าไปในห้องส้วม เมฆหันมาสบตากัน
“ไอ้เมฆ”
“พันเทพ”
พันเทพมองที่ปั๊มส้วมที่เมฆถือในมือ
“เดี๋ยวนี้รับดูดส้วมแทนขับรถแล้วเหรอ” เมฆนิ่งไม่ต่อกรด้วยและจะเดินหนีแต่พันเทพยืนขวางไว้ “เดี๋ยวซิ คุยกันซักหน่อยตามประสาคนรู้จักกันหน่อยซิ”
“จะไปทำงานในครัวต่อ ขอตัว”
พันเทพผลักเมฆล้มลง
“เฮ้ย บอกว่าให้อยู่คุยกันก่อนไง ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ”
ส่วนที่โต๊ะอาหารขณะนั้นทิวาก็กำลังหาเรื่องกวนประสาทไม้
“ที่นี่ถ้าเด็กเสิร์ฟทำจานแตก หักตังค์รึเปล่า”
“ทำไม”
ทิวาหยิบจานบนโต๊ะทิ้งลงพื้นจนแตกกระจาย
“อุ๊ย!”
ผู้จัดการร้านเดินมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นน่ะไม้”
“ก็เด็กเสิร์ฟคนนี้น่ะสิครับ พูดจาก็ไม่ดีแถมพอเอาจานมาให้ผมยังทำแตกอีก ไม่รู้ตั้งใจแกล้งกันรึเปล่า” ทิวาบอก ผู้จัดการร้านมองไม้ดุๆ
“เดี๋ยวเรามีเรื่องต้องคุยกันนะไม้” ผู้จัดการร้านหันหาทิวา “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้เรียบร้อย”
ไม้นิ่งมองทิวากับสิ่งที่ทำ ผู้จัดการกำลังเคลียร์ไม้กับทิวา
“ชั้นไปทำอะไรให้ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ดูซิครับคุณผู้จัดการ เค้าไม่ยอมรับ”
“ไม้” ผู้จัดการร้านมองไม้ดุๆ
“ให้มันคุกเข่าลงขอโทษผม ผมจะไม่เอาเรื่องอะไร”
“แต่...” ผู้จัดการร้านยังเคลียร์เรื่องทิวากับไม้ไม่เสร็จ ก็ได้ยินเสียงเอะอะจากอีกทาง “นั่นอะไรอีกเนี่ย”
ไม้กับทิวาหันมองตาม ผู้จัดการร้านรีบเดินไปดู
ขณะนั้นที่หน้าห้องน้ำพันเทพลากเมฆออกมาจากห้องน้ำแต่เมฆไม่คิดจะสู้จึงนั่งกับพื้น พันเทพใช้เท้าเขี่ยๆ
“อะไร ไม่กล้าสู้หน้าเลยรึไง”
ผู้จัดกการร้านเดินมาเคลียร์
“นี่มีเรื่องอะไรกันครับเนี่ย”
“ก็ไอ้คนๆนี้ มันพูดไม่ดีกับผม บอกว่าถ้าอยากจะเข้าห้องน้ำให้ไปเข้าที่อื่น มันยังทำความสะอาดอยู่”
“เมฆ ทำไมเธอพูดแบบนี้” ผู้จัดการร้านต่อว่าเมฆ
“เอาล่ะ ผมก็ไม่อยากมีเรื่องมีราวอะไร ให้มันกราบเท้าขอโทษผมก็พอ” พันเทพบอก เมฆมองพันเทพเคืองๆ แต่นิ่งไม่ตอบ ไม้และทิวาต่างวิ่งมาเข้าหาพ่อของตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะพ่อ”
“มีอะไรเหรอพ่อ” ทิวาหันมองเมฆ “ ไอ้เป๋ คนขับรถนี่อีกละ”
พันเทพเห็นไม้ก็ตกใจ
“ไม้...”
ไม้หันไปเห็นพันเทพจึงมองด้วยสายตาแข็งกร้าว
“พันเทพ พ่อชั้นไปทำอะไรให้อีกล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” พันเทพบอกแล้วหันมองเมฆ “ว่าไง จะกราบเท้าขอโทษชั้นมั้ย”
“นี่มันอะไรกันน่ะพ่อ ทำไมต้องให้กราบกันด้วย”
“งั้นก็ดีเลย ให้พ่อไอ้เป๋นี่มันกราบผมแทนลูกของมันที่ทำมารยาทไม่ดีกับผมด้วยทีเดียวเลยก็แล้วกัน”
“ถ้าทำทุกอย่างจะจบใช่มั้ย” เมฆถามเสียงเรียบ
“พ่อ...”
เมฆพนมมือขึ้นจะกราบ ไม้ห้ามเอาไว้
“พ่อไม่ต้อง เดี๋ยวชั้นทำเอง”

ไม้มองทิวาและพันเทพอย่างเจ็บใจที่ทำอะไรไปไม่ได้กว่านี้ เขาค่อยๆ พนมมือก้มลงกราบ เมฆสะเทือนใจ ส่วนทิวาสะใจ น้ำตาลูกผู้ชายของไม้ไหลออกมา
ท่ามกลางความมืดกลางดึกคืนนั้น ไม้นอนตะแคงหันหลังให้เมฆ น้ำตาไหลออกมา ทั้งเก็บกด ทั้งเจ็บใจกับเรื่องที่ได้เจอมา แม้ไม้จะเอาผ้าอุดปากไว้ไม่ให้พ่อตนได้ยิน แต่เมฆก็รู้ได้ถึงความทุกข์ของลูกชาย

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านพันเทพ ทิวายังสะใจไม่หายที่เห็นไม้ก้มลงกราบเท้าตนและพ่อ ส่วนพันเทพรู้สึกวังเวงอย่างประหลาดที่ได้เห็นภาพนั้น
“สะใจจริงๆ เลยพ่อ ที่สุดท้ายไอ้ไม้มันก็ก้มลงกราบพวกเรา” พันเทพยิ้มกับลูก “เสียดายไม่ได้ถ่ายคลิปไว้ ไม่งั้นจะเอาไปประจานให้ทั่วเลย”
“พอเถอะ”
“พ่อไม่สะใจรึไง พ่อไม่ชอบขี้หน้าพวกรถบขส.ไม่ใช่เหรอ”
“สะใจสิ แต่พ่อว่าลูกควรไปนอนได้แล้วนะ นี่ก็เลยเวลานอนมามากแล้ว”
“โอเคครับพ่อ คืนนี้ผมคงนอนหลับฝันดีแน่ๆ”
ทิวาเดินอารมณ์ดีออกไป พันเทพมองตามทิวาเดินออกไปจากห้อง พอทิวาพ้นห้องไป พันเทพก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
“ตกลงไม้ลูกของไอ้เมฆมันเป็นยังไงมั่ง…ไม่เป็นอะไรก็ดี…วันหลังเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ต้องบอกชั้นเร็วกว่านี้ เข้าใจมั้ย ไม่ใช่ให้ชั้นทะเล่อทะล่าเข้าไปในร้านที่ไม้ทำงานอยู่ …สะกดรอยห่างๆ ก็พอ ถ้ามันมีท่าทีเรื่องไม้ตะพดวิญญาณเมื่อไหร่ รีบบอกชั้น”
พันเทพวางหูโทรศัพท์แล้วหยิบรูปไม้ขึ้นมาจากสมุดที่วางไว้ในลิ้นชัก ทอดถอนใจ
วันต่อมาที่บ้านเมฆ บรรยากาศในโต๊ะกินข้าวเงียบจนน่าอึดอัด ไม้กินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้น
“เดี๋ยววันนี้ผมไปช่วยอาศรที่โรงน้ำแข็งนะครับ”
ไม้กำลังจะเดินออกไป เมฆเรียกไว้
“ไม้...ขอบใจมากนะลูก สำหรับเรื่องเมื่อคืน” ไม้พยักหน้ารับแกนๆ จะเดินออกไป “ถ้าลูกอยากเรียนมวยกับลุงศร...ก็ได้นะ”
ไม้ดีใจขึ้นมาทันที
“จริงเหรอครับพ่อ พ่อพูดจริงๆ นะ” เมฆยิ้ม พยักหน้ารับ “ขอบคุณนะพ่อ ขอบคุณ”
ไม้รีบวิ่งออกจากบ้านอย่างดีใจ เมฆไม่ค่อยสบายใจนักที่อนุญาตให้ลูกเรียนมวย
ที่โรงน้ำแข็งขณะนั้นศรนารายณ์กำลังขนน้ำแข็ง โดยมีอบเชยนั่งอ่านหนังสืออยู่บนม้านั่ง
“วันนี้อากาศมันร้อนจริงๆ”
“แบบนี้น้ำแข็งไม่ละลายหมดเหรอพ่อ”
“ก็ต้องรีบขน รีบส่ง ให้เสร็จ”
“ไหนไม้ว่าจะมา ไม่เห็นมาซักที”
พออบเชยพูดจบ ไม้ก็วิ่งหน้าบานเข้ามาในโรงน้ำแข็ง
“มาพอดีเลยไม้ มาช่วยกันขนเร็ว อากาศร้อนแบบนี้เดี๋ยวละลายหมด”
“อาศร”
“อะไร ดีใจเรื่องอะไรมา ยิ้มร่าเชียว”
“พ่ออนุญาตให้ชั้นเรียนมวยกับอาศรแล้ว”
“จริงเหรอไม้ ดีใจจังเลย” อบเชยบอกอย่างดีใจ
“ไปทำอีท่าไหนถึงอนุญาตได้”
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ขณะที่ทุกคนกำลังดีใจ สมุนของพันเทพสี่คนเดินเข้ามาในโรงน้ำแข็ง
“ศรนารายณ์ คุณพันเทพให้มาเชิญแกไปที่บ้านหน่อย”
สมุนคนหนึ่งบอก ไม้ อบเชย ศรนารายณ์มองหน้ากันงงๆ
“มีเรื่องอะไร” ศรนารายณ์ถาม
“อยากรู้ก็ต้องเข้าไปคุยเอง”
“แล้วถ้าไม่ไป”
“ก็จะทำให้ไปให้ได้น่ะสิ”
“อบเชย พาไม้หลบไป” ศรนารายณ์บอกลูกสาว จากนั้นก็ไม่สนใจสมุนพันเทพอีก ขนน้ำแข็งต่อไป
“งั้นพวกเรา ลุย!”
สมุนทั้งสี่คนเข้ารุมศรนารายณ์ ศรนารายณ์สู้ทั้งๆ ที่ทำงานไปด้วย มือนึงแบกน้ำแข็งไปไว้วางบนรถ อีกมือต่อยตีกับ 4 คน โดยมีไม้ยืนดูอยู่
“เท่ไปเลย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยว่าอาศรจะไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
อบเชยลากไม้มาหลบ
“ไปเร็วไม้ เดี๋ยวก็โดนลูกหลงหรอก”
ศรนารายณ์สู้กับสมุนพันเทพทั้งสี่อย่างเท่ บางทีก็ตีลังกาหลบแล้วเอาน้ำแข็งไปวางบนรถได้พอดี บางทีก็เขวี้ยงน้ำแข็งโดนสมุน แล้วชิ่งไปวางบนรถพอดี การต่อสู้จบน้ำแข็งบรรทุกเต็มรถพอดี สมุนทั้งสี่แพ้อย่างราบคาบ
“งั้นบอกเจ้านายพวกแกละกันว่าวันนี้ชั้นยุ่ง ต้องทำงานถ้าอยากเชิญชั้นจริงๆ ให้มาด้วยตัวเอง”
ศรนารายณ์ขึ้นรถไปส่งน้ำแข็ง ทิ้งสมุนกระเผลก ร้องโอดโอย
อบเชยนึกสงสัยที่คนของพันเทพมาบุกที่โรงน้ำแข็ง
“ทำไมพันเทพถึงอยากพบกับพ่อล่ะ”
“นั่นสิ ร้อยวันพันปีมีแต่มาหาเรื่อง”
“ต้องมีเรื่องอะไรผิดปกติแน่ๆ เลย”
อบเชยไม่คลายสงสัย
สมุนทั้งสี่กลับมาหาพันเทพที่บ้านพร้อมกับร้องโอดโอยมาแต่ไกล
“เจ้านายครับ มันไม่ยอมมาครับ”
“ชั้นเห็นสภาพพวกแกชั้นก็พอเดาได้”
“มันบอกว่าถ้าอยากให้มันมา เจ้านายต้องไปเชิญมันด้วยตัวเองครับ”
“ดี ใจถึงดี สมแล้วที่เป็นคนที่เก่งการต่อสู้ที่สุดในเมืองเรา”
“เจ้านายจะเอายังต่อละครับทีนี้”
“ชั้นจะไปเชิญมันเอง”
สีหน้าพันเทพมั่นใจ มีรอยยิ้มที่มุมปาก
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นเจ้าอาวาสกำลังเดินเจิมรถแต่ละคันในอู่ โดยมีเจ๊กีเดินประกบ เมฆ ไม้ ชาญ คอยเดินตามเผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือ
“คนไหนล่ะลูกชายโยมที่บอกกลับมาจากต่างประเทศ” เจ้าอาวาสมองไปที่ชาญ “คนนี้เหรอ”
“ตาถึงจริงๆ ครับหลวงพ่อ” ชาญบอก
“โกหกพระโกหกเจ้าบาปนะ”
“ตกลงไม่ใช่เหรอ”
“จะใช่ได้ยังไง นี่เด็กรถหลวงพ่อ ลูกชายอั๊วะน่ะ หล่อ เท่กว่านี้เยอะแยะ” เจ๊กีบอกแล้วชะเง้อมองหา “เดี๋ยวก็คงมา”
รถเก๋งคันงามจอดเทียบ ทุกคนต่างหันไปมองเป็นตาเดียว ชายที่ลงมาจากรถช่างสง่างาม ผิวพรรณดี สมกับเป็นลูกคนมีเงิน คนในท่ารถถึงกับตะลึง
“นั่นไง มาโน่นแล้ว”
ไกรส่งยิ้มให้เจ๊กีแล้วเดินสง่ามาหา
“เฮ้ย…นั่นมันทำบุญด้วยอะไรวะน่ะ คงไม่ใช่ขมิ้นหรอกนะ”
ไกรยกมือไหว้เจ้าอาวาส
“นิมนต์ครับท่านเจ้าอาวาส สวัสดีครับทุกคน”
“ชิ ทำเป็นเป็นมิตร แสนดี” ชาญต่อว่า
“ใครจะเหมือนลื๊อล่ะ ปากหมา มารยาท” เจ๊กีต่อว่าชาญ
“โตเป็นหนุ่มแล้ว อาตมายังจำภาพตอนเป็นเณรในวัดได้อยู่เลยนี่จบอะไรมาละเนี่ย”
“บริหารธุรกิจครับ แต่ทำงานพิเศษด้วยเป็นครูสอนโยคะ”
“โยคะนี่ดีนะ ฝึกสติ ฝึกสมาธิ”
“ดีตรงไหน อ้อยอิ่งจะตาย”
ระหว่างคุยกัน อบเชยเดินเข้ามาพร้อมศรนารายณ์
“นี่ทุกคน ชั้นทำกับข้าวมาแล้ว ไปกินกัน”
อบเชยเดินเหยียบโคลนที่อยู่ตรงนั้นพอดี เสียหลักลื่น แล้วเป็นไกรที่วิ่งเข้าไปรับอบเชยไม่ให้ล้ม อย่างเท่
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
คนอื่นๆ ตะลึงในความเท่ของไกร อบเชยเขินๆ
“ขอบคุณ”
อบเชยเดินหน้าแดงออกไป ไม้มองตามอบเชย ชาญมองไกรอย่างหมั่นไส้ ศรนารายณ์ยิ้มหวานให้เจ๊กี
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ๊กี”
“เป็นอะไร ทำไมอั๊วะต้องเจอลื้อด้วย”
“นั่นแน่ คิดถึงแต่ทำปากแข็ง”
“เดี๋ยวปั๊ดซัดให้”
เจ๊กีทำท่าจะซัดศรนารายณ์ ทุกคนมองขำๆ
อบเชยมายืนแอบอายอยู่บริเวณซากรถเก่า ไม้เดินตามมา
“ชอบละสิ หล่อๆ แบบนั้นน่ะ”
“อะไร”
“ก็ไกรลูกชายเจ๊กีที่ช่วยเธอเมื่อกี้ไง”
“แล้วไง”
“ชั้นเห็นเธออายหน้าแดงเลย”
“แล้วทำไม คนพลาดไปล้มต่อหน้าคนอื่น ก็ต้องอายอยู่แล้ว”
“อย่ามาปากแข็งเลย”
“แล้วมันจะทำไม”
“ก็ไม่อะไรนี่”
“ไม่อะไรแล้วเดินตามมาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ทำไม”
“ก็แค่จะบอกว่า ดีแล้วที่ชอบคนที่เค้าปกป้องเธอได้แถมหล่ออีกต่างหาก”
“ไปกันใหญ่แล้วเนี่ย”
ไม้เดินไม่พอใจออกไป อบเชยมองตามงงๆ
ขณะนั้นคนขับรถจับกลุ่มยืนคุยกัน ชาญเดินเข้าไปคุยด้วยมีไม้เข้าไปสมทบ
“คุยอะไรกันน่ะพี่”
“ก็รถที่จะวิ่งรอบบ่ายน่ะสิ มาเสียพร้อมกันทั้ง 2 คันเลย แล้วไอ้เด็กที่คอยซ่อมก็ดันมาลาวันนี้ซะด้วย”
จันทร์เดินเข้ามา
“มีอะไรกันเหรอ”
“อ้าว จันทร์มายังไง” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมา มีปัญหาอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่ปัญหาของเอ็งก็แล้วกัน ไอ้หน้าจืด” ชาญบอก
“นี่คราวที่แล้วยังไม่เคลียร์เลยนะ อยากจะลองอีกรอบมั้ยล่ะ”
“นี่...เค้าให้มาช่วยกันแก้ปัญหา จะมาสร้างปัญหากันทำไม”
จันทร์กับชาญมองกันเขม็ง แต่ก็ใจเย็นลง
“ตกลงมีเรื่องอะไร”
“รถรอบบ่ายเสียทั้งสองคันเลย ไม่มีคนซ่อม” ไม้บอก
“ให้ชั้นดูให้มั้ยล่ะ”
จันทร์กับชาญบอกออกมาพร้อมกัน จันทร์ กับชาญ มองหน้ากันที่พูดพร้อมกันโดยบังเอิญ
“แกสองคนซ่อมรถเป็นรึไง” คนขับรถพาม
“ก็พอเป็นอยู่บ้าง” ชาญบอก
“บ้านชั้นเป็นอู่ซ่อมรถ” จั้นทร์บอก
“ก็ดี งั้นซ่อมกันคนละคันไปเลย แต่เครื่องมือมีชุดเดียวนะ”
ชาญกับจันทร์มองหน้ากัน...เหมือนเป็นการท้าประลองกลายๆ
“ถ้าคิดเหมือนกันอยู่ละก็...ได้เลย” จันทร์บอกกับชาญ
“คิดอะไร ได้อะไร ไปคุยกันตอนไหน” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“ได้...ใครซ่อมเสร็จก่อน ชนะ” ชาญบอก
“ตามนั้น”
“เฮ้ย...”
จันทร์กับชาญต่างแยกไปที่รถคนละคัน คนขับรถเอาอุปกรณ์ซ่อมที่มีชุดเดียววางไว้ตรงกลาง จันทร์กับชาญต่างตรวจดูจุดที่เสีย แล้วรีบมาจะหยิบอุปกรณ์ซ่อม จันทร์เกือบจะเอื้อมมือไปถึง ชาญขว้างกระบอกตั๋วใส่มือจันทร์ที่กำลังจะหยิบ แล้วชาญชิงหยิบประแจไปได้ก่อน ชาญยิ้มแล้วเอาประแจไปใช้ จันทร์เจ็บใจ หยิบอย่างอื่นมามาทดแทน จันทร์ใช้คีมมาหมุนน็อตแทนแต่ก็ไม่ถนัดจึงหยิบน็อตจากกระเป๋าเสื้อตนดีดใส่มือชาญ ชาญทำประแจร่วง จันทร์ไปคว้ามาใช้ก่อน ชาญเจ็บใจ การซ่อมรถดำเนินไปอย่างประชันฝีมือ แย่งอุปกรณ์ซ่อมรถด้วยทักษะแต่ละคน ชิงกันไปชิงกันมา คนที่ดูต่างก็ลุ้นกันใหญ่ บางทีมีลักษณะคล้ายงัดข้อ คนนึงถืออะไหล่ที่จะซ่อมไว้ในมือจะใส่รถตัวเองแล้ว อีกฝ่ายง้างมือมาใส่รถของตน แล้วขันน็อตล็อค แบบมือนึงซ่อมไป อีกมือนึงก็ขัดขวางอีกคน ดูตลกและตื่นเต้น
อีกด้านหนึ่งของท่ารถขณะนั้นเมฆ ศรนารายณ์ ไกร และเจ๊กีเดินคุยกันมา
“ได้พระมาเจิมหน่อย อย่างน้อยก็สบายใจ ว่ามั้ย” เจ๊กีบอก
“สิ่งที่ดีเกิดมาจากความสบายใจครับ”
“แต่บางคนก็สามารถสร้างความสบายใจให้ได้นะ” ศรนารายณ์บอกแล้วยักคิ้วให้เจ๊กี
“พี่ศรเกรงใจลูกเค้าบ้าง”
“จะต้องเกรงใจทำไม คนกันเองทั้งนั้น ถ้าไกรอยากเรียกว่าพ่อก็ได้นะ”
“น้อยๆ หน่อย”
ไกรยิ้มรับ ไม่ถือสา แต่ตายังมองหาอบเชย
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ไปไหนซะแล้ว”
“อ๋อ อบเชยนะเหรอ เรียกว่าน้องก็ได้...อีกหน่อยก็ต้องเป็นพี่น้องอยู่ดี” ไกรหัวเราะ “อบเชยมันทำกับข้าวเก่งมากนะ ถ้าได้กินฝีมือมันแล้วจะติดใจ”
“จริงเหรอครับ”
“ก็เงี้ยแหละเด็กมันไม่มีแม่ ก็ต้องพึ่งตัวเองตลอด นอกซะจาก...” ศรนารายณ์ไม่พูดต่อแต่มองหน้าเจ๊กีแทน
“นี่ลื้อพูดอะไรของลื้อ เก๊กซิมจริงๆ”
ไกรหันไปเห็นคนกำลังมุมบางอย่าง
“นั่นตรงนั้นเค้าทำอะไรกันน่ะ”
ศรนารายณ์ เจ๊กี เมฆ หันไปมองทางเดียวกัน
การประลองซ่อมรถของจันทร์ และชาญเดินทางมาถึงโค้งสุดท้าย จันทร์ขึ้นไปสตาร์ทรถโดยมีเด็กรถ คนขับรถ รอลุ้นอยู่ เจ๊กี ไกร เมฆ ศรนารายณ์เดินเข้ามาเสริม จันทร์ขึ้นไปสตาร์ทรถ ลุ้นมาก ปรากฏว่า...ไม่ติด ชาญหัวเราะเสียงดัง
“กระจอก เนี่ยนะที่บอกว่าที่บ้านเป็นอู่ซ่อมรถ” ชาญขึ้นไปสตาร์ทรถที่ตนซ่อมบ้าง “เดี๋ยวจะทำให้ดูว่ามือคนละชั้นเป็นยังไง”
ชาญสตาร์ทดังแชะ ไม่ติดเหมือนกัน ชาญเสียหน้า จันทร์หัวเราะ ตะโกนล้อผ่านหน้าต่างรถ
“ก็กระจอกเหมือนกันแหละวะ”
คนโห่กันใหญ่ ไกรเดินออกไปท่ามกลางรถทั้งสองคัน
“เสียงสตาร์ทเป็นแบบนี้เหมือนจะเป็น...”
ไกรเดินไปที่ห้องเครื่องด้านหลังรถ
คนแห่เดินตามไกรไปดูว่าจะทำอะไร ไกรเอามือล้วงไปในห้องเครื่องรถคันของจันทร์ ขยับอะไรนิดหน่อย
“ขอลองสตาร์ทอีกทีนะ”
จันทร์สตาร์ทรถ ปรากฏว่าติดขึ้นมาทันที คนตาโตในความสามารถของไกร ไกรเดินไปที่รถของชาญ เอามือเข้าไปล้วงในห้องเครื่องอีกที
“น่าจะไม่มีปัญหาแล้วนะ ลองสตาร์ทดู”
ชาญลองสตาร์ทรถอีกที รถก็ติดขึ้นมาอีก คนร้อง “โอ้โห” พร้อมกันใหญ่ เจ๊กีภูมิใจในความสามารถลูกตัวเอง
“ซ่อมเครื่องยนต์ก็เป็นด้วยเหรอเนี่ย” เมฆถามอย่างแปลกใจ
“ก็ผมต้องมาดูแลกิจการต่อจากม๊านี่ครับ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมีความรู้ติดตัวไว้บ้าง”
ศรนารายณ์ปรบมือให้ไกร
“ไม่ธรรมดาเลย จริงๆ ชั้นได้ยินเสียงชั้นก็รู้แล้วล่ะว่ารถมันเสียตรงไหน แต่ชั้นอยากให้ไกรได้โชว์
ความสามารถบ้าง”
ชาญกับจันทร์เดินลงมาจากรถมองหน้ากัน ไม่ค่อยพอใจนัก ไม้เดินเข้ามา
“ลูกเจ๊กีโคตรเก่งเลยว่ะ”
“แค่มาขยับอะไหล่ที่หลวมนิดหน่อย ได้หน้าไปเลยนะ”
“มันชักจะมากไปแล้วนะไอ้นี่”
อบเชยเดินเข้ามาแทรกกลางวง
“ทำอะไรกันอยู่เนี่ย ข้าวปลาไม่กินกันแล้วใช่มั้ย ชั้นยืนรอตักข้าวให้ตั้งนานแล้ว”
ไกรเดินมาหาอบเชย
“กินสิ หิวจะแย่ ได้ข่าวว่ากับข้าวฝีมือเธออร่อยมากด้วย”
อบเชยเขินๆ ไกร ไม่กล้าสบตา
“ใครจะกินก็ตามมาก็แล้วกัน ไม่งั้นเหลือจะเทให้หมากินให้หมดเลย”
อบเชยเดินนำทุกคนไป มีไกรเดินตาม คนอื่นๆ ก็ทยอยกันตามไปกินข้าว เหลือแต่ไม้ ชาญ จันทร์
“มาวันเดียว ไม่เหลือที่ยืนให้เราเลย”
“อบเชยของชั้นก็ดูท่าจะหลงคารมมันไปด้วยอีกคน”
“เฮ้ย...อบเชยเป็นของนายตั้งแต่เมื่อไหร่” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“ก็ตั้งแต่วันที่ชั้นเห็นครั้งแรกนั่นแหละ”
“อ้าว”
“ก็แกไม่ชอบไม่ใช่เหรอ เห็นกัดกันไปกัดกันมา”
“ก็ไม่ได้อะไรนี่ แค่ถามดู”
“แต่ตอนนี้ เหมือนอบเชยจะเป็นของไอ้ไกรไปแล้ว”
ไม้มองตาม แอบหวงอยู่ลึกๆ ในใจ
อบเชยยืนตักกับข้าวให้ทุกคน คนรถ คนขับรถต่อแถวกันยาว พอถึงคิวไกร อบเชยไม่ค่อยกล้าสบตานัก
“จะกินอะไร”
“อะไรอร่อยก็กินอันนั้นแหละ”
ยังไม่ทันที่อบเชยจะตัก ไม้มาจากไหนไม่รู้ ตักแกงราดให้ไกรซะงั้น
“อ่ะ อันนี้ไม่ค่อยอร่อยหรอก แต่เดี๋ยวมันจะเหลือ” อบเชยกับไกร งงๆ หันไปมองหน้าไม้ “มองอะไร...ก็กินได้เหมือนกันแหละ”
ไกรเดินถือชามข้าวออกไปงงๆ จันทร์มาตักข้าว มองหน้าไม้
“แรง”
ไม้ทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจ
“จะช่วยตักก็มาช่วย ยืนเฉยอยู่ได้”
อบเชยว่าไม้ ไม้เก้ๆ กังๆ จำต้องมายืนช่วยอบเชยตัก
เวลาผ่านไปทั้งหมดนั่งกินข้าวด้วยกัน
“บอกตรงๆ ชั้นไม่ชอบขี้หน้าลูกเจ๊กีนี่เลยว่ะ” ชาญบอก
“ไม่ต้องบอกใครก็รู้ แสดงออกขนาดนั้น” จันทร์บอก
“แต่ชั้นไม่ชอบขี้หน้าแกมากกว่านะ”
“ชั้นก็ไม่ได้พิศวาสแกซะหน่อย”
“หรือจะเอา”
“ก็เอามั้ยล่ะ”
“พอแล้ว เมื่อกี้เพิ่งแพ้มาทั้งคู่ยังไม่เข็ดอีกรึไง” ไม้ขัด
“ไอ้ไกรมันเลยกลายเป็นพระเอกเลย”
“ก็เค้าดูเป็นพระเอกจริงๆ นี่” อบเชยบอก ทุกคนหันควับไปมองอบเชย อบเชยงงที่ทุกคนมอง
“ก็หรือไม่จริง หล่อก็หล่อ เท่ก็เท่ บ้านมีตังค์ แถมเก่งอีกต่างหาก แบบนี้ไม่ใช่พระเอกรึไงล่ะ”
“เราเสียเอกราชโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ”
“พวกนายก็แค่อิจฉาเค้าเท่านั้นแหละ” ไม้ไม่ค่อยพอใจลุกเดินออกไปจากโต๊ะ “ไม้เป็นอะไร”
อบเชยลุกตามไม้ไป เหลือจันทร์กับชาญ
“ไอ้นี่มันพูดน้อย แต่แสดงออกแรงตลอด”
“ไม่มีชั้นเชิงเอาซะเลย”

จันทร์กับชาญเผลอมามองหน้ากัน แล้วต่างคนก็ต่างหันหลังให้กัน กินข้าวต่อไป








Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:04:52 น.
Counter : 331 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]